Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Red Bicycle ที่ มกราคม 28, 2017, 20:50:10

หัวข้อ: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Red Bicycle ที่ มกราคม 28, 2017, 20:50:10
 :) :) :) ประมาณรถ Premium ทั่วๆไปที่ไม่สูงเกินไปนัก พวก C class , E class , Series 3, 5
คือพอมีงบประมาณที่จะออกรถกลุ่มนี้เพื่อจะได้ใช้รถยุโรปดีๆซักคัน แต่ตัดใจไม่ได้อะครับ กับค่าใช้จ่ายหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เช่น ประกันชั้น1 ค่าบำรุงให้สวยงาม ตกแต่ง ค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ที่คาดว่าอาจจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นคันก่อนๆที่ใช้มา หรือ บางท่านอาจจะรับไม่ได้กับที่จังหวัดที่อยู่ไม่มีศูนย์ ต้องเสียเวลาในการเอารถเข้าศูนย์ซึ่งไม่สะดวก   
  อยากทราบคนกลุ่มนี้มีมากไหมครับ.
  ท่านใดที่มีประสพการณ์ประมาณนี้บ้างไหมครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: whoami ที่ มกราคม 28, 2017, 21:00:27
คนที่กำลังซื้อแค่พอปริ่มๆ จะกังวลกับค่ารักษา และอาจตัดใจไม่ซื้อครับ

ถ้าคนที่งบเค้าเหลือๆ ซื้อรถแล้วยังมีเงินเก็บอีกเป็นล้าน คงไม่คิดมากเรื่องค่าบำรุงรักษาอ่ะครับ

สำหรับผมเอง ไม่มีทั้งกำลังในการซื้อ และค่าบำรุงรักษา เลยใช้รถญี่ปุ่นต่อไป
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: rotaryman ที่ มกราคม 28, 2017, 21:14:51
ปัญหามันเกิดจากรถญี่ปุ่นตัวท๊อปราคามันไปจ่อกับ Premium car ตัวล่างๆเข้าทุกทีแล้วเลยเกิดอาการลังเลครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Eakkypoo ที่ มกราคม 28, 2017, 21:15:59
ปัญหามันเกิดจากรถญี่ปุ่นตัวท๊อปราคามันไปจ่อกับ Premium car ตัวล่างๆเข้าทุกทีแล้วเลยเกิดอาการลังเลครับ

มันคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Fong ที่ มกราคม 28, 2017, 21:32:06
ผมก็กำลังเผชิญประเด็นนี้มาแล้วครั้งนึงครับ สุดท้ายก็ออก Accord G9

อีก 4 ปีข้างหน้าก็จะเจออีกรอบครับ ไม่รู้จะก้าวข้ามไปได้ไหม

มีกำลังซื้อครับ พยายามจะคิดว่าเหมือนเช่า 5 ปี แล้วก็ขายไป สุดท้ายก็ต้องมาเจอค่าประกันภัยและค่ายาง RunFlat ที่แสนแพงอีก

ราคาที่ตกมากตอนขายอีก  สำหรับผมมันยากมากครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: OXYGEN2 ที่ มกราคม 28, 2017, 21:33:52
เอาจริงๆ ยังไม่เคยใช้รถยุโรปยาวแบบ 5-6 ปีขึ้น หรือ ใช้มากๆ วิ่งเป็นแสนๆ ครับ ผ่อนไม่กลัว ซ่อมไม่กลัว กลัวอย่างเดียวตายกลางทาง ไม่ก็เดินทางไปทำธุระแล้วรถเสียอะไรประมาณนี้ครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: starlight ที่ มกราคม 28, 2017, 21:34:27
ยังมีกลุ่มย่อยในกลุ่มนี้ ที่ไม่เคยคิดจะซื้อรถแพงๆเหล่านั้น ทั้งๆที่สถานะการเงินมั่นคงและเหลือใช้มากๆ  แต่เหตุผลที่ไม่เลือกเพราะ มองว่าไม่อยากจ่ายเงินเกินความจำเป็น
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: vantipz ที่ มกราคม 28, 2017, 21:41:30
ผมมีกำลังซื้อพอควร แต่ยังลังเลเรื่องการบำรุงรักษา(พูดง่ายๆคือยังรวยไม่พอจะคิดว่าค่าดูแลมันเหมือนรถญี่ปุ่นได้   ;D)
อีกทั้งตอนนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อ แค่รถยี่ปุ่นก็โดนใจแล้วครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: arte ที่ มกราคม 28, 2017, 21:49:15
ผมก้าวข้ามง่ายมากครับ ถ้าเมียบอกว่าจะเอาเพียงคำเดี่ยว เรื่องรถมีปัญหาไม่กลัวครับเพราะมี BSI รอเปลี่ยนก่อนหมด เรื่องประกันภัยไม่กลัวเพราะได้แถมมา ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ ยางรันแฟลตแพงก็จริงดอกหมดก็เปลี่ยนยางธรรมดา ถูกกว่า เงียบกว่า บางครั้งผมคิดว่าบางคนอาจจะกลัวมากเกินไป หรืออาจจะกลัวเพราะฟังคนอื่นเล่ามา เป็นผมขอลองเองสักครั้งหนึ่ง ต้องโดนเองถึงจะรู้ซึ้ง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Boogie ที่ มกราคม 28, 2017, 21:49:47
คนที่กำลังซื้อแค่พอปริ่มๆ จะกังวลกับค่ารักษา และอาจตัดใจไม่ซื้อครับ

ถ้าคนที่งบเค้าเหลือๆ ซื้อรถแล้วยังมีเงินเก็บอีกเป็นล้าน คงไม่คิดมากเรื่องค่าบำรุงรักษาอ่ะครับ

สำหรับผมเอง ไม่มีทั้งกำลังในการซื้อ และค่าบำรุงรักษา เลยใช้รถญี่ปุ่นต่อไป

ตามนี้ครับ ถ้าสองจิตสองใจก็ไม่ต้องซื้อครับ เพราะคุณซื้อมาก็ไม่สบายใจเปล่าๆ รอให้คุณมีเงินในระดับที่ไม่ต้องกังวลก่อนแล้วค่อยซื้อทีเดียว หรือไม่เช่นนั้นก็ซื้อยุโรปมือสองสภาพใหม่ๆ แล้วเอาเงินส่วนที่เหลือไปบำรุงรักษา
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: CJ. ที่ มกราคม 28, 2017, 21:50:45
คนที่กำลังซื้อแค่พอปริ่มๆ จะกังวลกับค่ารักษา และอาจตัดใจไม่ซื้อครับ

ถ้าคนที่งบเค้าเหลือๆ ซื้อรถแล้วยังมีเงินเก็บอีกเป็นล้าน คงไม่คิดมากเรื่องค่าบำรุงรักษาอ่ะครับ

ผมคิดแบบนี้นะ เรียกว่ากำลังซื้อปริ่มๆ
ป้ายแดงราคาสูสี แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆไม่เท่ากันนะครับ

