Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: กด9เพื่อกลับสู่เมนูหลัก ที่ ธันวาคม 27, 2015, 01:06:39
-
กระทู้นี้ผมฝากถึงผู้บริหาร benz ประเทศไทยนะครับ เพราะคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นช่องทางให้ท่านได้เห็นความคิดเห็นของลูกค้า ดีกว่าส่งเมล์ไปบริษัทแล้วก็มีแต่พนักงานระดับล่างๆเป็นผู้อ่าน
ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม benz ต้องยัดเยียดไฮบริด ผมกำตังค์เกือบ3ล้าน เพื่อจะซื้อ C class
แต่กลายเป็นว่ารุ่นที่ไม่ใช่ไฮบริด ออฟชั่นน้อยกว่ารถกะบะอีกครับ กล้องมองหลังยังไม่มีเลย
ต้องถูกดันให้ไปซื้อรุ่นไฮบริด ซึ่งผมก็ลังเล และคิดว่าผมชะลอการซื้อไปก่อนดีกว่า เพื่อรอว่าอาจจะมีรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่ใส่ออฟชั่นมาเยอะกว่านี้
และเท่าที่ผมอ่านกระทู้ทั้งในเว็บแห่งนี้ และที่ mercedes mania ลูกค้าส่วนมากไม่ได้ต้องการรุ่นไฮบริดเลย แต่จำใจซื้อ เพราะต้องการออฟชั่นครบๆ
ทำไม benz ไม่ออกรุ่น C200 ที่ออฟชั่นครบๆ หรือ C250 ก็ได้ ผมเชื่อว่าคนไม่เอาแน่ๆไฮบริดอ่ะ
และในเมื่อคนส่วนมากไม่อยากได้ไฮบริด ท่านจะยัดเยียดมาทำไม ถ้า C250 ไม่มีไฮบริด ราคาเท่ากับ C300 ผมเชื่อว่าคนยอมซื้อ C250 ดีกว่าครับ
ตอนนี้ benz ย่ามใจ กระทำการเช่นนี้ได้ เพราะ BMW F30 สู้ไม่ได้ทั้งดีไซน์ภายนอกและภายใน
ตอนนี้ผมเชียร์ BMW ให้ออก ซีรี่ย์3รุ่นต่อไปออกมาสวยๆ เอาแบบไม่แพ้เบนซ์
ผมไปออก 320D แน่นอน
และผมเชื่อว่าคนที่ไม่ต้องการระบบไฮบริด มีอีกเยอะครับ และมีเป็นจำนวนมาก
ตอนนี้ที่เขายอมซื้อ C300 เพราะมันสดกว่าบีเอ็ม
แต่เมื่อไรที่บีเอ็มออก ซี่รี่ย์3ตัวใหม่
ตอนนั้นแหละครับ คนที่ลังเล ว่าจะเล่น C class หรือ series3 ดี
ย้ายไปบีเอ็มกันหมดแน่ๆ
เพราะอย่างน้อยบีเอ็มก็ไม่ยัดเยียดไฮบริด
-
ผมว่าเป็นเพราะภาษีครับ ยิ่งถ้าเอาตามการปล่อยคาร์บอนของเครื่องยนต์ด้วยแล้วในเครื่องแรงม้าเท่ากัน Benz ยังปล่อยเยอะกว่า BMW อยู่เล็กน้อยครับ
ที่สำคัญลูกค้าถึงไม่ชอบไฮบริดแต่ส่วนใหญ่ก็ยอมรับได้ครับ แต่ปีหน้าคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง
-
รถ Hybrid ได้รับการคิดภาษีที่น้อย และถ้าเอาตามการคิดภาษีใหม่ Hybrid ก็มีแนวโน้มจะรักษาราคาขายเดิมได้เพราะมลพิษน้อย
เลยสามารถเอารุ่นย่อยสูงๆมาขายโดยทำราคาไม่ให้สูงได้เพราะโดนภาษีน้อย
จริงๆ Lexus ก็ทำแบบนี้นะ แต่ก็มีรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่จัดเต็ม แต่ราคาโดดไปไกลพอสมควร
-
ตอบง่ายๆเลยครับ
เพื่อให้ได้อัตราภาษีต่ำ
จะได้ทำราคารถให้ถูกลงมา
แข่งขันในตลาดได้นั่นเองครับ
จริงๆ Hybrid ดีนะครับ
แต่บ้านเรามันไม่ยอมรับ ราคาร่วงเละเทะ
ทำเอาผมก็บอกลา Hybrid ชั่วชีวิตเลยล่ะ
-
ถ้าไม่เอาไฮรบริดมาคุณจะยอมรับกับ เครื่องดีเซลที่จะต้องเติม abblue ที่ลดมลพิษ หรือเปล่าละครับ ตกค่าใช้จ่าย 0.25-0.50 สตางค์ ต่อกิโลลิตรหรือเปล่า ขนาด w212 e250 cdi ก่อน faeslift ราคา 4.2 ล้านไปแล้วนะครับ พอ e300hvตัวเริ่ม ออกมา ทำราคาได้ 3.8 ราคาถูกลง
