Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: final ที่ กันยายน 30, 2015, 20:41:41
-
จากที่ได้ศึกษาเรื่องน้ำมันเครื่องมา ได้ความว่าเมืองไทยอากาศร้อน น้ำมันเครื่อง 0w20 จึงบางเกินไป อีกทั้งน้ำมันเครื่องเบอร์บางหรือหนาไม่ได้มีผลต่ออัตราสิ้นเปลือง
แล้วเพราะเหตุใดถึงแนะนำกันว่า eco car ใช้ 0w20 ได้ครับ แต่ถ้าเป็นรถรุ่นอื่นไม่ควรใช้
และทำไมศูนย์ฮอนด้าถึงใช้น้ำมันเครื่อง 0w20 กับรถทุกรุ่นครับ เบอร์อื่นไม่มีให้เลือกด้วย
-
จากที่ได้ศึกษาเรื่องน้ำมันเครื่องมา ได้ความว่าเมืองไทยอากาศร้อน น้ำมันเครื่อง 0w20 จึงบางเกินไป อีกทั้งน้ำมันเครื่องเบอร์บางหรือหนาไม่ได้มีผลต่ออัตราสิ้นเปลือง
แล้วเพราะเหตุใดถึงแนะนำกันว่า eco car ใช้ 0w20 ได้ครับ แต่ถ้าเป็นรถรุ่นอื่นไม่ควรใช้
และทำไมศูนย์ฮอนด้าถึงใช้น้ำมันเครื่อง 0w20 กับรถทุกรุ่นครับ เบอร์อื่นไม่มีให้เลือกด้วย
เพราะเครื่องยนตร์มีแรงม้า/แรงบิดไม่สูง ไม่ได้เน้นการใช้รอบสูงและใช้งานหนัก วิศวะกรเค้าเลยออกแบบมาให้ใช้เบอร์ใสๆไหลหล่อลื่นได้ไวให้อัตราสิ้นเปลืองต่ำไม่ได้เน้นการปกป้องเครื่องยนตร์ที่รอบจัดหรืออุณภูมิสูงมากนักครับ **เบอร์ความหนืดมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองแน่นอนครับคุณลองเอารถพวกนี่ไปเติมเบอร์50ดูสิครับหนืดจนวิ่งไม่ออกแถมกินน้ำมันขึ้นด้วยครับ
-
เบอ 20 หมุน 4-6 พันรอบ บ่อยๆ ไหวไหมครับ
-
เบอร์หนืดมีผลต่ออัตราเร่ง/สิ้นเปลืองแน่นอนครับ
เคยเติมเบอร์ 40 ใส่ CX-5 เบนซิน เพราะตอนนั้นไปน้ำมันพร่องที่ตจว.หาเบอร์ 20 เติมไม่ได้เลยเติม 40 แก้ขัด
ขับหนืดขึ้นสังเกตได้ครับ กลับมากรุงเทพเปลี่ยนเป็น 20 เหมือนเดิมก็ลื่นเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ยังใช้ 20 แต่คอยเช็ค+กรอกทุก 2000-3000 โล
-
ผมเดาว่าลดต้นทุน เลยใส่ 0-W20 มาให้หมด จะได้สต๊อกน้ำมันเบอร์เดียว เบอร์ถูกด้วย กำไร 2 เด้ง อิอิ
ส่วนเรื่องอื่นๆลองค้นกระทู้เก่าๆครับ ความรู้เพียบ
- Lab ที่บอกว่า ประหยัดกว่าทดลองที่อุณภุมิติดลบ
็- HTHS ของ0-W20 มันไม่พอสำหรับเมืองไทย (และพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเลยมั้ง)
-
เบอ 20 หมุน 4-6 พันรอบ บ่อยๆ ไหวไหมครับ
ถ้าเป็นโตโยต้ามีโบรชัวร์ในศุนย์ครับ ไม่แนะนำให้ใช้กับรถที่ใช้งานหนักและรอบสูง เหมาะกับอิโคคาร์ที่ขับใช้งานเรื่อย ๆ เท่านั้น
-
ผมเพิ่งลองมาใช้เบอร์30แทนเบอร์20ได้ประมาณ7พัน กทม
สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนเลยคือ
เสียงเครื่องยนต์เบาลงอย่างชัดเจน(เวลาเริ่งเครื่องเกิน3500รอบนะ)
อย่างที่สองคือเปลืองน้ำมันมากขึ้นครับ
ปกติผมใช้รอบเครื่องไม่สูงอยู่แล้ว แต่ด้วยความอยากรู้เลยลองเบอร์30ซักที
รอบหน้าก็ยังจะลองเบอร์30อีกแต่จะเปลี่ยนเป็นอีกยี่ห้อครับ
-
