Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 09:49:43

หัวข้อ: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 09:49:43
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  

หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: delete ที่ เมษายน 16, 2015, 10:07:26
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 10:14:14
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Mortred ที่ เมษายน 16, 2015, 10:30:59
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 10:39:54
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน

274 g/km ครับ

http://www.autoexpress.co.uk/ford/ranger/18588/ford-ranger-wildtrak (http://www.autoexpress.co.uk/ford/ranger/18588/ford-ranger-wildtrak)
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: H3T ที่ เมษายน 16, 2015, 10:54:19
 ที่จริงถ้าไม่มีเพดานความจุ เอาแค่นับ Co2 เป็นขั้นบรรไดไปก็ได้ แบบ EU Emission
  Mustang V8 ที่จำหน่ายใน EU จึงต้องจูนดาวน์ลงมาเพราะต้องการให้ Co2 ต่ำกว่า 300 g/km นั่นเอง
   US version V8 Co2 = 306 g/km
   EU version V8 Co2 = 289 g/km

 
แล้วอย่างเรนเจอร์ 3.2 co2 emission อยู่ที่เท่าไหร่กัน

 อ้างอิงจาก Australia จะตรงกับบ้านเรามากกว่า เพราะโรงงานเดียวกัน ( ส่วนที่ยุโรปมาจากโรงงานอาฟริกาใต้ )
 Co2 = 254 g/km Auto tranmission
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: delete ที่ เมษายน 16, 2015, 11:05:55
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 11:32:58
ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  



ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Blackforlife ที่ เมษายน 16, 2015, 11:33:34
ผมว่าแค่นี้ก็ถือว่าดีมากๅแล้วครับ ถ้าเทียบกับของเดิม รถแรงๆราคาโดนๆได้จับต้องกันได้บ้างแล้ว
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: jomyoot ที่ เมษายน 16, 2015, 11:44:10
แล้วรถบรรทุก 6ล้อ 10สิบ รถพ่วง รถ18ล้อ รถสารพัดรถ ความจุเกิน3000เยอะแยะ จะจัดการยังไง
แล้วพอจัดการไป มันจะส่งผลกระทบต่อภาคขนส่งด้วยไหม
แล้วข้าวของเครื่องใช้ที่แพงอยุ่แล้ว จะแพงขึ้นไปอีกไหมครับ

แล้วเกี่ยวกับAEC รถวิ่งประเทศไหนก็ได้ ก็รอซื้อรถจากลาว จากพม่าที่ถูกกว่าดีไหมครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: top3245 ที่ เมษายน 16, 2015, 12:03:13
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: delete ที่ เมษายน 16, 2015, 13:25:04
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf (http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf)

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ 


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 13:48:55
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf (http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf)

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

ผมสงสัยว่า Accord 3.5, Camry 3.5, Passat 3.6, Impala SS, Taurus SHO, Fortuner 4.0 นี่มันรถฟุ่มเฟือยหรอครับ   

เมื่อคุยเรื่องภาษีสุดโหดของไทยแลนด์ มันจะเชื่อมโยงไปที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยถึงกำลังเสีย competitiveness ไม่ใช่มาจาก over-protectionism ให้ infant industry อายุ 40 ปี รึ  
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: delete ที่ เมษายน 16, 2015, 14:22:55
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf (http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf)

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ  


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว

ผมสงสัยว่า Accord 3.5, Camry 3.5, Passat 3.6, Impala SS, Taurus SHO, Fortuner 4.0 นี่มันรถฟุ่มเฟือยหรอครับ   

เมื่อคุยเรื่องภาษีสุดโหดของไทยแลนด์ มันจะเชื่อมโยงไปที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยถึงกำลังเสีย competitiveness ไม่ใช่มาจาก over-protectionism ให้ infant industry อายุ 40 ปี รึ  

ขึ้นชื่อว่า รถ ที่มีล้อ (ยกเว้นจักรยาน มั้ง) ก็ถูกตราหน้าจากรัฐบาล ว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยู่แล้วล่ะครับ แต่จ่ายมากจ่ายน้อย แค่นั้น

ส่วนเรื่องการปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ มันก็มีส่วนหนึ่ง การยกเลิกภาษี มันก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้หรอก รถส่งออกก็ผลิตใส่เครื่อง4.0 ลิตร ส่งขายได้
ไม่เกี่ยวกัน
ตราบใดยังมีปัญหาอื่นๆหมกซุกไว้ใต้พรมอีกเพียบ ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ไม่มีทางดีขึ้นทันตาเมื่อลดภาษีหรอกครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 16, 2015, 14:30:02
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: djunsri ที่ เมษายน 16, 2015, 15:10:28
ผมว่าค่ายรถคงปรับตัวครับ  เช่นคิดว่าคงมีเครื่องเล็กพวงเทอร์โบ   เช่น d segment อาจใช่เครื่อง1500 +turbo หรือ2000+turbo  ภาษีอาจไม่แพง และราคาอาจถูกลงค่ับ เป็นการบังคับให้เราได้ใช้เครื่องพ่วงเทอร์โบครับ  ผมว่าปีหน้าเป็นต้นไปคงจะหมดยุคเครื่อง na สำหรับรถใหม่แล้วครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 15:32:26
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ

ง่ายๆ สั้นๆ คุณไม่อยากใช้รถ คุณภาพ สมรรถนะ ดีเหมือนอย่างโลกที่หนึ่งเค้าใช้กันรึ รึคุณชอบทนให้ car maker มันเอาเปรียบ  ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนี่ เป็นสิทธิ์เสรีภาพของผู้ซื้อครับ อยากได้แรง บล็อกใหญ่ มีเงินก็ซื้อเอา   คุณอยากได้ ดีเซล เสียงดัง ก็ซื้อ  ส่วนที่คุณอ้างว่าแพง กลับไปดูราคารถนอกซะใหม่ครับ ไปลองดูตัวอย่างตัวอย่าง SLK350, SLK55AMG เอา   

ผมสังเกตว่าคำถามประมาณนี้จะมาจากพวกอวย over-protectionism ซึ่งผมเคยวิเคราะห์ชี้ไปแล้วว่า เป็นต้นเหตุของ การเสื่อม competitiveness ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศกะลังพัฒนาแห่งนี้ 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Pui Zippe ที่ เมษายน 16, 2015, 16:05:47
ต่างประเทศรถถูก ภาษีอย่างอื่นแพงเช่น ประกัน ต่อภาษีประจำปี
ประเทศไทยรถแพง แต่ภาษีอย่างอื่นถูก  สวนทางกัน

เมืองไทยเป็นฐานผลิตรถยนของค่ายยุ่น  ถ้าเกิดรถนำเข้าราคาใกล้เคียงกับรถผลิตภายในประเทศ คงไม่ใครซื้อรถในประเทศเป็นแน่
อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น  คนตกงาน บลาๆๆ

ฉนั้นยังไงก็ต้องหาทางตั้งกำแพงภาษีให้กีดกันรถนำเข้าบ้างไม่มากก็น้อย

เชื่อว่าทุกคนอยากได้รถ CC เยอะตอนเดินทางไกลหรือขับหนีตอนมีคนมาจี้ตูด  แต่บางอารมณ์ ก็อยากได้รถ CC น้อยๆวิ่งไปทำงานไปตลาดในเมืองรถติดๆ

ตัวอย่างง่ายๆฝรั่งยังอิจฉาบ้านเรา กระบะถูกกว่าบ้านเขามาก เพราะภาษีแค่ 3% ที่โน่นใครมีกระบะถือว่ามีอันจะกิน หรือทำฟาร์ม ทำธุรกิจ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 16:37:32
ต่างประเทศรถถูก ภาษีอย่างอื่นแพงเช่น ประกัน ต่อภาษีประจำปี
ประเทศไทยรถแพง แต่ภาษีอย่างอื่นถูก  สวนทางกัน

เมืองไทยเป็นฐานผลิตรถยนของค่ายยุ่น  ถ้าเกิดรถนำเข้าราคาใกล้เคียงกับรถผลิตภายในประเทศ คงไม่ใครซื้อรถในประเทศเป็นแน่
อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น  คนตกงาน บลาๆๆ

ฉนั้นยังไงก็ต้องหาทางตั้งกำแพงภาษีให้กีดกันรถนำเข้าบ้างไม่มากก็น้อย

เชื่อว่าทุกคนอยากได้รถ CC เยอะตอนเดินทางไกลหรือขับหนีตอนมีคนมาจี้ตูด  แต่บางอารมณ์ ก็อยากได้รถ CC น้อยๆวิ่งไปทำงานไปตลาดในเมืองรถติดๆ

ตัวอย่างง่ายๆฝรั่งยังอิจฉาบ้านเรา กระบะถูกกว่าบ้านเขามาก เพราะภาษีแค่ 3% ที่โน่นใครมีกระบะถือว่ามีอันจะกิน หรือทำฟาร์ม ทำธุรกิจ

ตอนนี้เค้าเริ่มย้ายแล้วครับ การเสื่อม competitiveness ก็มาจาก การมัวแต่ over-protectionism มาตลอด 40 ปี โดยไม่สนใจ value creation ในอุตสาหกรรมนี้

อย่าลืมว่าโลกที่หนึ่งเค้ารายได้สูงกว่าโลกที่สามแบบไทยนะครับ ดังนั้นภาษีรายได้และอื่นๆจึงสูงกว่า

ส่วนเรื่องกระบะ  เค้าเล่น Full-size อย่าง F-150, silverado, Tundra, ram  หลายตัวเครื่อง V6 V8 บล็อกเดียวกับพวก muscle car ช่วงล่างก็ multi-link ไม่เหมือนกระบะดีเซล เสียงดังโรงสี  ช่วงล่างแหนบที่ไทยทำนะครับ   ผมไม่ภูมิใจที่กระบะดีเซลแหนบเราถูกกว่าเค้าหรอกนะ แต่อิจฉาที่เค้ามีกระบะเบนซินเจ๋งๆใช้กัน แม้ราคาใันจะแพงกว่า muscle car
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 16, 2015, 17:08:01
รถเกิน3000cc จำเป็นรึเปล่า? เครื่อง2500cc วิ่งแรงไม่พอ? แรงแค่ไหนถึงจะพอ? เครื่องใหญ่ราคาแพงต้องเสียเงินจ่ายให้ต่างชาติเยอะผลดีต่อประเทศเรารึเปล่า? ทำไมต้องกระตุ้นยอดขายรถให้เพิ่มมากขึ้น? ถามคุณIvy Modernistครับ

ง่ายๆ สั้นๆ คุณไม่อยากใช้รถ คุณภาพ สมรรถนะ ดีเหมือนอย่างโลกที่หนึ่งเค้าใช้กันรึ รึคุณชอบทนให้ car maker มันเอาเปรียบ  ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายอะไรนี่ เป็นสิทธิ์เสรีภาพของผู้ซื้อครับ อยากได้แรง บล็อกใหญ่ มีเงินก็ซื้อเอา   คุณอยากได้ ดีเซล เสียงดัง ก็ซื้อ  ส่วนที่คุณอ้างว่าแพง กลับไปดูราคารถนอกซะใหม่ครับ ไปลองดูตัวอย่างตัวอย่าง SLK350, SLK55AMG เอา  

ผมสังเกตว่าคำถามประมาณนี้จะมาจากพวกอวย over-protectionism ซึ่งผมเคยวิเคราะห์ชี้ไปแล้วว่า เป็นต้นเหตุของ การเสื่อม competitiveness ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศกะลังพัฒนาแห่งนี้  

รถที่มีคุณภาพ และ สมรรถนะของคุณหมายถึงอะไรครับ ปลอดภัย เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือ เน้นเครื่องแรงอย่างเดียว ถ้าคุณเปิดโอกาศให้รถเครื่องใหญ่ๆเข้ามาขายในราคาถูกมากขึ้น แน่ๆเลยหลายคนจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเพื่อซื้อรถเครื่องใหญ่ เงินในบ้านเราต้องจ่ายให้ต่างประเทศมากขึ้น  ผมไปดูราคาที่ต่างประเทศมาแล้วนะครับ SLK200 กับ SLK 55 คิดเป็นเงินไทยแล้วราคาต่างกันประมาณ1ล้านบาท ถ้าคุณคิดว่าหนึุ่งล้านมันถูกภาษีรถยนตร์แค่นี้คุณคงไม่เอามาคิดมากหรอกใช่มั้ยครับ รถแรงกินน้ำมันมากขึ้น นึกสภาพรถแรงๆจอดติดไฟแดงในเมืองนานๆ ไม่อยากจะคิดถึงมลพิษที่มากขึ้น กับ ค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เข้าใจครับว่าคนไทยมีตัง แต่เราจำเป็นหรือที่ต้องสนับสนุนการนำเข้าน้ำมัน+รถเครื่องใหญ่เพิ่มมากขึ้นหรอครับ แน่ๆเลยมันส่งผลในแง่ลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยตรง รถปัจจุบันสิ่งอำนวยความสะดวกกับระบบรักษาความปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว รถบ้านเรามันไม่ดีตรงไหน และหน้าที่หลักในมุมมองของรัฐไม่ได้เอามาซิ่ง แต่มีเพื่อเอามาใช้งานในการขนส่งเท่านั้น
และอีกอย่างรถที่ผมซื้อใช้ก็พอเพียงต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว และผมมองไม่เห็นความคุ้มค่าในการเสียเงินเพิ่มเพื่อเอาสมรรถณะสูงๆมาจอดติดไฟแดงในเมือง
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: g_abac ที่ เมษายน 16, 2015, 17:18:07
ใครคิดไงผมไม่รู้ แต่ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ

กม ซ้ำซ้อน ปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: top3245 ที่ เมษายน 16, 2015, 19:48:53
ใครคิดไงผมไม่รู้ แต่ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ

กม ซ้ำซ้อน ปกป้องผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ
อันที่จริงความหมายที่ถูกต้อง น่าจะเป็น "ปกป้องผู้ผลิตชิ้นส่วนรถในประเทศ" นะครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: top3245 ที่ เมษายน 16, 2015, 19:50:23
อยากทราบเช่นกันครับ

พวกรถ 10 ล้อ ความจุเป็น 10,000 -16,400 cc. 360-750 แรงม้า เสียภาษีนำเข้าเท่าไหร่ครับ แล้วเสียภาษีสรรพสามิตรเท่าไหร่(จะถูกเหมือนรถกระบะไหม 3%)

ที่ผมพอทราบถ้านำเข้าจาก อินเดีย เจอภาษีนำเข้า 40% เกาหลีใต้ 16%
น่าจะอยู่ที่ 40%  ตามนี้

http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf (http://www.siblor.com/image/02-25-14.pdf)

ผมสงสัยว่าทำไม เค้ายังจ้องหวด พวกรถความจุเกิน 3000 ซีซี ในเมื่อ ใช้ค่า CO2 มาเป็นเกณฑ์ใหม่แล้ว  ทำแบบนี้ ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ตามสไตล์ไทยแลนด์

จริงๆแล้วเป็นความคิดสุดโบราณกาลที่มองว่า รถความจุเกิน 3000 ต้องกินน้ำมัน ปล่อย CO2 เยอะทุกคัน ลองไปดูพวก mpg, CO2 emission ของพวกรถบล็อกเกิน 3000 ซีซี ที่มีขายในโลกที่หนึ่งดูได้ครับ 


ขอข้อมูลสนับสนุนความเห็นหน่อยครับ
มันอะไร เท่าไหร่ ยังไง ผมตามไม่ทัน

ยกตัวอย่าง SLK350 กับ SLK55AMG ตัวปัจจุบัน

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

แต่โครงสร้างภาษีซ้ำซ้อนโบราณกาลแบบไทยแลนด์ ทำให้โดนสรรพสามิตไป 50% แทนที่ควรจะอยู่ที่ 30-35%
อ้างอิงภาพนี้
(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=2511999)

จริงๆ กม.สรรพสามิตมันน่าจะมีสาระสำคัญอยู่ 2 แบบ
1. มลพิษ ใครก่อมลพิษสูง ก็ต้องจ่ายภาษีสุง
กับ2. ใครฟุ่มเฟือยเกิน ก็ต้องจ่ายภาษีสูง
เพราะรถยนต์นั่งเกิน 3000CC ก็ยังคงถูกมองว่า เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยอยุ่ ซึ่งตรงนี้มันแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนละแนวทางกับปัญหามลพิษ
ถ้าอยากได้ภาษีถูกลง ก็ต้องหันมาเล่นรถที่ต่ำกว่า 3000CCล่ะครับ

ซึ่งผมมองว่า เหตุผลของภาษี มันก็พอรับฟังได้นะครับ
ปอลิง กม.ใหม่ เอาแรงม้าออกไปแล้วด้วย(ของเดิมถ้าเกิน 220 แม้จะไม่ถึง3000CCก็ไม่ได้)
ซึ่งผมมองว่าตรงนี้ น่าจะพอช่วยให้รถแรงๆ ซีซีน้อยๆ จับต้องได้มากขึ้น

ที่เค้าจะอ้าง แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ นี้ข้ออ้างเดิมๆ อ้างมาตั้งแต่ ภาษีงี่เง่า 220 ม้าละครับ เคยแก้ปัญหาได้ซะที่ไหน  ส่วนทัศนคติ รถเกิน 3000 ซีซีเป็นฟุ่มเฟือยนี้ ถือว่าล้าสมัยเอามากๆครับ

ล้าสมัย ตรงไหนครับ
มีฐานะมาก ก็จ่ายภาษีมาก มันก็เรื่องธรรมดา
ตราบใดที่ข้ออ้างนี้มันก็ยังใช้ได้อยู่

แล้วสุดท้าย มันก็จะกลับมาคำถามเดิมๆว่า
เราต้องเสียภาษีสรรพสามติรถยนต์ทำไม ทำไมรถยนต์ตปท.ถูกกว่า
ซึ่งก็คุยกันไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: seamonkey ที่ เมษายน 16, 2015, 19:53:04
ผมสงสัยว่าประเทศผู้ผลิตรถรายใหญ่อย่าง USA แอฟริกาใต้ เยอรมัน เชคโกสโลวเกีย UK มีการกีดกันด้วยกำแพงภาษีสูงแบบบ้านเราไหมครับ

ผมแค่ไปดูราคารถในหนังสือ Topgear ของแอฟริกาใต้ พวกรถนำเข้าราคาก็ไม่ได้ต่างกันมากแบบที่ประเทศเราเป็น เลยสงสัยว่าบริษัทรถในประเทศเหล่านี้เลื้ยงตัวเองได้อย่างไร
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Koong ที่ เมษายน 16, 2015, 20:59:11
ที่ผมนึกออก ต่างประเทศที่ใช้รถ คันโตๆ เครื่องใหญ่  ก็เห็นจะมีแต่ อเมริกา ประเทศเดียวนะครับ   
เขามีน้ำมัน เขารวย เราจะไปฟุ่มเฟือยตามเขาทำไม   