สวนเรื่องเครื่องดีเซล ธรรมดา ผมว่า ต้องรอดูนะครับว่า ทาง benz เข้าจะเอายังไง พอปล่อย ดีเซลhv มาก็ทำให้คนไปซื้อ bmw s5 เพราะเป็นดีเซลล่วนๆมากกว่า นะครับ
-
กระทู้นี้ผมฝากถึงผู้บริหาร benz ประเทศไทยนะครับ เพราะคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นช่องทางให้ท่านได้เห็นความคิดเห็นของลูกค้า ดีกว่าส่งเมล์ไปบริษัทแล้วก็มีแต่พนักงานระดับล่างๆเป็นผู้อ่าน
ผมไม่เข้าใจว่า ทำไม benz ต้องยัดเยียดไฮบริด ผมกำตังค์เกือบ3ล้าน เพื่อจะซื้อ C class
แต่กลายเป็นว่ารุ่นที่ไม่ใช่ไฮบริด ออฟชั่นน้อยกว่ารถกะบะอีกครับ กล้องมองหลังยังไม่มีเลย
ต้องถูกดันให้ไปซื้อรุ่นไฮบริด ซึ่งผมก็ลังเล และคิดว่าผมชะลอการซื้อไปก่อนดีกว่า เพื่อรอว่าอาจจะมีรุ่นเครื่องยนต์ปกติที่ใส่ออฟชั่นมาเยอะกว่านี้
และเท่าที่ผมอ่านกระทู้ทั้งในเว็บแห่งนี้ และที่ mercedes mania ลูกค้าส่วนมากไม่ได้ต้องการรุ่นไฮบริดเลย แต่จำใจซื้อ เพราะต้องการออฟชั่นครบๆ
ทำไม benz ไม่ออกรุ่น C200 ที่ออฟชั่นครบๆ หรือ C250 ก็ได้ ผมเชื่อว่าคนไม่เอาแน่ๆไฮบริดอ่ะ
และในเมื่อคนส่วนมากไม่อยากได้ไฮบริด ท่านจะยัดเยียดมาทำไม ถ้า C250 ไม่มีไฮบริด ราคาเท่ากับ C300 ผมเชื่อว่าคนยอมซื้อ C250 ดีกว่าครับ
ตอนนี้ benz ย่ามใจ กระทำการเช่นนี้ได้ เพราะ BMW F30 สู้ไม่ได้ทั้งดีไซน์ภายนอกและภายใน
ตอนนี้ผมเชียร์ BMW ให้ออก ซีรี่ย์3รุ่นต่อไปออกมาสวยๆ เอาแบบไม่แพ้เบนซ์
ผมไปออก 320D แน่นอน
และผมเชื่อว่าคนที่ไม่ต้องการระบบไฮบริด มีอีกเยอะครับ และมีเป็นจำนวนมาก
ตอนนี้ที่เขายอมซื้อ C300 เพราะมันสดกว่าบีเอ็ม
แต่เมื่อไรที่บีเอ็มออก ซี่รี่ย์3ตัวใหม่
ตอนนั้นแหละครับ คนที่ลังเล ว่าจะเล่น C class หรือ series3 ดี
ย้ายไปบีเอ็มกันหมดแน่ๆ
เพราะอย่างน้อยบีเอ็มก็ไม่ยัดเยียดไฮบริด
+1 ครับผมก็ไม่ชอบไฮบริดที่ไม่ชอบเพราะที่บ้านผมใช้รถเกิน 15 ปีขึ้นทุกคัน ผมกลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้นอนาคตขี้เกดียดมานั่งซ่อม ปวดหัว
ผมก็ไม่ชอบเลยแบบว่ามัดมือชกเนี้ย
-
งานนี้เรื่องภาษีล้วนๆ สำหรับประเทศเรา ตอนนำเข้า C250 CBU มาขายก็ Options อย่างที่เห็นละครับ ลองเทียบกับ C300 Hybrid ก็จะชัดเจนถึงความแตกต่าง ส่วนต่างราคาน่าจะหลายแสนอยู่ ทาง Benz TH คงมองแล้วว่าหากต้องตั้งราคาแบบ Lexus ก็คงเป็นไปเหมือนกับที่เรารู้สึกกับ Lexus ยอมถูกด่าเรื่อง Hybrid ดีกว่า
เครื่องดีเซลที่ขายในรุ่นปี 2014 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นดีเซลล้วนหรือ Hybrid ต่างก็ต้องเติม AdBlue ทั้งหมดแล้วครับ ตอนนี้ไม่น่ามี Benz ดีเซลรุ่นไหนที่ไม่เติม AdBlue อีกแล้ว
ถ้าไม่เอาไฮรบริดมาคุณจะยอมรับกับ เครื่องดีเซลที่จะต้องเติม abblue ที่ลดมลพิษ หรือเปล่าละครับ ตกค่าใช้จ่าย 0.25-0.50 สตางค์ ต่อกิโลลิตรหรือเปล่า ขนาด w212 e250 cdi ก่อน faeslift ราคา 4.2 ล้านไปแล้วนะครับ พอ e300hvตัวเริ่ม ออกมา ทำราคาได้ 3.8 ราคาถูกลง
สวนเรื่องเครื่องดีเซล ธรรมดา ผมว่า ต้องรอดูนะครับว่า ทาง benz เข้าจะเอายังไง พอปล่อย ดีเซลhv มาก็ทำให้คนไปซื้อ bmw s5 เพราะเป็นดีเซลล่วนๆมากกว่า นะครับ