ผมค่อนข้างเห็นต่างนะครับ และทดลองด้วยตัวเองมาแล้วว่าระหว่างเบอร์ 20 กับเบอร์ 30 และเบอร์ 40
( รถ freed นะครับ ) เบอร์ 30 ผมใช้เกรดสังเคราะห์ปิโตรเลี่ยมชนิดจัดเรียงโมเลกุลให้เท่ากันยี่ห้อหนึ่ง ประหยัดน้ำมันมากกว่า
และมาเปลี่ยอีกครั้งเป็นเบอร์ 40 เกรด pao 100% ยี่ห้อหนึ่ง ก็ให้ความลื่นมากกว่าและประหยัดน้ำมันมากกว่าเช่นกัน
ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง ถ้าหนืดน้อย เครื่องยนต์ก็จะลื่น แต่ กำลังอัดเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง การปกป้องเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง
ตรงข้าม ความหนืดที่มากขึ้น การปกป้องเครื่องยนต์ก็มากขึ้น กำลังอัดเครื่องยนต์ก็มากขึ้น แต่ความลื่นก็จะน้อยลง
แต่ทั้งนี้ความลื่นของเครื่องยนต์มันก็ไม่ได้อยู่ที่ค่าความหนืดอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่คุณภาพน้ำมันเครื่องด้วย
ถ้าน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงเช่น สังเคราะห์แท้ที่ผลิตจาก pao 100% มันจะมีโมเลกุลเท่า ๆ กัน ก็จะให้ความลื่นมาก
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยม แต่บางยี่ห้อที่มีกระบวนการจัดเรียงโมเลกุลปิโตรเลี่ยมให้มีขนาดเท่ากันก็จะให้ความลื่นใกล้เคียงกับชนิด pao ส่วนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยมแต่ไม่ได้จัดเรียงโมเลกุล ก็จะให้ความลื่นน้อยกว่าสองประเภทแรก ที่มีค่าความหนืดเท่ากัน ส่วนถ้าเกรดกึ่งสังเคราะห์นี่ผมไม่ใช่เลยครับ
การที่จะดูว่าค่าความหนืดที่เหมาะสมกับรถเราควรใช้ที่เท่าไหร่ ก็ให้ดูตามคู่มือเลยครับ แล้วก็มาเลือกคุณภาพเลือกเกรดดี ๆ มาใช้กับรถเรา
ก็จะเหมาะสมที่สุด แต่ก็ดูด้วยว่าเราใช้งานอย่างไรนะครับ
จริง ๆ ศูนย์ฮอนด้ามีสองเบอร์นะครับ มีเบอร์ 20 กับเบอร์ 40 แต่ทางศูนย์มักจะเชียร์เบอร์ 20 โดยไม่ได้ดูว่าสเปคตามคู่มือของแต่ละรุ่นกำหนดที่เท่าไหร่ รถ freed คู่มือ กำหนดมาที่ 30 แต่ศูนย์จะให้เบอร์ 20 ตอนออกรถมา พอครบระยะ ถ้าเจ้าของรถไม่บอก ศูนย์ก็จะเอาเบอร์ 20 ให้
ส่วนผมไม่ใช้น้ำมันเครื่องของศูนย์เลยนะครับ หิ้วไปเอง ผมใช้ pao 100 % เบอร์ 40 ครับ
ตอนออกรถ freed มาใหม่ ๆ เบอร์ 20 เวลาขึ้นสะพานสูง จะต้องกดคันเร่งมาก เกียร์ออโต้จะเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำมาก เวลาออกตัวก็เหมือนกัน ต้องกดคันเร่งเยอะ มันเลยสิ้นเปลืองน้ำมันไปตรงนี้ล่ะครับ ( freed มันตัวใหญ่แต่เครื่องเล็ก ความอืดเลยติดตัวมาเป็นธรรมชาติ ) พอมาเปลียนเป็น pao เบอร์ 40 กำลังอัดเครื่องยนต์ก็ดีขึ้นมากครับ และประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมด้วย
ส่วน eco car ก็ใช้เบอร์ 20 ได้ ในคู่มือส่วนใหญ่สำหรับเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ก็กำหนดสเปคมาที่เบอร์ 20
