Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: ซิ่งเข้าส้วม ที่ มีนาคม 21, 2015, 21:38:47

หัวข้อ: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ซิ่งเข้าส้วม ที่ มีนาคม 21, 2015, 21:38:47
ผมเห็นรถยุโรปหลายยี่ห้อนำเอาเครื่องดีเซลมาใส่รถเก๋งทำให้ประหยัดน้ำมันขึ้นมากและเครื่องก็แรงด้วย

อย่าง Mazda 2 ตัวใหม่ผมชอบมากเวลาเร่งแซงไม่ต้องลุ้นเลย แซงได้ง่ายๆ แถมประหยัดน้ำมันกว่า Eco car อีกต่างหาก

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเมืองไทยจะมีรถแบบนี้เพิ่มมากขึ้นครับ เพื่อนๆ คิดว่าอีกกี่ปีประเทศไทยถึงจะเอาเทคโนโลยีแบบนี้เข้ามาไทยจนเป็นมาตรฐานครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: O_o" ที่ มีนาคม 21, 2015, 22:30:36
ตอนนี้กระแสเริ่มจะเปลี่ยนจากเก๋งเครื่องดีเซล มาเป็น เบนซินความจุ 1.0-1.5 ลิตร ฉีดตรง + เทอร์โบ  ให้ความประหยัดต่างกัน 10-20 % แต่ขับสนุกต่างกันเยอะ

เอาเครื่องดีเซลมาขาย ในรถนั่งก็มีให้เห็นมาหลายรุ่นแล้วครับ ยอดขายก็อย่างที่เห็นๆกัน มีทั้งเสียงชม เสียงบ่น ถึงเอามาขายได้ แต่จะขายได้รึเปล่า มาในตัวท็อปทั้งนั้น

คงต้องอยู่ที่ยี่ห้อเจ้าตลาดจะเดินเกม เอาเครื่องดีเซลลงมาเมื่อไหร แต่เท่าที่เห็นยอดขายเครื่องเบนซินในบัจจุบันนี้ คงต้องบอกว่ายังไม่จำเป็นในตอนนี้ ที่จะเอาดีเซลมาขาย

ตอนนี้เห็นมีแต่มวยรองทั้งนั้นที่เอาเครื่องดีเซลมาขายในรถนั่ง ยังทำอะไรยอดขายไม่ได้ตรงเป้ามากนัก  ตลาดรถในเมืองไทย แปลกกว่าที่อื่นๆมากครับ

หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: leenawat_sri ที่ มีนาคม 21, 2015, 23:07:34
อ้าว..แล้วจะให่ ขายเบนซินใครล่ะคับ
ผมคิดว่า   ไม่มีวันนั้นหรอกคับ

เคยถามตัวเองแบบ จขกท. เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว

ทุดวันนี้ d segment ญี่ปุ่น ยังไม่มีจ้าวไหนทำเลย

......มีแต่หันไปทำไฮบริด...กำไรคงเยอะกว่า..ที่จะมาทางดีเซลเทอโบมั้งคับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ มีนาคม 21, 2015, 23:39:53
เครื่องดีเซลต้นทุนมันแพงครับ แค่ค่าเครื่องยนตร์เปล่าๆก็แพงกว่ากันแล้ว ไหนจะเทอโบอีก แถมมีคนที่ไม่ชอบดีเซลเลยก็มี หาว่าดังแบบรถกระบะมั่ง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดังอะไร

ขนาดนั้น อยู่ภายในรถนี่เงียบไม่ได้ยินเสียงเครื่องเลย  :D ยังไงความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปแล้ว เบนซิลก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว กินน้ำมันมากกว่านิดหน่อย 10-20%

แต่ราคาเริ่มต้นถูกกว่าเป็นแสนไม่มีความจำเป็นต้องเอาดีเซลมาขายเลยครับ คนที่จะซื้อดีเซลนี่ต้องอารมณ์เหนือเหตุผลล้วนๆ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: U9WS ที่ มีนาคม 21, 2015, 23:49:09
ภาษี co2 หน้าโรงงานที่จะใช้ปีหน้ามันยังไม่พอ ต้องเก็บภาษีประจำปีตาม co2 แบบอังกฤษครับ
แล้วคนใช้รถเค้าจะหาซื้อคันที่ทำให้เค้าจ่ายภาษีถูกเอง