-
แสดงว่ายอมจ่ายเพิ่มได้เพื่อเล่นเครื่องturboดีเซล
-
กลยุทธ์การขาย การทำราคา การโฆษณา เมื่อมีระบบ hybrid ตัวเลขพวกนี้จะทำง่ายกว่าครับ ไหนจะลดมลพิษ ทำราคาลงมาได้ ประหยัดน้ำมันอีก
-
ไฮบริดคืออนาคตต่อไปในภายภาคหน้า ดังนั้นต้องเริ่มแก้ไขความคิด ปรับตัวใช้มันครับ
-
พอไม่ใช่ระบบhybrid ราคาสูงไปไกลคนก็ซื้อไม่ลงอีก อยากได้ออพชั่นแบบไหนเครื่องยนตร์ตัวไหนสั่งเกรย์เลยครับ จะเอาถูกเงินรถมีประกันก็ซื้อmbth
-
ผมว่าภาษีใหม่ หลายๆค่าย คงจะมีเครื่องยนต์ใหม่ๆมาเป็นตัวเลือกครับ
-
จริงๆ จะขายแค่รุ่นเดียวคือดีเซลไฮบริดก็ขายไปเถอะ ไหนๆ ก็หน้ามืดมัดมือมัดเท้า จับถ่วงน้ำลูกค้าขนาดนี้อ่ะนะ
แต่ถ้าพูดตามตรง ในเมื่อ A กับ CLA เอารุ่น 45AMG มาขายได้ มาแบบไม่หวังมาร์จิ้นด้วย ทำไม C กับ E อาจจะรวมถึง S จะเอารุ่นอื่นมาขายไม่ได้ CBU แพงก็แพงไปสิ จะกลัวอะไร มันจะแพงกว่าเลกซัสซักเท่าไหร่กันเชียว (เผลอๆ ถูกกว่า) ตราดาวแปะอยู่เบ้อเริ่ม ยังไงก็ขายได้ สั่งแบบ import by order ก็ได้หนิ แต่ทำเหมือนอยากให้ไปออกเกรย์กลายๆ
-
ผมว่าน่าจะ "ตัดรุ่นล่างสุดออฟชั่นโล้นๆออกไปเลยดีกว่า"
แล้วปรับออฟชั่นทุกรุ่นเท่ากันไปเลยทุกอย่างให้เลือกเอาว่าจะเอาเครื่องแบบไหน ดีเซล เบนซิล ไฮบริด
คนที่ขับเบนซ์เค้าคงกลัวและไม่สนใจว่ารถจะแพงขึ้นอีกนิดหน่อยหรอกเงินเค้าพร้อมจ่ายอยู่แล้ว ใส่ออฟชั่นเข้ามาครบๆเลย
ปล.รถระดับนี้ รุ่นล่างสุดก็น่าจะเกินล้านอยู่แล้ว ออฟชั่นไม่น่าจะน้อยกว่ารถกระบะได้นะ ^ ^"
-
เห่อะๆผมไม่คาดหวังอะไรกับ mbth แล้วละครับ มัดมือชกจริงๆ
แต่ตอนนี้คาดหวังว่าจะมีอู่นอกที่เก่งๆสามารถยกระบบไฮบริดออกไปได้โดยที่รถไม่มีปัญหาในระยะเวลาอีก
4-5ปี ข้างหน้าได้แต่หวังว่าจะมีทางเลือกในเรื่องการซ่อมบำรุงครับ
ผมเห็นด้วยกับ จขกท ครับ ตอนที่จะซื้อก็ซื้อเพราะ C ใหม่มันดูดีกว่าซีรี่ 3 ในความรู้สึกผมและรถก็เป็นโมเดลใหม่ทั้งหมด
ทั้งนอกและในรถ เลยจำใจเล่น C300 amg ไป ซึ่งใจจริงก็ไม่ได้ว้อนไฮบริดเลยครับ
คันต่อไปแอบเอียงมาทาง bmw มากกว่าล่ะ
ถึงแม้ภายในมันดูไม่หรูหราเท่า benz แค่นั้น ได้อย่างเสียอย่างครับ :'(
-
แนวโน้มอนาคตคงหนีไม่พ้นล่ะครับ เราผู้บริโภคคงต้องทำใจยอมรับกับมันแบบยากจะเลี่ยงได้ แต่ตอนนี้มียี่ห้ออื่นที่ไม่มีไฮบริดในราคาที่พอๆกัน จขกท ไม่ลองดูล่ะครับ
-
ไฮบริดตั้งราคาขายได้ดี
แต่เวลาคนถามผมว่า "น่าเล่นมั้ย" ผมตอบว่าถ้าไม่ได้เตรียมใจรับความจุกจิกกับการเสื่อมสภาพของมันก็อย่าเล่น
ผมอาจจะมีความคิดมั่วๆ แต่ลองดูละกันว่าขนาด Toyota ที่เล่นไฮบริดมาตั้งแต่สมัยที่รถยุโรปบอกว่าไม่เอา ไม่ทำ ไม่ยุ่งกับไฮบริด
ก็ยังเห็นการเสื่อมสภาพได้หลัง 5 ปี
ดังนั้น ผมไม่เล่นไฮบริดเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับคนอื่นอยากเล่นก็ดูลักษณะการใช้งานและความจำเป็นรายตัวไป
แต่ C300 Hybrid ผมไม่ต้องพูดก็คงรู้กันว่าระบบไฮบริดยังไม่เสถียร แต่ถ้าไม่เล่นตัวนี้ก็ไม่มีตัวที่มีออพชั่นดีๆกับแรงดีๆให้เลือก