อีกอย่างนึง ถ้ากำลังซื้อเลยคำว่าปริ่มๆแล้ว ไปเล็งระดับ E,5er หรือสูงขึ้นไป ดูแลไหวแน่นอนครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: meeuwarn ที่ มกราคม 28, 2017, 21:54:19
ตามวินัยทางการเงินครับ ค่าซื้อรถ 10%ของเงินเก็บ 10ปีเปลื่ยน 1คัน           
วิ่งปีนึงแค่ หมื่นห้า ;D

ปี 19 คงได้ขับ camry ใหม่ หรือ crv

premium ต้องมีเงินเก็บ 30ล้านก่อนครับ คาดว่าคงใกล้เกษียรแล้ว  อาจจะไม่ซื้อ 8)
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: ariazero ที่ มกราคม 28, 2017, 22:00:42
ส่วนตัวผมนะ

ผมเรียกว่ารายได้มันเกือบจะสัมพันธ์กับสิ่งที่คุณพอใจที่จะจ่ายแล้วครับ  แนะนำว่าให้รอก่อน

รถยิ่งซื้อช้ายิ่งได้กำไรครับ ยกเว้นต้อง "ตอนนี้" อย่างงั้นอะไรก็ขวางคุณไม่ได้แล้วแหละ  8) 

รถแพงขึ้น ค่าดูแลมันก็ต้องแพงขึ้นเป็นธรรมดา ต้องบอกว่าเรายินดีจะจ่ายเพื่อให้ได้ขับคันที่เราชอบ แพงแค่ไหนรับได้น่า เหมือนกับที่คุณตั้งเป้าหมายเก็บเงินเพื่อให้ได้ซื้อมันซักคันหน่ะครับ

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ
เริ่มหัวข้อโดย: Smith686 ที่ มกราคม 28, 2017, 22:09:03
:) :) :) ประมาณรถ Premium ทั่วๆไปที่ไม่สูงเกินไปนัก พวก C class , E class , Series 3, 5
คือพอมีงบประมาณที่จะออกรถกลุ่มนี้เพื่อจะได้ใช้รถยุโรปดีๆซักคัน แต่ตัดใจไม่ได้อะครับ กับค่าใช้จ่ายหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เช่น ประกันชั้น1 ค่าบำรุงให้สวยงาม ตกแต่ง ค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ที่คาดว่าอาจจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นคันก่อนๆที่ใช้มา หรือ บางท่านอาจจะรับไม่ได้กับที่จังหวัดที่อยู่ไม่มีศูนย์ ต้องเสียเวลาในการเอารถเข้าศูนย์ซึ่งไม่สะดวก   
  อยากทราบคนกลุ่มนี้มีมากไหมครับ.
  ท่านใดที่มีประสพการณ์ประมาณนี้บ้างไหมครับ
   รถพวกนี้ 5 ปีแรกค่าบำรุงรักษายังไม่มีอะไร แค่ตรวจเช็กตามระยะทาง ค่าตกแต่งไม่มีเพราะแต่งแล้วคงไม่สวยไปกว่าเดิม  หลัง 5 ปีไปแล้วค่าซ่อมเริ่มมา  แต่คนที่ใช้รถพวกนี้น่าจะเกือบครึ่งขายรถหลังจากใช้ไปแล้ว 5-7 ปีจึงไม่ค่อยเจอเรื่องค่าซ่อม  ส่วนคนที่ซื้อมือสองก็ต้องทำใจกับค่าซ่อมแต่ก็ถือว่าซื้อมาราคาถูก
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: axister ที่ มกราคม 28, 2017, 22:13:48
ตอนจะซื้อก็คิดแบบนี้ครับ แต่จากที่ใช้มา 3ปีกว่าๆ ยังไม่มีซ่อมหนักหรือจุกจิกนะ มันก็มีบำรางตามระยะมี bsi ด้วยมั้งยิ่งเฉยๆเลย

คือแพงกว่าตอนใช้รถ swift แน่ๆครับ แต่ก็ไม่ได้กระทบขนาดอดอยาก เงินไม่ได้ขนาดมีเป็น 20ล้าน

แต่ซื้อแล้วจบ ไม่งั้นก็จะมาคิดแบบ โอยอยากได้คันนี้ๆๆๆ

เพื่อนร่วมงานหลายคนกังวลเรื่องนี้ไม่ได้ซื้อกันเลยซักคน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้เยอะมากกกกก
ถือเป็นคนคิดเป็นที่เตรียมตัวเผื่ออนาคตนะ

อยู่ที่การจัดรายได้รายจ่ายของเราเองมากกว่าว่าจะรับมันไหวรึเปล่า
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: boyyyy ที่ มกราคม 28, 2017, 22:34:07
ใช้รถเป็นพาหนะ ตามกำลังทรัพย์ อย่าเป็นทาสรถ ครับ

ส่วนตัวผมว่า รถเก๋งราคาไม่เกิน 1 ล้าน หรือ กระบะ 4 ประตูยกสูง คุ้มสุดๆครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Sit: ) ที่ มกราคม 28, 2017, 22:39:16
ญาติผมคนนึงเงินเหลือซื้อ
แต่ไม่ซื้อรถยุโรปเลย ใช้แต่ d segment ญี่ปุ่น
แต่ใช้แบบ 6ปีปุ๊บเปลี่ยนทันที ไม่สนสภาพและราคาขายต่อ โดยที่ 6ปีนั้นแทบไม่ได้ซ่อมอะไรเลย เขา happy มากที่ซื้อมาใช้อย่างเดียว ขับไปทำงานเป็นหลัก

ทุกอย่างมันสบายตัว ไม่มีอะไรให้กลัวว่าต้องจ่ายค่าซ่อมแพง
และเขาก็มองว่ามันเพียงพอแล้วที่ใช้จ่ายกับรถแค่นี้
ภาพลักษณ์เขาไม่สน มีครอบครัว มีกลุ่มเพื่อนบ้าง
ไปไหนไม่แคร์ใครมอง เอาเงินไปจ่ายค่าเทอมลูกดีกว่า

ก็เป็นคนอีดแบบที่ผมว่าดีน๊ะ แกมีความสุข ยิ้มแย้ม
รวยแต่พอเพียงดีครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: kreaninw ที่ มกราคม 28, 2017, 23:01:34
ญาติผมคนนึงเงินเหลือซื้อ
แต่ไม่ซื้อรถยุโรปเลย ใช้แต่ d segment ญี่ปุ่น
แต่ใช้แบบ 6ปีปุ๊บเปลี่ยนทันที ไม่สนสภาพและราคาขายต่อ โดยที่ 6ปีนั้นแทบไม่ได้ซ่อมอะไรเลย เขา happy มากที่ซื้อมาใช้อย่างเดียว ขับไปทำงานเป็นหลัก

ทุกอย่างมันสบายตัว ไม่มีอะไรให้กลัวว่าต้องจ่ายค่าซ่อมแพง
และเขาก็มองว่ามันเพียงพอแล้วที่ใช้จ่ายกับรถแค่นี้
ภาพลักษณ์เขาไม่สน มีครอบครัว มีกลุ่มเพื่อนบ้าง
ไปไหนไม่แคร์ใครมอง เอาเงินไปจ่ายค่าเทอมลูกดีกว่า