ญี่ปุ่น  หรือยุโรปหลายๆประเทศ  เขาก็ไม่ได้ใช้รถเครื่องใหญ่ๆแบบนั้นสักหน่อย

รถเครื่องเล็กคุณภาพดีๆกผ้มีตั้งเยอะ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: scotch_fillet ที่ เมษายน 16, 2015, 23:13:52
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Ji.Cl. ที่ เมษายน 16, 2015, 23:17:00
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 16, 2015, 23:53:13
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km 

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: delete ที่ เมษายน 17, 2015, 00:03:45
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม

ตรรกะแบบนี้ มันก็จะต่างกันตรงไหน
ระหว่าง กระบะ 4 ประตู 3200cc co2ไม่เกิน200 เสียภาษีแค่ 12%
กับ เก๋งเล็กเครื่อง 1500cc co2ไม่เกิน200 เช่นกัน เสียภาษี 40% เติมe85เสีย 35%
จริงไหมล่ะครับ แง่นี้ มันโคตรจะไม่เป็นธรรมยิ่งกว่าที่ท่านยกตัวอย่างมาเลย
เห็นด้วยเลยครับที่จะจัดระเบียบภาษีกันใหม่
แต่ต้องทำทุกรุ่นนะครับ ไม่ใช่ว่าช่วยแคารถแบบใดแบบนึง
เอาเป็นแบบเดียวกันไปเลย แฟร์ๆ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 00:10:52
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น  
ขอแย้งอีกเรื่องนะครับ คุณเอารถคนละระดับที่ต่างกันสุดขั้วมาวัดไม่ได้นะครับ เบนซ์แบรนด์หรูราคาขายแพงกว่าเทคโนโลยีดีกว่ายิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วslkมันน้ำหนักเบากว่าvigoตั้งเยอะ มันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ ใจจริงผมก็ไม่มีปัญหากับกฏหมายนี้ แต่แค่ไม่อยากสนับสนุนให้คนไทยมีค่านิยมใช้ของฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ซื้อแค่พอขับก็พอ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: extazy ที่ เมษายน 17, 2015, 00:29:29
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ



หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: koruru ที่ เมษายน 17, 2015, 04:49:29
อย่าว่าแต่ภาษีรถยนต์เลยครับ
ราคาน้ำมันดีเซล ราคาแก๊สLPG ราคาน้ำมันเบนซิน ก็แบบเดียวกันเลย ;D
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 08:23:44
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ





จากประสบการณ์อยู่ใน ลอนดอนและสวิสเซอร์แลนด์หลายปี  พวกเค้าชอบรถขนาดเล็กกว่า พวก yank จริง แต่ก็เน้น performance ไม่แพ้ครับ  พวก AMG, M วิ่งกันเพียบ  ในสวิสเองก็มีพวกรถ murica อยู่เยอะพอสมควร 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 08:29:02
3000 CC มันฟุ่มเฟือยตรงที่มัน ซดน้ำมันเยอะกว่าน่ะซิครับ

ในประเทศที่นิยมเคครื่องใหญ่ๅ ผมก็เห็นแต่เมกา และ ตะวันออกกลางที่ พื้นฐานด้านพลังงานเขาแตกต่างจากบ้านเราครับ

เมืองไทยประเทศใหญ่กว่า California ติ้ดนึง จะมีซักกี่คนที่ต้องขับรถเดินทางไกลๆในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่กันเชียว
แม้แต่ในเมกาเอง เทรนด็เรื่องการ down size เครื่องยนตร์ในรถ mass production ก็เริ่มมาแล้ว

ผมว่าคุณ จขกท. ลองพิจารณาประเทศในยุโรปบ้างว่า ความนิยมรถขนาดใหญ่ และ เกิน 3000 CC มีเยอะขนาดไหน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เมืองไทย เป็นประเทศที่ยังต้องอาศัยภาษีทางอ้อม เช่น VAT, ภาษีสรรพสาทิต มาใช้ในการพัฒนาประเทศน่ะครับ
เพราะงั้นการเก็บภาษีสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ยังจำเป็นอยู่มากๆครับ

ส่วนเรื่อง Losing competitiveness และ over-protectionism ผมกลับมองว่าส่วนนึงมันอยู่ที่คุณภาพผู้บริโภคบ้านเราด้วยครับ


ดูตัวอย่าง Mercedes ที่ผมให้ไปด้านบนนะครับ

SLK350 ใช้เครื่อง V6 3.5l  39.8 mpg  ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 167 g/km
SLK55AMG ใช้เครื่อง Small block V8 5.5l  33.6mpg ขณะที่ co2 emission อยู่เพียง 195 g/km  

เทียบกับดีเซล เสียงดัง คานแข็งแหนบ  ขวัญใจไทยแลนด์

Vigo 3.0  ใช้เครื่องแทรคเตอร์ 3.0l ทำได้ 32.8-36.7MPG ขณะที่ co2 emission 227g/km

ผมสงสัยว่า จริงๆแล้ว ระหว่าง เบนซินบล็อก 3000+ กับ พวกกะบะดีเซลเสียงดัง แหนบ ใครประหยัดกว่ากัน  เพราะเห็น myth ที่อ้างว่าดีเซลประหยัดสุดๆ ปล่อยไอเสียน้อย ไม่จริงซะแล้วมั้ง

ส่วนคำอ้างของพวกรัฐ ว่าต้องปกป้องสุดโต่ง เก็บภาษีหนักๆนี้ฟังไม่ขึ้นฮะ อ้างมา 40 กว่าปี จนตอนนี้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มย้ายไปที่อื่น  
ขอแย้งอีกเรื่องนะครับ คุณเอารถคนละระดับที่ต่างกันสุดขั้วมาวัดไม่ได้นะครับ เบนซ์แบรนด์หรูราคาขายแพงกว่าเทคโนโลยีดีกว่ายิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่า แล้วslkมันน้ำหนักเบากว่าvigoตั้งเยอะ มันเทียบกันไม่ได้หรอกครับ ใจจริงผมก็ไม่มีปัญหากับกฏหมายนี้ แต่แค่ไม่อยากสนับสนุนให้คนไทยมีค่านิยมใช้ของฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ซื้อแค่พอขับก็พอ

เทียบกันเรื่องเครื่องยนต์ล้วนๆ ต้องการให้เห็นภาพชัดๆ ผมเลยเอาตัวอย่างให้เห็น ดีเซลที่หลายคนอวยว่าประหยัดสุดๆ มาเทียบกับเบนซินบล็อกใหญ่ที่พวก over-protectionsim เชื่อว่ากินจุมาเทียบกัน  ผลออกมาแบบนี้ คงกระจ่างดีนะครับว่า ดีเซลที่พวกคุณอวยกันสุดๆ มันใช้น้ำมันมากกว่าหรือเท่าๆกับพวกเบนซินบล็อกโต แถมปล่อยมลพิษมากกว่าอีก  ส่วนที่ราคากะบะแหนบมันถูกกว่าก็เพราะ subsidy ล้วนๆ

ถ้าคุณอยากได้ตัวอย่างใกล้เคียงกันมากกว่านี้ เดี่ยวจัดให้ได้ครับ

Fortuner 3.0 D4D vs Fortuner 4.0V6

Fortuner 3.0 ดีเซล 25.9-26.8 mpg  Co2 emission 228g/km

Fortuner 4.0 เบนซิน ทำได้ 30.6-35.4 mpg  Co2 emission 309g/km

ถ้ามอง การกินน้ำมันอย่างเดียวล้วนๆเหมือนที่คุณ localgame โต้มาตลอดในเม้นบนๆ  ดีเซลแพ้ครับ 

ข้อสรุป ดีเซลไม่ใช่ประหยัดกว่าเบนซินบล็อกใหญ่  และเผลอๆอาจพ่นควันพิษมากกว่าเบนซินบล็อกใหญ่หลายๆคันอีก ฉะนั้นความเชื่อผิดๆในไทยแลนด์นี้โดน demyth เรียบร้อยซะแล้น 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 08:35:13
ข้อนี้ผมเห็นเหมือนคุณ Ivy นะครับ ด้วยเรตภาษีแบบนี้

เครื่อง 3.5 CO2=190g/km เติม E85 จ่ายภาษี 50

เครื่อง 2.8 CO2=500g/km เติม E10 จ่ายภาษี 40

ขึ้นชื่อว่าต่ำกว่าสามพัน ห่วยแค่ไหนก็จ่ายมากสุดสี่สิบ

แต่ถ้าขึ้นชื่อเป็นสามพันบวก เทพแค่ไหน สะอาดยังไง ประหยัดอย่างไร ก็จ่ายห้าสิบ ทำไม???

แบบนี้เอาเครื่องรุ่นเก่าๆ เน่าๆ แต่เครื่องเล็กมาใช้ ยังเสียภาษีน้อย

กว่าเครื่องใหม่ๆ ไฮเทค แต่เกินสามพันซีซี แบบนี้ผมว่าไม่ถูกต้องในแง่การพัฒนาตลาดรถไทย

ผมว่าส่วนอื่นก็พอรับได้นะครับ แต่การกำหนดเรตห้าสิบ ผมว่าควรใช้ CO2 แทน

เช่น CO2 เกิน 250 หรือ 300 ให้จ่าย 50 แทนที่จะล็อกที่ 3.0 ลิตร จะดีกว่าครับ เราจะเก็บภาษีแพงๆ

กับความฟุ่มเฟือยที่ถูกจุด พวกนี้ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยโลหะ แต่ฟุ่มเฟือยปิโตรเลียม

ตรรกะแบบนี้ มันก็จะต่างกันตรงไหน
ระหว่าง กระบะ 4 ประตู 3200cc co2ไม่เกิน200 เสียภาษีแค่ 12%
กับ เก๋งเล็กเครื่อง 1500cc co2ไม่เกิน200 เช่นกัน เสียภาษี 40% เติมe85เสีย 35%
จริงไหมล่ะครับ แง่นี้ มันโคตรจะไม่เป็นธรรมยิ่งกว่าที่ท่านยกตัวอย่างมาเลย
เห็นด้วยเลยครับที่จะจัดระเบียบภาษีกันใหม่
แต่ต้องทำทุกรุ่นนะครับ ไม่ใช่ว่าช่วยแคารถแบบใดแบบนึง
เอาเป็นแบบเดียวกันไปเลย แฟร์ๆ

ถ้าเล่นกันแบบแฟร์ๆ  กะบะดีเซลแหนบ  จะโดนภาษีหนักกว่า เบนซินบล็อกใหญ่อีกนะครับ  เพราะพ่นควันพิษเยอะกว่า  co2 เกิน 200g/km ไปไกล แถมอาจใช้น้ำมันพอๆกับ เบนซินบล็อกโตอีก
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: 2k ที่ เมษายน 17, 2015, 08:58:45
แม้ใครๆจะบอกว่าประเทศไทยภาษีรถยนต์แพงแต่ภาษีด้านอื่นๆถูกมาชดเชยแทนแต่ผมมองว่าภาษีด้านอื่นก็ไม่ได้ถูกถึงขั้นที่จะชดเชยเรื่องราคารถที่แสนแพงเลยนะครับ ไหนจะมีเรื่องความเหลื่อมล้ำของการจ่ายภาษีที่คนรวยมีช่องทางหลบหลีกภาษีได้มากภาระการจ่ายภาษีตกเป็นของชนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่มาทับถมเสียอีก  :-X ทุกวันนี้ราคาอาหารก็ไม่ได้ถูกเลยกินอาหารนอกบ้านในราคาทั่วๆไปตอนนี้ต้องอยู่ที่ระดับ50บาทเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่รายได้ของคนในประเทศส่วนใหญ่กลับไม่ได้สูงขึ้นตามราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้น ไหนจะโดนกระทืบซ้ำด้วยการถูกลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีก.....ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่ผมรู้สึกว่าเกี่ยวนะ  ;D

ถ้าเลือกได้ผมขอราคารถยนต์ที่มันโดนภาษีสมเหตุสมผลแล้วมาอัดตอนจ่ายค่าประกันและต่อทะเบียนรถยนต์ ค่าภาษีรถเข้าเมืองไปเลยดีกว่า คนไทยก็ต้องวางแผนเลือกซื้อรถให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่เราก็จะมีทางเลือกรถที่ดีขึ้นให้เลือกมากมายอีกเยอะแยะ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการกีดกันเอื้อให้รถญี่ปุ่นทำยอดขายเยอะๆได้เป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องรอให้รถญี่ปุ่นที่นานๆทีจะหันมาใส่ระบบความปลอดภัยที่ครบครันแย่งลูกค้ากันที่นึง ม่านนิรภัยแอร์แบกรอบคันมีมาให้ทีไรก็แทบจะดีใจกันยกใหญ่ทั้งที่มันควรจะป็นอุปกรณ์ที่ใส่มาให้เป็นมาตรฐานแท้ๆ   :-\  ถ้าหากว่ารถญี่ปุ่นที่ขายในตอนนี้ที่ราคาค่าตัวห่างจากรถยุโรปสองสามเท่าแบบนี้ แต่มีระบบต่างๆพร้อมแบบที่มีในการทดสอบชน euro N cap มันคงไม่ทำให้รู้สึกเหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่ แต่นี่แค่คานกันกระแทกในกันชนหลังในรถขนาดเล็กยังถอดทิ้งลดต้นทุนเลยฮือๆๆๆ  :'(
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 09:07:42
แม้ใครๆจะบอกว่าประเทศไทยภาษีรถยนต์แพงแต่ภาษีด้านอื่นๆถูกมาชดเชยแทนแต่ผมมองว่าภาษีด้านอื่นก็ไม่ได้ถูกถึงขั้นที่จะชดเชยเรื่องราคารถที่แสนแพงเลยนะครับ ไหนจะมีเรื่องความเหลื่อมล้ำของการจ่ายภาษีที่คนรวยมีช่องทางหลบหลีกภาษีได้มากภาระการจ่ายภาษีตกเป็นของชนชั้นกลางเป็นส่วนใหญ่มาทับถมเสียอีก  :-X ทุกวันนี้ราคาอาหารก็ไม่ได้ถูกเลยกินอาหารนอกบ้านในราคาทั่วๆไปตอนนี้ต้องอยู่ที่ระดับ50บาทเป็นอย่างต่ำแล้ว แต่รายได้ของคนในประเทศส่วนใหญ่กลับไม่ได้สูงขึ้นตามราคาสินค้าต่างๆที่ปรับตัวสูงขึ้น ไหนจะโดนกระทืบซ้ำด้วยการถูกลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอีก.....ไม่รู้เกี่ยวกันไหมแต่ผมรู้สึกว่าเกี่ยวนะ  ;D

ถ้าเลือกได้ผมขอราคารถยนต์ที่มันโดนภาษีสมเหตุสมผลแล้วมาอัดตอนจ่ายค่าประกันและต่อทะเบียนรถยนต์ ค่าภาษีรถเข้าเมืองไปเลยดีกว่า คนไทยก็ต้องวางแผนเลือกซื้อรถให้เหมาะสมกับตัวเองเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้แต่เราก็จะมีทางเลือกรถที่ดีขึ้นให้เลือกมากมายอีกเยอะแยะ แต่ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็รู้สึกเหมือนเป็นการกีดกันเอื้อให้รถญี่ปุ่นทำยอดขายเยอะๆได้เป็นฝ่ายเดียวเท่านั้น แล้วเราก็ต้องรอให้รถญี่ปุ่นที่นานๆทีจะหันมาใส่ระบบความปลอดภัยที่ครบครันแย่งลูกค้ากันที่นึง ม่านนิรภัยแอร์แบกรอบคันมีมาให้ทีไรก็แทบจะดีใจกันยกใหญ่ทั้งที่มันควรจะป็นอุปกรณ์ที่ใส่มาให้เป็นมาตรฐานแท้ๆ   :-\  ถ้าหากว่ารถญี่ปุ่นที่ขายในตอนนี้ที่ราคาค่าตัวห่างจากรถยุโรปสองสามเท่าแบบนี้ แต่มีระบบต่างๆพร้อมแบบที่มีในการทดสอบชน euro N cap มันคงไม่ทำให้รู้สึกเหลื่อมล้ำกันเท่าไหร่ แต่นี่แค่คานกันกระแทกในกันชนหลังในรถขนาดเล็กยังถอดทิ้งลดต้นทุนเลยฮือๆๆๆ  :'(

เรื่องเอื้อประโยชน์ให้พวกยุ่นนี้ทำมานานมากแล้วครับ ในช่วงยุค 70 ถึงต้น 90 เล่นห้ามไม่ให้นำรถเข้า   คนได้ประโยชน์เต็มๆคือไอ้ยุ่นขายเอาๆ ฝั่งเดียว  ส่วนคุณภาพรถที่ขายสุดยอดมากๆครับ ยกตัวอย่าง Sunny รุ่นนึงในยุค 70 ไม่มีที่บังแดดให้มา ดัสสันไทยมันอ้างไม่จำเป็นต้องใช้  พอไปเทียบกับตัวที่ไอ้ยุ่นส่งไปขายในโลกที่หนึ่งแล้วสยองมากครับ ของนอกเหนือกว่ามากๆ เผลอๆราคาถูกกว่าที่พวกยุ่นยัดเยียดขายในไทยอีก 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: coolcarrera ที่ เมษายน 17, 2015, 10:55:49
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 11:10:11
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 11:54:48
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
ตลกดีนะครับยกตัวอย่างรถ1รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินเครื่องใหญ่มันประหยัดกว่า เอาง่ายรถบ้านเราW212 E300 กับ W212 E250 CDI ผมเอามาเทียบกันละแรงม้าใกล้เคียงกัน แรงบิดใกล้เคียงกัน CDIก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าประหยัดกว่าด้วย ผมแนะนำว่าคุณมองภาพรวมดีกว่าครับยังไงดีเซลมันก็ประหยัดกว่าเบนซิน แล้วรถเพื่อการพาณิชย์จะให้ใช้เบนซินเครื่องโตเพื่อต้องการแรงบิดไปดีเซลคุ้มกว่าไหมครับ บ้านเรารถติดเฉลี่ยติดท็อปๆของโลกดันจะไปสนับสนุนให้ขายเครื่องเบนซินบล็อกโต เข้าใจว่าขับทางไกลมันประหยัดแต่ในเมืองมันคุ้มหรอ เอารถดีเซลกับเบนซินที่ccเท่ากันมาสตาทเครื่องหรือวิ่งในเมืองยังไงดีเซลก็ประหยัดกว่า ผมไม่ได้ปกป้องรถที่ผลิตในบ้านเราแต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปสนับสนุนให้เอาเข้ามาขายในปริมาณมาก ยุโรปรถน้อยกว่าบ้านเราแต่ทำไมไม่เห็นมีใครโหยหารถเครื่องใหญ่ๆเลยครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 11:57:54
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
ตลกดีนะครับยกตัวอย่างรถ1รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินเครื่องใหญ่มันประหยัดกว่า เอาง่ายรถบ้านเราW212 E300 กับ W212 E250 CDI ผมเอามาเทียบกันละแรงม้าใกล้เคียงกัน แรงบิดใกล้เคียงกัน CDIก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าประหยัดกว่าด้วย ผมแนะนำว่าคุณมองภาพรวมดีกว่าครับยังไงดีเซลมันก็ประหยัดกว่าเบนซิน แล้วรถเพื่อการพาณิชย์จะให้ใช้เบนซินเครื่องโตเพื่อต้องการแรงบิดไปดีเซลคุ้มกว่าไหมครับ บ้านเรารถติดเฉลี่ยติดท็อปๆของโลกดันจะไปสนับสนุนให้ขายเครื่องเบนซินบล็อกโต เข้าใจว่าขับทางไกลมันประหยัดแต่ในเมืองมันคุ้มหรอ เอารถดีเซลกับเบนซินที่ccเท่ากันมาสตาทเครื่องหรือวิ่งในเมืองยังไงดีเซลก็ประหยัดกว่า ผมไม่ได้ปกป้องรถที่ผลิตในบ้านเราแต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปสนับสนุนให้เอาเข้ามาขายในปริมาณมาก ยุโรปรถน้อยกว่าบ้านเราแต่ทำไมไม่เห็นมีใครโหยหารถเครื่องใหญ่ๆเลยครับ