ในขณะที่ BMW มี..นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจะไปหา 330i มากกว่า C300
และลึกๆผมเห็นด้วยว่าเราน่าจะมีทางเลือกทั้งสำหรับคนที่ชอบ และไม่ชอบไฮบริด เรื่องราคาก็ปล่อยให้มันเป็น
ไปตามกลไกของสรรพสามิตไป สำหรับผมระหว่างรถเบนซินกับไฮบริด ต่อให้เบนซินแพงกว่าอยู่ 200,000 บาท
ผมก็มีแนวโน้มจะเอาเบนซินมากกว่า..เพราะผมใช้รถแต่ละคัน 10 ปีขึ้นทั้งนั้น
-
ผมชอบตอนที่เเบนซ์เอา c250 cbu มาขายเเบบนั้นมากกว่า
-
ผู้บริโภคเป็นฝ่ายเลือกนะครับ ผมก็ไม่ชอบและไม่คิดจะแตะเครื่องไฮบริดเหมือนกัน ทางเลือกเยอะแยะครับทำให้รอได้อีกนานเท่านานจนกว่าระบบไฮบริดจะซ่อมบำรุงถูกลงจนยอมรับได้หรือโดนแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอื่น
ตอนนี้แอบเชียร์รถไฟฟ้าพัฒนาให้มาก้าวแทนที่ไฮบริดไปเลยด้วยซ้ำ รอดูความสำเร็จของเทสล่าที่ทำให้ค่ายอื่นๆหันมาพัฒนารถไฟฟ้าอยู่ครับ ขอแค่ไฮบริดเป็นแค่ทางผ่านก็พอ ผ่านไปเร็วมากแค่ไหนก็ยิ่งดีครับ และทางญี่ปุ่นที่พัฒนารถไฮบริดมาก่อนก็ต้องมาเริ่มพัฒนาเครื่องเทอร์โบตามรถยุโรปแล้วด้วย
ไฮบริดคืออนาคตต่อไปในภายภาคหน้า ดังนั้นต้องเริ่มแก้ไขความคิด ปรับตัวใช้มันครับ
ตอนนี้ยังมีเครื่อง Turbo แบบ Downsizing ให้ใช้อีกครับ และยังไม่แน่ว่าเครื่องไฮบริดจะเป็นอนาคตที่แท้จริงครับ
-
หลักๆผมก็คิดว่าเป็นเรื่องภาษี
แล้วลูกค้าในไทยที่ซื้อรถราคาระดับนี้ได้ ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการซ่อมบำรุง
-
ถ้าราคาน้ำมันในตอนนี้ไม่ถูกขนาดนี้ ผมว่าคนคงเต็มใจเลือกไฮบริดมากขึ้นนะครับ
-
ผมไปเจอเซลล์ benz ที่นึงบอกว่าปีหน้าจะมี c class plug in เข้ามาขายด้วยครับ
-
เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ผมก็เคยบ่นว่าทำไม ไม่ทำเกียร์ธรรมดา
-
ผมว่าน่าจะ "ตัดรุ่นล่างสุดออฟชั่นโล้นๆออกไปเลยดีกว่า"
แล้วปรับออฟชั่นทุกรุ่นเท่ากันไปเลยทุกอย่างให้เลือกเอาว่าจะเอาเครื่องแบบไหน ดีเซล เบนซิล ไฮบริด
คนที่ขับเบนซ์เค้าคงกลัวและไม่สนใจว่ารถจะแพงขึ้นอีกนิดหน่อยหรอกเงินเค้าพร้อมจ่ายอยู่แล้ว ใส่ออฟชั่นเข้ามาครบๆเลย
ปล.รถระดับนี้ รุ่นล่างสุดก็น่าจะเกินล้านอยู่แล้ว ออฟชั่นไม่น่าจะน้อยกว่ารถกระบะได้นะ ^ ^"
ผมว่าทางmbthน่าจะมีการสำรวจลูกค้ามาบ้าง ผมเชื่อว่ามันยังมีตลาดสำหรับคนขับbenzที่อยากขับC-Class แบบออพชั่นน้อยๆอยู่ๆ คือ ประมาณแบบขอแค่เป็นBenz C-Classก็พอ ออพชั่นไม่ได้ต้องการเยอะแต่เน้นราคาไม่แพง แต่ก่อนผมเห็นW204 C180 Coupe ยังขายดีกว่า C250 Coupe
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าคนขับเบนซ์ไม่สนใจว่าจะจ่ายราคาจะแพงขึ้นอีกนิดเพื่อออพชั่น หรือ อุปกรณ์ที่เพิ่มมานี่ผมว่าคงใช้ไม่ได้สำหรับทุกคน
-
เพราะมีคนกลัวแบบ จขกท เยอะครับ
Hybrid เลยยังไม่นิยม โลกเราก็พัฒนาไปเรื่อยๆแหละครับ เทคโนโลยีมาใหม่ตลอด
-
เห็นบ่นๆกันเมื่อ 2-3 ปีก่อนว่าอยากได้ระบบไฮบริดกันเหลือเกิน ในรถระดับนี้บ้าง ตอนนี้ก็จัดกันไปแล้ว หลายๆรุ่น ไม่น้อยหน้าค่ายรถญี่ปุ่น
อยากได้เครื่องดีเซลประหยัดน้ำมัน ก็หามาขายให้ อยากได้เครื่องเบนซินเทอรโบแรงๆก็จัดไป ตามกำลังทรัพย์
พอมาถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตลาดเมืองไทยนี้เดาใจยากจริงๆครับ
-
ไฮบริดตั้งราคาขายได้ดี
แต่เวลาคนถามผมว่า "น่าเล่นมั้ย" ผมตอบว่าถ้าไม่ได้เตรียมใจรับความจุกจิกกับการเสื่อมสภาพของมันก็อย่าเล่น
ผมอาจจะมีความคิดมั่วๆ แต่ลองดูละกันว่าขนาด Toyota ที่เล่นไฮบริดมาตั้งแต่สมัยที่รถยุโรปบอกว่าไม่เอา ไม่ทำ ไม่ยุ่งกับไฮบริด
ก็ยังเห็นการเสื่อมสภาพได้หลัง 5 ปี
ดังนั้น ผมไม่เล่นไฮบริดเป็นการส่วนตัว แต่สำหรับคนอื่นอยากเล่นก็ดูลักษณะการใช้งานและความจำเป็นรายตัวไป
แต่ C300 Hybrid ผมไม่ต้องพูดก็คงรู้กันว่าระบบไฮบริดยังไม่เสถียร แต่ถ้าไม่เล่นตัวนี้ก็ไม่มีตัวที่มีออพชั่นดีๆกับแรงดีๆให้เลือก
ในขณะที่ BMW มี..นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมจะไปหา 330i มากกว่า C300
และลึกๆผมเห็นด้วยว่าเราน่าจะมีทางเลือกทั้งสำหรับคนที่ชอบ และไม่ชอบไฮบริด เรื่องราคาก็ปล่อยให้มันเป็น
ไปตามกลไกของสรรพสามิตไป สำหรับผมระหว่างรถเบนซินกับไฮบริด ต่อให้เบนซินแพงกว่าอยู่ 200,000 บาท
ผมก็มีแนวโน้มจะเอาเบนซินมากกว่า..เพราะผมใช้รถแต่ละคัน 10 ปีขึ้นทั้งนั้น
+1
-
เรื่องภาษีล้วนๆ ครับ และBLUETECH คือไฮ สุดที่ตอนนี้มี ได้ภาพลักษณด้วย
หลายคนใช้บอกไปต่างจังหวัด ใช้น้ำมันถังเดียว บอกประหยัดมาก
-
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9580000040602
ลงทุนตั้งไลน์ประกอบ CKD รถไฮบริดไปหลายร้อยล้าน
ผมว่าเราคงได้ใช้(แบบไม่มีทางเลือก)กันอีกยาวแหละครับ
คิดถึงไลน์อัพเบนซ์ CKD เมื่อก่อน มีเครื่องให้เลือกเยอะมาก
200 250 300 220 CDI 250 CDI 350 CDI
ตอนนี้ C E S เหลือแต่ 200 กับ 300h
-
เพราะมีคนกลัวแบบ จขกท เยอะครับ
Hybrid เลยยังไม่นิยม โลกเราก็พัฒนาไปเรื่อยๆแหละครับ เทคโนโลยีมาใหม่ตลอด
ผมไม่เคยกลัวกับเทคโนโลยีใหม่เลยครับ
แต่ผมมีประสบการณ์กับระบบไฮบริดมาแล้ว
และผมไม่สามารถนำมาเล่าเปิดเผยได้ครับ เพราะผมได้เซ็นสัญญาเอาไว้
ผมพูดได้แค่ว่า ณ ขณะนี้ไฮบริดยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ มันแค่อยู่ในระดับกำลังพัฒนา และไม่เหมาะกับสภาพอากาศ"ร้อน"ของเมืองไทย
ผมไม่ใช่คนที่ไม่เคยใช้ แล้ว "กลัว"
แต่ผมคือผู้ที่เคยใช้มาแล้ว และ "เข็ด" ต่างหากครับ
-
รถยนต์ทุกยี่ห้อต่อไปในอนาคต เป้าประสงค์คือ ลดหรือเลิกการใช้น้ำมัน ครับ
อนาคต ต่อไปจะเป็นมอเตอร์ล้วนๆ ไม่มีเครื่องยนต์ที่เผาใหม้มาเกี่ยวข้อง
Hybrid คือ ขั้นแรกครับ
ขั้นต่อไป
คือ ไฟฟ้าล้วนๆ แบบเสียบปลั๊กชาร์จ
หรือแบบ Fuel Cells (เซลล์เชื้อเพลิง) เช่น ไฮโดรเจน ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ คนยังกลัว Hybrid เรื่อง แบตเตอรี่ที่มีราคาแพง และ ระบบยังพัฒนาไม่เต็มที่
ไม่เหมือนเครื่องยนต์น้ำมันที่พัฒนากันมาเป็นร้อยปีแล้ว
เมื่อสมัยก่อน ก็รับไม่ได้ กับ เครื่องยนต์หัวฉีด หรือ เกียร์ออโต้ ครับ
พอเริ่มพัฒนาถึงจุด ก็ยอมรับกันได้
เดี๋ยว BMW ก็ Hybrid คอยดูซิครับ :)
-
ไม่ชอบ Hybrid เพราะ Hybrid คือภาระของเจ้าของรถในระยะยาว !!!