ก็เป็นคนอีดแบบที่ผมว่าดีน๊ะ แกมีความสุข ยิ้มแย้ม
รวยแต่พอเพียงดีครับ

สุดท้ายผ่อนหมด ขายรถทิ้ง ได้เงินมาก้อนนึง จะถูกกว่าไปเช่ารถใช้ เรื่องซ่อม 6 ปี แรก ยังไม่ต้องคุยกันเยอะ แถมได้ใช้รุ่นใหม่ๆ ตลอด สบายใจดีครับ ถ้าคิดว่ายังไงก็ต้องเสียค่าเช่ารถใช้อยู่แล้ว วิธีนี้ก็จัดว่าใช้ได้ครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: TRcdi ที่ มกราคม 28, 2017, 23:05:39
เข้าใจความรู้สึกนั้นดี

ผมอยากได้ Porshe แต่ก็ไม่ได้ซื้อได้แบบสบายมาก
ก็เลยกังวลเรื่องการดูแล  ยิ่งถ้าเกิดได้ซื้อจริงๆ
ก็คงต้องรถเกรย์  เลยยิ่งไม่มั่นใจไปใหญ่

ดูมือสอง ราคาน่าสนก็ดันเป็น Hybrid
ส่วนมากวิ่งทางไกล กทม. - ตจว.  เสียขึ้นมาคงจบเห่
เลยต้องตัดใจไปก่อน 
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: oryor ที่ มกราคม 28, 2017, 23:37:00
ถ้าตัดใจซื้อไม่ได้เพราะว่าค่าดูแล แสดงว่ายังไม่มีกำลังซื้อเพียงพอครับ
ถ้ามีกำลังซื้อต้องมีกำลังดูแลด้วย

เปรียบเทียบง่ายๆให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับมีกำลังซื้อบ้านแพงๆในหมู่บ้าน Premium แต่ตัดใจกับค่าส่วนกลางแล้วก็ค่าดูแลบ้านไม่ได้นั่นหล่ะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: CookiE ที่ มกราคม 28, 2017, 23:46:24
ถ้าคนที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะซื้อหารถหรูมาใช้จริงๆ จะไม่สนใจกับค่าดูแลมากหรอกครับ

(แต่เอาจริงๆ ตัวผมเองก็เสียดายค่าดูแลรักษาเหมือนกัน ฮ่าาาาา)
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: caton ที่ มกราคม 28, 2017, 23:47:48
เข้าใจความรู้สึกนั้นดี

ผมอยากได้ Porshe แต่ก็ไม่ได้ซื้อได้แบบสบายมาก
ก็เลยกังวลเรื่องการดูแล  ยิ่งถ้าเกิดได้ซื้อจริงๆ
ก็คงต้องรถเกรย์  เลยยิ่งไม่มั่นใจไปใหญ่

ดูมือสอง ราคาน่าสนก็ดันเป็น Hybrid
ส่วนมากวิ่งทางไกล กทม. - ตจว.  เสียขึ้นมาคงจบเห่
เลยต้องตัดใจไปก่อน

เหมือนผมเลย อยากไปลอง Porshe เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่กล้าอยู่ดี

ตอนแรกที่ผมขยับมาใช้ Premium โดดมาจาก B-seg ด้วยซ้ำไป
ซึ่งนับถอยไปก็ใช้แต่ D-seg Mazda มาตลอด พอมาดู D-seg ยุ่นในช่วงเปลี่ยนรถ
ก็ไม่มีคันไหนที่มันตอบโจทย์เหมือนคันก่อนทั้งที่เทคโนโลยีและเวลาต่างกันนับ 10 ปี
เลยเป็นจุดให้กระโดดดึ๋งมาไกลเลย จากรถราคา หกแสนกว่าเกือบเจ็ดแสน ที่ใช้ประจำก่อน
มาเป็น รถ 2.899 ล้านบาท แบบไม่คาดคิด ซึ่งก่อนซื้อก็ศึกษาค่าใช้จ่ายต่างๆมาก่อน
แล้วพอไหวก็พุ่งใส่เลย...555
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Impulse ที่ มกราคม 28, 2017, 23:57:25
คือแล้วแต่แวดวงครับ ผมเจอผู้บริหารหลายคนใช้ Toyota Camry , Fortuner  (และไม่ใช่รถบริษัท) เพราะมันซ่อมเร็ว อะไหล่หาง่าย ขับได้เหมือนกัน และเวลาไปคุยกับลูกค้าดูไม่ไปฟันเขา

ถามว่าพวกนี้มีเงินมั๊ย .. ก็ระดับซื้อ Camry เดือนละคันยังไหวเลย

คนเราความอยากไม่เท่ากันครับ บางคนเขาไม่ได้ชอบรถ ออกเบนซ์มาขี้เกียจเอามารักษาเอามาจอดตากแดด ซื้อ รถบ้านๆมาใช้ๆให้มันพังไป ตกรุ่นไป แล้วก็เปลี่ยน เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า

เดี๋ยวหาว่าอวย Toyota เจอ ได้ทั้ง Accord , Teana , Ranger และอีกหลายรุ่น ตกรุ่นบ้างใหม่บ้าง แต่คนพวกนี้คงมีไม่มากหรอก
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Nonlamer ที่ มกราคม 29, 2017, 00:12:20
เดาว่าไม่เยอะนะครับ อย่าง BSI 6 ปีนี่ก็ช่วยไปเยอะแล้วเรื่องค่าดูแล

ผมว่าคนที่มีกำลังซื้อแต่ไม่ซื้อมีเหตุผลอื่นๆด้วยมากกว่า
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: TABO9 ที่ มกราคม 29, 2017, 00:15:51
ผมไม่กลัวค่าดูแล แต่ผมกลัวที่จะดูแลรถ  เพราะ

1. ที่จอดตากแดด ไม่มีหลังคา

2. นิสัยไม่ชอบล้างรถบ่อย

3. ขับไปจอดไหน ต้องระวัง

4. กลัวพี่ๆน้องๆ จะอิจฉาเรา

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: oatekung ที่ มกราคม 29, 2017, 00:18:22
ถ้าผ่อนไหวก็ซ่อมไหว เพราะค่าซ่อมถูกกว่าค่าผ่อนทั้งปีแน่นอนครับ
ถ้ายังเก็บเงินเพื่อเกษียณพอแล้ว ก็ให้รางวัลตัวเองบ้างก็ดีครับ
คนเราชีวิตไม่แน่นอน ขับรถที่ความปลอดภัยสูงไว้ก็ดีครับ
อย่างพวกที่หาเงินเป็นแล้ว เสียตังค์ไม่กลัว กลัวตายครับ
ยิ่งในประเทศไทย ขับรถกันโคตรน่ากลัว  ตายเยอะกว่าซีเลียอีกมั้งครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Xtrail ที่ มกราคม 29, 2017, 00:21:54
ตัดใจไม่ลงซักทีกับค่ายรถอังกฤษ...ไปเยอรมันตลอด  แต่ใจเสียดายมาก   มีแต่เสียงร่ำลืออันโหดร้ายย
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Nikle_pk ที่ มกราคม 29, 2017, 00:52:38
เชื่อผมเถอะ
มีหลายคนมากๆ รวมทั้งผมด้วย
ที่เสียเงินซื้อ premium car มาแล้ว
แต่รู้สึกถึงการใช้งานที่มันด้อยกว่า
D-segment ญี่ปุ่นบางรุ่นซะอีก