แต่ว่า รถลูกน้องผมสองคัน eco car 1200 cc แต่สี่สูบนะครับ มาเปลี่ยนเป็น pao 100 ตามที่ผมใช้ เจ้าตัวที่ใช้รถทั้งสองคน บอกว่าขับดีกว่าเบอร์ 20 เยอะครับ
กำลังอัดดีขึ้น รถไม่อืด ไม่ต้องกดคันเร่งเยอะ เครื่องนิ่ง เงียบกว่าเดิม กินน้ำมันน้อยกว่าด้วยครับ
ผมว่าโดยสรุปก็จะต้องค่าความหนืดตามคู่มือเป็นหลักซึ่งก็มีเบอร์ 20 30 40 ที่ใช้ได้ ถ้าคู่มือระบุ 30 40 แต่ทางศูนย์เอาเบอร์ 20 ให้ ก็บอกไปเลยครับว่าขอเป็นเบอร์ 30 หรือ 40 แต่ถ้าจะให้ดี หิ้วไปเองดีกว่าครับ น้ำมันเครื่องของศูนย์ทุกค่าย เป็นเกรดกลาง ๆ ยังไม่สูงนัก
แต่ราคาสูงครับ 555 ยกเว้นรถที่สภาพเครื่องยนต์หลวมแล้วก็ต้องไปใช้เบอร์ 50
ถ้าเรากำหนดค่าความหนืดอิงตามคู่มือแล้ว ทีนี้ก็มาเลือกเกรดอีกทีว่าเราควรจะใช้เกรดไหน ส่วนตัวผมใช้เกรดสูงไปเลยครับ แพงกว่าไม่มาก แต่คุ้มครับ เพราะพื้นที่ใช้งานประจำของผมทุกวันต้องไต่ขึ้นสะพานสูง และเวลาออกต่างจังหวัดก็ต้องขับผ่านภูเขาสูงเหมือนกัน ผมเลยเลือกค่าความหนืด 40 แต่เอาเกรดสังเคราะห์ pao 100% ไปเลย
-
ปกติผมใช้ 40 กับ 50 ผมก็เห็นต่างไม่คิดว่า 20 จะดี ปกติยิ่งช่วงกว้างก็จะรองรับช่วงอุณหภูมิของเครื่องได้กว้างกว่า. ที่คู่มือรถก็จะมีแจ้งไว้
ถ้าใช้ 40 มันก็คลอบคลุม ทั้ง 20 กับ 30 อยู่แล้ว
แต่เดิม mobile 1 ก็มีแต่ 50 ตอนนี้มี 40 ด้วย.
ซึ่งมีราคาแพงกว่า 50
ผมเคยถามเซล mobile ทำไม 40 แพงกว่า 50 ซึ่งจริงๆ มันควรถูกกว่า 50
เซลตอบว่า. ใช่ มันควรถูกกว่า 50. แต่ตอนนี้ปริมาณผลิตออกมาน้อยกว่าต้นทุนสูงกว่า
เซลบอกว่าใช้ 50 ดีแล้ว.
สรุป 40 หรือ 50 ก็ได้ แต่ 20 ผมว่าไม่ควร ครับ
-
ความหนา หรือ ที่เราเรียกว่าความหนืด ถ้ามองที่อุณหภูมิทำงานของรถแต่ละคัน จะเห็นว่าไม่เท่ากัน
น้ำมันเครื่องจากรถ Eco ผมดู เกจวัดน้ำมันเครื่องในอ่างไม่เคยเกิน 90 เลยครับ(ติดเกจ์เพิ่มในMarch)
แต่ไปดูรถขนาด 1.8 2.0 ที่ขาย ๆกัน ผมเห็นกระโดดไป 100-120 กันเลย โดยเฉพาะ Mazda นี่อ่างร้อนมาก ๆครับ
ถ้าเอาสเปคน้ำมันมาดูจะเห็นว่าราว ๆ 20องศาที่ต่างกันน้ำมันจะต่างกัน1 เบอร์พอดี ถ้าเอากฎข้อนี้เป็นเกณฑ์ รถ Eco car ใช้น้ำมันเบอร์ 20 ก็เหมือนรถใหญ่กว่าใช้เบอร์ 30-40 พอดี
ก็เรียกว่าหนาพอจะปกป้องเครื่องยนต์ในการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าเอาไปอัด แปลงโน่น เพิ่มนี่ลงไปคงไม่เหมาะครับ
Honda Civic FD เป็นรถที่ผมพบเองว่าผนังสูบฝั่งแรงเหวี่ยงมีรอยมากแบบเห็นได้ชัดกว่ายี่ห้ออื่นรุ่นอื่น ๆอยู่เลยทีเดียว ใช้กล้องร้อยท่อผ่านรูหัวเทียนไปส่องดูได้ไม่ยากครับ รุ่นFB ผมยังไม่มีโอกาศได้ส่อง แต่เชื่อว่ากลุ่มที่ใช้เบอร์ 20 มาตลอด คงไม่ต่างกัน
-
จากที่ผมอ่านๆมา รถเก๋งเบนซิน 1.5-2.0 cc ถ้าเครื่องยังใหม่สภาพสมบูรณ์ดีอยู่ใช้เบอร์ 30 ถ้าเครื่องใช้งานมาเกิน 1.5 แสนโลขึ้นไปแล้วใช้เบอร์ 40 ถูกต้องไหมครับ ???