ดูที่เปรียบเทียบ fortuner ดีเซล กับ 4.0V6 หรือยังครับถึงว่าหาว่าผมยกตัวอย่างมาแค่รถรุ่นเดียว ถ้ายังไม่พอที่จะ demyth ความเชื่อว่าดีเซลประหยัดกว่า เดียวผมจัดให้เพิ่ม อีกเรื่องดูที่คุณ coolcarrera ชี้แจงด้วยนะ   

ปล คุณหาว่าเบนซินบล็อกโตกินกว่า ผมก็หามาเปรียบเทียบให้ล่ะ ตอนนี้มาโต้ว่าต้องเอา ความจุเท่ากัน เอ๋ยัังไง
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 12:15:28
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: GoatGoat ที่ เมษายน 17, 2015, 12:27:15
ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการซดน้ำมันที่เค้า Claim มามันรวม Factor รถติดบ้าเลือดแบบใน กทม. หรือยังนะครับ เพราะเพื่อนผมขับ Z นี่ด่าซดน้ำมันมาก แต่ยอมเพราะได้เท่ 55
ตอนเรียนที่อเมริกา ผมขับ Camaro V6 วิ่งโล่งๆเพราะซิ่งมากก็โดนจับ บางครั้งยังจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าขับ Accord 2.4 ไป เพชรบุรี สุขุมวิท สาธร ที่บางทีเจอไป 6-7 โลลิตรเลยครับ อยากได้ข้อมูลของจริงพวก V6 V8 เครื่อง 4000-5000 cc วิ่ง กทม. มากครับว่าจะได้สักกี่โลลิตร ;D
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: coolcarrera ที่ เมษายน 17, 2015, 13:10:31
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 13:29:06
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ 

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 13:30:27
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 

ที่ผมบอกว่ายกตัวอย่าง1รุ่นแล้วมาเหมาหมดนี่คือ รถtoyotaดีเซล3.0 กับเบนซิน 4.0ครับ เปรียบเทียบดีเซลกับเบนซินเครื่องใหญ่ที่คุณIvyยกตัวอย่างขึ้นมา ไม่ได้พาดพิงถึงรถเบนซินที่คุณขับมาครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 13:37:53
ไม่ได้ยกตัวอย่างมา 1 รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินประหยัดกว่าครับ
ผมยกตัวอย่างที่เคยได้สัมผัสมาแล้วมาเล่าให้ฟัง

และไม่ได้บอกเลยสักคำว่า เบนซิน และดีเซล เมื่ออยู่ใน body เดียวกัน พิกัดเดียวกัน เบนซินจะประหยัดกว่า
ตรงนี้ผมก็ทราบว่าดีเซลประหยัดกว่า เพราะคันต่อไปผมเองก็จะไปดีเซลแล้วเช่นกัน (ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกันแหละ ในเมื่อโครงสร้างบ้านเรามันเป็นแบบนี้ทั้งภาษีรถและน้ำมัน สู้ผมเปิดใจกับรถดีเซลไปเลยดีกว่า ถูกกว่าด้วย)

 เคยมีประสบการณ์เลือกผิดมาแล้วเหมือนกัน Innova เบนซินไงครับ ค่าน้ำมันปาไปเดือนละเกือบ 2 หมื่น
 

ที่ผมบอกว่ายกตัวอย่าง1รุ่นแล้วมาเหมาหมดนี่คือ รถtoyotaดีเซล3.0 กับเบนซิน 4.0ครับ เปรียบเทียบดีเซลกับเบนซินเครื่องใหญ่ที่คุณIvyยกตัวอย่างขึ้นมา ไม่ได้พาดพิงถึงรถเบนซินที่คุณขับมาครับ

ตอนนี้มี ข้อมูล demyth ความเชื่อว่าดีเซลประหยัดกว่าดังนี้ครับ

- Vigo 3.0D4D vs Mercedes SLK350 vs Mercedes SLK55AMG
- fortuner 3.0D4D กับ 4.0V6
- ตัวอย่างรถยนต์จากคุณ coolcarrera เอามาเทียบกับการกินน้ำมันของ vigo และ fortuner ที่ขายในไทย

ผมสงสัยว่าคุณ localgame คงต้องการข้อมูลมา demyth มากกว่านี้ใช่ม่ะคับ 
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 13:51:03
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ 

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ 
BMW ครับ

(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 13:58:21
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ

(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)

ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 14:15:13
BMW M4 3.0 Slant six

34mpg Co2 194g/km

BMW M235i 3.0 Slant six

37.2mpg Co2 176g/km

ความจุเท่าๆกับพวกดีเซลขวัญใจไทยแลนด์แต่ จิบน้ำมันไล่เลี่ยกัน  ปล่อยควันพิษยังน้อยกว่าอีก



หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 14:21:47
ผมไม่แน่ใจว่าอัตราการซดน้ำมันที่เค้า Claim มามันรวม Factor รถติดบ้าเลือดแบบใน กทม. หรือยังนะครับ เพราะเพื่อนผมขับ Z นี่ด่าซดน้ำมันมาก แต่ยอมเพราะได้เท่ 55
ตอนเรียนที่อเมริกา ผมขับ Camaro V6 วิ่งโล่งๆเพราะซิ่งมากก็โดนจับ บางครั้งยังจ่ายค่าน้ำมันถูกกว่าขับ Accord 2.4 ไป เพชรบุรี สุขุมวิท สาธร ที่บางทีเจอไป 6-7 โลลิตรเลยครับ อยากได้ข้อมูลของจริงพวก V6 V8 เครื่อง 4000-5000 cc วิ่ง กทม. มากครับว่าจะได้สักกี่โลลิตร ;D

จุดนี้คุณ localgame เค้ายังไม่รู้ว่า fuel consumption จะออกมาเท่าไร เป้นรถรุ่นไหนบ้าง พี่แกเล่นยกความเชื่อที่ปลูกฝังโดย ภาษีงี่เง่าไทยแลนด์มาอ้างว่า รถบล็อกโตกินจุซะแล้วครับ

เนื่องจากรถพวกนั้นไม่มีในไทย จึงไม่รู้ว่าเท่าไร ดังนั้นการเปรียบเทียบจึงใช้ ข้อมุลการทดสอบจากต่างประเทศโดยเฉพาะของโลกที่หนึ่งมาเทียบกับรถที่มีในไทยซึ่งความจุน้อยกว่า โดยเทียบทั้ง fuel consumption และ emission   แต่คุณ localgame ยังคงอ้างความเชื่อให้ดูรวมๆกันต่อไป แม้ตัวเลขมันจะเปิดเผยออกมายังไงก็ตาม
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 14:27:28
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ

(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)

ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ

ผมเอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29 (http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29)

ถ้าเอาดีเซลในประเทศที่เกิน3000CC. ในรถระดับเดียวกันผมหาแทบไม่ได้เลย อย่าเทียบรถข้ามsegment ครับ

เลยยกตัวอย่างBMW F30ขึ้นมา ไม่ได้เอามาVigo น้ำหนักเยอะกว่า SLKหลายร้อยกิโลมาเทียบ

จากที่คุณบอกมาคุณจะสื้อจะบอกว่าเบนซินบล็อกโตวิ่งเฉลี่ยนในเมืองและนอกเมืองประหยัดกว่าดีเซลแบบนี้หรอครับ

หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 14:45:31
วิ่งในเมืองรถติดccเท่ากันดีเซลยังไงก็กินเบนซิน แล้วเบนซินเครื่องใหญ่จะเหลือหรอครับ ถ้าทางไกลความเร็วประมาณ110-120 ส่วนใหญ่ดีเซลก็ประหยัดกว่า เท่าที่ดูมารถเครื่องเกิน3000ccอย่างเก่งก็แค่14-15km/L แต่ถ้าดีเซล2000ccเทอโบ14-15นี่ง่ายๆเลยครับ แรงม้าก็ใกล้เคียงกัน

ขอแหล่งที่มา ข้อมูลตัวเลขครับ เพราะผมสังเกตว่า ข้อโต้แย้งของคุณ localgame จะมีพื้นฐานจากความเชื่อ หรือ myth ว่ารถความจุเยอะกิน (คุณถึงพูดว่าให้ดูรวมๆ) ขณะที่ฝั่งผมเอาตัวเลข ข้อมูลทางสถิติ การทดสอบมาตรฐาน ระบุรุ่นรถยนต์ชัดเจนแน่นอน มาเปรียบเทียบ  คุณกล่าวอ้างว่า ในกทม. รถเบนซินนำเข้า 3000+ จะกินกว่า แต่คุณก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยซ้ำ  

ปล. หัวเรื่องเทียบว่า รถนำเข้าเบนซินบล็อกใหญ่ 3000+ เผลอๆกินน้อยกว่าหรือเทียบเท่ากับดีเซล  แต่คุณกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง เป็นเทียบรถความจุเท่ากันภายในประเทศ  
BMW ครับ

(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)

ไหนละข้อมูลครับ  คุณเองก็ยกเอาไม่กี่รุ่นมาเทียบเหมือนกันสินะ อีกทั้งคุณยกตัวอย่างรถในประเทศความจุไล่ๆกัน เช่นพวกดีเซลประมาณ mid-tier เทียบ เบนซิน low-tier เรี่ยวแรงน้อย ขณะที่การเปรียบเทียบต้องเอารถนำเข้าความจุเยอะๆ มาเทียบกับพวกในประเทศ เรียกว่าตอบไม่ตรงคำถามครับ

ผมเอามาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29 (http://en.wikipedia.org/wiki/BMW_3_Series_%28F30%29)

ถ้าเอาดีเซลในประเทศที่เกิน3000CC. ในรถระดับเดียวกันผมหาแทบไม่ได้เลย อย่าเทียบรถข้ามsegment ครับ

เลยยกตัวอย่างBMW F30ขึ้นมา ไม่ได้เอามาVigo น้ำหนักเยอะกว่า SLKหลายร้อยกิโลมาเทียบ

จากที่คุณบอกมาคุณจะสื้อจะบอกว่าเบนซินบล็อกโตวิ่งเฉลี่ยนในเมืองและนอกเมืองประหยัดกว่าดีเซลแบบนี้หรอครับ



กินน้อยกว่าหรือไล่เลี่ยกัน  และส่วนมากพ่นควันพิษน้อยกว่ารถยอดฮิตในไทยแลนด์ ฉะนั้นความเชื่อแบบไทยๆที่ว่า เบนซินบล็อกโตกินมาก ปล่อยพิษมาก จึงเป็นความเชื่อที่ผิดครับ  คุณมองข้ามพวกรถฮิตๆที่กลายเป็นว่า กินน้ำมันพอๆกัน แถมพ่นควันมากกว่า และจ้องแต่รถเบนซินนำเข้าจากนอกอย่างเดียว แบบนี้แฟร์มากๆครับ  

ถ้าเอาเรื่องกินน้ำมันอย่างเดียว ใกล้ๆตัวคุณก็ดู fortuner เอาในเมื่อคุณก็เทียบแค่ BMW F30
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Koong ที่ เมษายน 17, 2015, 15:32:49
ผมเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยังไงก็ไม่เชื่อว่า
Fortuner 3.0D  จะประหยัดสู้ 4.0 V6  ไม่ได้  

และยังไม่เชื่อว่า  ที่ความจุเท่ากัน เครื่องเบนซิล จะประหยัดกว่าดีเซล     เมื่อวางอยู่ในบอดี้เดียวกัน   ลักษณะการขับเหมือนกัน  ภูมิประเทศเดียวกัน

ยังไงก็ไม่เชื่อ ถ้าไม่ได้ลองขับด้วยตัวเอง

และถ้าจะเอารถนำเข้าเครื่องใหญ่ๆ    มาเทียบกับรถในประเทศ    มันจะยิ่งเพี้ยนไปกันใหญ่

ตัวเลข ที่ทดสอบใน ตปท      ถ้าเอามาทดสอบในไทย ไม่น่าได้ตัวเลขหรูๆ แบบนั้นแน่นอน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Blackforlife ที่ เมษายน 17, 2015, 16:11:08
ใจเย็นๆครับ ค่อยๆคุยกัน เรื่องภาษีเครื่อง 3000มหาโหดคงหาคำตอบที่สมเหตุสมผลได้ยาก เคารพความคิดเห็นทุกท่านครับ เชื่อทุกท่านก็เป็นผู้สนใจเรื่องรถเหมือนๆกัน เรื่องเบนซินเครื่องใหญ่ประหยัดมากๆ CO2 ต่ำๆคงมีไม่กี่ยี่ห้อที่สามารถทำได้ตอนนี้ เทคโนโลยีบางยี่ห้อยังตามไม่ทันเลย ผมว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ถ้าทุกๆค่ายทำได้หมดหรือมีเทคโนลียีใหม่ ภาษีคงลงมาแน่นอนครับ เหมือน HYBRID มา ภาษีลด

ผมก็อยากได้ครับ 555 ถ้ามันลงมาอาจจะได้สอยกบกับเค้ามั่ง
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Highway Star ที่ เมษายน 17, 2015, 16:51:58
เห็นด้วยกับจขกท แต่ไม่ทั้งหมดเรื่องภาษีนี่เห็นด้วยจริงๆเพราะรถ3000ccหลายรุ่นที่เทคโนโลยีสูงแต่กินน้อยกว่าเครื่อง2.4ลิตรมีถมเถไป  เห็นด้วยอย่างมากว่าไม่แฟร์ แต่ไม่เห็นด้วยเรื่องรถเบนซินกินน้อยกว่าดีเซล อัตราปล่อยco2ล่ะไม่เถียงแต่ไปเอามาจากไหนว่ารถเบนซืนกินน้อยกว่าดีเซล แล้วดูถูกดูแคลนรถดีเซลไปไหนครับว่าเครื่องแทรคเตอร์ใช่เรื่องเสียงผมไม่เถียงแต่มันก็มีดีของมันแหละคุณลองเอาfortuner 4.0 V6กับดีเซล3.0d4d ไปลุยป่าออฟโรดโหดๆ ลุยน้ำด้วยอะไรด้วย อะไรพาคุณรอดได้ดีกว่ากัน หรือลองbmw 320iกับ320d ก็ได้ลองนั่ง4คนสัมภาระเต็มท้ายรถ คันไหนทำเวลาดีกว่าและคันไหนจ่ายน้ำมันน้อยกว่าครับ ทุกอย่างมันมีข้อดีของตัวเองเอาให้เหมาะสมกับการใช้งานครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: azx001 ที่ เมษายน 17, 2015, 17:15:30
ขอแชร์ความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้รถของพวกเมกันกับชาวยุโรปหน่อยนะครับ เท่าที่เคยอาศัยอยู่ในอเมริกา 3 ปีและเที่ยวยุโรปค่อนข้างบ่อย ผมคิดว่าคนเมกันมันมีความจำเป็นต้องใช้รถใหญ่ๆ เครื่องแรงๆ สมรรถนะดีครับ เพราะว่าประเทศเค้ากว้างใหญ่มากๆ แค่รัฐแคลิฟอร์เนียนี่ใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศ ปรกติการขับรถไปไหนมาไหนทีระยะทางเยอะกว่าบ้านเรามากๆ การขับรถข้ามรัฐกันหลายๆ ชมนี่เป็นเรื่องปรกติ จะเอาอีโคคาร์คันเล็กๆไปขับไม่เวิกแน่ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องรวยหรือมีน้ำมันอะไรเลย ผมคิดว่าเค้าหารถใช้ได้เหมาะกับสภาพภูมิประเทศและไลฟ์สไตล์ได้เหมาะสมแล้ว

ในขณะที่ชาวยุโรปที่สถาพถนนในเมืองเล็กเช่น อิตาลี่ที่ถ้าได้ไปพวก โรม ฟลอเรนซ์แล้วจะตกใจว่าทำไมมีแต่ อีโคคาร์ทั้งเมือง แถมอีโคร์คาร์เค้าเล็กกว่ามาร์ชบ้านเราอีก แถมวิธีจอดพี่แกนี่คือเอาหัวเสียบไปตรงกลางระหว่างรถสองคันที่จอดอยู่ในซอง คือที่มันจำกัดมากๆ ส่วนยุโรปที่ประเทศใหญ่ ถนนทำความเร็วได้เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศษ พวกนี้ก็จะใช้รถคันใหญ่หน่อย

แม้แต่ญี่ปุ่นเองผมก็คิดว่าพวกรถ d segment ขึ้นไปที่ขายกันโครมๆบ้านเราไม่น่าจะนิยมในบ้านเค้าด้วยซ้ำเมื่อดูจากข้อจำกัดของพื้นที่ประเทศที่เล็กเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ถ้าทุกคนขับแต่คันใหญ่ๆหมดไม่มีถนนให้วิ่งกับที่ให้จอดแน่ครับ





รัสเซีย ใหญ่กว่าอเมกา สองเท่า ยังใช้รถเล็กๆ ที่อเมกาใช้รถใหญ่ ก็มีเรื่องฐานะการเงินมาเกี่ยว อเมกา เค้ารวยนี่
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Koong ที่ เมษายน 17, 2015, 17:25:10
ผมพอเข้าใจ จขกท แล้ว ว่ารถเครื่องโตบางรุ่นทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และ การปล่อยมลพิษ ดีกว่ารถเครื่องเล็ก   ท่านก็เลยไม่เห็นด้วยเรื่องจำกัด ซีซี


แต่ในความเข้าใจของผม   ค่าการปล่อยมลพิษ และอัตราบริโภคเชื้อเพลิง    

2 ตัวเลขนี้ แต่ละบริษัทรถก็จะเอาตัวเลขที่ทำได้ดีที่สุดมาโชว์กัน     ถามว่าแล้วตัวเลขที่แย่ที่สุดที่รถคันนั้นทำได้ล่ะ  เท่าไหร่????