Premium car ถ้าไม่ขับเร็วๆ
หรือ ถ้าไม่เกิดการชนหนัก ส่วนตัว
ผมว่า D-segment บางรุ่นทำได้ดีกว่าอีก

ถ้ายังไม่ทันซื้อ และไม่ได้เน้นเรื่องภาพลักษณ์
เชื่อผมเถอะ D-segment ตัว Top ดีกว่า
Premium car ตัวล่าง เผลอๆ ดีกว่าตัวบนๆอีกครับ
(ในบางรุ่นนะครับ)

เรื่องค่าบำรุงรักษา ไม่เจ็บหนัก เท่าราคาขายต่อหรอกครับ
เชื่อผม ปีเดียวหายไปเป็นล้านครับ ถ้าขายต่อ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Pegasus7700 ที่ มกราคม 29, 2017, 01:10:34
การตัดใจไม่ซื้อสิ่งที่คุณจะไม่ได้คือ
คุณจะผิดหวัง และรุ้สึกคาใจครับ. การที่กังวลค่าซ่อมบำรุง
แปลว่าคุณไม่ได้อยากได้มันมากพอ

อยากได้ต้องซื้อครับ. หากประมาณว่าไหวแล้ว
แต่หากบอกว่ากังวลค่าซ่อม.  แปลว่าไม่ไหวนะ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: GoatGoat ที่ มกราคม 29, 2017, 01:24:50
ชอบแล้วพอไหวก็ซื้อไปเถอะครับ ขับตอนนี้กับเก็บเงินไปขับตอนอายุมากๆมันสนุกไม่เท่ากันหรอกครับ บริบทในชีวิตมันไม่เหมือนกัน
เรื่องค่าซ่อม ถ้าคุณมีเงินพอซื้อรถระดับนี้ได้ ค่าซ่อมก็ไม่เกินความสามารถในการหาเงินคุณหรอกครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มกราคม 29, 2017, 04:42:01
สำหรับผมไม่มีเงินซื้อขนาดนั้นครับ    ถึึงแม้พอกัดฟันได้ก็จริงในการซื้อดาวน์ BMW  6 แสนกว่าแล้วผ่อนบอลลูนเดือนล่ะ 2 หมื่นกว่า  ทำได้ครับ   BSI 5 ปี ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยน่าสนมาก
 แต่ปัญหาคือเราไม่ได้ทำกิจการ เราเป็นมนุษย์เงินเดือน  การเอาเงินมาเสียกับเรื่องรถขนาดนี้  ไม่ใช่แน่นอน    แล้วหลังจาก 5 ปีไปล่ะ  ราคาขายต่อหายไปเป็นล้านบาท     ถ้าทำกิจการบริษัทต้องเปลี่ยนรถทุก 5-7 ปีโดยไม่คิดอะไรแบบนี้น่าทำครับ    แต่เป็นมนุษย์เงินเดือนแบบนี้ไม่ไหวครับ
อีกอย่างเรื่องนี้สำคัญเลย   ใช้รถญี่ปุ่นที่ซ่อมถูก  ๆ มาตลอด   คือถูกจริงเน้นรถตลาดรุ่นตลาดซ่อมถูก ๆ เป็นหลัก       ถ้าอยู่ดีดีเกิดมาซ่อม Ben BMW  เสียค่าใช้จ่ายเยอะรับไม่ไหวครับเสียดายเงิน        ผมก็เลยคิดแสดงว่าเรายังไม่รวยไม่เหลือใช้พอที่จะไปเล่นรถยุโรปขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: ps000000 ที่ มกราคม 29, 2017, 06:20:05
ก็แปลก ญาติผมหลายคน


 เคยใช้ Benz ตอนนี้กลับลงมาเป็น Camry กันหมด
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Starplatinum35 ที่ มกราคม 29, 2017, 07:38:31
ต้องลองครับ การขับขี่ สมรรถนะ มันต่างจากรถญี่ปุ่นจริงๆ ถ้ารับค่าบำรุงรักษาได้ ซื้อไปเถอะครับ  ;) ซ่อมบำรุงไม่ได้เสียจุกจิกนะครับ บ้านผมใช้อยู่ทั้ง 3 คัน E39 E60 F10 ทุกคันยังใช้งานได้ดี
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: jaesz ที่ มกราคม 29, 2017, 07:56:26
รถรุ่นใหม่ๆคงไม่ห่วงค่าซ่อม แต่ห่วงเวลาสตาร์ทไม่ติด ไฟเตือนขึ้น น้ำหาย น้ำมันเครื่องซึม เสียงนู่นนี่ดัง ดับกลางอากาศเสียมากกว่า

หลายๆชิ้นส่วน หลายๆอย่างเกินควบคุมได้ด้วยการดูแล บทมันจะเสียมันก็เสียขึ้นมาดื้อๆ มี Star care, BSI, MSIก็ไม่ได้อยากใช้เลยจริงๆ ขับได้ดีเป็นปีแต่พอจะสตาร์ทไม่ติดแค่แวะฉี่ในปั๊มตจว. นี่แหละครับความน่าห่วงที่แท้จริง

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: fishfinger ที่ มกราคม 29, 2017, 08:13:32
มีกำลังซื้อ แต่กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเสริมถือว่าไม่มีตัง
แบบ มี asset ทั้งตัว 3 ล้าน เงินเดือน 30000 ก็ซื้อได้นะ แต่แบบนี้เรียกว่าไม่มีกำลังซื้อ
ถ้ามี ตัง ค่า ซ่อม 6-7 ปีแรก ไม่ได้เยอะขนาดนั้น เมื่อเทียบกับมูลค่ารถ

ขอแอบเม้าท์ เจอบ้านหนึงในหมู่บ้าน บ้านไซสฺเล็กสุด
ในบ้าน มี รถ3 คัน Vigo , Jazz อีก คันคือ  ... Audi R8 แกคงชอบจริงๆ  8)

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: palma ที่ มกราคม 29, 2017, 08:28:33
ซื้อเท่าที่จำเป็นต้องใช้ ตามเหตุผลครับ

ไม่ค่อยปล่อยให้อารมณ์-ความอยาก ออกนำหน้าครับ

ที่ผ่านๆมาอยากได้อยากครอบครอง พอได้มาก็อย่างนั้น รู้สึกดีๆก็ช่วงแรกๆ ผ่านๆไปก็งั้นๆ

