Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: mamaman ที่ กุมภาพันธ์ 16, 2016, 14:03:07
-
คือ จากประสบการณ์ ที่ใช้รถมา
ผมเริ่ม เข้าใจว่า บางที รถที่ อัตราเร่งดีๆ ขับ สนุก เร่งแซงสบาย
มันไม่จำเป็น ต้อง ดูที่แรงม้า เสมอไป
รถที่แพง แรงม้า สูงๆ
เพราะ ตัวเลข แรงม้าที่ รอบ สูงสุด เราแทบไม่เคยได้ใช้มันเลย
แต่ แรงบิด ที่รอบ ต่ำๆ จนถึงไม่เกิน 4500 รอบ ต่าง หาก ที่เราใช้มันเป็นประจำ
ยกตัวอย่าง กะบะ ขาโหดทั้งหลาย ที่ แรงออกตัวกระชาก ตีนระเบิด อาจทำ Top Speed ไม่สูง แต่ เวลาใช้งาน มัน ขับได้ ไม่เหนื่อยเลย เร่งเป็นมาๆ
ดังนั้น ผมสนใจ และให้ความสำคัญกับ แรงบิด รอบต่ำ แทนที่จะไปมอง แรงม้า ในรอบที่เราไม่ได้ใช้งานมัน
รอบสูงสุด คงเป็น ตัวเลขเอาไว้เหยียบโชว์ได้แค่บนไดโน่ หรือ แม้แต่ในสนามแข่ง ซึ่ง กับ รถบ้านมันไม่ได้ใช้งาน
เพราะหลักการ ใช้ เครื่อบจักร ที่ทนทาน ไปนาน ไม่ควรใช้เกิน 80 % ของกำลังสูงสุด ( ผมบอกเอง 5555 )
-
ผมมองตรงกันข้าม เน้นแรงม้าไว้ก่อนครับ
-
ผมก็คิดเช่นกันครับ ส่วนตัวไม่ได้สนใจความเร็วสูงสุดเลยปกติขับไม่เกิน 110 อยู่แล้ว สนใจอัตราสิ้นเปลืองอัตราเร่งกับแรงบิดมากกว่า
-
สิบล้อ หัวลาก เลยครับ บิดเยอะมาก
ขับมันไม่มันอยู่ที่ม้า กับอัตราทดเกียให้เหมาะกับน้ำหนักรถครับ
-
ผมมองว่าทั้งแรงบิดและแรงม้าเป็นองค์ประกกอบส่วนหนึ่งในการเลือกรถครับ ผมซื้อรถดูพื้นที่ใช้สอย ช่วงล่าง ความปลอดภัย การควบคุม อุปกรณ์ในรถ ความสบายในการขับขี่
ซึ่งผมไม่ใช่คนที่ขับรถเร็วมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยมองว่าแรงม้าและแรงบิดถ้าเยอะก็ดีกลางๆก็ได้ขอสบายไว้ก่อนครับ
-
หลักๆแล้วดูหน้าตารถ ช่วงล่าง อัตราเร่งแซง หรือ 0-100 ไวได้ก็ดี
ส่วนมากซื้อรถไม่ได้เปรียบเทียบคู่แข่งครับ เลือกที่ตัวรถก่อน สเปคเลยเป็นเรื่องรองลงไป
ไม่ได้จริงจังกับแรงม้าแรงบิดเท่าไหร่ ดูสเปคแค่พอรู้กำลังคร่าวๆเท่านั้นเองครับ
-
รีโว ผม ต้องเข้าสู่ 1600 รอบ ถึงจะสนุก
-
116iผม 136แรงม้าเองครับ แต่ขับสนุกมาก
-
ผมดูแรงบิดก่อนแรงม้าครับ เน้นช่วงที่เราใช้งาน ส่วนอีกตัวที่ดู คือ น้ำหนักตัว
-
ม้าเอาไว้พูด
บิดเอาไว้ใช้
-
ผมก็ใช้แรงบิดมากกว่าแรงม้านะทุกวันนี้ไม่เคยแล่นเกิด160เลย ;D เร่งแซงนิดๆหน่อยๆก็คงที่ความเร็วแล้วแต่เร่งแซงของผมหลายๆครั้งเร่งเต็มที่มิดพื้นแต่จะเป็นระยะไม่ยาวเดี๋ยวโดนจับความเร็ว :-X