รถ ไฮบริด มีแหล่งกำเนิดพลังงาน 2 ชุด ทำงานร่วมกัน มีชิ้นส่วนซึ่งมีความ เสี่ยงสูงที่จะชำรุด หลายชิ้นในระบบ อีกทั้ง efficiency ของระบบมีอัตราการเสื่อมค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับ เครื่องยนต์แบบธรรมดา
คนช่างสังเกตุ ที่ขับ Hybrid เป็นประจำ จะรู้สึกถึงประสิทธิภาพของระบบ HB ที่ค่อยๆ ด้อยลง ทีละนิด ทุกๆปี หรือ ทุกๆเดือน เลยทีเดียว....
**ส่วนตัว มีประสบการณ์ กับ รถ Hybrid 2 คัน Camry HB และ Prius .. ตอนขายมีแต่คนกลัว ราคาเลยเน่าอย่างที่เห็นกัน e.g. Prius ออกปี 2011 1.26 ล้าน ---> 2015 ขายได้ 4 แสนหน่อยๆ.....
-
แบตมือถือ แบตPSP เสื่อมเร็วขนาดไหน แบตรถก็เสื่อมพอๆกันแหละครับ
-
เห็นด้วยเช่นกันครับ ยิ่ง Fuel Cell จะมีคนจุดกระแสกลัวรถระเบิดตูมอีกแน่ๆ ;D
ต้องยอมรับว่าตลาดรถบ้านเรา การขายมือสองยังเป็นหนึ่งปัจจัยในการเลือกซื้อรถ อย่างว่าแหละครับเป็นใครก็เจ็บเจอกดราคาหักดิบขนาดนั้น เงินมากเงินน้อยผมก็เสียดาย
รถยนต์ทุกยี่ห้อต่อไปในอนาคต เป้าประสงค์คือ ลดหรือเลิกการใช้น้ำมัน ครับ
อนาคต ต่อไปจะเป็นมอเตอร์ล้วนๆ ไม่มีเครื่องยนต์ที่เผาใหม้มาเกี่ยวข้อง
Hybrid คือ ขั้นแรกครับ
ขั้นต่อไป
คือ ไฟฟ้าล้วนๆ แบบเสียบปลั๊กชาร์จ
หรือแบบ Fuel Cells (เซลล์เชื้อเพลิง) เช่น ไฮโดรเจน ฯลฯ
ปัจจุบันนี้ คนยังกลัว Hybrid เรื่อง แบตเตอรี่ที่มีราคาแพง และ ระบบยังพัฒนาไม่เต็มที่
ไม่เหมือนเครื่องยนต์น้ำมันที่พัฒนากันมาเป็นร้อยปีแล้ว
เมื่อสมัยก่อน ก็รับไม่ได้ กับ เครื่องยนต์หัวฉีด หรือ เกียร์ออโต้ ครับ
พอเริ่มพัฒนาถึงจุด ก็ยอมรับกันได้
เดี๋ยว BMW ก็ Hybrid คอยดูซิครับ :)
-
จริงๆแล้วเทคโนโลสี
แบตของไฮบริด มันควรจะถูกลง
แนวทางมันเปนเช่นนั้น
ยิ่งคนใช้มากผลิตมากแบตก็จะถูกลงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ค่ายรถดูท่าทางไม่ค่อยยอมลดราคาลงเท่าไหร่
เอาจริงๆ ณ วันนี้ นับตั้งแต่เริ่มมีPriusตัวแรกบนโลก
แบตเตอรี่ก็เล็กลงเบาลงถูกลงเยอะมากๆแล้ว
แต่ค่าโสหุ้ยวิธีคำนวนราคาของค่ายรถยังคงวางความเสี่ยงไว้เยอะบวกโหดสุดๆ
ยิ่งอุปกรณอื่นๆพวกอินเวอเตอร์ ในวงการอุตสาหกรรมเองราคาลดลงมาถูกมากๆแล้ว
แต่ในวงการรถยังมีภาพลวง ของการบวกบ้าๆบอๆอยู่
ยังไงก็ตามผมมองว่าเราหนีจากการใช้ระบบไฟฟ้าในรถไม่พ้นแน่ๆ
เครื่องยนต์สันดาปล้วนๆคงเริ่มถดถอย
-
ระบบไฮบริดของเบนซ์มีข้อดีอยู่อย่างนึงที่ไม่เหมือนของญี่ปุ่นคือเมื่อมันเสียรถยังใช้งานได้ปกติแค่กลายร่างจาก C300 Bluetechybrid เป็น C250 Cdi แค่นั้นเองครับ ผมมีประสบการณ์จากที่แบตฯ ช่วยติดเครื่องของ E300 เสียครับ รถขับได้ปกติแค่กินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อยครับ ถ้า จขกท ไม่คิดมากก็ซื้อ C300 แล้วใช้ไปเรื่อยๆ รอระบบไฮบริดมันเสียท่านก็จะได้รถดีเซลธรรมดาๆ คันนึงมาใช้ครับ