รถที่เครื่องยนต์ใหญ่ๆ    กำลังสูงๆ     มีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสทำตัวเลขแย่ๆ ออกมาได้ตลอดเส้นทาง   ยิ่งรถแรงก็ยิ่งเร่งแซงเร็ว ยิ่งขับเร็ว

เปรียบเทียบ
 รถเครื่อง 1500  จะขับให้แรงแบบเครื่อง 1200 ก็ทำได้    แต่จะขับให้แรงเต็มที่มันก็แค่ที่เครื่อง 1500 จะทำได้
 รถเครื่อง 3000  ขับให้แรงแค่เครื่อง 1200  ก็ทำได้   และเวลาจะขับให้แรงเต็มที่มันก็แรงถึงใจเท่าที่เครื่อง 3000 จะทำได้

ถามว่าในชีวิตจริง  ขับใช้งานกันจริง เครื่องตัวไหนกินน้ำมัน และปล่อยมลภาวะมากกว่ากัน ????
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: belkw202 ที่ เมษายน 17, 2015, 18:16:40
ชอบรถเครื่องใหญ่ โดยเฉพาะ american muscle
เกลียดเครื่องดีเซลแบบสุดติ่ง
เรื่องการเก็บภาษีรถยนต์ในเมืองไทย และ "over protectionism"

ผมเห็นจขกทชอบโพสอะไรในทำนองนี้มาหลายรอบแล้ว

ขอแสดงความคิดเห็นทีละเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1. ผมก็ชอบรถเครื่องใหญ่เหมือนกัน แม้ผมจะไม่ได้ใช้พวก v8 ทั้งหลาย แต่ก็เคยขับมาหลายคัน รถที่ผมใช้ทั้งที่ไทยและที่อยู่ตอนนี้ก็เครื่องเกิน 3000 ทั้งคู่
มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่ารถสี่สูบเทอร์โบที่ทำให้แรงเท่ารถเครื่องที่ใหญ่กว่าจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันไม่ประหยัดและปล่อยมลภาวะน้อยเท่า 4 สูบเทอร์โบ
คุณเอาตัวเลขโรงงานมาวัด แต่ผมเอาตัวเลขจากที่ใช้งานจริงครับ ยังไม่เคยขับรถเครื่อง 6 สูบขึ้นไปคันไหนแล้วได้เกินสิบโลลิตรเลย ตั้งแต่เก่ายันใหม่ คล้ายๆกับที่คุณ koong ว่าไว้เลย ว่ามันทำให้ประหยัดได้ แต่การใช้งานจริงยังไงมันก็คงสู้กันไม่ได้ครับ รถเครื่องโตมันประหยัดขึ้น แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่ารถเครื่องเล็กมันก็ประหยัดขึ้นด้วยเช่นกัน

2. ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเบนซิลกับดีเซล ผมเลือกเบนซิลแบบไม่ต้องคิดเลย จขกทก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่คุณก็ต้องเปิดใจบ้างนะครับ ถ้ามันไม่มีอะไรดีเลยมันขายไม่ได้หรอก แรงบิดรอบต่ำอย่างแรกเลยที่ยังไงเบนซิลก็ให้คุณไม่ได้ ยิ่งถ้าบรรทุกเต็มดีเซลแรงจะแทบไม่ตกเลย แต่พอเป็นเบนซิล c63 amg ยังรู้สึกเลยครับว่ากดคันเร่งเท่าเดิมมันไม่ไปเท่าเดิม ความประหยัดคุณเทียบ benz bmw audi ทั้งหลายดูก็ได้ ว่าดีเซลมันประหยัดกว่าเบนซิลหมด ผมไม่ดูตัวเลขในโบรชัวร์นะ ผมเอาการใช้งานจริง
ดีเซลกดนิดนึงก็ไปแล้วแต่เบนซิลต้องเติมคันเร่งเยอะกว่าพอสมควร แต่พอกดเต็มส่วนใหญ่เบนซิลมักจะไปเร็วกว่า ในพิกัดเท่าๆกัน
อีกอย่างนึง ผมว่าคุณก็ไม่ควรจะพูดจาประชดประชันว่ามันเป็นเครื่องรถเทรคเตอร์หรืออะไร เพราะคงมีคนที่เขาใช้แล้วเขาอ่านแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีนะครับ เหมือนถ้าสมมุติคุณใช้ mustang v8 แล้วผมบอกว่าคุณมันเป็นพวกทำลายทรัพยากรโลกแบบนั้นแหละ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็น่าจะจบ ไม่รู้ว่าคุณจะด่ามันไปเพื่ออะไร?

3. เรืองภาษีผมก็เห็นด้วยกับคุณอีกนั่นแหละ ดู CO2 แล้วจะดู cc อีกทำไม แต่ติดนิดเดียว คุณจะเหน็บประเทศไทยทำไมครับ? เหมือนเรื่องเครื่องดีเซลนั่นแหละ
ชอบอะไรไม่ชอบอะไรไม่มีใครว่าคุณครับ แต่พอคุณเริ่มเหน็บ ประชด หรือจิกกัด คนเขาก็เกิดความรู้สึกด้านลบครับ
ผมว่าคุณมีประเด็นที่ผมเห็นด้วยหลายประเด็น และคิดว่าน่าจะมีคนที่คิดแบบผมเหมือนกัน แต่การแสดงความคิดเห็นแบบ egocentric และการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมันจะให้ไม่มีใครอยากฟังคุณครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Arado_kung ที่ เมษายน 17, 2015, 21:14:01
ผมเห็นด้วยกับ จขกท.ในเรื่องการกำหนดความจุของเครื่องอยู่ในเมื่อเราใช้เกณฑ์ CO2 แล้วทำไมยังต้องกำหนดความจุเครื่องยนต์ให้มันซ้ำซ้อนอีกหว่า มันจะแทบไม่ต่างจากของเดิมที่กำหนดความจุเครื่องยนต์กับแรงม้าเลย เพราะยังเครื่องยนต์ความจุเยอะก็เสียภาษีประจำปีอ่วมอรทัยอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: capton ที่ เมษายน 17, 2015, 21:59:08
ชอบรถเครื่องใหญ่ โดยเฉพาะ american muscle
เกลียดเครื่องดีเซลแบบสุดติ่ง
เรื่องการเก็บภาษีรถยนต์ในเมืองไทย และ "over protectionism"

ผมเห็นจขกทชอบโพสอะไรในทำนองนี้มาหลายรอบแล้ว

ขอแสดงความคิดเห็นทีละเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1. ผมก็ชอบรถเครื่องใหญ่เหมือนกัน แม้ผมจะไม่ได้ใช้พวก v8 ทั้งหลาย แต่ก็เคยขับมาหลายคัน รถที่ผมใช้ทั้งที่ไทยและที่อยู่ตอนนี้ก็เครื่องเกิน 3000 ทั้งคู่
มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่ารถสี่สูบเทอร์โบที่ทำให้แรงเท่ารถเครื่องที่ใหญ่กว่าจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันไม่ประหยัดและปล่อยมลภาวะน้อยเท่า 4 สูบเทอร์โบ
คุณเอาตัวเลขโรงงานมาวัด แต่ผมเอาตัวเลขจากที่ใช้งานจริงครับ ยังไม่เคยขับรถเครื่อง 6 สูบขึ้นไปคันไหนแล้วได้เกินสิบโลลิตรเลย ตั้งแต่เก่ายันใหม่ คล้ายๆกับที่คุณ koong ว่าไว้เลย ว่ามันทำให้ประหยัดได้ แต่การใช้งานจริงยังไงมันก็คงสู้กันไม่ได้ครับ รถเครื่องโตมันประหยัดขึ้น แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่ารถเครื่องเล็กมันก็ประหยัดขึ้นด้วยเช่นกัน

2. ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเบนซิลกับดีเซล ผมเลือกเบนซิลแบบไม่ต้องคิดเลย จขกทก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่คุณก็ต้องเปิดใจบ้างนะครับ ถ้ามันไม่มีอะไรดีเลยมันขายไม่ได้หรอก แรงบิดรอบต่ำอย่างแรกเลยที่ยังไงเบนซิลก็ให้คุณไม่ได้ ยิ่งถ้าบรรทุกเต็มดีเซลแรงจะแทบไม่ตกเลย แต่พอเป็นเบนซิล c63 amg ยังรู้สึกเลยครับว่ากดคันเร่งเท่าเดิมมันไม่ไปเท่าเดิม ความประหยัดคุณเทียบ benz bmw audi ทั้งหลายดูก็ได้ ว่าดีเซลมันประหยัดกว่าเบนซิลหมด ผมไม่ดูตัวเลขในโบรชัวร์นะ ผมเอาการใช้งานจริง
ดีเซลกดนิดนึงก็ไปแล้วแต่เบนซิลต้องเติมคันเร่งเยอะกว่าพอสมควร แต่พอกดเต็มส่วนใหญ่เบนซิลมักจะไปเร็วกว่า ในพิกัดเท่าๆกัน
อีกอย่างนึง ผมว่าคุณก็ไม่ควรจะพูดจาประชดประชันว่ามันเป็นเครื่องรถเทรคเตอร์หรืออะไร เพราะคงมีคนที่เขาใช้แล้วเขาอ่านแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีนะครับ เหมือนถ้าสมมุติคุณใช้ mustang v8 แล้วผมบอกว่าคุณมันเป็นพวกทำลายทรัพยากรโลกแบบนั้นแหละ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็น่าจะจบ ไม่รู้ว่าคุณจะด่ามันไปเพื่ออะไร?

3. เรืองภาษีผมก็เห็นด้วยกับคุณอีกนั่นแหละ ดู CO2 แล้วจะดู cc อีกทำไม แต่ติดนิดเดียว คุณจะเหน็บประเทศไทยทำไมครับ? เหมือนเรื่องเครื่องดีเซลนั่นแหละ
ชอบอะไรไม่ชอบอะไรไม่มีใครว่าคุณครับ แต่พอคุณเริ่มเหน็บ ประชด หรือจิกกัด คนเขาก็เกิดความรู้สึกด้านลบครับ
ผมว่าคุณมีประเด็นที่ผมเห็นด้วยหลายประเด็น และคิดว่าน่าจะมีคนที่คิดแบบผมเหมือนกัน แต่การแสดงความคิดเห็นแบบ egocentric และการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมันจะให้ไม่มีใครอยากฟังคุณครับ
ชอบความเห็นนี้ครับ แล้วก็เห็นด้วยกับ จขกท. ในเรื่องความซ้ำซ้อนของโครงสร้างใหม่ แต่ผมสงสัย ว่าดีเซลคือเครื่องแทรคเตอร์ นี่คือมันพัฒนามาจาก
เครื่องแทรคเตอร์จริงๆ หรือแค่ประชด ว่ามันเสียงดังเหมือนเครื่องแทรคเตอร์ ขอความรู้จริงๆครับ

ส่วนตัวไม่เคยใช้เบนซินเลยครับ ใช้ดีเซลมาตลอด เก๋ง>SUV>PPV>รถตู้   อยากจะใช้รถเบนซินบ้าง ก็กลัวค่าน้ำมัน  แฟนไม่ชอบรถแก๊สด้วย
แต่รถส่งของที่บริษัท แก๊สทุกคัน (บ้าจริงเชียว 555) 

พรรคพวกผมใช้ VX100 ดีเซล กะ เบนซิน กินน้ำมันต่างกัน 4-5กิโลต่อลิตร  ต้องเอาไปติดแก๊ส ถึงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ถ้าให้ผมเลือก เบนซินกะดีเซล ในบอดี้เดียวกัน ไปดีเซลครับ แต่ถ้า คนละบอดี้ แบบ bmw กับ Vigo  ผมไป เบนซินแบบไม่คิดชีวิต ;D
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 17, 2015, 22:21:49
ชอบรถเครื่องใหญ่ โดยเฉพาะ american muscle
เกลียดเครื่องดีเซลแบบสุดติ่ง
เรื่องการเก็บภาษีรถยนต์ในเมืองไทย และ "over protectionism"

ผมเห็นจขกทชอบโพสอะไรในทำนองนี้มาหลายรอบแล้ว

ขอแสดงความคิดเห็นทีละเรื่องเลยแล้วกันนะครับ
1. ผมก็ชอบรถเครื่องใหญ่เหมือนกัน แม้ผมจะไม่ได้ใช้พวก v8 ทั้งหลาย แต่ก็เคยขับมาหลายคัน รถที่ผมใช้ทั้งที่ไทยและที่อยู่ตอนนี้ก็เครื่องเกิน 3000 ทั้งคู่
มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่ารถสี่สูบเทอร์โบที่ทำให้แรงเท่ารถเครื่องที่ใหญ่กว่าจริง แต่ยังไงก็ต้องยอมรับนะครับว่ามันไม่ประหยัดและปล่อยมลภาวะน้อยเท่า 4 สูบเทอร์โบ
คุณเอาตัวเลขโรงงานมาวัด แต่ผมเอาตัวเลขจากที่ใช้งานจริงครับ ยังไม่เคยขับรถเครื่อง 6 สูบขึ้นไปคันไหนแล้วได้เกินสิบโลลิตรเลย ตั้งแต่เก่ายันใหม่ คล้ายๆกับที่คุณ koong ว่าไว้เลย ว่ามันทำให้ประหยัดได้ แต่การใช้งานจริงยังไงมันก็คงสู้กันไม่ได้ครับ รถเครื่องโตมันประหยัดขึ้น แต่คุณก็ต้องไม่ลืมว่ารถเครื่องเล็กมันก็ประหยัดขึ้นด้วยเช่นกัน

2. ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเบนซิลกับดีเซล ผมเลือกเบนซิลแบบไม่ต้องคิดเลย จขกทก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่คุณก็ต้องเปิดใจบ้างนะครับ ถ้ามันไม่มีอะไรดีเลยมันขายไม่ได้หรอก แรงบิดรอบต่ำอย่างแรกเลยที่ยังไงเบนซิลก็ให้คุณไม่ได้ ยิ่งถ้าบรรทุกเต็มดีเซลแรงจะแทบไม่ตกเลย แต่พอเป็นเบนซิล c63 amg ยังรู้สึกเลยครับว่ากดคันเร่งเท่าเดิมมันไม่ไปเท่าเดิม ความประหยัดคุณเทียบ benz bmw audi ทั้งหลายดูก็ได้ ว่าดีเซลมันประหยัดกว่าเบนซิลหมด ผมไม่ดูตัวเลขในโบรชัวร์นะ ผมเอาการใช้งานจริง
ดีเซลกดนิดนึงก็ไปแล้วแต่เบนซิลต้องเติมคันเร่งเยอะกว่าพอสมควร แต่พอกดเต็มส่วนใหญ่เบนซิลมักจะไปเร็วกว่า ในพิกัดเท่าๆกัน
อีกอย่างนึง ผมว่าคุณก็ไม่ควรจะพูดจาประชดประชันว่ามันเป็นเครื่องรถเทรคเตอร์หรืออะไร เพราะคงมีคนที่เขาใช้แล้วเขาอ่านแล้วเขาจะรู้สึกไม่ดีนะครับ เหมือนถ้าสมมุติคุณใช้ mustang v8 แล้วผมบอกว่าคุณมันเป็นพวกทำลายทรัพยากรโลกแบบนั้นแหละ ไม่ชอบก็บอกไม่ชอบก็น่าจะจบ ไม่รู้ว่าคุณจะด่ามันไปเพื่ออะไร?