-
1. 0-100
2. 80-120
3. ม้าเยอะๆ
บิดเอาไว้ท้ายเลย มีก็ดี ไม่มีก็ได้ ถ้า 1 2 3 ครบ
-
ในการใช้งานบนถนน ที่ความเร็วไม่เกิน120
รอบเครื่องยนต์ ไม่เกิน 4500rpm
การออกตัว การเร่งแซง ต้องการแรงบิดครับ
ชอบเครื่องดีเซลล ที่วางบนเก๋ง และSub Suv, Suv ที่ผมสนใจ ก็มี
Mazda2 1.5
Mazda Cx3 1.5
Mazda Cx5 2.2
Chevy Cruze 2.2
ขับเพลินๆ สบายๆ มั่นใจ ไม่เน้นเร็วครับ 8)
-
อยู่ที่ลักษณะการใช้งานด้วยครับ ว่าซื่้อรถเครื่องยนต์แบบไหนมาครับ
กระบะดีเซลยุคใหม่ แน่นอนอยู่แล้วเรื่องแรงบิดในรอบต่ำ 350-400 นิวตัน เน้นการบรรทุก แต่หมดไว เหมือนเดิม ลากไปเถอะครับ 3600 รอบก็เริ่มหมดแรงแล้ว
ถ้าเบนซินเทอร์โบยุคใหม่ รอบมาไว กดเป็นมา ขับสนุก ระดับเครื่อง 1.5-2.0 เทอร์โบ ถึงมีแรงบิดแค่ 220-250 นิวตัน ในรอบต่ำเช่นกัน
-
รถผมแรงม้า(ps)มากกว่าแรงบิด(Nm) แต่ก้สนุกได้ครับ
ขับสบาย ทุกๆคนคงจะเหมือนกัน
แต่ขับสนุกของแต่ละคน อาจจะไม่เหมือนกันครับ ผมว่า
ปล. ผมเลือกซื้อรถนี่ เพราะแรงม้าเหตุผลหลักเลยนะครับ :-X
-
F20 ก่อน LCI ทำหลายอย่างได้ผลคือ 211HP+310Nm
เอาเป็นว่า เหมือนได้รถใหม่ แตะคันเร่งนิดเดียวขับทั้งสนุกมากและสบายมากครับ
แรงม้าต้องสัมพันธ์กับแรงบิด เร่งแซงได้ขาดเพราะบิดเยอะ แต่มาแล้วม้าน้อยปลายก็โดนสวนกลับได้ครับ
และขึ้นอยู่กับว่าชีวิตคุณมีถนนแบบนั้นให้วิ่งไหม 8)
-
สำหรับผม ไม่มีคำตายตัวว่าสนแรงบิดหรือสนแรงม้า
ทั้งหมดเริ่มมาจากคำถามว่ารถคันนั้นเอาไว้ทำอะไรและรถคันนั้นมีลักษณะทางกายภาพเป็นอย่างไร
ถ้ารถน้ำหนักมาก และเป็นรถใช้งาน สมมติหนัก 1.5 ตัน มีรถ 3 คันบอดี้และน้ำหนักเท่ากัน
คันนึงใช้เครื่องดีเซลโบ 180 ม้า 380Nm แรงบิดกองรอบต้นกับกลาง คันนึงใช้เครื่องเบนซินโบ
200 แรงม้า แรงบิด 290Nm แรงบิดกระจายๆทั่วถึงกัน เรดไลน์ 6,500 กับคันสุดท้ายใช้เครื่อง
2.2 ลิตร 4 สูบ 220 แรงม้า แรงบิด 220Nm แต่ต้องลาก 4,800-6,000 รอบ ผมเลือกคันที่ 2
แต่ถ้าเป็นรถขับหน้าหนัก 1.1 ตัน มีทางเลือกเครื่องยนต์ให้เลือกตามข้างบน ผมเลือกเครื่องแรก..ให้ถูกตัดไปก่อน
ผมมาดูเครื่องสองตัวหลัง แล้วดูข้อจำกัดว่ามีเกียร์อะไรให้เลือกใช้บ้าง ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ผมเลือกเครื่องที่ 2