-
ผมค่อนข้างเห็นต่างนะครับ และทดลองด้วยตัวเองมาแล้วว่าระหว่างเบอร์ 20 กับเบอร์ 30 และเบอร์ 40
( รถ freed นะครับ ) เบอร์ 30 ผมใช้เกรดสังเคราะห์ปิโตรเลี่ยมชนิดจัดเรียงโมเลกุลให้เท่ากันยี่ห้อหนึ่ง ประหยัดน้ำมันมากกว่า
และมาเปลี่ยอีกครั้งเป็นเบอร์ 40 เกรด pao 100% ยี่ห้อหนึ่ง ก็ให้ความลื่นมากกว่าและประหยัดน้ำมันมากกว่าเช่นกัน
ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง ถ้าหนืดน้อย เครื่องยนต์ก็จะลื่น แต่ กำลังอัดเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง การปกป้องเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง
ตรงข้าม ความหนืดที่มากขึ้น การปกป้องเครื่องยนต์ก็มากขึ้น กำลังอัดเครื่องยนต์ก็มากขึ้น แต่ความลื่นก็จะน้อยลง
แต่ทั้งนี้ความลื่นของเครื่องยนต์มันก็ไม่ได้อยู่ที่ค่าความหนืดอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่คุณภาพน้ำมันเครื่องด้วย
ถ้าน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงเช่น สังเคราะห์แท้ที่ผลิตจาก pao 100% มันจะมีโมเลกุลเท่า ๆ กัน ก็จะให้ความลื่นมาก
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยม แต่บางยี่ห้อที่มีกระบวนการจัดเรียงโมเลกุลปิโตรเลี่ยมให้มีขนาดเท่ากันก็จะให้ความลื่นใกล้เคียงกับชนิด pao ส่วนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยมแต่ไม่ได้จัดเรียงโมเลกุล ก็จะให้ความลื่นน้อยกว่าสองประเภทแรก ที่มีค่าความหนืดเท่ากัน ส่วนถ้าเกรดกึ่งสังเคราะห์นี่ผมไม่ใช่เลยครับ
การที่จะดูว่าค่าความหนืดที่เหมาะสมกับรถเราควรใช้ที่เท่าไหร่ ก็ให้ดูตามคู่มือเลยครับ แล้วก็มาเลือกคุณภาพเลือกเกรดดี ๆ มาใช้กับรถเรา
ก็จะเหมาะสมที่สุด แต่ก็ดูด้วยว่าเราใช้งานอย่างไรนะครับ
จริง ๆ ศูนย์ฮอนด้ามีสองเบอร์นะครับ มีเบอร์ 20 กับเบอร์ 40 แต่ทางศูนย์มักจะเชียร์เบอร์ 20 โดยไม่ได้ดูว่าสเปคตามคู่มือของแต่ละรุ่นกำหนดที่เท่าไหร่ รถ freed คู่มือ กำหนดมาที่ 30 แต่ศูนย์จะให้เบอร์ 20 ตอนออกรถมา พอครบระยะ ถ้าเจ้าของรถไม่บอก ศูนย์ก็จะเอาเบอร์ 20 ให้
ส่วนผมไม่ใช้น้ำมันเครื่องของศูนย์เลยนะครับ หิ้วไปเอง ผมใช้ pao 100 % เบอร์ 40 ครับ
ตอนออกรถ freed มาใหม่ ๆ เบอร์ 20 เวลาขึ้นสะพานสูง จะต้องกดคันเร่งมาก เกียร์ออโต้จะเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำมาก เวลาออกตัวก็เหมือนกัน ต้องกดคันเร่งเยอะ มันเลยสิ้นเปลืองน้ำมันไปตรงนี้ล่ะครับ ( freed มันตัวใหญ่แต่เครื่องเล็ก ความอืดเลยติดตัวมาเป็นธรรมชาติ ) พอมาเปลียนเป็น pao เบอร์ 40 กำลังอัดเครื่องยนต์ก็ดีขึ้นมากครับ และประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมด้วย
ส่วน eco car ก็ใช้เบอร์ 20 ได้ ในคู่มือส่วนใหญ่สำหรับเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ก็กำหนดสเปคมาที่เบอร์ 20