3. เรืองภาษีผมก็เห็นด้วยกับคุณอีกนั่นแหละ ดู CO2 แล้วจะดู cc อีกทำไม แต่ติดนิดเดียว คุณจะเหน็บประเทศไทยทำไมครับ? เหมือนเรื่องเครื่องดีเซลนั่นแหละ
ชอบอะไรไม่ชอบอะไรไม่มีใครว่าคุณครับ แต่พอคุณเริ่มเหน็บ ประชด หรือจิกกัด คนเขาก็เกิดความรู้สึกด้านลบครับ
ผมว่าคุณมีประเด็นที่ผมเห็นด้วยหลายประเด็น และคิดว่าน่าจะมีคนที่คิดแบบผมเหมือนกัน แต่การแสดงความคิดเห็นแบบ egocentric และการไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมันจะให้ไม่มีใครอยากฟังคุณครับ
ชอบความเห็นนี้ครับ แล้วก็เห็นด้วยกับ จขกท. ในเรื่องความซ้ำซ้อนของโครงสร้างใหม่ แต่ผมสงสัย ว่าดีเซลคือเครื่องแทรคเตอร์ นี่คือมันพัฒนามาจาก
เครื่องแทรคเตอร์จริงๆ หรือแค่ประชด ว่ามันเสียงดังเหมือนเครื่องแทรคเตอร์ ขอความรู้จริงๆครับ

ส่วนตัวไม่เคยใช้เบนซินเลยครับ ใช้ดีเซลมาตลอด เก๋ง>SUV>PPV>รถตู้   อยากจะใช้รถเบนซินบ้าง ก็กลัวค่าน้ำมัน  แฟนไม่ชอบรถแก๊สด้วย
แต่รถส่งของที่บริษัท แก๊สทุกคัน (บ้าจริงเชียว 555) 

พรรคพวกผมใช้ VX100 ดีเซล กะ เบนซิน กินน้ำมันต่างกัน 4-5กิโลต่อลิตร  ต้องเอาไปติดแก๊ส ถึงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน
ถ้าให้ผมเลือก เบนซินกะดีเซล ในบอดี้เดียวกัน ไปดีเซลครับ แต่ถ้า คนละบอดี้ แบบ bmw กับ Vigo  ผมไป เบนซินแบบไม่คิดชีวิต ;D


เป็นคำแซวพวกดีเซลครับ

พวกรถแรงกินจุ ก็โดนเรียกว่า Gas-guzzler
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 17, 2015, 23:57:14

กินน้อยกว่าหรือไล่เลี่ยกัน  และส่วนมากพ่นควันพิษน้อยกว่ารถยอดฮิตในไทยแลนด์ ฉะนั้นความเชื่อแบบไทยๆที่ว่า เบนซินบล็อกโตกินมาก ปล่อยพิษมาก จึงเป็นความเชื่อที่ผิดครับ  คุณมองข้ามพวกรถฮิตๆที่กลายเป็นว่า กินน้ำมันพอๆกัน แถมพ่นควันมากกว่า และจ้องแต่รถเบนซินนำเข้าจากนอกอย่างเดียว แบบนี้แฟร์มากๆครับ  

ถ้าเอาเรื่องกินน้ำมันอย่างเดียว ใกล้ๆตัวคุณก็ดู fortuner เอาในเมื่อคุณก็เทียบแค่ BMW F30

ผมพยายามหารถที่มีความจุอย่างน้อย3000CCทั้งเบนซินและดีเซลที่อยู่ในsegmentเดียวกันขนาดรถใกล้เคียงกันเพราะถ้าวัดกันข้ามsegmentรถที่มีน้ำหนักตัวมากกว่ายังไงก็กินน้ำมัน+ปล่อยไอเสียมากกว่า รถญี่ปุ่นไม่ค่อยมีเครื่องใหญ่ขนาดนั้น(เกิน3000CC) ส่วนใหญ่จะอยู่ในlexusซะมากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นรถยุโรปที่มีทั้งดีเซลและเบนซินในบอดี้เดียวกันที่ทั้งเบนซินและดีเซลเกิน3000CC ค่อยดูภาพที่ผมลงให้ดูละกันครับจะได้ดูจากสถิติไปเลยว่าที่ผมบอกว่ารถเครื่องเบนซินใหญ่ๆมันกินกว่า+ปล่อยไอเสียมากกว่าจริงรึเปล่าและลองเทียบทั้งเครื่องเล็กกว่า3000CCที่เอามาขายในบ้านเราด้วยว่าประหยัดกว่าจริงมั้ย ไม่ได้เอามาจากความเชื่อหรือผมมโนขึ้นมาเอง
เริ่มจาก Benz E-Class ภาพใหญ่หน่อยนะครับ รายละเอียดมันเยอะมาก
(http://www.uppic.org/image-FDCA_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-03E8_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-AABE_553136BB.jpg)
จากภาพรวมดีเซลของเบนซ์ทำอัตราสิ้นเปลืองได้แย่กว่าเครื่องเบนซินแทบทุกรุ่นแต่รุ่นที่ประหยัดที่สุดดันเป็นE200 CDI ที่เรี่ยวแรงน้อยแต่ประหยัดที่สุด
ผมอาจจะจำผิดเรื่อง E250CDI กับ E300 เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเหมือนเคยอ่านในโบรชัวจากงานมอเตอโชว์ว่าE300มันกินกว่าดีเซลแต่ข้อมูลของWikiบอกว่าดีเซลมันกินน้ำมันกว่า
ต่อไปที่BMW
(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)
ชัดเจนทุกรุ่นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ประหยัดกว่า+ปล่อยไอเสียน้อยกว่า
ข้ามไปที่Audiต่อเลยครับ
(http://www.uppic.org/image-C87D_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-3721_553136BB.jpg)
ชัดเจนแทบทุกรุ่น ดีเซลเครื่องเล็กไปจนถึงใหญ่สามารถปล่อยไอเสีย+ประหยัดน้ำมันกว่าเบนซินแทบทุกรุ่น
ต่อที่ยักใหญ่อย่างporscheต่อเลย
(http://www.uppic.org/image-FEDB_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-3ACF_553138DD.jpg)
จากภาพDieselก็ปล่อยไอเสียน้อยกว่า+ประหยัดกว่า และยิ่งเครื่องใหญ่ไอเสียยิ่งเยอะ
สุดท้าย Toyota land cruiser prado
(http://www.uppic.org/image-AB64_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-AD30_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-47E0_553138DD.jpg)
ในภาพที่ผมตัดมาจากWiki fortunerกับland cruiser prado J150 ใช้เครื่องยนตร์ตัวเดียวกันถือว่าsegmentเดียวกัน ผมเลยไปหาข้อมูลการกินน้ำมันจากhttp://www.fuel-economy.co.uk/mpg.php และพบว่าข้อมูลที่คุณ Ivy หามาผิดอย่างชัดเจน เครื่องดีเซลบล็อกเล็กประหยัดกว่าและปล่อยไอเสียน้อยกว่าอย่างชัดเจน

สรุป
จากภาพที่ผมสรุปเครื่องยนตร์จากรถแบรนด์ดังของยุโรป ภาพรวมเครื่องดีเซลเป็นเครื่องที่ประหยัดที่สุดและปล่อยไอเสียน้อยที่สุด ไม่รวมรถไฮบริด เครื่องเบนซินยิ่งใหญ่ไอเสียยิ่งเยอะยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น

ปล. ผมไม่ได้อคติรถเครื่องใหญ่ทุกวันนี้ชอบขับรถ6สูบมากกว่า4สูบตรงที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งเยอะเหยียบเบาๆรถก็ไปไม่ลากรอบ รถดีเซลก็ตอบโจทย์ตรงนี้ของผมเช่นกัน คนที่อยากเล่นรถเครื่องใหญ่ไว้ขับสบายๆในวันเสาร์อาทิตย์ควรจะจ่ายภาษีมากกว่ารถเครื่องเล็กไว้ใช้งานเหมาะสมแล้ว หรือถ้าหาจุดกึ่งกลางสำหรับภาษีรถยนต์ออกกฏหมายเเป็นขั้นบันไดตามไอเสียที่ปล่อยดูน่าจะเหมาะสมกว่าแต่ยังไงก็ควรสนับสนุนรถเล็ก+รถไฮบริด+ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้นจะดีที่สุด
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Chris Evn ที่ เมษายน 18, 2015, 00:12:19
มันตลกตั้งแต่ เอา SLK มาเทียบกับ VIGO แล้ว
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: shikimaru ที่ เมษายน 18, 2015, 01:03:51
ส่วนตัวผม อยากให้กฎหมายบังคับ vsc abs ebd ba ถุงลมขั้นต่ำ 4 มาเป็นออบชั่นพื้นฐานเลย โดยกำหนดภาษีใครใส่ครบลด 5% หรือเท่าไหร่กะว่าไป ถ้าใส่ไม่ครบ ก็+จำนวนที่ไม่ใส่ไปเลย กี่ % ก็ว่าไป จากนั้นส่วนที่เก็บภาษีได้น้อยลง ผมมองว่ามันจะไปลดอัตราการเกิดเหตุได้เยอะ สูญเสียจากอุบัติปีนึงคิดเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 18, 2015, 01:22:40

กินน้อยกว่าหรือไล่เลี่ยกัน  และส่วนมากพ่นควันพิษน้อยกว่ารถยอดฮิตในไทยแลนด์ ฉะนั้นความเชื่อแบบไทยๆที่ว่า เบนซินบล็อกโตกินมาก ปล่อยพิษมาก จึงเป็นความเชื่อที่ผิดครับ  คุณมองข้ามพวกรถฮิตๆที่กลายเป็นว่า กินน้ำมันพอๆกัน แถมพ่นควันมากกว่า และจ้องแต่รถเบนซินนำเข้าจากนอกอย่างเดียว แบบนี้แฟร์มากๆครับ  

ถ้าเอาเรื่องกินน้ำมันอย่างเดียว ใกล้ๆตัวคุณก็ดู fortuner เอาในเมื่อคุณก็เทียบแค่ BMW F30

ผมพยายามหารถที่มีความจุอย่างน้อย3000CCทั้งเบนซินและดีเซลที่อยู่ในsegmentเดียวกันขนาดรถใกล้เคียงกันเพราะถ้าวัดกันข้ามsegmentรถที่มีน้ำหนักตัวมากกว่ายังไงก็กินน้ำมัน+ปล่อยไอเสียมากกว่า รถญี่ปุ่นไม่ค่อยมีเครื่องใหญ่ขนาดนั้น(เกิน3000CC) ส่วนใหญ่จะอยู่ในlexusซะมากกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นรถยุโรปที่มีทั้งดีเซลและเบนซินในบอดี้เดียวกันที่ทั้งเบนซินและดีเซลเกิน3000CC ค่อยดูภาพที่ผมลงให้ดูละกันครับจะได้ดูจากสถิติไปเลยว่าที่ผมบอกว่ารถเครื่องเบนซินใหญ่ๆมันกินกว่า+ปล่อยไอเสียมากกว่าจริงรึเปล่าและลองเทียบทั้งเครื่องเล็กกว่า3000CCที่เอามาขายในบ้านเราด้วยว่าประหยัดกว่าจริงมั้ย ไม่ได้เอามาจากความเชื่อหรือผมมโนขึ้นมาเอง
เริ่มจาก Benz E-Class ภาพใหญ่หน่อยนะครับ รายละเอียดมันเยอะมาก
(http://www.uppic.org/image-FDCA_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-03E8_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-AABE_553136BB.jpg)
จากภาพรวมดีเซลของเบนซ์ทำอัตราสิ้นเปลืองได้แย่กว่าเครื่องเบนซินแทบทุกรุ่นแต่รุ่นที่ประหยัดที่สุดดันเป็นE200 CDI ที่เรี่ยวแรงน้อยแต่ประหยัดที่สุด
ผมอาจจะจำผิดเรื่อง E250CDI กับ E300 เรื่องอัตราสิ้นเปลืองเหมือนเคยอ่านในโบรชัวจากงานมอเตอโชว์ว่าE300มันกินกว่าดีเซลแต่ข้อมูลของWikiบอกว่าดีเซลมันกินน้ำมันกว่า
ต่อไปที่BMW
(http://www.uppic.org/image-A9EF_5530AD33.jpg)
ชัดเจนทุกรุ่นทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ประหยัดกว่า+ปล่อยไอเสียน้อยกว่า
ข้ามไปที่Audiต่อเลยครับ
(http://www.uppic.org/image-C87D_553136BB.jpg)
(http://www.uppic.org/image-3721_553136BB.jpg)
ชัดเจนแทบทุกรุ่น ดีเซลเครื่องเล็กไปจนถึงใหญ่สามารถปล่อยไอเสีย+ประหยัดน้ำมันกว่าเบนซินแทบทุกรุ่น
ต่อที่ยักใหญ่อย่างporscheต่อเลย
(http://www.uppic.org/image-FEDB_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-3ACF_553138DD.jpg)
จากภาพDieselก็ปล่อยไอเสียน้อยกว่า+ประหยัดกว่า และยิ่งเครื่องใหญ่ไอเสียยิ่งเยอะ
สุดท้าย Toyota land cruiser prado
(http://www.uppic.org/image-AB64_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-AD30_553138DD.jpg)
(http://www.uppic.org/image-47E0_553138DD.jpg)
ในภาพที่ผมตัดมาจากWiki fortunerกับland cruiser prado J150 ใช้เครื่องยนตร์ตัวเดียวกันถือว่าsegmentเดียวกัน ผมเลยไปหาข้อมูลการกินน้ำมันจากhttp://www.fuel-economy.co.uk/mpg.php และพบว่าข้อมูลที่คุณ Ivy หามาผิดอย่างชัดเจน เครื่องดีเซลบล็อกเล็กประหยัดกว่าและปล่อยไอเสียน้อยกว่าอย่างชัดเจน

สรุป
จากภาพที่ผมสรุปเครื่องยนตร์จากรถแบรนด์ดังของยุโรป ภาพรวมเครื่องดีเซลเป็นเครื่องที่ประหยัดที่สุดและปล่อยไอเสียน้อยที่สุด ไม่รวมรถไฮบริด เครื่องเบนซินยิ่งใหญ่ไอเสียยิ่งเยอะยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น

ปล. ผมไม่ได้อคติรถเครื่องใหญ่ทุกวันนี้ชอบขับรถ6สูบมากกว่า4สูบตรงที่ไม่ต้องเหยียบคันเร่งเยอะเหยียบเบาๆรถก็ไปไม่ลากรอบ รถดีเซลก็ตอบโจทย์ตรงนี้ของผมเช่นกัน คนที่อยากเล่นรถเครื่องใหญ่ไว้ขับสบายๆในวันเสาร์อาทิตย์ควรจะจ่ายภาษีมากกว่ารถเครื่องเล็กไว้ใช้งานเหมาะสมแล้ว หรือถ้าหาจุดกึ่งกลางสำหรับภาษีรถยนต์ออกกฏหมายเเป็นขั้นบันไดตามไอเสียที่ปล่อยดูน่าจะเหมาะสมกว่าแต่ยังไงก็ควรสนับสนุนรถเล็ก+รถไฮบริด+ขนส่งสาธารณะให้มากขึ้นจะดีที่สุด

คุณอ้าง prado มาเทียบ fortuner แล้วมัน segment เดียวกันตรงไหนไม่ทราบ  prado เกรดเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สร้างจากคนละพื้นฐาน   ข้อมูล fortuner 3.0 D4D เทียบกับ 4.0V6 ผมอ้างอิงมาจากการทดสอบของฝั่งแอฟริกาใต้ ที่มีทั้งสองรุ่นทำตลาดอยู่ หัดลองไปหาดูเอาเองให้ละเอียดก่อนมากล่าวหาลอยๆว่าผมหามาผิด

ผมบอกที่ไหนว่าให้ยกเลิกภาษีนำเข้าไปเลย ดูหัวเรื่องกระทู้ ผมก็ชี้แจงแล้วว่าภาษีสรรพสามิตใหม่มันซ้ำซ้อน และไม่มีเหตุผล มีช่องว่าง ทั้งนี้มีพวกเรายกตัวอย่างไปแล้วกรณีเครื่องห่วยสุดๆแต่ความจุไม่เกิน 2.8 เสียภาษีน้อยกว่า เครื่อง 3 พันอัพ สะอาดโคตร  หัดไปดูในเม้นก่อนๆดูเอาครับ   การแก้ไขคือต้องออกกฏหมายเเป็นขั้นบันไดตามไอเสียที่ปล่อย  แต่ที่แน่ๆถ้าเล่นกันแฟร์ๆ ดีเซลพวกกะบะคอมมอนเรลเสร็จแน่ๆ เรื่ีอง ปล่อยมลพิษ

อีกเรื่องผมสงสัย ไม่เข้าใจพวก อวย protectionism อย่างละห่ำ  อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์  แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness  ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ  
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: นักกล้าม มาม่า ที่ เมษายน 18, 2015, 09:24:00
มันตลกตั้งแต่ เอา SLK มาเทียบกับ VIGO แล้ว

ก็ว่าครับ ผมก็ยัง งง อยู่ว่าเอามาเทียบกันได้ยังไง  :-\ :-\ :-\
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 18, 2015, 11:18:32

คุณอ้าง prado มาเทียบ fortuner แล้วมัน segment เดียวกันตรงไหนไม่ทราบ  prado เกรดเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สร้างจากคนละพื้นฐาน   ข้อมูล fortuner 3.0 D4D เทียบกับ 4.0V6 ผมอ้างอิงมาจากการทดสอบของฝั่งแอฟริกาใต้ ที่มีทั้งสองรุ่นทำตลาดอยู่ หัดลองไปหาดูเอาเองให้ละเอียดก่อนมากล่าวหาลอยๆว่าผมหามาผิด

ผมบอกที่ไหนว่าให้ยกเลิกภาษีนำเข้าไปเลย ดูหัวเรื่องกระทู้ ผมก็ชี้แจงแล้วว่าภาษีสรรพสามิตใหม่มันซ้ำซ้อน และไม่มีเหตุผล มีช่องว่าง ทั้งนี้มีพวกเรายกตัวอย่างไปแล้วกรณีเครื่องห่วยสุดๆแต่ความจุไม่เกิน 2.8 เสียภาษีน้อยกว่า เครื่อง 3 พันอัพ สะอาดโคตร  หัดไปดูในเม้นก่อนๆดูเอาครับ   การแก้ไขคือต้องออกกฏหมายเเป็นขั้นบันไดตามไอเสียที่ปล่อย  แต่ที่แน่ๆถ้าเล่นกันแฟร์ๆ ดีเซลพวกกะบะคอมมอนเรลเสร็จแน่ๆ เรื่ีอง ปล่อยมลพิษ

อีกเรื่องผมสงสัย ไม่เข้าใจพวก อวย protectionism อย่างละห่ำ  อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์  แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness  ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ  

ที่ผมบอกว่าsegmentเดียวกันคือเอา prado 3.0d4d มาเทียบกับ 4.0 ผลคือดีเซลประหยัดกว่า เพราะฉะนั้นถ้าเครื่อง2ตัวนั้นวางอยู่ในfortuner ทั้งคู่ผลก็น่าจะออกมาเหมือนๆกันแต่ข้อมูลที่คูณบอกมาดันกลับกันอย่างสิ้นเชิงคุณบอกข้อมูลมาว่า
Fortuner 3.0 D4D vs Fortuner 4.0V6

Fortuner 3.0 ดีเซล 25.9-26.8 mpg  Co2 emission 228g/km

Fortuner 4.0 เบนซิน ทำได้ 30.6-35.4 mpg  Co2 emission 309g/km
ซึ่งคุณบอกว่าผมเอาความเชื่อมาพูดว่าดีเซลเครื่องใหญ่กินน้ำมันกว่าเบนซินผมก็ยกเครื่องใหญ่มาทั้งยุโรปเลยมาให้คุณดูว่าผมไม่ได้มโนหรือเอาความเชื่อผิดๆมาบอก
แต่ข้อมูลที่คุณหามาแหล่งที่มาก็ไม่มี เวปอะไรก็ไม่รู้ หาข้อมูลมาผิดรึเปล่าก็ไม่แน่ ผมคงไม่หัดไปหาข้อมูลใหม่หรอกนะครับ ของผมแสดงรูปและแหล่งที่มาชัดเจนเพื่อsupport evidenceของรูป แต่คุณกลับไม่ใส่มาและดันบอกให้ผมกลับไปหาเองอีก  ::)

ส่วนเรื่องยกเลิกภาษี ผมก็ยังไม่ได้บอกเลยนะครับว่าคุณจะให้ยกเลิกภาษี :D ส่วนเรื่องภาษีแบบขั้นบันไดผมก็พิมพ์บอกไปแล้วว่าผมสนัับสนุนในเรื่องนี้ เรื่องเครื่องเล็กปล่อยมลพิษเยอะกว่าเครื่องใหญ่มันก็มีครับแต่เป็นส่วนน้อย แต่ถ้ามีการคิดภาษีแบบขั้นบันไดจะช่วยแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้