สรุป ไม่ซื้อครับ ถ้ามันไม่ตอบสนองการใช้งาน หรือ มีตัวเลือกอื่นที่ดูคุ้มค่ากว่า
ถ้าพรีเมียมคันเล็ก  กับ D-seg ยี่ปุ่นดีๆ ผมเลือกคันใหญ่ครับ คนนั่งคนขับ สบายกว่ากันเยอะ บนความเร็วตามกฏหมาย
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: GRB0999 ที่ มกราคม 29, 2017, 08:46:02
ตอนนี้ได้รถญี่ปุ่นคันที่ถูกใจแล้วครับ
ไม่สนรถยุโรปครับ
 ;D
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: sk-non ที่ มกราคม 29, 2017, 09:20:59
สำหรับผมค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่มากกว่ารถ ญี่ปุ่น
ผมเอาไปเที่ยว ตปท แทนครับ
หรือไม่ก็ไปซื้อยุโรป มือสอง ปีใหม่ๆ มาขับเล่นอีกคัน ครับ
ถ้าเผื่อเจอจุดที่หมดประกัน แล้วเสีย ยังไม่มีตังค์ซ่อมก็จอดไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: bahamu ที่ มกราคม 29, 2017, 09:59:25
รถราคาต่างกันสามเท่า เอามาเทียบกันยังไงคันที่แพงกว่าก็ไม่น่าเล่น

หรูกว่ายังไง สวนใหญ่คิดเอง เออเอง สรุปเองทั้งนั้น คนที่ไปนั่งขับเทียบกัน
ส่วนใหญ่ซื้อรถยุ่นเสียมาก เพราะเดี๋ยวนี้ภายในต่างกันไม่มาก

ยิ่งเบาะหนัง สามแฉกไม่ได้ใช้หนังนับปาแบบs class หรือตัวแพงนำเข้า
ส่วนเบาะรองน่อง หาคนที่เข้าใจยิ่งน้อยลงไปอีก เห็นแต่ซื้อไว้อวดมากกว่า
ค่าแร็คเทวดา เลี้ยวล้อหลังไฟฟ้า แบตสองลูกฟันๆ ไม่เปลี่ยนรีเลย์ร้อนรวน
จนละลาย จอดบุ๊ปติดเครื่องได้บ้างไม่ได้บ้าง ศูนย์จะเปลี่ยนยกชุดลูกเดียว
หม้อน้ำขอบพลาสติกถึงปีรั่ว สั่งร้านตีใหม่ดีกว่าถูกกว่า
ใครเจอทีแทบขายรถตอนหมดประกัน ถ้ามีอู่ทำก็ขับไปซ่อมไป
ยังไม่นับค่าน้ำมันเกียร์ และวิธีเติมที่ต้องวัดอุณหภูมิเสื้อเกียร์ก่อนเติม
น๊อตอ่างเป็นมิเนียม ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง กรองเกียร์สุดแพง

หลังคาแก้ว เปิดประทุน เวลาขายต่อหาคนรับยากมาก เวลารั่ว ฝนตก
เสียงอย่างกับอยู่ในเพิงสังกะสี คนที่รู้ปัญหาไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียงหรอก
ค่าประเก็นยาง สักหราดรีดน้ำบางคันเกือบแสน

ถ้าหมดประกันแล้วขายก็ไม่เหนื่อยมาก แต่ที่ต้องลากใช้เกินสิบปีจะเล่นไม่กี่รุ่น
ส่วนใหญ่เล่นมือสอง หรือสิบปีไปแล้วมาปลุกผี แต่หลังๆรถยุ่นพัฒนาไปมาก
ซื้อยุ่นป้ายแดง ดีกว่า ยุโรปมือสอง ถึงเหล็กบางกว่า แต่โครงสร้างช่วงล่าง
ระบบไฟดีกว่า ซ่อมง่ายกว่า อะไหล่ถูกกว่า ยกเว้นไฮบริดที่ยุ่นแพงกว่าน้ำมัน

แค่พรีอุส โดนชนหัวขาด ถ้าหาหัวตัดไม่ได้ สามแสนไม่อยู่
แค่ไฟหน้า ฝากระโปรงมีเนียม เบิกห้างเกินแสน
บางคนโวยหาว่าแพง นี่ขนาดหนีภาษีชิ้นส่วนช่วยแล้ว ถ้าเสียเต็มๆ
ราคารถแพงกว่าคัมรี่เสียอีก อยากใช้รถไฮเทคแต่จะจ่ายค่าซ่อมเท่าไฮทอร์ค,สามห่วง

ยิ่งพวกรถสปอร์ตแพงเวอร์ตัวดี แค่ออกแบบท่อคายไอเบนซินยังไม่เสร็จ
ก็ออกขายแบบตีหัว คนซื้อก็เทิดทูนบูชา พอไฟไหม้ ไม่ยักโทษโรงงาน
หรือของแต่งที่ใส่เพิ่มแบบผิดๆ ขับรถไม่เป็นไม่ไปอบรบ ทำในสิ่งที่วิศวกร
ไม่คิดว่าจะทำ รถไฟไหม้ เสียหาย ประกันสอบแล้ว รู้ว่าเกิดจากคนขับ
จะไปโยนบาปให้คู่กรณีก็มี เพราะคนขับกับเจ้าของเป็นคนละคน
จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความคุ้มค่า เอาแต่ตัญหาราคะที่เขายั่วยวน

เจอค่าน้ำมันเกียร์แปดหมื่นถึงแสน ตั้งครัชหลักหมื่น รีเซ็ทระบบไฟอีก
น้ำมันเครื่องแพงพิเศษ ใช้ข้างนอกหมดประกัน เพราะเป็นรถคนพิเศษ
ค่ายางสองสามแสน เลือกยี่ห้อแทบไม่ได้ เขาว่าบ้านเราขายน้อยเลยไม่มีตรงสภาพอากาศ

เลยไม่รู้ว่ารถพวกนี้กากแต่แพง หรือรถเจ้าตลาด
ขายดีเกินไปบางคนดูถูกสารพัด หาว่าแท๊กซื่บ้าง รถคนจนบ้าง
ลองไปดูขั้นตอนการประกอบดีกว่า รถแพงเวอร์การประกอบไม่ได้ดีกว่ารถตลาด
มุดท่อหาไม่ยาก รถทำปีละคัน สู้รถคันละนาทีไม่ได้ ความแม่นยำต่างกันมาก

แต่ขายแพงยังไงก็ต้องทดสอบจนจบ ไม่งั้นโดนฟ้องเจ๊งไม่ยาก
รถตลาดออกไปก่อน ค่อยแก้ แต่หลุดมากๆก็เจ๊งไม่ยาก

ยิ่งรุ่นใหม่บอกใส่คาร์บอนไฟเบอร์มาในรถ แบบสปอร์ตแพงเวอร์
เอาเข้าจริงมีแต่โครงหลังคาสองชิ้น ขนาดรัฐบาลเยอรมัน ช่วยลดต้นทุนให้แล้ว
ถ้าคว่ำมา ชิ้นหนึ่งน่าจะเกินห้าหมื่น หมดหลังคาแสนกว่า ต้องหารถเก่าตัดหลังคามาเปลี่ยน
ดีที่ช่วงล่าง ซุ้มล้อยังมีเนียม ไม่งั้นชนทีรถแตกซ่อมไม่ได้ เครื่องเชื่อมไม่ได้