แน่นอน แต่ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดา 5-6 จังหวะและสามารถเลือกอัตราทดได้ ผมเลือกเครื่องที่ 3
โจทย์เรื่องแรงม้าและแรงบิด อะไรสำคัญกว่ากัน สำหรับผม เหมือนมีคนมาถามว่า
รองเท้าข้างซ้ายกับรองเท้าข้างขวาอะไรสำคัญกว่ากัน แต่ถ้าถูกเอาปืนจี้หัวบังคับให้เทียบกัน
ผมจะบอกว่าแรงบิดเหมือนช้อน แรงม้าเหมือนส้อม ที่เหลือคิดเอาเองครับ ฮ่า
-
ส่วนตัวผม มองถึงการใช้งานนะครับ ไม่ได้เน้นว่าอันไหนมีน้อย อันไหนมีมาก แต่เน้นว่ามันมาที่รอบเท่าไหร่มากกว่า พอใช้ไหม แล้วจะใช้ไปได้ถึงรอบเท่าไหร่ ดังนั้นรถที่เลือกขับ ตัวเลขไม่พอ ต้อง.. ไปลองขับ
-
อยู่ที่การใช้งานเลยครับของผม
ยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆ เลยในปัจจุบัน ที่เพื่อนผมมาถามว่าระหว่าง ดีแมก 1.9 กับ รีโว่ 2.4 เลือกอะไร
ดีแมก 1.9 กับรีโว่ 2.4 แรงม้าเท่ากัน แต่แรงบิดรีโว่สูงกว่า
ถ้าผมมองง่ายๆ ก็เลือกรีโว่อยู่แล้ว เพราะได้เปรียบมากกว่า แต่พอมาดูเรื่องอัตราการกินน้ำมัน ดีแมกเครื่องเล็กกว่า ย่อมทำได้ดีกว่า
สุดท้ายครับ เลือกการใช้งานเลยครับ อัตราการประหยัดน้ำมันของ 2 ตัวนี้ ไม่ได้ต่างกันมาก ราคาก็ไม่หนีกันมาก เพราะรีโว่ลดเยอะ ส่วนเรื่องภาษีผมว่ามันเรื่องนิดเดียว จ่ายทั้งปีต่างกันไม่เยอะมาก
ถ้าผมเน้นขับเร็วๆ ผมว่าทั้งคู่ไม่หนีกัน แต่ความเร็วสูงสุดรีโว่สูงกว่า อัตราเร่งรีโว่น่าจะดีกว่า แต่พอความเร็วปลาย ดีแมกน่าจะรอบขึ้นเร็วกว่าแค่นั้นครับ ปกติผมไม่ได้ขับเร็วมาก ดังนั้นไม่มีปัญหากับทั้งคู่
ส่วนเรื่องแรงบิด ถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ แบกของเยอะๆ รีโว่ได้เปรียบแน่นอน หรือแม้แต่ขึ้นเขา ทางชันมากๆ รีโว่ได้เปรียบแน่นอน เรื่องความอึดดีแมกพิสูจน์แล้วว่าขับทางไกลได้ดี ดังนั้นเรื่องความอึดไม่น่ามีปัญหา
ดังนั้นผมคิดว่าจะซื้อคันไหน ให้ดูที่การใช้งานและความชอบครับ เป็นผมก็คงเลือกทั้งสองตัวเยอะไว้ก่อน แรงม้าแค่ 120 ผมว่ามันก็ขับเร็วพอแล้วครับ ถ้าบรรทุกให้ไปดูแรงบิดเยอะๆ
-
+
+
ผมชอบดูทั้งสองอย่างครับ
เพราะถ้าแรงม้าเยอะ แรงบิดน้อยก็เหนื่อยแน่นอน
แต่ถ้าแรงบิดเยอะ แรงม้าน้อย ก็ไม่สนุกอีก
อีกอย่างคือต้องดูการใช้งาน ถ้าใช้งานในเมืองซะเยอะ
แรงบิดก็จะมีโอกาสใช้มากกว่า ยิ่งถ้าพวกมาแบบสม่ำเสมอ