อีกอย่างผมไม่ใช่พวกprotectionism อย่างละห่ำ ผมมองในแง่ของเศรษฐกิจและความจำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ได้มองถึงแง่เครื่องใหญ่บล็อกโตมาขับเล่นชิวๆเน้นสนุกไปวันๆ ปัจจุบันผมมองว่าสมเหตุสมผลแล้ว ผมเริ่มมองเห็นรถยนตร์บ้านเรามีการพัฒนามากขึ้น ยกตัวอย่าง Honda Jazz,City, Ford Fiesta, Focus, MG3, Mazda2 ที่กล้าอัดออพชั่นเต็มๆแบบเมืองนอกมาขายให้ผู้บริโภคในเมืองไทย แต่ก็ยังมีหลายยี่ห้อที่ยังกั๊กออพชั่นอยู่ สิ่งอำนวยความสะดวก+ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นมากกว่าเครื่องใหญ่ สมรรถณะที่คุณIvyกล่าวมาตลอดคือแรงม้าเยอะ ซึ่งไม่ได้ช่วยขับเคลื่อนประเทศหรือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในประเทศเลย ถามว่าปัจจุบันแรงม้าของรถทั่วไปพอแก่การใช้งานรึเปล่าผมมองว่าพอแล้ว แต่ระบบความปลอดภัยยังไม่พอ บางรุ่นของeco car ตัดออพชั่นพวกนี้ออก เหล็กกันกระแทกในกันชนบางรุ่นยังตัดออกเลยน่าเกลียดมาก ผมไม่ได้ปกป้องรถในประเทศแต่ผมมองว่าเราควรจะปรับปรุงรถในประเทศให้ดีขึ้นโดยมีกฏหมายเรื่องความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมา ออพชั่นบางอย่างควรเป็นของstandardของรถทุกรุ่น เหมือยสมัยก่อนที่กำหนดเรื่องsafety belt เป็นต้น ในเมื่อแรงม้ามันพอแก่การใช้แล้ว การขยายCC.ของเครื่องยนตร์เพื่อให้ได้แรงม้าเยอะ+ปล่อยไอเสียมากขึ้นควรจ่ายภาษีแพงกว่าถูกแล้ว กรุงเทพเป็นจังหวัดที่คนอยู่เยอะสุดในเมืองไทยและติดอันดับรถติดเป็นอันดับที่8ของโลก การใช้รถที่CC.สูงวิ่งในเมืองค่าCo2จะปล่อยออกมามากกว่าวิ่งในระยะยาวๆ และจากตารางรถยุโรปชื่อดังที่ผมเอามาให้ดูจะเห็นว่าเครื่องยิ่งใหญ่Co2ยิ่งเยอะ เผาผลาญน้ำมันมากขึ้น รัฐจึงเน้นไปที่รถเครื่องเล็ก+รถไฮบริด ซึ่งแก้ปัญหาของคนเมืองได้ดี และรถไฮบริดส่วนใหญ่วิ่งทางไกลก็ดีด้วยเช่นกันสังเกตุจากแรงม้าของรถไฮบริดหลายๆรุ่นค่อนข้างสูง+ประหยัด+ปล่อย Co2น้อยกว่ารถทั่วไป สนับสนุนด้านนี้ถูกต้องแล้ว

ปัจจุบันรัฐสามารถกำหนดให้รถส่วนใหญ่นำเข้าเครื่องที่แรงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุดอย่าง C300 bluetec hybrid,E300 bluetec hybrid,320D,520Dและรถญี่ปุ่นไฮบริดอีกมากมาย ลองสักเกตุดูอย่าง E300 bluetec hybridดูสิครับ มันเป็นรถที่เกิน200ม้า+ประหยัดเกือบจะที่สุดตั้งแต่E-Classเคยทำมา :oแล้วแบบนี้เราควรจะสนับสนุนต่อหรือแอนตี้ดีเซล แทร๊กเตอร์ดีแหละครับ  :D

ผมแนะนำให้คุณลองมองแบบกว้างๆดูครับ ถ้าคุยกับคนไม่เล่นรถหรือคนทั่วไปจะมีสักกี่คนที่ต้องการรถเครื่องใหญ่สมรรถณะสูงแต่กินน้ำมัน เราสามารถกำหนดกฏหมายอื่นที่สามารถยกระดับรถในประเทศได้และทำให้เราไม่ต้องไปimport รถนอกเข้ามา เข้าใจว่าcompetitivenessจะช่วยยกระดับในประเทศแต่เรามีวิธีที่ยกระดับได้เหมือนกัน และรถความจุ3000+ ก็ไม่ได้จำเป็นสำหรับรถเก๋งในประเทศ อยากได้ก็จ่ายตังซื้อเอา รัฐไม่ได้มีข้อห้ามว่าห้ามนำเข้ามาแบบสมัยก่อน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ เมษายน 18, 2015, 11:49:14
ผมก็นึกว่ากระทู้นี้จบไปแล้วนะ

Prado  ใช้แชซซีย์ที่เรียกว่าแทบจะเหมือนกันกับ Fortuner  เลยบางอย่างด้านหลังจะไม่เหมือนมันมีจุดเยอะกว่า   
แล้วเรื่องการเปิดเสรีเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์    ถ้าท่านคิดว่าพร้อมเปิดให้คนตกงานเป็นแสนคนได้เชิญเปิดเลย ครับ ภายใน 10 ปีโรงงานเราจะทยอยปิดไป
คนญี่ปุ่นเขาคงไม่คิดแบบท่านเพื่อให้เกิดการแข่งขันหรอก  ไม่งั้นเค้าจะมาลงทุนบ้านเราทำไม   ถ้ารัฐบาลไทยไม่มีอะไรไปซัพพอร์ตให้เค้า
การที่เค้าเปิด AEC  เพื่อให้มันเกิดการเคลื่อนย้ายตลาดแรงงานและการตลาดในการขายสินค้าของนายทุนข้ามชาติ      คนได้ประโยชน์จริง ๆ คือทุนยักษ์ใหญ่ที่เป็นคนผลักดันให้เปิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร      การเคลื่อนย้ายโรงงานปัจจุบันทำได้ไม่ยากแค่รอเวลาเท่านั้นเองประเทศไหนน่าลงทุนก็เอาอันนั้น

ใครที่อยากแข่งอยากมโนจะเอานั่นเอานี่  เมื่อถึงเวลานั้นจากที่มีรายได้ทำธุรกิจส่วนตัวเดือนนึงหลายแสนจะอยู่ได้หรือเปล่า  เพราะคนตกงานมากมายเศรษฐกิจมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบนึง    ราคารถยนต์อาจถูกลงจริงแต่คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจะซื้อ 

หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 18, 2015, 12:22:48
ผมก็นึกว่ากระทู้นี้จบไปแล้วนะ

Prado  ใช้แชซซีย์ที่เรียกว่าแทบจะเหมือนกันกับ Fortuner  เลยบางอย่างด้านหลังจะไม่เหมือนมันมีจุดเยอะกว่า  
แล้วเรื่องการเปิดเสรีเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์    ถ้าท่านคิดว่าพร้อมเปิดให้คนตกงานเป็นแสนคนได้เชิญเปิดเลย ครับ ภายใน 10 ปีโรงงานเราจะทยอยปิดไป
คนญี่ปุ่นเขาคงไม่คิดแบบท่านเพื่อให้เกิดการแข่งขันหรอก  ไม่งั้นเค้าจะมาลงทุนบ้านเราทำไม   ถ้ารัฐบาลไทยไม่มีอะไรไปซัพพอร์ตให้เค้า
การที่เค้าเปิด AEC  เพื่อให้มันเกิดการเคลื่อนย้ายตลาดแรงงานและการตลาดในการขายสินค้าของนายทุนข้ามชาติ      คนได้ประโยชน์จริง ๆ คือทุนยักษ์ใหญ่ที่เป็นคนผลักดันให้เปิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร      การเคลื่อนย้ายโรงงานปัจจุบันทำได้ไม่ยากแค่รอเวลาเท่านั้นเองประเทศไหนน่าลงทุนก็เอาอันนั้น

ใครที่อยากแข่งอยากมโนจะเอานั่นเอานี่  เมื่อถึงเวลานั้นจากที่มีรายได้ทำธุรกิจส่วนตัวเดือนนึงหลายแสนจะอยู่ได้หรือเปล่า  เพราะคนตกงานมากมายเศรษฐกิจมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบนึง    ราคารถยนต์อาจถูกลงจริงแต่คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจะซื้อ  



แปะจากเม้นเก่า สงสัยคุณ auto ไม่ได้ดู

อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์  แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ

แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศมาประกอบรถในประเทศแทน

เป็นไงดีไหมครับ ชูแต่ค่าแรงงานต่ำมาตลอด 40 กว่าปี ไม่ได้พัฒนาด้านอื่น อาศัยหลบอยู่หลังกำแพงภาษีสุดโหดอย่างเดียว ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ  
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ เมษายน 18, 2015, 12:32:06
ผมก็นึกว่ากระทู้นี้จบไปแล้วนะ

Prado  ใช้แชซซีย์ที่เรียกว่าแทบจะเหมือนกันกับ Fortuner  เลยบางอย่างด้านหลังจะไม่เหมือนมันมีจุดเยอะกว่า   
แล้วเรื่องการเปิดเสรีเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์    ถ้าท่านคิดว่าพร้อมเปิดให้คนตกงานเป็นแสนคนได้เชิญเปิดเลย ครับ ภายใน 10 ปีโรงงานเราจะทยอยปิดไป
คนญี่ปุ่นเขาคงไม่คิดแบบท่านเพื่อให้เกิดการแข่งขันหรอก  ไม่งั้นเค้าจะมาลงทุนบ้านเราทำไม   ถ้ารัฐบาลไทยไม่มีอะไรไปซัพพอร์ตให้เค้า
การที่เค้าเปิด AEC  เพื่อให้มันเกิดการเคลื่อนย้ายตลาดแรงงานและการตลาดในการขายสินค้าของนายทุนข้ามชาติ      คนได้ประโยชน์จริง ๆ คือทุนยักษ์ใหญ่ที่เป็นคนผลักดันให้เปิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร      การเคลื่อนย้ายโรงงานปัจจุบันทำได้ไม่ยากแค่รอเวลาเท่านั้นเองประเทศไหนน่าลงทุนก็เอาอันนั้น

ใครที่อยากแข่งอยากมโนจะเอานั่นเอานี่  เมื่อถึงเวลานั้นจากที่มีรายได้ทำธุรกิจส่วนตัวเดือนนึงหลายแสนจะอยู่ได้หรือเปล่า  เพราะคนตกงานมากมายเศรษฐกิจมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบนึง    ราคารถยนต์อาจถูกลงจริงแต่คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจะซื้อ 



แปะจากเม้นเก่า สงสัยคุณ auto ไม่ได้ดู

อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์  แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness  ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ 
  ผมก็บอกแล้วไง  คนญี่ปุ่นเขาคงไม่มาสนใจข้อความทางคุณหรอก      ผมว่าเขามีนวัตกรรมในการทำงานมากเพียงพอรวมถึงวิธีการทำงานโนฮาวต่าง ๆ    รวมถึงแผนงานแต่ะปีในแต่ละโรงงาน      ถ้าอยากเปิดอย่างที่คุณว่าจริงยังไงบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะต้องย้ายออกจากประเทศไทยตามแผนหน้าเสื่อที่วางไว้ครับ 
เขาคงไม่สนใจที่จะไปแข่งขันอะไรตามที่คุณว่าหรอก    ประเทสไหนดี เขาก็เอาเอานั้น  เขาดูภาพความน่าลงทุนเป็นหลักครับ   ลงทุนที่ไหนได้ผลตอบแทนสูงสุดเขาเอาอันนั้น     เขาไม่มาสนใจแข่งขันนอะไรแบบไหนอย่างที่คุณว่าหรอก

ผมทำงานอยู่นี่  10 ปี เวลาจะขึ้นประกอบเครื่องยนต์ทีรอคนญี่ปุ่นมาจัดการชี้แนวทางให้  แผนงานก็มาจากคนญี่ปุ่น การวาง Process  ก็มาจากคนญี่ปุ่นเป็นหลักมาปรับใช้ในไทยนิดหน่อย   ไม่ใช่คนไทยไม่มีฝีมือน่ะครับ  แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่ปล่อยโนฮาวออกมาหรือไม่ได้ให้เราคิดเองแต่ต้องคิดตามแนวทางของเค้า   
หลายอยางเป็นแต่ความลับแทบทั้งนั้น    งานส่วนใหญ่สามารถนำไปประกอบที่ประเทศอื่นได้ทั่วอาเซียน   เพราะงานต้นแบบจริง ๆ อยู่ในกำมือคนญี่ปุ่น
เขาพร้อมที่จะไปทุกเมื่อหรือเคลื่อนย้ายฐานการผลิต  เอกสารสำคัญคนญีปุ่นจะถือเก็บไว้เวลาต้องเคลื่อนย้ายฌโรงงานเขารู้ว่าจะเอาอะไรไป
แผนงานมันมีอยู่แล้วเกือบทุกบริษัท    ผมอยากรุ้ว่าเปิดเสรีขนาดนั้น  คุณจะไปแข่งกับใครเพราะสุดท้ายความพ่ายแพ้ก็จะตกกับเราเอง
รัฐบาลทำได้คือควบคุมเรื่องมาตรการภาษีและเรื่องมลพิษ กฎหมายแรงงาน เพื่อควบคุมบริษัทเหล่านี้ให้ไปตามกลไกที่กำหนด
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 18, 2015, 12:39:12
ผมก็นึกว่ากระทู้นี้จบไปแล้วนะ

Prado  ใช้แชซซีย์ที่เรียกว่าแทบจะเหมือนกันกับ Fortuner  เลยบางอย่างด้านหลังจะไม่เหมือนมันมีจุดเยอะกว่า  
แล้วเรื่องการเปิดเสรีเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์    ถ้าท่านคิดว่าพร้อมเปิดให้คนตกงานเป็นแสนคนได้เชิญเปิดเลย ครับ ภายใน 10 ปีโรงงานเราจะทยอยปิดไป
คนญี่ปุ่นเขาคงไม่คิดแบบท่านเพื่อให้เกิดการแข่งขันหรอก  ไม่งั้นเค้าจะมาลงทุนบ้านเราทำไม   ถ้ารัฐบาลไทยไม่มีอะไรไปซัพพอร์ตให้เค้า
การที่เค้าเปิด AEC  เพื่อให้มันเกิดการเคลื่อนย้ายตลาดแรงงานและการตลาดในการขายสินค้าของนายทุนข้ามชาติ      คนได้ประโยชน์จริง ๆ คือทุนยักษ์ใหญ่ที่เป็นคนผลักดันให้เปิดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร      การเคลื่อนย้ายโรงงานปัจจุบันทำได้ไม่ยากแค่รอเวลาเท่านั้นเองประเทศไหนน่าลงทุนก็เอาอันนั้น

ใครที่อยากแข่งอยากมโนจะเอานั่นเอานี่  เมื่อถึงเวลานั้นจากที่มีรายได้ทำธุรกิจส่วนตัวเดือนนึงหลายแสนจะอยู่ได้หรือเปล่า  เพราะคนตกงานมากมายเศรษฐกิจมันก็เปลี่ยนไปอีกแบบนึง    ราคารถยนต์อาจถูกลงจริงแต่คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจะซื้อ  



แปะจากเม้นเก่า สงสัยคุณ auto ไม่ได้ดู

อุตสาหกรรมนี้เป็น export oriented sector เช่นเดียวกับ HDD และ เครื่องแอร์  แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แล้วการเปิดเป็นเสรีมากขึ้นใน domestic market จะซวย export performance จนเจ๊งปิดโรงงานกันยังไงไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ เพราะพวกคุณต้องการ ปกป้องกันสุดโต่งเกินไป ตลอดกาลและตลอดไป โดยไม่ได้ส่งเสริมให้พวกในประเทศโดยเฉพาะพวกทำชิ้นส่วนนอนรอแต่ labour cost advantage ไม่ยอมขยับ upstream ใน value chain ทำให้ อุตสาหกรรมตอนนี้ เสียcompetitiveness  ลองไปศึกษา infant industry argument คร่าวๆเอาเองครับ  
 ผมก็บอกแล้วไง  คนญี่ปุ่นเขาคงไม่มาสนใจข้อความทางคุณหรอก      ผมว่าเขามีนวัตกรรมในการทำงานมากเพียงพอรวมถึงวิธีการทำงานโนฮาวต่าง ๆ    รวมถึงแผนงานแต่ะปีในแต่ละโรงงาน      ถ้าอยากเปิดอย่างที่คุณว่าจริงยังไงบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะต้องย้ายออกจากประเทศไทยตามแผนหน้าเสื่อที่วางไว้ครับ  
เขาคงไม่สนใจที่จะไปแข่งขันอะไรตามที่คุณว่าหรอก    ประเทสไหนดี เขาก็เอาเอานั้น  เขาดูภาพความน่าลงทุนเป็นหลักครับ   ลงทุนที่ไหนได้ผลตอบแทนสูงสุดเขาเอาอันนั้น     เขาไม่มาสนใจแข่งขันนอะไรแบบไหนอย่างที่คุณว่าหรอก

ผมทำงานอยู่นี่  10 ปี เวลาจะขึ้นประกอบเครื่องยนต์ทีรอคนญี่ปุ่นมาจัดการชี้แนวทางให้  แผนงานก็มาจากคนญี่ปุ่น การวาง Process  ก็มาจากคนญี่ปุ่นเป็นหลักมาปรับใช้ในไทยนิดหน่อย   ไม่ใช่คนไทยไม่มีฝีมือน่ะครับ  แต่คนญี่ปุ่นเขาไม่ปล่อยโนฮาวออกมาหรือไม่ได้ให้เราคิดเองแต่ต้องคิดตามแนวทางของเค้า    
หลายอยางเป็นแต่ความลับแทบทั้งนั้น    งานส่วนใหญ่สามารถนำไปประกอบที่ประเทศอื่นได้ทั่วอาเซียน   เพราะงานต้นแบบจริง ๆ อยู่ในกำมือคนญี่ปุ่น
เขาพร้อมที่จะไปทุกเมื่อหรือเคลื่อนย้ายฐานการผลิต  เอกสารสำคัญคนญีปุ่นจะถือเก็บไว้เวลาต้องเคลื่อนย้ายฌโรงงานเขารู้ว่าจะเอาอะไรไป
แผนงานมันมีอยู่แล้วเกือบทุกบริษัท    ผมอยากรุ้ว่าเปิดเสรีขนาดนั้น  คุณจะไปแข่งกับใครเพราะสุดท้ายความพ่ายแพ้ก็จะตกกับเราเอง
รัฐบาลทำได้คือควบคุมเรื่องมาตรการภาษีและเรื่องมลพิษ กฎหมายแรงงาน เพื่อควบคุมบริษัทเหล่านี้ให้ไปตามกลไกที่กำหนด

เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมนี่อย่างเดียวนะ เพราะตอนนี้ HDD ก็กำลังมีแววแล้ว แต่ด้านนั้น เค้าโดนปัจจัยเรื่อง innovation ใหม่ๆกำลังมาแทนที่
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ เมษายน 18, 2015, 12:41:04
ลองคิดง่าย ๆ  ให้โรงงานประกอบรถยนต์คิดตัวเลขต้นทุนคนงานเปลี่ยนเป็นวันล่ะ 500  บาท   คิดว่ามีบริษัทไหนในประเทศไทยกล้าที่จะจ้างคนงานไทยต่อไหม
ทุกคนคิดหมดว่าจะไปลงทุนประเทศไหนต่อดี    เรื่องแข่งขันน่ะไม่มีทางเพราะบ้านเราไม่ได้ทำรถปอร์เช่ เฟอรรารี่ ที่ผลิตวันนึงไม่เยอะขายคันนึงหลายล้านบาท    โรงงานนึงคนงานไม่กี่คน

แต่โตโยต้า มิตซูโรงงานเดียวมีคนกี่พันคน  ไหนจะผู้ผลิตต่อเนื่องอีกเป็นหมื่นคน  เพราะเป็นงาน Mass มูลค่ารถมันก็แค่คันล่ะ 5-6 แสนบาท  จะไปเทียบกับมูลค่าอีกโรงงานนึงไม่ได้     จะไปเพิ่มมูลค่ายังไงไม่ทราบเพื่อให้สอดรับกับค่าแรงหรือการแข่งขันที่สูงขึ้นได้   เกินกว่า 300  เกรงว่าจะปิดโรงงานกันหมด


เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ถ้าจะเพิ่มมูลค่าตามที่คุณว่ามา   ต้องให้กะบะตอนเดียววีโก้ ไทรทัน ขายคันล่ะ1 ล้าน  รถ 4 ประตูขายกันคันล่ะ 2ล้านล่ะครับแล้วยอดขายรถยนต์ต้องเท่าเดิมด้วยนะ    แรงงานไทยอยู่ได้จริง  ตามที่คุณบอกแน่นอนครับ นั่นละเพิ่ม Value  ของผลิตภัณท์แน่นอน
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 18, 2015, 12:53:05

เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมนี่อย่างเดียวนะ เพราะตอนนี้ HDD ก็กำลังมีแววแล้ว แต่ด้านนั้น เค้าโดนปัจจัยเรื่อง innovation ใหม่ๆกำลังมาแทนที่

บ้านเรามันเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนาน ถ้าจะคุยถึงเรื่อง human capital คงออกนอกเรื่องรถไปไกลลามไปถึงการเมืองเกรงว่าเวปนี้จะไม่เหมาะแก่การสนทนาแบบนั้น ในวันนึงที่คนในประเทศเราพัฒนามากขึ้นค่าแรงเราเพิ่มมากขึ้นวันนั้นคุณจะได้เห็นการแข่งขันแบบที่คุณต้องการเองแหละครับ แต่ปัจจุบันยังทำแบบนั้นไม่ได้บ้านเราไม่ได้แข็งแรงพอเพื่อจะรับต่อการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันขนาดนั้น พอแค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะลามไปเรื่องอื่นเยอะเกินไป
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 18, 2015, 12:56:37
ลองคิดง่าย ๆ  ให้โรงงานประกอบรถยนต์คิดตัวเลขต้นทุนคนงานเปลี่ยนเป็นวันล่ะ 500  บาท   คิดว่ามีบริษัทไหนในประเทศไทยกล้าที่จะจ้างคนงานไทยต่อไหม
ทุกคนคิดหมดว่าจะไปลงทุนประเทศไหนต่อดี    เรื่องแข่งขันน่ะไม่มีทางเพราะบ้านเราไม่ได้ทำรถปอร์เช่ เฟอรรารี่ ที่ผลิตวันนึงไม่เยอะขายคันนึงหลายล้านบาท    โรงงานนึงคนงานไม่กี่คน

แต่โตโยต้า มิตซูโรงงานเดียวมีคนกี่พันคน  ไหนจะผู้ผลิตต่อเนื่องอีกเป็นหมื่นคน  เพราะเป็นงาน Mass มูลค่ารถมันก็แค่คันล่ะ 5-6 แสนบาท  จะไปเทียบกับมูลค่าอีกโรงงานนึงไม่ได้     จะไปเพิ่มมูลค่ายังไงไม่ทราบเพื่อให้สอดรับกับค่าแรงหรือการแข่งขันที่สูงขึ้นได้   เกินกว่า 300  เกรงว่าจะปิดโรงงานกันหมด


เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ถ้าจะเพิ่มมูลค่าตามที่คุณว่ามา   ต้องให้กะบะตอนเดียววีโก้ ไทรทัน ขายคันล่ะ1 ล้าน  รถ 4 ประตูขายกันคันล่ะ 2ล้านล่ะครับแล้วยอดขายรถยนต์ต้องเท่าเดิมด้วยนะ    แรงงานไทยอยู่ได้จริง  ตามที่คุณบอกแน่นอนครับ นั่นละเพิ่ม Value  ของผลิตภัณท์แน่นอน

ตลอกเวลาที่ผ่านมา อุตสาหกรรมไทยนี้ อยู่เกือบท้ายๆของvalue chain ใน global auto industry ในอดีตคุณขาย labour cost advantage ได้ผล แต่ปัจจุบันคุณก็ยังพยายามโฆษณาขาย สิ่งที่คุณคิดว่าเป็น advantage แต่มันไม่ใช่อีกแล้วเพราะ ต่างประเทศได้ cost advantage ไปแล้ว  ขณะเดียวกันคุณก็ไม่สามารถขยับ upstream เช่นเข้าสู่การผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อน ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น (มี value added) ไม่ได้เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณไม่ได้เร่งพัฒนาสร้างจุดแข็งอื่นๆ โดยเฉพาะ human capital ซึ่งเป็น long-term determinant ของ competitiveness และเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการขยับ upstream  เพราะเนื่องจากมีกำแพงภาษีสุดโหด คุณสบายๆพึ่ง ค่าแรงถูกๆมาตลอดไม่ได้ดิ้นรนพัฒนาอะไร  

ตอนนี้มาเจอ deadlock เข้าให้แล้ว คงต้องโทษตัวพวกคุณเองครับ ที่ไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้น่าสนใจ มีศักยภาพ ดึงดูดในสายตาของพวก บ. ต่างชาติ และชะตากรรมก็เสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ

ปล. อีกเรื่องพวกคุณยังไม่โต้เลยนะ ว่ากลัวอะไรกันกับ domestic market ในเมื่อ อุตสาหกรรมนี้มันเป็น export oriented
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: MacH1 ที่ เมษายน 18, 2015, 12:59:48

เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมนี่อย่างเดียวนะ เพราะตอนนี้ HDD ก็กำลังมีแววแล้ว แต่ด้านนั้น เค้าโดนปัจจัยเรื่อง innovation ใหม่ๆกำลังมาแทนที่

บ้านเรามันเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งคงจะเป็นแบบนี้ต่อไปอีกนาน ถ้าจะคุยถึงเรื่อง human capital คงออกนอกเรื่องรถไปไกลลามไปถึงการเมืองเกรงว่าเวปนี้จะไม่เหมาะแก่การสนทนาแบบนั้น ในวันนึงที่คนในประเทศเราพัฒนามากขึ้นค่าแรงเราเพิ่มมากขึ้นวันนั้นคุณจะได้เห็นการแข่งขันแบบที่คุณต้องการเองแหละครับ แต่ปัจจุบันยังทำแบบนั้นไม่ได้บ้านเราไม่ได้แข็งแรงพอเพื่อจะรับต่อการเปลี่ยนแปลงแบบกระทันหันขนาดนั้น พอแค่นี้ก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะลามไปเรื่องอื่นเยอะเกินไป

คุณมีเวลาตั้ง 40 กว่าปีเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมนี้  แต่ไม่ได้ทำอะไรเรื่อง human capital สร้างคุณภาพ ความสามารถ ทักษะความรู้ให้บุคลากรภายในประเทศเลยเนี่ยนะครับ สาเหตุนึงเลยคือพวกคุณอยู่สบายเกินไป เคยตัวเพราะมีกำแพงภาษีมาช่วย

พวก HDD ที่ตั้งฐานหลังพวกคุณหลายปี เค้ายังพยายามดิ้นรนมากกว่าพวกคุณเลย  
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ เมษายน 18, 2015, 20:05:57

รถยนต์ 1200 CC นี่เป็น สินค้าฟุ่มเฟือยเหรอครับ
ทำ ข่นส่งมวลชน ทั่วประเทศดีๆ สิ แล้วค่อยมาอ้าง

ผมว่า รถ มันไม่ใช่ สินค้าฟุ่มเฟือยนะ

แต่รถหรูนะ อาจจะใช่
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Koong ที่ เมษายน 18, 2015, 21:01:01
1. จขกท ใช้คำว่า พวกคุณ  พวกคุณ พวกคุณ เยอะมาก หรือว่าคุณไม่อยากเป็นพวกเราแล้วหรือ แต่เรายังอยากให้คุณเป็นพวกเราอยู่นะ ดูคุณก็เป็นผู้มีความรู้ที่ดีคนนึง  แตกต่างได้ แต่อย่าแตกแยก   ถ้าเปลี่ยนคำว่าพวกคุณเป็นพวกเราได้  ข้อความที่คุณโพสจะอ่านแล้วรู้สึกดีขึ้นมาทันที

2. เรื่องกฎหมาย หรือ พรบ ต่างๆ    มันก็เหมือนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บางครั้งก็ต้อวเขียนตรรกะป้องกันไว้หลายๆชั้น ป้องกันบัค  อย่างกรณีนี้ก็เช่นกัน  แค่ค่าการปล่อยมลพิษไม่พอหรอก ต้อง มีจำกัดซีซี เข้ามาด้วย

 เหตุผลก็อย่างที่บอก    รถเครื่องโตๆ  ที่วางในรถคันเล็ก  ผลการทดสอบ อาจจะทำตัวเลขได้ดีกว่า  รถเครื่องเล็กที่คันใหญ่กว่าบางรุ่น   ตัวเลขที่เอามาโชว์ดูสวยหรู  
      แต่การใช้งานจริง  คนขับรถเครื่องใหญ่ๆ แรงๆ คงไม่ได้ได้ตามมาตรฐานทีใช้ทดสอบแน่ๆ  ยามใดที่รีบ ที่เร่ง   มีเท่าไหร่เหนียบหมด   คุณคิดว่ารถเครื่อง 2000  เหยียบมิด  กับรถเครื่อง 3000 เหยียบมิด  ใครปล่อยมลภาวะ  ใครเผาผลาญพลังงานมากกว่ากัน
     มองในแง่ดี เขาก็เลยต้องเอา ซีซี  มาคุมไว้อีกชั้นหนึ่ง    มองในแง่ร้าย คือการกีดกัน การค้า   แต่ประเทศอื่นเขาก็ทำกัน  ปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ฯลฯ 
    เราก็แค่ต้องซื้อรถเครื่องใหญ่ๆ ที่แพงมากๆ  หรือบางคนก็ไม่สามารถที่จะมีรถแบบนั้นขี่ได้เลย   แต่ถามว่ามันจำเป็นไหม   ก็แล้วแต่จะคิด   ทุกวันนี้บ้านเราก็มีรถให้เลือกขับจนนับไม่ถ้วนแล้ว ถึงจะแพงไปหน่อยตอนออกรถใหม่  แต่ก็สามารถหาซื้อกันได้ตามใจฉัน   
    นี่ถ้าไปเกิดในฮ่องกง  ในสิงคโป   หรือในญี่ปุ่น  ไม่อกแตกตายกันหรอ  รถถูกแต่ไม่มีสิทธิซื้อ ถึงซื้อได้  ซื้อมาแล้วก็ยุ่งยากมากความ  ขับเร็วเกินก็ไม่ได้ ทำผิดกฏจราจร ไม่ใช่แค่ปรับเงิน แต่ถึงขั้นยึดใบขับขี่ห้ามขับกันไปเลย   อยู่เมืองไทยสบายสุดๆแล้ว  ยังจะเอาอะไรกันอีก   กะอีแค่จะไม่มีโอากศขับรถเครื่องใหญ่ๆที่ราคาไม่แพง....
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: Sinplug ที่ เมษายน 20, 2015, 09:19:13
สำหรับผมเรื่องภาษีรถยนต์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงคิดภาษีไปที่ค่า Co2 แทนความจุไม่เกิน 3,000 CC ผมว่าเริ่มเป็นแนวทางตามยุโรปขึ้นอีกนิดแต่ไม่มากเท่าไรแต่ก็ยังดีกว่าภาษีตัวเก่าพอสมควร ส่วนเครื่องเบนซินเท่าที่เคยใช้งาน V6 3.0 ดีเซลเทอร์โบกับ V6 3.0 เบนซินเทอร์โบ ขับทางไกล ลอยตัวไปเร็ว ไม่เหนือยทั้งดีเซลและเบนซินและประหยัดและนิ่งกว่าเครื่องบล็อกเล็ก 4 สูบ เมื่อเดินทางไกล  V6 3.0 ดีเซลประหยัดกว่า V6 3.0 เบนซิน แต่ถ้าในเมืองก็กินทั้งคู่แต่ดีเซลกินน้อยกว่า ส่วนไปลุย Offroad เบนซินก็ไม่แพ้ดีเซลในบล็อกเท่ากัน แต่จะให้ดีขอเครื่องเบนซิน N/A ส่วนดีเซลจะมีเทอร์โบหรือไม่มีก็ได้ ส่วนตัวเคยใช้เครื่อง V8 เบนซิน N/A เพราะชอบเครื่องบล๊อกใหญ่ทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะใช้งานได้อเนกประสงค์และลุยได้ถึงใจมากกว่า กดนิดเดียวก็ลากตัวถังหนักๆได้สบายๆ ยิ่งลอยตัวแล้วแทบไม่ต้องเชนเกียร์ช่วยในการเร่งแซงหรือทำความเร็วเลย
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ เมษายน 20, 2015, 12:04:52

อ่านไปอ่านมา งงเลย
นี่มันเรื่องอะไร

ตกลง รถดีเซล เครื่องขนาดเท่ากันกับเบนซิน ด้วยโหลดเท่ากัน มันประหยัดกว่าใช่ไหม ?
การที่รถใหญ่ มีค่าปล่อย co2 ต่ำไม่ได้แปลว่ามันประหยัดใช่ไหม ?
ทุกวันนี้ มันมีสองทางคือ
ทางหนึ่ง มลพิษ
ทางหนึ่งประหยัด
จะเอาทางไหน ?

ตกลงกระทู้นี้ คุยเรื่อง มลพิษ หรือ ประหยัด ผมว่ามันคนละอย่างกันเลยนะครับ ?????
แล้วเรื่อง การลงทุน นะครับ

ตอนนี้ บ้านเรา ไม่สามรถผลิต รถได้เอง เพราะไม่มีการสนุบสนุน จากทุกภาคส่วน


ผมในฐานะ คนขี้ข้าในอุตสหกรรม รถยนต์
บอกได้เลย ว่า ทุกค่าย ทุกแบรน

เราชอบอวยตัวเราว่าเก่ง อย่างโน้น อย่างนี้ ช่างไทยเก่งแบบนั้นแบบนี้ พูดข้าม ซ๊อตไปถึงขั้น ทำรถเอง
รถยนต์นะครับ ไม่ใช่ งานเชื่อม งัดแกะ

เราคิดว่า ประเทศไทย เก่งเจ็ง
แต่จริงๆ แล้วไม่เลยครับ
ตอนนี้ เราแค่รับจ้างผลิตได้แค่นั้น
รถยนต์ หนึ่งคัน มีเป็น หมื่นๆ มาตราฐาน หากรวม
คนไทยยังรู้ไม่หมดเลย

ยอมรับความจริงเถอะครับ ว่าเรา .....
ความจริงเค้าเลือกเราเป็นฐานเพราะ ค่าแรงและ ความพร้อมด้านการลงทุน
ไม่ใช่เพราะเรามี บุคลาการ เก่งๆ หรอกครับ

เปิดตา เปิดใจครับ

ที่ผมเกลียดที่สุดคือ พวกคนชั้นสูงที่ยกตัวเอง ว่าจบสูงมา รู้เยอะ
หารู้ไม่
ถ้าไม่มี แรงงาน ค่าแรง ต่ำๆ ทำงาน สายตัวแทบขาด
หลายๆคน ก็ไม่ได้อยู่ สุขสบาย รับเงินเดือนสูง office บริบัทิข้ามชาติหรอกครับ


หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: localgame ที่ เมษายน 20, 2015, 12:46:21

อ่านไปอ่านมา งงเลย
นี่มันเรื่องอะไร

ตกลง รถดีเซล เครื่องขนาดเท่ากันกับเบนซิน ด้วยโหลดเท่ากัน มันประหยัดกว่าใช่ไหม ?
การที่รถใหญ่ มีค่าปล่อย co2 ต่ำไม่ได้แปลว่ามันประหยัดใช่ไหม ?
ทุกวันนี้ มันมีสองทางคือ
ทางหนึ่ง มลพิษ
ทางหนึ่งประหยัด
จะเอาทางไหน ?

ตกลงกระทู้นี้ คุยเรื่อง มลพิษ หรือ ประหยัด ผมว่ามันคนละอย่างกันเลยนะครับ ?????