ต้องตัดตามตะเข็บแล้วเชื่อมมีเนียมเบิกใหม่ ถึงจะมีที่ยึดคาร์บอนไฟเบอร์
ชนทีแทบทิ้งรถเขาว่าปลอดภัย แต่ติดไฟ หนีไม่ทันทำไงดี
ถึงแค่ใช้บางส่วน ไม่ได้ทั้งคันจนต้องแถมถังดับเพลิงแบบในรถแพงเวอร์

รถยกสูง ขับสี่ยุโรป วันนี้ถ้าไม่ทำหรูเวอร์คงเจอรถยุ่นตีตายหมด
ลุยไม่เหนือกว่า เจอโคลน น้ำลึก ก็ไปไม่ไหว ต้องรุ่นกลไกก็หายากเต็มที่
ถ้าดาวลูกไก่ประกอบ ยกสูงดีเซล ขับสี่ออโต้ในไทย ราคาพอๆกับเจ้าตลาด
รองรับว่าจะสะอื้นอีกหลายยี่ห้อ เพราะเดิมๆขับก็ไม่เหนือกว่าดาวลูกไก่เท่าไหร่
ยิ่งอะไหล่ไม่ต้องรอ ประกันยาว ศูนย์ดี ที่แพงเวอร์จะอยู่ยังไง เหลือแต่ไว้หลอกตัวเองมั้ง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: babybigman ที่ มกราคม 29, 2017, 10:08:33
ตอนจบทำงานใหม่ๆ
ผมรายได้น้อย แต่วัยรุ่นไม่คิด ไม่มีภาระ
ผมซื้อ BMW 325i ไม่คิดเรื่องค่าดูแลเลยขอผ่อนไหวพอ
ปรากฏว่าใช้ 3-4 ปี ไม่ต้องซ่อม เลยไม่รู้ว่าค่าซ่อมแพงไหม
พอขายไป ก็ซื้อรถญี่ปุ่น เพราะก็รูสึกว่า ไม่ค่อยจะต่างอะไรเรื่องการใช้งาน

พออายุมากขึ้น เงินเก็บมากขึ้น
แต่คิดมากขึ้นมากๆ อยากขับ Benz
แต่คิดวาปีนึง ยังไม่กล้าซื้อ

นี่ก็ตัดสินใจซื้อมือสอง e class เตรียมค่าซ่อมไว้แล้ว
ซื้อมา 2.xx ล้าน เตรียมค่าซ่อมไว้ 5แสน ใน 4 ปี
ถือว่าตั้งใจฟุ่มเฟือย 1 ครั้ง ก่อนเกษียน
ครั้งนึงในชีวิต ได้ขับ Benz
อีก 4 ปี ขายไป
คงไม่ใช้รถยุโรปอีกเลย
จะประหยัดจริงๆ ในช่วงเกษียน
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: somkeat ที่ มกราคม 29, 2017, 10:55:34
ตัวรถแพงผมไม่ว่าก็วัตถุดิบมันดีกว่า อะไหล่แพงไปไหม บวกเยอะไปรึเปล่า ค่าแรงนี่รับไม่ได้เลย อยากรู้เหมือนกันว่าค่าจ้างช่างรถยุโรปมันแพงกว่าช่างรถญี่ปุ่นมากหรือ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Nonnics ที่ มกราคม 29, 2017, 11:20:17
เคยคิดจะซื้อ แต่มาดูการใช้งานของตัวเอง
ขับไม่เกิน120 คงไม่มีผลอะไรเพราะใช้ไม่เต็มสมรรถนะถูกจริตกับรถญี่ปุ่น สวย ดูแลง่าย ไม่จุกจิก
เสียดายเงินกับค่าดูแลรถฝั่งยุโรปที่มากกว่า
อีกอย่างเบื่อง่าย ใช้รถ5ปีเปลี่ยน พอทำใจรับได้กับราคาที่หายไป ครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มกราคม 29, 2017, 11:58:44
รถราคาต่างกันสามเท่า เอามาเทียบกันยังไงคันที่แพงกว่าก็ไม่น่าเล่น

หรูกว่ายังไง สวนใหญ่คิดเอง เออเอง สรุปเองทั้งนั้น คนที่ไปนั่งขับเทียบกัน
ส่วนใหญ่ซื้อรถยุ่นเสียมาก เพราะเดี๋ยวนี้ภายในต่างกันไม่มาก

ยิ่งเบาะหนัง สามแฉกไม่ได้ใช้หนังนับปาแบบs class หรือตัวแพงนำเข้า
ส่วนเบาะรองน่อง หาคนที่เข้าใจยิ่งน้อยลงไปอีก เห็นแต่ซื้อไว้อวดมากกว่า
ค่าแร็คเทวดา เลี้ยวล้อหลังไฟฟ้า แบตสองลูกฟันๆ ไม่เปลี่ยนรีเลย์ร้อนรวน
จนละลาย จอดบุ๊ปติดเครื่องได้บ้างไม่ได้บ้าง ศูนย์จะเปลี่ยนยกชุดลูกเดียว
หม้อน้ำขอบพลาสติกถึงปีรั่ว สั่งร้านตีใหม่ดีกว่าถูกกว่า
ใครเจอทีแทบขายรถตอนหมดประกัน ถ้ามีอู่ทำก็ขับไปซ่อมไป
ยังไม่นับค่าน้ำมันเกียร์ และวิธีเติมที่ต้องวัดอุณหภูมิเสื้อเกียร์ก่อนเติม
น๊อตอ่างเป็นมิเนียม ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง กรองเกียร์สุดแพง

หลังคาแก้ว เปิดประทุน เวลาขายต่อหาคนรับยากมาก เวลารั่ว ฝนตก
เสียงอย่างกับอยู่ในเพิงสังกะสี คนที่รู้ปัญหาไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียงหรอก
ค่าประเก็นยาง สักหราดรีดน้ำบางคันเกือบแสน

ถ้าหมดประกันแล้วขายก็ไม่เหนื่อยมาก แต่ที่ต้องลากใช้เกินสิบปีจะเล่นไม่กี่รุ่น
ส่วนใหญ่เล่นมือสอง หรือสิบปีไปแล้วมาปลุกผี แต่หลังๆรถยุ่นพัฒนาไปมาก
ซื้อยุ่นป้ายแดง ดีกว่า ยุโรปมือสอง ถึงเหล็กบางกว่า แต่โครงสร้างช่วงล่าง
ระบบไฟดีกว่า ซ่อมง่ายกว่า อะไหล่ถูกกว่า ยกเว้นไฮบริดที่ยุ่นแพงกว่าน้ำมัน

แค่พรีอุส โดนชนหัวขาด ถ้าหาหัวตัดไม่ได้ สามแสนไม่อยู่
แค่ไฟหน้า ฝากระโปรงมีเนียม เบิกห้างเกินแสน
บางคนโวยหาว่าแพง นี่ขนาดหนีภาษีชิ้นส่วนช่วยแล้ว ถ้าเสียเต็มๆ
ราคารถแพงกว่าคัมรี่เสียอีก อยากใช้รถไฮเทคแต่จะจ่ายค่าซ่อมเท่าไฮทอร์ค,สามห่วง