เก๋งดีเซลและเบนซินเทอร์โบฉีดตรงถึงเป็นที่นิยมครับ

หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: g_abac ที่ มีนาคม 22, 2015, 01:35:25
ถ้าราคาน้ำมันกลับไปเป็นแบบเมื่อก่อน ที่ตรึงราคาดีเซล อาจจะมีสิทธิ์ แต่ ณ ราคาปัจจุบัน คงยากครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มีนาคม 22, 2015, 02:23:04
เป็นเรื่องฝันเอาครับ  ถ้าคิดจะเห็นแบบนั้น      ไม่ทราบว่าจขกท  อยากเห็นเก๋งดีเซลเป็มาตรฐานไปทำไม    เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้  
ประเทศที่นิยมเก๋งดีเซล  ส่วนมากก็จะมีเฉพาะโซนยุโรปเท่านั้น     และส่วนใหญ่เป็นรถเกียร์ธรรมดา
ถ้าขายโซนทวีปอื่น ๆ  จะเป็นเครื่องเบนซินเป็นหลัก   ไม่ใช่ดีเซลโดยเฉพาะทางฝั่งเอเชียแทบจะไม่มีเก๋งดีเซลเลยยกเว้นรถนำเข้า
ราคาน้ำมันส่วนใหญ่ในโลกนี้เบนซินกับดีเซลจะใกล้เคียงกัน   บางประเทศดีเซลแพงกว่า  ยกเว้นประเทศไทยที่เคยมีการอุ้มจนทำให้เบนซินกับดีเซลต่างกันลิตรล่ะ 10 บาท  อันนั้นที่เดียวในโลกแต่คาดว่าไม่น่ามีอีกแล้ว  
การจะขายรถที่มีราคาน้ำมันพอพอกัน  ในปัจจุบัน  รถดีเซลแพงกว่าเบนซินต้นทุนต่างกันตั้งแต่ 1 แสนขึ้นไป จนถึง 5 แสนกว่าบาท
 ถ้าจะซื้อเพื่อประหยัดค่าน้ำมันแล้วเอาความคุ้มค่า มันคงไม่ใช่คำตอบในการซื้อ
ถามว่ากำไรบริษัทรถน่ะมี ไม่ใช่ไม่มี   แต่เอามาจริงแล้วคนจะซื้อหรือเปล่า    ขนาด MAZDA 2  มีแต่คนบอกว่าแพง  คนในนี้ก็วิจารณ์ว่าแพง
ถ้ามาสด้า 2 ขายไม่ออก  อนาคตรถประกอบในประเทศจะไม่มีการทำเครื่องดีเซลในเก๋งเล็กออกมาอีก
 บทเรียนที่ฟอร์ดเคยได้รับในการผลิตโฟกัสดีเซล  ขายในไทย อะไหล่บางชี้นรอ 6-8 เดือน  รถขายไม่คุ้ม
ราคาขึ้นไปชนคัมรี่ตัวล่างๆ  ได้หรือ PPV  ตัวล่างได้     คนบ้านเราไม่เล่นและยิ่งได้เกียร์ธรรมดาด้วย ขายยากมาก
  