-
ระบบไฮบริดของเบนซ์มีข้อดีอยู่อย่างนึงที่ไม่เหมือนของญี่ปุ่นคือเมื่อมันเสียรถยังใช้งานได้ปกติแค่กลายร่างจาก C300 Bluetechybrid เป็น C250 Cdi แค่นั้นเองครับ ผมมีประสบการณ์จากที่แบตฯ ช่วยติดเครื่องของ E300 เสียครับ รถขับได้ปกติแค่กินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อยครับ ถ้า จขกท ไม่คิดมากก็ซื้อ C300 แล้วใช้ไปเรื่อยๆ รอระบบไฮบริดมันเสียท่านก็จะได้รถดีเซลธรรมดาๆ คันนึงมาใช้ครับ
อันนี้ได้คอนเฟิร์มจากทาง Benz TH หรือเปล่าครับ แล้วหาก Motor กับ Inverter เสีย จะยังวิ่งแบบเฉพาะเครื่องได้หรือไม่ครับ
หากทำได้จริง น่าสนใจมากเลยครับ ขอบคุณครับ
-
หึหึหึหึหึ
-
ระบบไฮบริดของเบนซ์มีข้อดีอยู่อย่างนึงที่ไม่เหมือนของญี่ปุ่นคือเมื่อมันเสียรถยังใช้งานได้ปกติแค่กลายร่างจาก C300 Bluetechybrid เป็น C250 Cdi แค่นั้นเองครับ ผมมีประสบการณ์จากที่แบตฯ ช่วยติดเครื่องของ E300 เสียครับ รถขับได้ปกติแค่กินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อยครับ ถ้า จขกท ไม่คิดมากก็ซื้อ C300 แล้วใช้ไปเรื่อยๆ รอระบบไฮบริดมันเสียท่านก็จะได้รถดีเซลธรรมดาๆ คันนึงมาใช้ครับ
อันนี้ได้คอนเฟิร์มจากทาง Benz TH หรือเปล่าครับ แล้วหาก Motor กับ Inverter เสีย จะยังวิ่งแบบเฉพาะเครื่องได้หรือไม่ครับ
หากทำได้จริง น่าสนใจมากเลยครับ ขอบคุณครับ
ผมเคยสงสัย และได้สอบถามจากทางเซลมาแต่ละที่
ตอบไม่เหมือนกันสักคน ความชัดเจนจาก call center
ก็ตอบให้ไม่ได้เหมือนกัน บางคนบอกได้ บางคนบอกไม่ได้
โดยส่วนตัวผมว่าไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากได้จริงๆนะ แล้วผม
เป็น MBTH ผมจะรีบโฆษณา เลย เพราะจะทำให้คน
หันมาใช้มากขึ้นแน่ๆ ชูเป็นจุดขายได้เลย
แต่ในความจริงน่าจะทำไม่ได้มากกว่าครับ
-
ระบบไฮบริดของเบนซ์มีข้อดีอยู่อย่างนึงที่ไม่เหมือนของญี่ปุ่นคือเมื่อมันเสียรถยังใช้งานได้ปกติแค่กลายร่างจาก C300 Bluetechybrid เป็น C250 Cdi แค่นั้นเองครับ ผมมีประสบการณ์จากที่แบตฯ ช่วยติดเครื่องของ E300 เสียครับ รถขับได้ปกติแค่กินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อยครับ ถ้า จขกท ไม่คิดมากก็ซื้อ C300 แล้วใช้ไปเรื่อยๆ รอระบบไฮบริดมันเสียท่านก็จะได้รถดีเซลธรรมดาๆ คันนึงมาใช้ครับ
อันนี้ได้คอนเฟิร์มจากทาง Benz TH หรือเปล่าครับ แล้วหาก Motor กับ Inverter เสีย จะยังวิ่งแบบเฉพาะเครื่องได้หรือไม่ครับ