ยิ่งพวกรถสปอร์ตแพงเวอร์ตัวดี แค่ออกแบบท่อคายไอเบนซินยังไม่เสร็จ
ก็ออกขายแบบตีหัว คนซื้อก็เทิดทูนบูชา พอไฟไหม้ ไม่ยักโทษโรงงาน
หรือของแต่งที่ใส่เพิ่มแบบผิดๆ ขับรถไม่เป็นไม่ไปอบรบ ทำในสิ่งที่วิศวกร
ไม่คิดว่าจะทำ รถไฟไหม้ เสียหาย ประกันสอบแล้ว รู้ว่าเกิดจากคนขับ
จะไปโยนบาปให้คู่กรณีก็มี เพราะคนขับกับเจ้าของเป็นคนละคน
จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความคุ้มค่า เอาแต่ตัญหาราคะที่เขายั่วยวน

เจอค่าน้ำมันเกียร์แปดหมื่นถึงแสน ตั้งครัชหลักหมื่น รีเซ็ทระบบไฟอีก
น้ำมันเครื่องแพงพิเศษ ใช้ข้างนอกหมดประกัน เพราะเป็นรถคนพิเศษ
ค่ายางสองสามแสน เลือกยี่ห้อแทบไม่ได้ เขาว่าบ้านเราขายน้อยเลยไม่มีตรงสภาพอากาศ

เลยไม่รู้ว่ารถพวกนี้กากแต่แพง หรือรถเจ้าตลาด
ขายดีเกินไปบางคนดูถูกสารพัด หาว่าแท๊กซื่บ้าง รถคนจนบ้าง
ลองไปดูขั้นตอนการประกอบดีกว่า รถแพงเวอร์การประกอบไม่ได้ดีกว่ารถตลาด
มุดท่อหาไม่ยาก รถทำปีละคัน สู้รถคันละนาทีไม่ได้ ความแม่นยำต่างกันมาก

แต่ขายแพงยังไงก็ต้องทดสอบจนจบ ไม่งั้นโดนฟ้องเจ๊งไม่ยาก
รถตลาดออกไปก่อน ค่อยแก้ แต่หลุดมากๆก็เจ๊งไม่ยาก

ยิ่งรุ่นใหม่บอกใส่คาร์บอนไฟเบอร์มาในรถ แบบสปอร์ตแพงเวอร์
เอาเข้าจริงมีแต่โครงหลังคาสองชิ้น ขนาดรัฐบาลเยอรมัน ช่วยลดต้นทุนให้แล้ว
ถ้าคว่ำมา ชิ้นหนึ่งน่าจะเกินห้าหมื่น หมดหลังคาแสนกว่า ต้องหารถเก่าตัดหลังคามาเปลี่ยน
ดีที่ช่วงล่าง ซุ้มล้อยังมีเนียม ไม่งั้นชนทีรถแตกซ่อมไม่ได้ เครื่องเชื่อมไม่ได้

ต้องตัดตามตะเข็บแล้วเชื่อมมีเนียมเบิกใหม่ ถึงจะมีที่ยึดคาร์บอนไฟเบอร์
ชนทีแทบทิ้งรถเขาว่าปลอดภัย แต่ติดไฟ หนีไม่ทันทำไงดี
ถึงแค่ใช้บางส่วน ไม่ได้ทั้งคันจนต้องแถมถังดับเพลิงแบบในรถแพงเวอร์

รถยกสูง ขับสี่ยุโรป วันนี้ถ้าไม่ทำหรูเวอร์คงเจอรถยุ่นตีตายหมด
ลุยไม่เหนือกว่า เจอโคลน น้ำลึก ก็ไปไม่ไหว ต้องรุ่นกลไกก็หายากเต็มที่
ถ้าดาวลูกไก่ประกอบ ยกสูงดีเซล ขับสี่ออโต้ในไทย ราคาพอๆกับเจ้าตลาด
รองรับว่าจะสะอื้นอีกหลายยี่ห้อ เพราะเดิมๆขับก็ไม่เหนือกว่าดาวลูกไก่เท่าไหร่
ยิ่งอะไหล่ไม่ต้องรอ ประกันยาว ศูนย์ดี ที่แพงเวอร์จะอยู่ยังไง เหลือแต่ไว้หลอกตัวเองมั้ง
  ซูฮกในบทความของท่านเลย    ข้าน้อยขอคาราวะ  
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: mxmx ที่ มกราคม 29, 2017, 12:49:39
ซื้อรถพวกนี้ อย่าคิดเยอะคับ เพราะมันเกินคำว่าพาหนะใช้งานแล้วคับ กัวเรื่องซ่อมก็ไป บีเอ็มคับ ส่วนประกันถ้าไม่อยากเสียก็ไม่ต้องต่อคับ หรือต่อชั้นอื่นที่ถูกๆ ยางนี่ผมเปลี่ยนรันแฟลตออกเลยนะคับ ยางธรรมดาดีกว่าอีก ยางถูกๆที่ใส่รถญี่ปุ่นก็เอามาใส่รถพวกนี้ได้นะคับแล้วแต่เลือก
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Odrecranon ที่ มกราคม 29, 2017, 13:17:47
ผมคิดว่ามันแล้วแต่คนเลยครับ อยู่ที่ความชอบ
เช่น ผู้ชายชอบรถยนต์ ผู้หญิงชอบกระเป๋า

ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
สมมติให้ คน 2 คนเงินเดือน และเงินเก็บเท่ากัน
คนแรก เอาไปซื้อรถ 4 ล้าน สังสรรในเมือง ทำงาน กลับบ้านนอน
คนสอง เอาไปซื้อรถ 1 ล้าน ชอบหาเวลาไปเที่ยว ตั้งใจเที่ยวรอบโลก
2 คนก็มีความสุขทั้งคู่