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: panjap ที่ มีนาคม 22, 2015, 07:32:40
เป็นเรื่องฝันเอาครับ  ถ้าคิดจะเห็นแบบนั้น      ไม่ทราบว่าจขกท  อยากเห็นเก๋งดีเซลเป็มาตรฐานไปทำไม    เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้  
ประเทศที่นิยมเก๋งดีเซล  ส่วนมากก็จะมีเฉพาะโซนยุโรปเท่านั้น     และส่วนใหญ่เป็นรถเกียร์ธรรมดา
ถ้าขายโซนทวีปอื่น ๆ  จะเป็นเครื่องเบนซินเป็นหลัก   ไม่ใช่ดีเซลโดยเฉพาะทางฝั่งเอเชียแทบจะไม่มีเก๋งดีเซลเลยยกเว้นรถนำเข้า
ราคาน้ำมันส่วนใหญ่ในโลกนี้เบนซินกับดีเซลจะใกล้เคียงกัน   บางประเทศดีเซลแพงกว่า  ยกเว้นประเทศไทยที่เคยมีการอุ้มจนทำให้เบนซินกับดีเซลต่างกันลิตรล่ะ 10 บาท  อันนั้นที่เดียวในโลกแต่คาดว่าไม่น่ามีอีกแล้ว  
การจะขายรถที่มีราคาน้ำมันพอพอกัน  ในปัจจุบัน  รถดีเซลแพงกว่าเบนซินต้นทุนต่างกันตั้งแต่ 1 แสนขึ้นไป จนถึง 5 แสนกว่าบาท
 ถ้าจะซื้อเพื่อประหยัดค่าน้ำมันแล้วเอาความคุ้มค่า มันคงไม่ใช่คำตอบในการซื้อ
ถามว่ากำไรบริษัทรถน่ะมี ไม่ใช่ไม่มี   แต่เอามาจริงแล้วคนจะซื้อหรือเปล่า    ขนาด MAZDA 2  มีแต่คนบอกว่าแพง  คนในนี้ก็วิจารณ์ว่าแพง
ถ้ามาสด้า 2 ขายไม่ออก  อนาคตรถประกอบในประเทศจะไม่มีการทำเครื่องดีเซลในเก๋งเล็กออกมาอีก
 บทเรียนที่ฟอร์ดเคยได้รับในการผลิตโฟกัสดีเซล  ขายในไทย อะไหล่บางชี้นรอ 6-8 เดือน  รถขายไม่คุ้ม
ราคาขึ้นไปชนคัมรี่ตัวล่างๆ  ได้หรือ PPV  ตัวล่างได้     คนบ้านเราไม่เล่นและยิ่งได้เกียร์ธรรมดาด้วย ขายยากมาก
  

คิดเหมือนกันเลยครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: H3T ที่ มีนาคม 22, 2015, 08:48:21
 ถ้าไม่นับเรื่องค่านิยมของคนส่วนใหญ่ ต้นทุนทางวิศวกรรมที่สูงกว่าเบนซิน ก็คือ ภาษีสรรพสามิต ยังเสียเปรียบเบนซินครับ
  สรรพสามิตปัจจุบัน
     ดีเซล = 30%
     เบนซิน E85 = 22%

  สรรพสามิตใหม่
     ดีเซล = 30%
     เบนซิน E85 = 22%

 ยังไม่นับรวม Eco car 2 ที่เบนซินก็ยังมีส่วนลด E85 อีก 2%

  ถ้าอยากให้มีผู้ผลิตทำรถดีเซลออกมามากกว่านี้ ลองลดพิกัดสรรพสามิตลงมาเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นของเครื่องดีเซล
   ดูจาก Pick up ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่คือ เครื่องดีเซล สรรพสามิต 3% - 12% แบ่งตราประเภท

   ลองเก็บสรรพสามิตรถนั่งเครื่องดีเซลที่ 12% เท่ารถ Pick up 4 ประตู ป้ายดำก็ได้ ราคาขายก็จะต่ำลงได้บ้าง แต่คงไม่มากนัก เพราะขนาด Mazda 2 ดีเซล ยื่น Eco car แท้ๆ สรรพสามิตแค่ 14% ยังราคาเริ่มต้น 6 แสนปลาย - 7 แสนปลาย

  รถในบ้านเราถ้าไม่นับกระบะ จากเครื่องเบนซินธรรมดาๆ ในตอนนี้ ในอนาคตก็ไป Hybrid เลยครับ อย่างน้อย ภาษีสรรพสามิตก็ต่ำแค่ 10% เท่านั้น
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pingkopink ที่ มีนาคม 22, 2015, 09:03:37
ชอบอัตราเร่ง และความประหยัดเช่นกัน

พอดีเคยใช้ s80 ช่วงสั้นๆๆ ช่วงนั้นตกใจว่า ภายในห้องโดยสาร ทั้งสั่น ทั้งเสียงดัง มากกกกกกก  เมื่อเที่ยบกับเบนซินน (รถวิ่ง สี่หมื่น ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ )

ก็เลย คิดว่าถ้าจะซื้อใช้คันให่ม่่ก็ยังเอา เบนซิล หละ ได้ comfort มากกว่ามากๆๆ   ดีเซลคงเหมาะกับบางกลุ่มมั๊งครับ ไม่น่าจะเป็นมาตรฐาน ที่รองรับคนส่วนใหญ๋

หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ มีนาคม 22, 2015, 10:10:57
ผมไม่อยากขับรถแทรคเตอร์นะ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenG ที่ มีนาคม 22, 2015, 10:21:56
ผมเรียนตามตรงนะครับ