แต่ว่า รถลูกน้องผมสองคัน eco car 1200 cc แต่สี่สูบนะครับ มาเปลี่ยนเป็น pao 100 ตามที่ผมใช้ เจ้าตัวที่ใช้รถทั้งสองคน บอกว่าขับดีกว่าเบอร์ 20 เยอะครับ
กำลังอัดดีขึ้น รถไม่อืด ไม่ต้องกดคันเร่งเยอะ เครื่องนิ่ง เงียบกว่าเดิม กินน้ำมันน้อยกว่าด้วยครับ
ผมว่าโดยสรุปก็จะต้องค่าความหนืดตามคู่มือเป็นหลักซึ่งก็มีเบอร์ 20 30 40 ที่ใช้ได้ ถ้าคู่มือระบุ 30 40 แต่ทางศูนย์เอาเบอร์ 20 ให้ ก็บอกไปเลยครับว่าขอเป็นเบอร์ 30 หรือ 40 แต่ถ้าจะให้ดี หิ้วไปเองดีกว่าครับ น้ำมันเครื่องของศูนย์ทุกค่าย เป็นเกรดกลาง ๆ ยังไม่สูงนัก
แต่ราคาสูงครับ 555 ยกเว้นรถที่สภาพเครื่องยนต์หลวมแล้วก็ต้องไปใช้เบอร์ 50
ถ้าเรากำหนดค่าความหนืดอิงตามคู่มือแล้ว ทีนี้ก็มาเลือกเกรดอีกทีว่าเราควรจะใช้เกรดไหน ส่วนตัวผมใช้เกรดสูงไปเลยครับ แพงกว่าไม่มาก แต่คุ้มครับ เพราะพื้นที่ใช้งานประจำของผมทุกวันต้องไต่ขึ้นสะพานสูง และเวลาออกต่างจังหวัดก็ต้องขับผ่านภูเขาสูงเหมือนกัน ผมเลยเลือกค่าความหนืด 40 แต่เอาเกรดสังเคราะห์ pao 100% ไปเลย
รบกวนบอกยี่ห้อน้ำมันเครื่องได้มั้ยครับ น่าสนใจมาก pao 100%
-
ความหนา หรือ ที่เราเรียกว่าความหนืด ถ้ามองที่อุณหภูมิทำงานของรถแต่ละคัน จะเห็นว่าไม่เท่ากัน
น้ำมันเครื่องจากรถ Eco ผมดู เกจวัดน้ำมันเครื่องในอ่างไม่เคยเกิน 90 เลยครับ(ติดเกจ์เพิ่มในMarch)
แต่ไปดูรถขนาด 1.8 2.0 ที่ขาย ๆกัน ผมเห็นกระโดดไป 100-120 กันเลย โดยเฉพาะ Mazda นี่อ่างร้อนมาก ๆครับ
ถ้าเอาสเปคน้ำมันมาดูจะเห็นว่าราว ๆ 20องศาที่ต่างกันน้ำมันจะต่างกัน1 เบอร์พอดี ถ้าเอากฎข้อนี้เป็นเกณฑ์ รถ Eco car ใช้น้ำมันเบอร์ 20 ก็เหมือนรถใหญ่กว่าใช้เบอร์ 30-40 พอดี
ก็เรียกว่าหนาพอจะปกป้องเครื่องยนต์ในการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าเอาไปอัด แปลงโน่น เพิ่มนี่ลงไปคงไม่เหมาะครับ
Honda Civic FD เป็นรถที่ผมพบเองว่าผนังสูบฝั่งแรงเหวี่ยงมีรอยมากแบบเห็นได้ชัดกว่ายี่ห้ออื่นรุ่นอื่น ๆอยู่เลยทีเดียว ใช้กล้องร้อยท่อผ่านรูหัวเทียนไปส่องดูได้ไม่ยากครับ รุ่นFB ผมยังไม่มีโอกาศได้ส่อง แต่เชื่อว่ากลุ่มที่ใช้เบอร์ 20 มาตลอด คงไม่ต่างกัน
รบกวนสอบถามครับ อุณหภูมิน้ำมันเครื่องของ jazz gk อยู่ที่เท่าไหร่ครับคุณแจ และควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไรครับ
-
แล้วน้ำมันเครื่องตัวไหนของยี่ห้อไหนเหมาะกับเมืองไทยบ้างคับ
-
ถ้าขับไม่โหด ไม่เล่นรอบบ่อย เบอร์นี้ใช้ได้สบายครับ
-
ผมค่อนข้างเห็นต่างนะครับ และทดลองด้วยตัวเองมาแล้วว่าระหว่างเบอร์ 20 กับเบอร์ 30 และเบอร์ 40
( รถ freed นะครับ ) เบอร์ 30 ผมใช้เกรดสังเคราะห์ปิโตรเลี่ยมชนิดจัดเรียงโมเลกุลให้เท่ากันยี่ห้อหนึ่ง ประหยัดน้ำมันมากกว่า
และมาเปลี่ยอีกครั้งเป็นเบอร์ 40 เกรด pao 100% ยี่ห้อหนึ่ง ก็ให้ความลื่นมากกว่าและประหยัดน้ำมันมากกว่าเช่นกัน
ค่าความหนืดของน้ำมันเครื่อง ถ้าหนืดน้อย เครื่องยนต์ก็จะลื่น แต่ กำลังอัดเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง การปกป้องเครื่องยนต์ก็จะน้อยลง