ยิ่งสบายเลย ได้ใช้ตลอด
-
ผมก็สนใจแรงบิด แต่บางทีมันก็ไปอยู่ในรถที่เราไม่ชอบ ก็ต้องเลือกกันอีกที
-
รถเล็ก รถเก๋ง ไม่รู้จะเอาแรงบิดเยอะๆไปทำไม
ดังนั้น ถ้ารถเก๋ง ขอแรงม้าไว้ก่อน
เทียบกับซีวิค 1.8 แรงบิดไม่มาก แต่รถลู่ลม รถเบา มันก็ไปได้ฉิว
ถ้ารถใหญ่ หนัก 2 ตันขึ้นไป รถสูง ต้านลมมากๆ ขอแรงบิดไว้ก่อน
-
ถ้าเกียร์ออโต้อยากได้แรงบิดรอบต่ำๆ กว้างๆ ถ้าเกียร์ธรรมดา รอบสูงนิด OK สรุปชอบทั้งแรงม้าและแรงบิด ขอให้มันสัมพันธ์กันพอดีครับ
-
ขอแรงบิดมาทุกรอบเครื่องยนต์สัมพันธ์กับแรงม้า
แต่ตัวรถหลักอากาศพลศาสตร์ดี น้ำหนักตัวรถ เครื่องยนต์+เกียร์+เฟืองท้ายสัมพันธ์กัน วิ่งสบายๆแล้วครับ
-
คงต้องดูตัวเลขอัตราเร่งจริงเป็นหลักครับ เพราะรถจะแรงไม่แรงนอกจากแรงม้าแรงบิดแล้วยังขึ้นอยู่กับน้ำหนัก อัตราทดเกียร์ รอบที่แรงมา และอีกหลายๆอย่าง
สมมติมีรถสองร้อยม้า แต่คันเร่งหน่วงเป็นวิ ขับให้ตายยังไงก็ไม่สนุกหรอก
-
จากโจทย์นี้ ผมมองว่า ถ้าคุยกันแค่แรงบิดเฉยๆ มันเป็นแค่ต้นทาง ที่ยังไม่ถูกบ่มให้สุก
กราฟแรงม้า ตอบโจทย์กว่าแรงบิดครับ (แต่ก็ยังไม่ใช่ปลายทางที่บ่มสุกอยู่ดีนะครับ)
แรงม้า = แรงบิด X ความเร็วรอบ //////// แรงลงพื้น = แรงบิดที่ล้อ X รัศมีล้อรวมยาง
แรงบิด จะเปลี่ยนค่าไปเมื่อผ่านอัตราทดเกียร์ (เปลี่ยนความเร็วรอบ) และแรงลงพื้นจะขึ้นกับรัศมีของล้อ
รถที่แรงบิดน้อย แต่อัตราทดเกียร์จัด และรัศมีของล้อเล็ก ก็อาจชนะรถที่แรงบิดเยอะกว่า แต่อัตราทดเกียร์ไม่จัด และล้อโต ก็ได้
ต่างจากแรงม้า ซึ่งจะมีค่าคงที่ไม่ว่าจะผ่านอัตราทดเกียร์มา และแรงลงพื้นไม่ขึ้นกับรัศมียาง
ผมว่า ถ้าแรงม้า มาเป็นกราฟ ไม่ใช่แค่ตัวเลขสูงสุด มันสามารถเทียบได้ชัดเจนกว่าการคุยด้วยแรงบิดนะครับ
ถ้ารถคันไหนมีแรงบิดสูง และมาไว ทดจัด กราฟแรงม้าจะแสดงให้เห็นเองว่าขึ้นไวกว่าครับ
-
แรงม้า แรงบิด จริงๆคือสิ่งที่มาคู่กัน ถ้าเข้าใจถึงที่มา(สูตรคำนวน) สิ่งที่น่าจะนำมาพิจารณา น่าจะเป็นกราฟของทั้งคู่ ให้มันเหมาะกับการใช้งานมากกว่า
ส่วนตัวผมจะเลือกกราฟที่อ้วน คือ มีมาให้ใช้ในช่วงกว้าง ไม่ไช่มาแล้วหมดไว กำลังจะสนุก ดันเหี่ยวซะก่อน แบบนี้ไม่ชอบครับ และชอบกำลังในรอบสูงมากกว่ารอบต่ำ ชอบบุคลิกของรถที่มีช่วงชักกระบอกสูบสั้น รอบกวาดไว