ผมอยากให้รถดีเซลเป็นรถกระบะตอนเดียว รถแคป รถตู้และรถบรรทุก

อยากให้เป็นรถใช้งานเพื่อการพาณิชย์จริงๆ มากกว่า

เพราะรัฐบาลจะได้กำหนดหรือควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้กระทบต่อค่าขนส่งครับ

 :)

รถเก๋ง รถกระบะสี่ประตู รถ PPV SUV ผมอยากให้ใช้เบนซินมากกว่า

นี้คือผมมองส่วนตัวนะ

แต่มันแก้อะไรไม่ได้แล้วเพราะรถกระบะสี่ประตู รถ PPV ตอนนี้ ก็ใช้ดีเซล

ถ้าแก้กฎหมายรับรอง ยอดขายลดลงแน่ๆ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ มีนาคม 22, 2015, 10:34:36
ผมเรียนตามตรงนะครับ

ผมอยากให้รถดีเซลเป็นรถกระบะตอนเดียว รถแคป รถตู้และรถบรรทุก

อยากให้เป็นรถใช้งานเพื่อการพาณิชย์จริงๆ มากกว่า

เพราะรัฐบาลจะได้กำหนดหรือควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้กระทบต่อค่าขนส่งครับ

 :)

รถเก๋ง รถกระบะสี่ประตู รถ PPV SUV ผมอยากให้ใช้เบนซินมากกว่า

นี้คือผมมองส่วนตัวนะ

แต่มันแก้อะไรไม่ได้แล้วเพราะรถกระบะสี่ประตู รถ PPV ตอนนี้ ก็ใช้ดีเซล

ถ้าแก้กฎหมายรับรอง ยอดขายลดลงแน่ๆ
ผมขอ ให้ยังคง PPV เป็นดีเซลครับ เพราะมัน คือ off-rode หากเอาเครือง เบนซินมาต้องเครื่องใหญ่ 3.0 ขึ้น  Co2 ไม่ผ่านแน่ๆ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: GreenG ที่ มีนาคม 22, 2015, 10:56:34
ผมเรียนตามตรงนะครับ

ผมอยากให้รถดีเซลเป็นรถกระบะตอนเดียว รถแคป รถตู้และรถบรรทุก

อยากให้เป็นรถใช้งานเพื่อการพาณิชย์จริงๆ มากกว่า

เพราะรัฐบาลจะได้กำหนดหรือควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้กระทบต่อค่าขนส่งครับ

 :)

รถเก๋ง รถกระบะสี่ประตู รถ PPV SUV ผมอยากให้ใช้เบนซินมากกว่า

นี้คือผมมองส่วนตัวนะ

แต่มันแก้อะไรไม่ได้แล้วเพราะรถกระบะสี่ประตู รถ PPV ตอนนี้ ก็ใช้ดีเซล

ถ้าแก้กฎหมายรับรอง ยอดขายลดลงแน่ๆ
ผมขอ ให้ยังคง PPV เป็นดีเซลครับ เพราะมัน คือ off-rode หากเอาเครือง เบนซินมาต้องเครื่องใหญ่ 3.0 ขึ้น  Co2 ไม่ผ่านแน่ๆ
ครับ ผมคิดว่ายังไงภาครัฐคงไม่ทำแบบที่ผมบอกหรอกครับ

ไม่งั้นตลาด PPV และกระบะ 4 ประตูเละแน่ๆ

คนจะหนีไปออก C-seg D-seg และ B / C-SUV หมด

เพราะราคามันคงแพงจนซื้อไม่ไหวครับ ;D
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Darkart ที่ มีนาคม 23, 2015, 10:07:57
คงยากอยู่นะครับ
รถเก๋งบ้านเรา นิยมตัวเบนซินมากกว่าตัวดีเซล แต่คนไม่น้อยที่ชอบตัวดีเซลครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ มีนาคม 23, 2015, 23:48:16
เครื่องดีเซลต้นทุนมันแพงครับ แค่ค่าเครื่องยนตร์เปล่าๆก็แพงกว่ากันแล้ว ไหนจะเทอโบอีก แถมมีคนที่ไม่ชอบดีเซลเลยก็มี หาว่าดังแบบรถกระบะมั่ง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดังอะไร

ขนาดนั้น อยู่ภายในรถนี่เงียบไม่ได้ยินเสียงเครื่องเลย  :D ยังไงความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปแล้ว เบนซิลก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว กินน้ำมันมากกว่านิดหน่อย 10-20%