ตรงข้าม ความหนืดที่มากขึ้น การปกป้องเครื่องยนต์ก็มากขึ้น กำลังอัดเครื่องยนต์ก็มากขึ้น แต่ความลื่นก็จะน้อยลง
แต่ทั้งนี้ความลื่นของเครื่องยนต์มันก็ไม่ได้อยู่ที่ค่าความหนืดอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่คุณภาพน้ำมันเครื่องด้วย
ถ้าน้ำมันเครื่องคุณภาพสูงเช่น สังเคราะห์แท้ที่ผลิตจาก pao 100% มันจะมีโมเลกุลเท่า ๆ กัน ก็จะให้ความลื่นมาก
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยม แต่บางยี่ห้อที่มีกระบวนการจัดเรียงโมเลกุลปิโตรเลี่ยมให้มีขนาดเท่ากันก็จะให้ความลื่นใกล้เคียงกับชนิด pao ส่วนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ผลิตจากปิโตรเลี่ยมแต่ไม่ได้จัดเรียงโมเลกุล ก็จะให้ความลื่นน้อยกว่าสองประเภทแรก ที่มีค่าความหนืดเท่ากัน ส่วนถ้าเกรดกึ่งสังเคราะห์นี่ผมไม่ใช่เลยครับ
การที่จะดูว่าค่าความหนืดที่เหมาะสมกับรถเราควรใช้ที่เท่าไหร่ ก็ให้ดูตามคู่มือเลยครับ แล้วก็มาเลือกคุณภาพเลือกเกรดดี ๆ มาใช้กับรถเรา
ก็จะเหมาะสมที่สุด แต่ก็ดูด้วยว่าเราใช้งานอย่างไรนะครับ
จริง ๆ ศูนย์ฮอนด้ามีสองเบอร์นะครับ มีเบอร์ 20 กับเบอร์ 40 แต่ทางศูนย์มักจะเชียร์เบอร์ 20 โดยไม่ได้ดูว่าสเปคตามคู่มือของแต่ละรุ่นกำหนดที่เท่าไหร่ รถ freed คู่มือ กำหนดมาที่ 30 แต่ศูนย์จะให้เบอร์ 20 ตอนออกรถมา พอครบระยะ ถ้าเจ้าของรถไม่บอก ศูนย์ก็จะเอาเบอร์ 20 ให้
ส่วนผมไม่ใช้น้ำมันเครื่องของศูนย์เลยนะครับ หิ้วไปเอง ผมใช้ pao 100 % เบอร์ 40 ครับ
ตอนออกรถ freed มาใหม่ ๆ เบอร์ 20 เวลาขึ้นสะพานสูง จะต้องกดคันเร่งมาก เกียร์ออโต้จะเปลี่ยนลงมาเกียร์ต่ำมาก เวลาออกตัวก็เหมือนกัน ต้องกดคันเร่งเยอะ มันเลยสิ้นเปลืองน้ำมันไปตรงนี้ล่ะครับ ( freed มันตัวใหญ่แต่เครื่องเล็ก ความอืดเลยติดตัวมาเป็นธรรมชาติ ) พอมาเปลียนเป็น pao เบอร์ 40 กำลังอัดเครื่องยนต์ก็ดีขึ้นมากครับ และประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิมด้วย
ส่วน eco car ก็ใช้เบอร์ 20 ได้ ในคู่มือส่วนใหญ่สำหรับเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ก็กำหนดสเปคมาที่เบอร์ 20
แต่ว่า รถลูกน้องผมสองคัน eco car 1200 cc แต่สี่สูบนะครับ มาเปลี่ยนเป็น pao 100 ตามที่ผมใช้ เจ้าตัวที่ใช้รถทั้งสองคน บอกว่าขับดีกว่าเบอร์ 20 เยอะครับ
กำลังอัดดีขึ้น รถไม่อืด ไม่ต้องกดคันเร่งเยอะ เครื่องนิ่ง เงียบกว่าเดิม กินน้ำมันน้อยกว่าด้วยครับ
ผมว่าโดยสรุปก็จะต้องค่าความหนืดตามคู่มือเป็นหลักซึ่งก็มีเบอร์ 20 30 40 ที่ใช้ได้ ถ้าคู่มือระบุ 30 40 แต่ทางศูนย์เอาเบอร์ 20 ให้ ก็บอกไปเลยครับว่าขอเป็นเบอร์ 30 หรือ 40 แต่ถ้าจะให้ดี หิ้วไปเองดีกว่าครับ น้ำมันเครื่องของศูนย์ทุกค่าย เป็นเกรดกลาง ๆ ยังไม่สูงนัก
แต่ราคาสูงครับ 555 ยกเว้นรถที่สภาพเครื่องยนต์หลวมแล้วก็ต้องไปใช้เบอร์ 50