แต่ปัจจัยนี้มันบอกอะไรได้น้อยมากครับ นอกจากเราไปลองขับเองจะดีที่สุด เนื่องจากตัวเลขคือตัวเลข ปัจจัยที่ควรใส่เพิ่มเข้าไปคือเรื่อง การตอบสนองต่อคันเร่ง เพราะรถสมัยนี้ใช้ลิ้นผีเสื่้อไฟฟ้า คำถามคือ คุณจะรู้ได้งัยว่าเหยียบคันเร่งครึ่งนึงของระยะที่มี ลิ้นเปิดกี่ % ถ้าไม่ได้ติดอุปกรณ์ที่อ่านค่าจาก OBD รถที่ set คันเร่งมานิสัยต่างกันอย่างชัดเจนก็ดูจาก toyota กับ mazda ก็ได้ (อุปกรณ์อย่าง throttle controller ถึงทำออกมาขายงัยครับ เพราะคนเราชอบ setting ต่างกัน)
คือพอพูดถึงความสนุก มันจะไปพูดแค่ตัวเลขของกำลังมันไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะมันจะมีคำถามต่อไปเรื่อยๆ จนเป็นภาพรวมของรถทั้งคัน
ปัจจัยอื่น ก็เช่น การถ่ายทอดกำลัง เช่น อัตราทดเกียร์ + chassis rigidity, weight transfer จาก setting ของช่วงล่าง ฯลฯ รถคันเดียวกันแต่ถ้าทำ chassis ดีๆ ให้สามารถส่งกำลังได้ในทันทีที่กระแทกคันเร่ง บุคลิกรถก็เปลี่ยนเลยนะครับ ยกตัวอย่างเช่นการติด engine damper เนื่องจากเครื่องยนต์มีแท่นเครื่องที่คอยรับแรงบิดอยู่แล้ว แต่แท่นเครื่องเองก็มีค่าความแข็งของมัน(rigidity) ถ้าเราทำให้มันให้ตัวได้น้อยลง การส่งกำลังไปยังพื้นย่อมตอบสนองได้เร็วต่อเท้ามากขึ้น ค่าความแข็งของ bushing, ความแข็งแรงของแพหน้า หลัง ก็ล้วนมีผลทั้งนั้น
ไหนจะส่วนของ ECU อีก user input คือเท้าของเราที่กดคันเร่ง > ECU คำนวนจาก % ที่กด > แต่ละค่าย config logic ต่างกัน เช่น econ mode ลิ้นเปิดเท่านี้% สั่งจ่ายน้ำมันเท่านั้น%, sport mode ก็อีก logic หนึ่ง > เครื่องยนต์ก็ทำงานตามที่ได้รับคำสั่งมา ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน ซึ่งตรงนี้ก็มีระบบคำนวนอีก ก่อนจะถ่ายทอดกำลังลงไปที่พื้น
พูดไปพูดมาไม่รู้จะหาจุดจบได้อย่างไร และขออภัยที่นอกประเด็นไปเยอะ แต่ถ้าถามเฉพาะ แรงม้าและแรงบิด ผมขอตอบตามที่ได้กล่าวไปแล้วครับ
สุดท้ายแล้ว รถเค้ามี concept ในการทำ production อยู่ขอให้เลือกใช้ให้ตรงกับการใช้งาน ประเด็นคำถามเหล่านี้จะลดลงไปอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ
-
เห็นด้วยครับ ตอนเย็นก็ชอบรถที่มีแรงม้า
พอโตมาชอบเบนซินที่มีแรงบิดสูงๆแบบธรรมชาติครับ สุดมันมาก
-
ผมชอบบิดเยอะๆครับ ยิ่งมารอบต่ำๆยิงดีครับเน้นพุ่งๆ ม้าปลายไม่ค่อยใช้เท่าไหร่
-