แต่ราคาเริ่มต้นถูกกว่าเป็นแสนไม่มีความจำเป็นต้องเอาดีเซลมาขายเลยครับ คนที่จะซื้อดีเซลนี่ต้องอารมณ์เหนือเหตุผลล้วนๆ

ถึงห้องโดยสารอาจไม่ได้ยินเสียงเครื่องรถแทรคเตอร์ แต่ด้านนอกไปถึงไหนแล้ว   

อีกอย่างเสียงเครื่อง มันยังสู้ พวก rice burner ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปเทียบกับ slant six และ V8 
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: h22a ที่ มีนาคม 24, 2015, 09:36:57
ต่อให้รถในรุ่นเดียวกันยี่ห้อเดียวกัน มีเบนซินกับดีเซลให้เลือก ที่ราคาเท่ากัน ผมเลือกเบนซินครับ  :)
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: seamonkey ที่ มีนาคม 24, 2015, 10:59:30
เก็บดีเซลไว้ใช้ในงานที่เหมาะสมดีกว่าครับ เอามาเป็นรถส่วนบุคคลนี้ผมว่าสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ มีนาคม 24, 2015, 12:38:03
ผมไม่อยากขับรถแทรคเตอร์นะ

งั้น BMW320d 520d คือรถแทรคเตอร์ ว่างั้น  :P :P :P
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ มีนาคม 24, 2015, 13:16:28
ผมไม่อยากขับรถแทรคเตอร์นะ

งั้น BMW320d 520d คือรถแทรคเตอร์ ว่างั้น  :P :P :P

ประมาณว่าครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: earthchanut ที่ มีนาคม 24, 2015, 16:02:50
ผมไม่อยากขับรถแทรคเตอร์นะ

เป็นไรมากเปล่า เห็นต้องตอบกระทู้ที่มีเครื่องดีเซลแบบนี้ตลอด ไม่ชอบมาต้องเข้ามาอ่าน เขียนๆไปแบบนี้ มันขว้างโลกนะ ค...
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ มีนาคม 24, 2015, 17:04:19
เครื่องดีเซลต้นทุนมันแพงครับ แค่ค่าเครื่องยนตร์เปล่าๆก็แพงกว่ากันแล้ว ไหนจะเทอโบอีก แถมมีคนที่ไม่ชอบดีเซลเลยก็มี หาว่าดังแบบรถกระบะมั่ง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดังอะไร

ขนาดนั้น อยู่ภายในรถนี่เงียบไม่ได้ยินเสียงเครื่องเลย  :D ยังไงความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปแล้ว เบนซิลก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว กินน้ำมันมากกว่านิดหน่อย 10-20%

แต่ราคาเริ่มต้นถูกกว่าเป็นแสนไม่มีความจำเป็นต้องเอาดีเซลมาขายเลยครับ คนที่จะซื้อดีเซลนี่ต้องอารมณ์เหนือเหตุผลล้วนๆ

ถึงห้องโดยสารอาจไม่ได้ยินเสียงเครื่องรถแทรคเตอร์ แต่ด้านนอกไปถึงไหนแล้ว   

อีกอย่างเสียงเครื่อง มันยังสู้ พวก rice burner ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปเทียบกับ slant six และ V8 
เสียงเครื่องมันไม่ได้ดังกว่าเบนซินเท่าไหร่เลย ไม่เชื่อไปเอาเครื่องวัดมาวัดเลยครับ วัดมาเลยดังกว่ากี่% เทียบCCที่ปริมาณเท่ากันนะครับ  เสียงเครื่องมันยังไงก็ไม่เพราะเหมือน6สูบ 8สูบอยู่แล้ว ถึงแม้ภายนอกเสียงมันจะดังกว่าเบนซินนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนรถญี่ปุ่นท่อดังแปะติ๊กเกอTRD Ralliart หรือเด็กแว๊นแน่ๆ และที่สำคัญไม่มันเหมือนสียงรถแทร๊คเตอร์ครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ มีนาคม 25, 2015, 08:28:14
เครื่องดีเซลต้นทุนมันแพงครับ แค่ค่าเครื่องยนตร์เปล่าๆก็แพงกว่ากันแล้ว ไหนจะเทอโบอีก แถมมีคนที่ไม่ชอบดีเซลเลยก็มี หาว่าดังแบบรถกระบะมั่ง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้ดังอะไร