หากทำได้จริง น่าสนใจมากเลยครับ ขอบคุณครับ
ผมเคยสงสัย และได้สอบถามจากทางเซลมาแต่ละที่
ตอบไม่เหมือนกันสักคน ความชัดเจนจาก call center
ก็ตอบให้ไม่ได้เหมือนกัน บางคนบอกได้ บางคนบอกไม่ได้
โดยส่วนตัวผมว่าไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากได้จริงๆนะ แล้วผม
เป็น MBTH ผมจะรีบโฆษณา เลย เพราะจะทำให้คน
หันมาใช้มากขึ้นแน่ๆ ชูเป็นจุดขายได้เลย
แต่ในความจริงน่าจะทำไม่ได้มากกว่าครับ
เคยคิดแบบนี้ครับ แต่ก็มีอีกมุมนึงมาแย้ง คือถ้าถอดได้จริงๆแล้วไปโฆษณาเนี่ย อัตราคิดภาษีจะเป็นยังไง คิดแบบไหน ถ้าคนที่ซื้อไปถอดระบบไฮบริดออกก็ปล่อยมลพิษเยอะเกินกำหนดไม่เข้าข่ายอัตราภาษีต่ำ แต่สุดท้ายผมก็สรุปได้ว่า รอดูละกัน ถ้ามีคันที่ถอดได้แล้วไม่มีปัญหาค่อยว่ากัน
-
เฮียที่รู้จัก แกใช้เบนซ์ มาตลอดแกเปลี่ยนไปบีเอ็มล่าสุด
แกให้เหตุผลว่า ไฟหน้ามันลิเก
และอีกเหตุผลก็คือเรื่องไฮบริด
-
ระบบไฮบริดของเบนซ์มีข้อดีอยู่อย่างนึงที่ไม่เหมือนของญี่ปุ่นคือเมื่อมันเสียรถยังใช้งานได้ปกติแค่กลายร่างจาก C300 Bluetechybrid เป็น C250 Cdi แค่นั้นเองครับ ผมมีประสบการณ์จากที่แบตฯ ช่วยติดเครื่องของ E300 เสียครับ รถขับได้ปกติแค่กินน้ำมันมากขึ้นนิดหน่อยครับ ถ้า จขกท ไม่คิดมากก็ซื้อ C300 แล้วใช้ไปเรื่อยๆ รอระบบไฮบริดมันเสียท่านก็จะได้รถดีเซลธรรมดาๆ คันนึงมาใช้ครับ
อันนี้ได้คอนเฟิร์มจากทาง Benz TH หรือเปล่าครับ แล้วหาก Motor กับ Inverter เสีย จะยังวิ่งแบบเฉพาะเครื่องได้หรือไม่ครับ
หากทำได้จริง น่าสนใจมากเลยครับ ขอบคุณครับ
ผมเคยสงสัย และได้สอบถามจากทางเซลมาแต่ละที่
ตอบไม่เหมือนกันสักคน ความชัดเจนจาก call center
ก็ตอบให้ไม่ได้เหมือนกัน บางคนบอกได้ บางคนบอกไม่ได้
โดยส่วนตัวผมว่าไม่ได้ เพราะว่าถ้าหากได้จริงๆนะ แล้วผม
เป็น MBTH ผมจะรีบโฆษณา เลย เพราะจะทำให้คน
หันมาใช้มากขึ้นแน่ๆ ชูเป็นจุดขายได้เลย
แต่ในความจริงน่าจะทำไม่ได้มากกว่าครับ
เคยคิดแบบนี้ครับ แต่ก็มีอีกมุมนึงมาแย้ง คือถ้าถอดได้จริงๆแล้วไปโฆษณาเนี่ย อัตราคิดภาษีจะเป็นยังไง คิดแบบไหน ถ้าคนที่ซื้อไปถอดระบบไฮบริดออกก็ปล่อยมลพิษเยอะเกินกำหนดไม่เข้าข่ายอัตราภาษีต่ำ แต่สุดท้ายผมก็สรุปได้ว่า รอดูละกัน ถ้ามีคันที่ถอดได้แล้วไม่มีปัญหาค่อยว่ากัน
ภาษีมันกำหนดออกมาจากหน้าโรงงานผลิตครับ
แล้วก็ถูกรวมไปในวันที่มีการจำหน่ายซื้อขายรถไปแล้ว
พอลูกค้าซื้อรถไปแล้ว เป็นสิทธิของลูกค้าจะแก้ไขดัดแปลง
อะไรก็ได้ ไม่มีผลกับด้านภาษีแล้วครับ เพราะงั้นถ้า
ถอดได้จริง Benz ก็บอกกับลูกค้าได้เลยครับ
เพราะมันถือเป็นสอทธิของลูกค้าแล้วขึ้นอยู่ว่า
จะทำหรือไม่ ... แต่ผมเชื่อว่า ถอดไม่ได้ครับ