ถ้าเรากำหนดค่าความหนืดอิงตามคู่มือแล้ว ทีนี้ก็มาเลือกเกรดอีกทีว่าเราควรจะใช้เกรดไหน ส่วนตัวผมใช้เกรดสูงไปเลยครับ แพงกว่าไม่มาก แต่คุ้มครับ เพราะพื้นที่ใช้งานประจำของผมทุกวันต้องไต่ขึ้นสะพานสูง และเวลาออกต่างจังหวัดก็ต้องขับผ่านภูเขาสูงเหมือนกัน ผมเลยเลือกค่าความหนืด 40 แต่เอาเกรดสังเคราะห์ pao 100% ไปเลย
รบกวนบอกยี่ห้อน้ำมันเครื่องได้มั้ยครับ น่าสนใจมาก pao 100%
pm ไปบอกแล้วนะครับ
-
ขอข้อมูลด้วยคนครับ
ทั้งยี่ห้อ ดีสุด รองลงมา พอรับได้ ขอบคุณครับ
-
ผมเปลี่ยนจากสังเคราห์ 0W-20 เป็น 5W-30 แต่เป็นสังเคราะห์สูตร 3
ในรถ Eco car 3 สูบ
ผมว่ามันวิ่งดีขึ้นมาก เงียบลง ประหยัดไม่ต่างจากเดิมครับ
-
รบกวนสอบถามครับ อุณหภูมิน้ำมันเครื่องของ jazz gk อยู่ที่เท่าไหร่ครับคุณแจ และควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไรครับ
Jazz GK ผมยังไม่เห็นใครเจาะอ่างติดOil temp นะครับ และก็ยังไม่มีใครที่ผมรู้จักใช้รุ่นนี้ติด Sensor หรือ oil Cooler กับรถบ้าน ๆเลยไม่มีข้อมูล
แต่ถ้าเอาข้อมูลจากรุ่นเก่า Oil temp ก่อน Oil Cooler (ไม่ใช่อ่างนะครับ ) อยู่ราว ๆ ไม่เกิน 120 ต่ำ ๆ ก็ 10x ช่วงฝนตก ๆ อากาศพอเย็น ๆหน่อย
ผมเดาว่าที่อ่างของมันคงราว ๆ 90-100 อยู่ครับ
ผมแอบเห็น Vios ตัวปัจจุบันมีเบ้าที่หล่อปิดไว้ตรงก้นอ่าง คิดว่า น่าจะสามารถเจาะใส่ Oil Level Sensor ซึ่งเป็น Oil Temp ในตัวได้ด้วย ถ้ามีใครใช้รุ่นนี้ ลองติดดูแล้ว รบกวนขอข้อมูลด้วยครับ
-
ใช้ almera อยู่ เลย 10000 กิโลแรกมาก็เปลี่ยนมาใช้ 5w-40 ตลอด
-
ผมเคยใช้เบอร์ 5w-50 กับ Jazz แล้วอืดมากครับ กินน้ำมันกว่าเดิมด้วย แถม Soluna โฉมหยดน้ำเดิมๆ ยังแซงได้อ๊ะ! แต่เสียงเครื่องเงียบดี
พอเปลี่ยนมาเป็น 0w-30 แล้ววิ่งลื่นขึ้นมากมาย เหมาะกับทุกความเร็วดี
ส่วน 0w-20 นี่ลื่นมากครับ เหมาะกับการขับเรื่อยๆ ประหยัดน้ำมันที่ย่านความเร็วปกติ แต่พอขยี้คันเร่งหน่อยนี่รู้สึกรอบมันตวัดเร็วเกินไป และเสียงเครื่องคำรามได้น่ากลัวมาก สงสารเครื่องยนต์มากครับ :'(
ดังนั้นผมจึงสรุปได้ว่า eco car ส่วนใหญ่ไม่ต้องการแรงเสียดทานที่สูงมาก เพื่อความประหยัดน้ำมัน และลดภาระของเครื่องยนต์เมื่อใช้งานที่ความเร็วปกติ เขาจึงแนะนำเป็นเบอร์ 20 ให้ครับ ถ้าจะใส่เบอร์ 30 ก็ไม่เสียหายอะไร ตราบใดที่ไม่เกินค่าที่คู่มือแนะนำ แต่ถ้าจะใส่เบอร์ 50 นี่ผมไม่แนะนำอย่างแรง เว้นแต่จะเอาโมไปผูกโบทำกำลังอัดสูงๆ ถึงแนะนำครับ (จริงๆ เบอร์ 40 ก็เหลือเฟือแล้วมั้ง)
-
อย่าว่าแต่ eco car เลยครับ crv ของผมศูนย์ฮอนด้า
ก็ใช้ 0w20 ครับ ไม่รู้ดีไม่ดีเหมือนกัน
-
ถึง จขกท. เป็นประเภทถามแล้วทิ้งกระทู้ ผมเห็นหลายกระทู้และหลายบอร์ดละ แต่ก็จะตอบให้ครับ คนอื่นได้ประโยชน์
0W-20 ทุกรุ่น ไม่ได้เหมาะสำหรับ Eco Car เสมอไป เหมือนที่ผมเคยเถียงกะคนๆ นึงแทบตาย
เพราะเขาอ้างว่าศูนย์ H ระบุ 0W-20 ได้ มันก็ต้องใช้ได้ แต่คุณคิดว่ามาตรฐานน้ำมันมันเท่ากันทุกตัวไหม?