ขนาดนั้น อยู่ภายในรถนี่เงียบไม่ได้ยินเสียงเครื่องเลย  :D ยังไงความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไปแล้ว เบนซิลก็คุ้มกว่าอยู่แล้ว กินน้ำมันมากกว่านิดหน่อย 10-20%

แต่ราคาเริ่มต้นถูกกว่าเป็นแสนไม่มีความจำเป็นต้องเอาดีเซลมาขายเลยครับ คนที่จะซื้อดีเซลนี่ต้องอารมณ์เหนือเหตุผลล้วนๆ

ถึงห้องโดยสารอาจไม่ได้ยินเสียงเครื่องรถแทรคเตอร์ แต่ด้านนอกไปถึงไหนแล้ว   

อีกอย่างเสียงเครื่อง มันยังสู้ พวก rice burner ยังไม่ได้เลย ไม่ต้องไปเทียบกับ slant six และ V8 
เสียงเครื่องมันไม่ได้ดังกว่าเบนซินเท่าไหร่เลย ไม่เชื่อไปเอาเครื่องวัดมาวัดเลยครับ วัดมาเลยดังกว่ากี่% เทียบCCที่ปริมาณเท่ากันนะครับ  เสียงเครื่องมันยังไงก็ไม่เพราะเหมือน6สูบ 8สูบอยู่แล้ว ถึงแม้ภายนอกเสียงมันจะดังกว่าเบนซินนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนรถญี่ปุ่นท่อดังแปะติ๊กเกอTRD Ralliart หรือเด็กแว๊นแน่ๆ และที่สำคัญไม่มันเหมือนสียงรถแทร๊คเตอร์ครับ

คุณ localgame ก็ตอบเองแล้วว่า เสียงมันดังกว่าและไม่เพราะได้ฟิลเท่ากับ เบนซิน  ในสายตาของหลายคนแค่นี้ก็สอบตกละครับ

ไม่ต้องถึงขั้นไปหาเครื่องมาวัด เอาง่ายๆ คุณหา เครื่องดีเซล แทรคเตอร์ ที่เงียบ นิ่ง เสียงได้ฟิล ใกล้เคียงกับบล็อกเบนซินเก่าๆ 2000 2500 3000 สามตัวนี้หน่อยแล้วค่อยมาว่ากัน

1G-GTE
1JZ-GTE
2JZ-GTE 

ส่วนที่เรียกพวกดีเซลว่า แทรคเตอร์ มันเป็นคำแซวล้อเลียน เหมือน ที่เรียก พวกสี่สูบวิ่งเต่า แต่ wannabe แต่งโลโก้ trd, ralliart ว่า rice-burner/ricer  ตุณลองอ่านเว็บ blog ต่างชาติดูแล้วจะรู้
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ มีนาคม 25, 2015, 12:38:16
ผมยอมรับนะครับว่าเสียงเครื่องดีเซลมันไม่ได้ฟิล แต่ถ้าเอาเครื่องJZมาเทียบเนี่ยเสียงมันก็ไม่ได้เพราะมากกว่ากันซักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าได้ฟิลก็ตาม ถ้าเอาดีเซลยุคใหม่อย่างE250CDI หรือ 520D มาเทียบเสียงเครื่องมันเงียบกว่าเครื่องJZแน่ๆ แล้วรถพวกดีเซลในรถหรูเค้าไม่ได้ขายเพื่อให้คุณเอาไปซิ่งแข่งกับใคร เอาง่ายๆให้คนมีอายุหน่อย หรือ สาวๆเลือก คงไม่มีใครอยากขึ้นเบนซ์ หรือ บีเอ็มเครื่องเจท่อโตนั่งแล้วไม่ได้ยินเสียงวิทยุหรอกนะครับ  เข้าใจนะครับว่าแทรคเตอร์เป็นคำแซว แต่ถ้าแซวทุกกระทู้นี่ใครไม่รู้เข้ามาอ่านจะหงุดหงิดเอาได้
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ มีนาคม 26, 2015, 08:27:22
ผมยอมรับนะครับว่าเสียงเครื่องดีเซลมันไม่ได้ฟิล แต่ถ้าเอาเครื่องJZมาเทียบเนี่ยเสียงมันก็ไม่ได้เพราะมากกว่ากันซักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าได้ฟิลก็ตาม ถ้าเอาดีเซลยุคใหม่อย่างE250CDI หรือ 520D มาเทียบเสียงเครื่องมันเงียบกว่าเครื่องJZแน่ๆ แล้วรถพวกดีเซลในรถหรูเค้าไม่ได้ขายเพื่อให้คุณเอาไปซิ่งแข่งกับใคร เอาง่ายๆให้คนมีอายุหน่อย หรือ สาวๆเลือก คงไม่มีใครอยากขึ้นเบนซ์ หรือ บีเอ็มเครื่องเจท่อโตนั่งแล้วไม่ได้ยินเสียงวิทยุหรอกนะครับ  เข้าใจนะครับว่าแทรคเตอร์เป็นคำแซว แต่ถ้าแซวทุกกระทู้นี่ใครไม่รู้เข้ามาอ่านจะหงุดหงิดเอาได้