แรงม้า=แรงบิดxความเร็วเชิงมุม ไม่ใช่ความเร็วรอบ
-
ผมคิดเหมือนเจ้าของกระทู้ครับ เน้นแรงบิด มีมาให้ใช้ยามที่ต้องการ
ส่วนตัวไม่ใช่คนขับรถที่แช่ความเร็วสูง 160 ก็ถอนแล้ว ดังนั้นแรงบิดตอบโจทย์ผมมากกว่า
เมื่อก่อนเคยขับเจโบ สักสามเกียร์ผมก็ถอนละครับ ไว้ตบอีโคคาร์ บีเซกเมนท์ ซีเซกเมนท์ กวนๆ
แรงม้าที่โรงงามเคลมไว้ 280 ไม่เคยใช้สักที
-
+
+
ผมชอบดูทั้งสองอย่างครับ
เพราะถ้าแรงม้าเยอะ แรงบิดน้อยก็เหนื่อยแน่นอน
แต่ถ้าแรงบิดเยอะ แรงม้าน้อย ก็ไม่สนุกอีก
อีกอย่างคือต้องดูการใช้งาน ถ้าใช้งานในเมืองซะเยอะ
แรงบิดก็จะมีโอกาสใช้มากกว่า ยิ่งถ้าพวกมาแบบสม่ำเสมอ
ยิ่งสบายเลย ได้ใช้ตลอด
+1
-
ผมครับ
ทุกครั้งที่ดูสเปครถ
ผมจะดูแรงบิดสูงสุด ณ รอบเครื่องยนต์เท่าไร
ควบคู่ไปกับ
แรงม้าสูงสุด ณ รอบเครื่องยนต์เท่าใด
ไปด้วยกันครับ
แล้วก็ดูน้ำหนักรถทั้งคัน เกียร์อีกนิดหนึ่ง
ก็พอเห็นสมรรถนะรถคันนั้นคร่าวๆ แล้วครับ
-
แรงบิด = ความอึด ทน นาน นกกระจอกไม่กินน้ำ
แรงม้า = ลีลา เยิะ หลายท่า ไม่น่าเบื่อ
โดยทั่วไปต้องมาคู่กัน.
ลีลาเด็ด แต่ไม่ทน 5 นาทีจอด ก็ไม่ไหว
อึด ทน นาน แต่ทำอยู่ท่าเดียว ก็เบื่อแย่
เห็นภาพตรงกันน่ะ :-*
-
ผมอ่านกระทู้นี้แล้วอึ้งไปเลย
-
ผมอ่านกระทู้นี้แล้วอึ้งไปเลย
งั้นผมอึ้งบ้าง 😂
-
กลับมาอ่าน ความเห็นทุกๆท่านครับ
ผมไม่เน้นแรงม้าพราะ มันคือ แรงบิด ที่ รอบเกือบสูงสุด
เลยมองที่ แรงบิดสูงสุด ที่รอบ ต่ำๆถึงกลาง
เพราะ แรงม้า ก็มาจากแรงบิด แต่ OEM เอามาดูที่รอบ 6,000 งี้ 5,000 งี้
บอกตรง ผมขับไม่ถึง 5,000 รอบครับ
-
แต่ก่อนสนแต่ แรงม้า ฮี้ๆๆๆๆๆ
ตั้งแต่ขุกในนี้ จึงรู้ว่า แรงบิดก็สำคัญ
-
ผมเข้าใจ จขกท.นะครับ
ส่วนตัวก็ดูทั้งคู่แหละ แต่ให้น้ำหนักไปทางแรงม้ามากกว่า
อย่างรถบางคัน ขับในเมือง ขับขึ้นเขาเหมาะมากๆ เพราะแรงบิดมาในรอบต่ำมาก แต่จะหมดไวไปไหน แบบนี้ก็ไม่โอครับ
-
ผมอ่านกระทู้นี้แล้วอึ้งไปเลย
งั้นผมอึ้งบ้าง 😂
ผมก็อึ้งด้วยอีกคน
-
เป็นคนขับรถแบบเรื่อยๆ แต่ไม่เกะกะบนถนน
แต่ไม่ขาซิ่ง
แคร์ความรู้สึกของคนที่นั่งข้างๆ
ด้วยประการฉะนี้ ผมจึงได้ใช้แต่แรงบิดสูงสุด มากกว่า แรงม้าสูงสุด
แรงม้าสูงสุด ไม่ค่อยได้ใช้
ผมเปลี่ยนจากเก๋งมาเป็นกระบะครับ T6 DBL2.2HR AT 150HP ที่ 3200 ไม่ค่อยได้ใช้ถึงครับ นานๆ ที
แรงบิด 375 Nm ที่ 1600-2600 ใช้ประจำครับ