เฉพาะเจ้า March น้อย ผมใช้ 0W-20 มาหลายยี่ห้อแล้ว บอกอารมณ์ตามนี้เลยครับ
0W-20 ศูนย์ (Shell HX8) 7,000 โล ก็จะไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นขับโอเค
0W-20 บางจาก Eco Syn วาล์วดัง เร่งแล้วครางเป็นเจ้าเข้า ห่วยมาก
0W-20 ENEOS Sustina แจ่มแมว พ้นหมื่นโลยังเงียบ ประหยัดจริงสมคำร่ำลือ
0W-20 SUNOCO Svelt แจ่มแมว แต่ความทนในการหล่อลื่นสู้ตัวบนไม่ได้
เคยให้ศูนย์ใส่ 5W-40 อยู่รอบนึง น่าจะของ Shell ตัวเก่า ผลคืออืดและกินน้ำมันครับ ในเมืองนี่ +2 กม./ลิตร
แต่ที่ดีคือเครื่องเงียบ และเวลาเร่งก็ยังเบา ชนิดว่าได้ยินแต่เสียงบดยาง
รอบต่อไป ผมก็มี 5W-30 Havoline DS Pro ECO5 รออยู่ เดี๋ยวก็รู้กัน
ส่วนอีกคัน X-Trail T31 ไม่น่าเชื่อว่าใส่ 5W-40 Motul TRD ประหยัดกว่า 5W-30 หลายยี่ห้อ แถมขับลื่นกว่าทุกรอบ
Eco Car แรงน้อย เหมาะกะน้ำมันแรงต้านต่ำจริง แต่ทางที่ดี เอา 0W-20 ยี่ห้อที่ดีกว่าปกติสักนิดเถอะครับ ถ้ารักรถ
-
ผมใช้มาสด้า 2 ใกล้ครบแสนโล เข้าศูนย์ตลอด น้ำมันศูนย์ 0w20 จดน้ำมันทุกถังตั้งแต่รับรถ
เคยใช้ คาสตอลของศูนย์ 5w30
เรื่องอัตราเร่งอะไรผมไม่อยากเอาความรู้สึกมาเทียบน่ะ แต่ที่เห็นๆ คือ กินน้ำมันมากขึ้น เฉลี่ยตลอด 6เดือนที่อยู่กะมันเกือบ 2 โลต่อลิตร
-
ถึง จขกท. เป็นประเภทถามแล้วทิ้งกระทู้ ผมเห็นหลายกระทู้และหลายบอร์ดละ แต่ก็จะตอบให้ครับ คนอื่นได้ประโยชน์
0W-20 ทุกรุ่น ไม่ได้เหมาะสำหรับ Eco Car เสมอไป เหมือนที่ผมเคยเถียงกะคนๆ นึงแทบตาย
เพราะเขาอ้างว่าศูนย์ H ระบุ 0W-20 ได้ มันก็ต้องใช้ได้ แต่คุณคิดว่ามาตรฐานน้ำมันมันเท่ากันทุกตัวไหม?
เฉพาะเจ้า March น้อย ผมใช้ 0W-20 มาหลายยี่ห้อแล้ว บอกอารมณ์ตามนี้เลยครับ
0W-20 ศูนย์ (Shell HX8) 7,000 โล ก็จะไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นขับโอเค
0W-20 บางจาก Eco Syn วาล์วดัง เร่งแล้วครางเป็นเจ้าเข้า ห่วยมาก
0W-20 ENEOS Sustina แจ่มแมว พ้นหมื่นโลยังเงียบ ประหยัดจริงสมคำร่ำลือ
0W-20 SUNOCO Svelt แจ่มแมว แต่ความทนในการหล่อลื่นสู้ตัวบนไม่ได้
เคยให้ศูนย์ใส่ 5W-40 อยู่รอบนึง น่าจะของ Shell ตัวเก่า ผลคืออืดและกินน้ำมันครับ ในเมืองนี่ +2 กม./ลิตร
แต่ที่ดีคือเครื่องเงียบ และเวลาเร่งก็ยังเบา ชนิดว่าได้ยินแต่เสียงบดยาง
รอบต่อไป ผมก็มี 5W-30 Havoline DS Pro ECO5 รออยู่ เดี๋ยวก็รู้กัน
ส่วนอีกคัน X-Trail T31 ไม่น่าเชื่อว่าใส่ 5W-40 Motul TRD ประหยัดกว่า 5W-30 หลายยี่ห้อ แถมขับลื่นกว่าทุกรอบ
Eco Car แรงน้อย เหมาะกะน้ำมันแรงต้านต่ำจริง แต่ทางที่ดี เอา 0W-20 ยี่ห้อที่ดีกว่าปกติสักนิดเถอะครับ ถ้ารักรถ
ไม่ได้ทิ้งกระทู้ครับ ผมทิ้งตรงไหนหรอ???