ถ้ารถใหม่เทียบกัน คุณ localgame ลองไปเทียบ C300 Bluetec tractor กับ C300 4-matic (241 ponies) ดู ปรากฏว่า C300 4-matic เบนซินทั้งเงียบกว่าโดยรวมและแรงกว่า   

ยังไม่เข้าใจว่า AD ไทยจะขาย C300 รถดีเซล ค่าตัวมากถึงสามล้านเพื่อ? ในเมื่อปีหน้าภาษีงี่เง่า 220 ม้าก็ไม่มีแล้ว  C300 ตัวเบนซินดูเจ๋งกว่าเยอะครับ
หัวข้อ: Re: คิดว่าอีกกี่ปีบ้านเราจะมีเครื่องยนต์ดีเซลในรถเก๋งเป็นมาตรฐานครับ
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ มีนาคม 26, 2015, 09:16:41
ผมยอมรับนะครับว่าเสียงเครื่องดีเซลมันไม่ได้ฟิล แต่ถ้าเอาเครื่องJZมาเทียบเนี่ยเสียงมันก็ไม่ได้เพราะมากกว่ากันซักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าได้ฟิลก็ตาม ถ้าเอาดีเซลยุคใหม่อย่างE250CDI หรือ 520D มาเทียบเสียงเครื่องมันเงียบกว่าเครื่องJZแน่ๆ แล้วรถพวกดีเซลในรถหรูเค้าไม่ได้ขายเพื่อให้คุณเอาไปซิ่งแข่งกับใคร เอาง่ายๆให้คนมีอายุหน่อย หรือ สาวๆเลือก คงไม่มีใครอยากขึ้นเบนซ์ หรือ บีเอ็มเครื่องเจท่อโตนั่งแล้วไม่ได้ยินเสียงวิทยุหรอกนะครับ  เข้าใจนะครับว่าแทรคเตอร์เป็นคำแซว แต่ถ้าแซวทุกกระทู้นี่ใครไม่รู้เข้ามาอ่านจะหงุดหงิดเอาได้

ถ้ารถใหม่เทียบกัน คุณ localgame ลองไปเทียบ C300 Bluetec tractor กับ C300 4-matic (241 ponies) ดู ปรากฏว่า C300 4-matic เบนซินทั้งเงียบกว่าโดยรวมและแรงกว่า   

ยังไม่เข้าใจว่า AD ไทยจะขาย C300 รถดีเซล ค่าตัวมากถึงสามล้านเพื่อ? ในเมื่อปีหน้าภาษีงี่เง่า 220 ม้าก็ไม่มีแล้ว  C300 ตัวเบนซินดูเจ๋งกว่าเยอะครับ
อย่างที่ผมบอกไปแล้วครับ รถดีเซลเสียงมันดังกว่าเบนซินถ้าเทียบรถในปีเดียวกัน แต่ปัจจุบันยังมีภาษีที่วัดจากแรงม้าอยู่ และ รถไฮบริดภาษีมันต่ำกว่ารถที่ไม่มี การที่คุณจะทำราคามาแข่งกับเกรย์ได้

ถ้าไม่ใช้ตรงนี้ช่วยจะให้ไปลดcostส่วนอื่น หรือเอากำไรน้อยลง ดูไปก็จะไม่คุ้ม แถมยังชูความประหยัดมาแข่งกับเจ้าอื่นๆได้อีกด้วย ยังไงตอนนี้diesel hybridอาจจะเป็นคำตอบมากที่สุดในเรื่องการทำราคา

รอดูปีหน้าหรือปีต่อๆไปอาจจะมีเครื่องใหม่ๆน่าสนใจกว่านี้มาทำตลาดมากขึ้น