อันนี้คือถามใช่มั้ยครับ ไม่ได้ประชดหรืออะไรใช่รึเปล่า ถ้าถามผมตอบเผื่อเลยแล้วกัน
ตกลง รถดีเซล เครื่องขนาดเท่ากันกับเบนซิน ด้วยโหลดเท่ากัน มันประหยัดกว่าใช่ไหม ?
ส่วนใหญ่ดีเซลประหยัดกว่า
การที่รถใหญ่ มีค่าปล่อย co2 ต่ำไม่ได้แปลว่ามันประหยัดใช่ไหม ?
ส่วนใหญ่ค่าco2ที่ปล่อยออกมามันจะควบคู่ไปกับการเผาผลาญเชื่อเพลิง ถ้ารถประหยัดมากๆจะปล่อยco2ต่ำ สังเกตุจากตารางข้างบนๆ
ทุกวันนี้ มันมีสองทางคือ
ทางหนึ่ง มลพิษ
ทางหนึ่งประหยัด
จะเอาทางไหน ?
มันควบคู่กันไปนะครับ ถ้าประหยัดก็ปล่อยมลพิษน้อย

ตกลงกระทู้นี้ คุยเรื่อง มลพิษ หรือ ประหยัด ผมว่ามันคนละอย่างกันเลยนะครับ ?????
คุยเรื่องเครื่องเกิน3000cc. แต่บอกถึงผลกระทบของเครื่อง 3000cc.ว่าด้วยมันกินน้ำมัน+ปล่อยมลพิษมากกว่าเครื่องบล็อกเล็ก และแนบข้อมูลเรื่องดีเซล+เบนซินบล็อกโต
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ เมษายน 20, 2015, 13:04:50
ขอบคุณ สำหรับคำตอบครับ คุณ localgame
ผมถามจริงๆ ครับ ไม่ไดประชด
แบบว่า ผมเห็น งัดข้อมูล แย้งกันไปแย้งกันมาเลย สับสน

ส่วนเรื่องการลงทุน อันนั้นผมประชดเฉยๆ แค่อยาก ระบาย
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ เมษายน 20, 2015, 13:30:39
คุณ Ivy Modernist
ไม่ใช่ คนไทยเหรอครับ ถึงใช้คำว่าพวกคุณ

พวกคุณ ในนั้น ก็คือ คุณ Ivy Modernist ด้วยไหมครับ ถ้าใช่

โดยส่วนตัว
ผมมองว่า
เราปกป้อง ผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศเสมอ เพราะเหตุผลด้านการลงทุน

ถามว่าผมเห็นด้วยกับคุณ Ivy Modernist นี่ เรื่องภาษีงี่เง่า

ถ้าอยากให้ตลาดรถมัน บูมจริงๆ
ก็ ลด
เพราะในเมื่อคุณ เก็บ TAX มหาโหด มาหลายสิบปี พวกคุณคนไทย ก็ทำได้แค่ขยายถนน
แทนที่จะไปลงทุน
เพราะอะไร เพราะ หาก ข่นส่งมวลชน มันดี รถคงขาย้อยลง หากยังทำราคารถมาแบบนี้

ทำยังไง ให้รถเป็นของฟุ่มเฟือย จริงๆ
ก็แค่ ลดภาษี ให้ราคา รถ มันสามารถ ซื้อมา แล้วโยนทิ้งได้แบบต่างประเทศ สิครับ แบบนี้ิเรียกฟุ่มเฟือย
เหมือนกับที่ กะบะ ข่นส่ง มันเกลื่อนเตนซ์รถ ทุกวันนี้ละ
แล้วยิ่ง eco car นี่ แทบจะ ซื้อง่ายขายคล่องเลย
ดูยอดขาย eco car กับ กะบะ ข่นส่ง พวกเราก็คงรู้ ว่าจะแก้ปัญหา ตลาดรถงี่เง่านี่ยังไงนะครับ ฝากด้วยครับ

เลิกซะเถอะ ภาษี ขูดเลือดขูดเนื้อ ประชาชนเนี่ย
ลดภาษี สิครับลด ๆ ๆ แล้ว รถจะขายดีกว่านี้ รวมถึง เก๋ง SUV ที่ผลิตในบ้านเรา
ไม่ใช่ มัวแต่ตกอยู่ ภายใต้ อิทธิพล ของค่ายรถบางค่ายแบบนี้
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: warez ที่ เมษายน 20, 2015, 23:13:18
หลายคน หลายเหตุผล หลายความคิด ไม่มีใครผิดครับ

ผมเข้ามาเห็นด้วยกับคุณ Ivy ครับ โดยจะขอแชร์ประสบการณ์
เนื่องจากได้สัมผัสเครื่องยนต์เบนซินบล็อกเล็ก (1.5 - 2.0)
 บล็อกกลาง (V6 3.0 V6 3.5)  และพวกดีเซลคอมมอนเรลยุคปัจจุบันมาพอสมควร

รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 , 3.5 ไม่ได้กินน้ำมันขนาดที่หลายคนคิดจริงๆ ขับเรื่อยๆ ตามกฎหมายกำหนด มีเลข 12-13 กม/ ลิตร
ให้ท่านเห็นแน่ๆ ข้อนี้ผมลองมาแล้วใน Holden Commodore ที่้เครื่อง 3.6 V6 SIDI ฉีดตรง วิ่งในแถบ Queensland Australia ที่อากาศร้อน และคุณภาพน้ำมันไม่ได้หนีเราไปเท่าใดนัก (คันนี้ผมเคยรีวิวไว้ใน HLM เรานี่แหละ ไม่ได้แปะ Link ให้นะครับ)

คันต่อมา คือ KIa Carnival โฉมที่แล้ว ใช้เครื่อง 3.5 V6 เช่นกัน คันนี้ไม่ได้วัดจริงจัง เพราะใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่อัตราการบริโภคก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (แน่นอนครับ มันขับดีกว่า Hyundai H1 คันที่ผมเพิ่งจะออกมาเมื่อปีที่แล้วอยู่เยอะเหมือนกัน) (จะว่าไป H1 ดีเซลนี่ก็เข้าข่ายเครื่องแทรกเตอร์นะ ฮ่าๆ ผมเก็ทมุขนี้จาก Jeremy Clarkson)

และอีกคัน เป็น Accord 3.0 V6 สภาพเดิมๆ คันนี้ใช้ในประเทศไทยเรานี่เอง เดินทางไกลผมทำได้ 12-13 กม/ลิตร เช่นกัน โดยใช้ความเร็วเดินทางปกติ เร่งแซงบ้าง นึกสนุกกดเล่นบ้างบางจังหวะตอนโล่งๆ

ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่าโครงสร้างในบ้านเรามันเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว อาจทำให้เกิดการยอมรับกันไปโดยคิดว่านี่คือเรื่องปกติ

เราลองคิดง่ายๆก็ได้ว่า ถ้าไม่เก็บภาษีในอัตราที่สูงขนาดนี้ คุณภาพชีวิตบนถนนเราจะดีกว่านี้หรือไม่ เอาเงินที่ต้องไปจ่ายภาษีไปใส่ ESP , 7-airbags ซึ่งมันเป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องมีได้หรือยัง ถ้ากลัวผู้ผลิตกั๊กอีก ก็ออกเป็นกฎหมายพื้นฐานไปเลย คิดเล่นๆก็ได้ ถ้ารถทุกคันมี ESP อุบัติเหตุหลุดโค้งข้ามไปชนอีกฝั่ง ลื่นหลุดถนนและอื่นๆ น่าจะน้อยลงไม่มากก็น้อยล่ะ (ไม่มีตัวเลขอ้างอิงนะครับ)

ส่วนเรื่อง Protect อุตสาหกรรมประกอบรถในประเทศ แปลว่าเรายอมรับให้ผู้ผลิตเอาเปรียบจริงๆ เพราะถ้าเราบอกว่าปล่อยภาษี คนก็แห่ไปซื้อรถประกอบนอกกันหมด
อ้าว แปลว่ายอมรับว่ารถประกอบไทยด้อยกว่าจริงๆงั้นสิ (ผมคิดว่ามันต้องเป็นหน้าที่ผู้ผลิตล่ะครับที่จะทำอย่างไรให้คุณภาพมันเทียบเท่ารถที่นำเข้ามา)
แน่นอน โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจะล้มมีครับ ดูตัวอย่างจากออสเตรเลีย รถนำเข้าเยอะแยะไปหมด แต่ Ford Australia , Holden Australia เอ่อ ... ประกาศ lay off กันไปเมื่อช่วงปี 2013 นี่เอง
แต่สุดท้าย ผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์เองก็ได้ประโยชน์อยู่คือได้ใช้รถที่ spec มันครบ

Accord 3.5 Camry 3.5 Altima 3.5   Commodore , Falcon, Mustang mondeo taurus avalon  ... (u name it)  พวกนี้ไม่ได้ถือเป็นของหรูหราเลย มันคือ economical mid size sedan ด้วยซ้ำ เป็นรถที่ทำมาเพื่อให้ใครๆก็จับต้องได้

ตราบใดที่รัฐยังเห็นว่ารถยนต์นั่งเป็นของฟุ่มเฟือย ส่งเสริมรถที่ใช้พื้นแชสซีผมก็มองว่าตลาดในไทยมันก็คงต้องเป็นแบบนี้ คือมีแต่ปิคอัพ และรถเก๋งเล็กๆ ระบบความปลอดภัยแบบปัจจุบัน วิ่งกันเต็มไปหมด

ตอนนี้จริงๆผมก็ยังแอบหวังว่าจะได้เจอ Accord 3.0 V6 ที่เอาเครื่อง 3.0 Earthdreams จากจีนมาลงบ้านเราบ้างหลังจากปรับโครงสร้างภาษีใหม่อยู่ ถ้าในเมื่อ 3.5 มาแล้วราคาจะโดดไปแถวๆ 2.9 ล้านเหมือนเดิมเพราะภาษี แล้วทำไม 3.0 บล็อกใหม่จะไมมีโอกาสได้มาล่ะ

ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณ coolcarrera ครับ คือเคยชี้แจงเหตุผลไปแล้วในกระทู้เก่าๆว่า การ over-protectionism จะทำให้อุตสาหกรรมรถในประเทศ เสื่อม competitiveness เพราะ ผู้ประกอบการในไทยสบาย ชูแต่ labour cost advantage อย่างเดียว ไม่ต้อง ขยับไป upstream ใน value chain มันถึงเกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ที่ พวกค่ายรถชักจะนำเอาชิ้นส่วนจากนอกเข้ามาประกอบขายเป้นรถมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกอวย over-protectionism เค้าเถียงว่า กลัวรถประกอบในขายไม่ได้  จุดนี้ผมโต้ไปแล้วว่า คุณต้องแข่งด้วยคุณภาพ สมรรถนะ และราคาที่จะต้องลดต่ำลงมา ยอมลด margin  เพื่อตั้งรับกับรถนำเข้า  

ส่วนที่พวกเค้าอ้างว่า อุตสาหกรรมในประเทศจะเจ๊ง  ไม่รุ้พวกเค้าลืมไปหรือเปล่าว่า อุตสาหกรรมนี้ พวก transnational corps ตั้งการผลิตเพื่อ export เป็นหลัก พูดง่ายๆ export-oriented sector เช่นเดียวกับ เครื่องแอร์ และ HDD  มันเกี่ยวอะไรกับภาวะ domestic consumption วะนั่น      

พอพูดถึงรถความจุมากกว่า 3000  พวกอวย protectionism ก็กลัวกันมาก โต้กันด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังกันมาว่า รถความจุเยอะกินน้ำมันมาก ปล่อยมลพิษเยอะ   ผมเลยยกตัวอย่าง รถนอกที่ความจุแบบเยอะๆเลย  มาเทียบกับรถในขายดี เช่นกะบะดีเซล   ปรากฏว่า กะบะดีเซลนอกจากพ่นควันพิษเยอะกว่าแล้ว ยังกินน้ำมันไล่ๆกับรถนอกความจุโตเลย   อย่างไรก็ดี พวกอวย protectionism เค้าก็ยังอ้างว่าเทียบกันไม่ได้  ผมงง ก็เอารถนำเข้าที่พวกคุณเชื่อว่ากินน้ำมันๆ มลพิษมากๆ มาเทียบให้เห็นชัดๆแล้วไง  
ตลกดีนะครับยกตัวอย่างรถ1รุ่นแล้วเหมารวมว่าเบนซินเครื่องใหญ่มันประหยัดกว่า เอาง่ายรถบ้านเราW212 E300 กับ W212 E250 CDI ผมเอามาเทียบกันละแรงม้าใกล้เคียงกัน แรงบิดใกล้เคียงกัน CDIก็ปล่อยมลพิษน้อยกว่าประหยัดกว่าด้วย ผมแนะนำว่าคุณมองภาพรวมดีกว่าครับยังไงดีเซลมันก็ประหยัดกว่าเบนซิน แล้วรถเพื่อการพาณิชย์จะให้ใช้เบนซินเครื่องโตเพื่อต้องการแรงบิดไปดีเซลคุ้มกว่าไหมครับ บ้านเรารถติดเฉลี่ยติดท็อปๆของโลกดันจะไปสนับสนุนให้ขายเครื่องเบนซินบล็อกโต เข้าใจว่าขับทางไกลมันประหยัดแต่ในเมืองมันคุ้มหรอ เอารถดีเซลกับเบนซินที่ccเท่ากันมาสตาทเครื่องหรือวิ่งในเมืองยังไงดีเซลก็ประหยัดกว่า ผมไม่ได้ปกป้องรถที่ผลิตในบ้านเราแต่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไปสนับสนุนให้เอาเข้ามาขายในปริมาณมาก ยุโรปรถน้อยกว่าบ้านเราแต่ทำไมไม่เห็นมีใครโหยหารถเครื่องใหญ่ๆเลยครับ

บ้านผมรถไม่ได้ติดเฉลี่ยนท็อปๆของโลกเลยครับ
เผอิญบ้านผมมีจังหวัดหนึ่ง ชื่อว่า กรุงเทพฯ
ซึ่งผู้ปกครองพยายามทำให้มันโตกว่าจังหวัดอื่นเยอะๆ ปัญหาเลยมากเท่านั้นเอง
ทำให้ประเทศไทยคือกรุงเทพฯ ทั้งๆที่กรุงเทพฯไม่มีอะไรเหมือนประเทศไทยเลย
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: 6162002 ที่ เมษายน 21, 2015, 00:29:58
อ่านเพลินดีครับ เห็นด้วยกับหลายๆความเห็น ได้ความรู้ใหม่ๆจากหลายๆท่าน

ฝั่งนึง ทฤษฎีเป๊ะเป็นนักวิชาการสุดโต่ง ไฟแรงหยั่งกะนั่งอยู่ในคลาส Marketing มีวิเคราะห์ Value Proposition ใช้ศัพท์สวยหรู
อีกฝ่ายก็ ทฤษฎีเยี่ยม ออกแนวนักปฏิบัติที่เข้าใจความเป็นจริง ที่อยู่กับทางเลือกที่พอทำได้


เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมนี่อย่างเดียวนะ เพราะตอนนี้ HDD ก็กำลังมีแววแล้ว แต่ด้านนั้น เค้าโดนปัจจัยเรื่อง innovation ใหม่ๆกำลังมาแทนที่

เท่าที่อ่านแล้ว ผมว่า จขกท. ไฟแรง ความรู้ดีนะครับ  ทำเอาผมนึกถึงตัวเองเลย เพิ่งโดนบริษัทส่งไปอบรมทักษะการเป็นผู้นำมา 
อยากจะ Share ว่า 

การพิมพ์ในลักษณะวิจารณ์อย่างเดียว สื่อออกมาในลักษณะที่คุณมีความรู้เป็นคนละชนชั้นกับคนอื่น มันไม่มีทางทำให้คนอื่นคล้อยตามไปได้หรอกครับ
เหมือนนักวิชาการที่พูดแล้วฟังขึ้น แต่มันเอาไปปฏิบัติไม่ได้ และไม่มีใครสนใจจะ Buy-in กับคุณหรอกครับ  (ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน ตอนนี้ตระหนักแล้ว ว่ามันได้แค่ความสะใจส่วนบุคคล แต่ไม่เกิดผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้)

ถ้าคุณเปลี่ยนคำพูด ให้เกียรติคนอื่นมากกว่านี้   

การ Discuss หัวข้อนี้จะสร้างสรรค์ น่าอ่านกว่านี้อีกเยอะเลยครับ >_<
หัวข้อ: Re: โครงสร้างสรรพสามิตใหม่ กับ รถความจุ +3000
เริ่มหัวข้อโดย: mamaman ที่ เมษายน 21, 2015, 07:16:36
อ่านเพลินดีครับ เห็นด้วยกับหลายๆความเห็น ได้ความรู้ใหม่ๆจากหลายๆท่าน

ฝั่งนึง ทฤษฎีเป๊ะเป็นนักวิชาการสุดโต่ง ไฟแรงหยั่งกะนั่งอยู่ในคลาส Marketing มีวิเคราะห์ Value Proposition ใช้ศัพท์สวยหรู
อีกฝ่ายก็ ทฤษฎีเยี่ยม ออกแนวนักปฏิบัติที่เข้าใจความเป็นจริง ที่อยู่กับทางเลือกที่พอทำได้


เพราะที่ผ่านมา พวกคุณไม่ได้พยายามสร้าง value creation อย่างการพัฒนา human capital ไงละครับ คุณไม่สามารถ pitch จุดแข็งอื่นๆเพื่อโน้มน้าวให้พวกต่างชาติสนใจลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมนี้่ได้ เอาชู labour cost advantage อย่างเดียว พึ่งกำแพงภาษีเอา  แล้วตอนนี้เป็นไงก็เห็นๆกันอยู่  นโยบายปกป้องหัวทิ่มที่พวกคุณอวยนั่นแหระครับ คือสาเหตุที่คุณจะแข่งกับคนอื่นไม่ได้

ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมนี่อย่างเดียวนะ เพราะตอนนี้ HDD ก็กำลังมีแววแล้ว แต่ด้านนั้น เค้าโดนปัจจัยเรื่อง innovation ใหม่ๆกำลังมาแทนที่

เท่าที่อ่านแล้ว ผมว่า จขกท. ไฟแรง ความรู้ดีนะครับ  ทำเอาผมนึกถึงตัวเองเลย เพิ่งโดนบริษัทส่งไปอบรมทักษะการเป็นผู้นำมา 
อยากจะ Share ว่า 

การพิมพ์ในลักษณะวิจารณ์อย่างเดียว สื่อออกมาในลักษณะที่คุณมีความรู้เป็นคนละชนชั้นกับคนอื่น มันไม่มีทางทำให้คนอื่นคล้อยตามไปได้หรอกครับ
เหมือนนักวิชาการที่พูดแล้วฟังขึ้น แต่มันเอาไปปฏิบัติไม่ได้ และไม่มีใครสนใจจะ Buy-in กับคุณหรอกครับ  (ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน ตอนนี้ตระหนักแล้ว ว่ามันได้แค่ความสะใจส่วนบุคคล แต่ไม่เกิดผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้)

ถ้าคุณเปลี่ยนคำพูด ให้เกียรติคนอื่นมากกว่านี้   

การ Discuss หัวข้อนี้จะสร้างสรรค์ น่าอ่านกว่านี้อีกเยอะเลยครับ >_<

ผมเห็นด้วยกับ 6162002
เราคือ คนไทยครับ และ คนไทย ก็คือคนไทย ไม่มีใครเหนือไปกว่าใคร จะอวดก็อวดในเรื่อง ที่มีข้อมูล เหตุผล ไม่ใช่ โจมตี ตัดสิน กับ วิจารณ์ จากความคิดตัวเอง

ผมว่า กระทู้นี้มันเพี้ยน ตั้งแต่

เอากะบะดีเซล ไปเทียบ กับ รถเบนซินเครื่องเท่ากัน
แต่ลืมกันไปว่า
กะบะแบก ตัวถังหนักกว่า

ดูตัวอย่างที่เหมาะสม

ลองเอา มาสด้า สองใหม่ ดีเซล 1.5 ( Turbo ) กับ มาสด้า สองเบนซิน 1.5 ( สกายแอคทีฟ )
เอาเครื่องเท่ากัน ตัวถังเดียวกัน วัดกันไปเลยง่ายดี