แต่คนอื่นจะมองเรายังไง มันก็แล้วแต่ครับ
รนยนต์ Mercedes, BMW มัน Luxury ครับ ไม่ใน Family car
เพราะฉะนั้นมันแพงกว่า เพราะ Luxury มันใช้ความสมเหตุสมผลมาตัดสินอย่างเดียวไม่ได้
ถ้าใช้ Luxury มันทำให้ภูมิใจ มีความสุข แล้วไม่เดือดร้อนตัวเองก็ทำไปเถอะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: ttt3 ที่ มกราคม 29, 2017, 14:29:04
ตอนนั้นพอคิดว่ามีกำลังซื้อไหว  ผมก็ไม่ลังเลที่จะซื้อรถ ยุโรป ในฝันสักคันครับ  ผ่านไป 1 ปี ก็เลยตัดสินใจขายครับ  (censor เสีย เรียกรถยก 6ครั้ง   ครั้งที่7 เบรคไม่อยู่ ) ขาดทุนเยอะครับ  ตอนนี้ก็ใช้รถญี่ปุ่นเหมือนเดิมครับ  ตอนนี้เรื่องรถยุโรปไม่มีในความคิดอีกเลยครับ เพราะได้เคยเป็นเจ้าของแล้ว 
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: paeybu ที่ มกราคม 29, 2017, 15:01:13
ค่าซ่อมหลายคนก็ไม่กลัว แต่กลัวจุกจิก ใช้แล้วเสียก็ขี้เกียจเอาเข้าศูนย์นะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มกราคม 29, 2017, 15:18:20
ตอนนั้นพอคิดว่ามีกำลังซื้อไหว  ผมก็ไม่ลังเลที่จะซื้อรถ ยุโรป ในฝันสักคันครับ  ผ่านไป 1 ปี ก็เลยตัดสินใจขายครับ  (censor เสีย เรียกรถยก 6ครั้ง   ครั้งที่7 เบรคไม่อยู่ ) ขาดทุนเยอะครับ  ตอนนี้ก็ใช้รถญี่ปุ่นเหมือนเดิมครับ  ตอนนี้เรื่องรถยุโรปไม่มีในความคิดอีกเลยครับ เพราะได้เคยเป็นเจ้าของแล้ว
   ปสก เลวร้ายมาก  ขึ้นยานแม่ 7 ครั้ง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Skyforce ที่ มกราคม 29, 2017, 15:20:19
กลัวที่สุดคือราคาขายต่อครับรถใหม่ออกห้าง 2-3 ล้าน สมมติใช้รถ 4-5 ปีขายต่อทีราคาลงไปเกือบ 50% เงินส่วนต่างเอาไปซื้อ d seg ญี่ปุ่นได้คันนึงเลย  แถมการดูแลจุกจิกกว่าอีก มันเป็นเรื่องค่านิยมคนไทยจริงๆ แต่ต่างประเทศ อย่างอเมริกาโตโยต้าขายดี เพราะทน ไม่จุกจิก กว้าง นั่งสบาย
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Activehybrid ที่ มกราคม 29, 2017, 15:32:36
ถ้ากำลังซื้อไหวและชอบมากจริงๆก็ซื้อเหอะ มัวรอพร้อมมากๆขับตอนแก่ๆหง่อมๆมันจะมีประโยชน์อะไร ช่วงชีวิตมีแค่ครั้งเดียวไม่ซื้อรอบนี้ อีก6-7ปีทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

แต่ถ้ากังวลอนาคตเสียดายลงทุนนู่นี่นั้น ก็ตัดใจไปซะให้ขาด

ส่วนตัวเคยตัดสินใจซื้อรถตอนเหตุการณ์แบบนี้ปรากฎว่าชีวิตดีขึ้นเกิดช่องทางใหม่ๆมาพอดี ส่วนหนึ่งเพราะใจสู้ ไม่มีถอยแพ้ไม่ได้

แม้มีบางครั้งที่รู้สึกสิ้นเปลืองมาก แต่ถ้าเราหาเงินไหวก็ไม่มีหรอกปัญหา ก็แค่เสียดายตังเป็นเรื่องธรรมดา เลือกเอา
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: boyyyy ที่ มกราคม 29, 2017, 16:08:30
รถราคาต่างกันสามเท่า เอามาเทียบกันยังไงคันที่แพงกว่าก็ไม่น่าเล่น

หรูกว่ายังไง สวนใหญ่คิดเอง เออเอง สรุปเองทั้งนั้น คนที่ไปนั่งขับเทียบกัน
ส่วนใหญ่ซื้อรถยุ่นเสียมาก เพราะเดี๋ยวนี้ภายในต่างกันไม่มาก

ยิ่งเบาะหนัง สามแฉกไม่ได้ใช้หนังนับปาแบบs class หรือตัวแพงนำเข้า
ส่วนเบาะรองน่อง หาคนที่เข้าใจยิ่งน้อยลงไปอีก เห็นแต่ซื้อไว้อวดมากกว่า
ค่าแร็คเทวดา เลี้ยวล้อหลังไฟฟ้า แบตสองลูกฟันๆ ไม่เปลี่ยนรีเลย์ร้อนรวน
จนละลาย จอดบุ๊ปติดเครื่องได้บ้างไม่ได้บ้าง ศูนย์จะเปลี่ยนยกชุดลูกเดียว
หม้อน้ำขอบพลาสติกถึงปีรั่ว สั่งร้านตีใหม่ดีกว่าถูกกว่า
ใครเจอทีแทบขายรถตอนหมดประกัน ถ้ามีอู่ทำก็ขับไปซ่อมไป
ยังไม่นับค่าน้ำมันเกียร์ และวิธีเติมที่ต้องวัดอุณหภูมิเสื้อเกียร์ก่อนเติม
น๊อตอ่างเป็นมิเนียม ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง กรองเกียร์สุดแพง

หลังคาแก้ว เปิดประทุน เวลาขายต่อหาคนรับยากมาก เวลารั่ว ฝนตก
เสียงอย่างกับอยู่ในเพิงสังกะสี คนที่รู้ปัญหาไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียงหรอก
ค่าประเก็นยาง สักหราดรีดน้ำบางคันเกือบแสน

ถ้าหมดประกันแล้วขายก็ไม่เหนื่อยมาก แต่ที่ต้องลากใช้เกินสิบปีจะเล่นไม่กี่รุ่น
ส่วนใหญ่เล่นมือสอง หรือสิบปีไปแล้วมาปลุกผี แต่หลังๆรถยุ่นพัฒนาไปมาก
ซื้อยุ่นป้ายแดง ดีกว่า ยุโรปมือสอง ถึงเหล็กบางกว่า แต่โครงสร้างช่วงล่าง
ระบบไฟดีกว่า ซ่อมง่ายกว่า อะไหล่ถูกกว่า ยกเว้นไฮบริดที่ยุ่นแพงกว่าน้ำมัน

แค่พรีอุส โดนชนหัวขาด ถ้าหาหัวตัดไม่ได้ สามแสนไม่อยู่
แค่ไฟหน้า ฝากระโปรงมีเนียม เบิกห้างเกินแสน
บางคนโวยหาว่าแพง นี่ขนาดหนีภาษีชิ้นส่วนช่วยแล้ว ถ้าเสียเต็มๆ
ราคารถแพงกว่าคัมรี่เสียอีก อยากใช้รถไฮเทคแต่จะจ่ายค่าซ่อมเท่าไฮทอร์ค,สามห่วง

ยิ่งพวกรถสปอร์ตแพงเวอร์ตัวดี แค่ออกแบบท่อคายไอเบนซินยังไม่เสร็จ
ก็ออกขายแบบตีหัว คนซื้อก็เทิดทูนบูชา พอไฟไหม้ ไม่ยักโทษโรงงาน
หรือของแต่งที่ใส่เพิ่มแบบผิดๆ ขับรถไม่เป็นไม่ไปอบรบ ทำในสิ่งที่วิศวกร
ไม่คิดว่าจะทำ รถไฟไหม้ เสียหาย ประกันสอบแล้ว รู้ว่าเกิดจากคนขับ
จะไปโยนบาปให้คู่กรณีก็มี เพราะคนขับกับเจ้าของเป็นคนละคน
จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความคุ้มค่า เอาแต่ตัญหาราคะที่เขายั่วยวน

เจอค่าน้ำมันเกียร์แปดหมื่นถึงแสน ตั้งครัชหลักหมื่น รีเซ็ทระบบไฟอีก
น้ำมันเครื่องแพงพิเศษ ใช้ข้างนอกหมดประกัน เพราะเป็นรถคนพิเศษ
ค่ายางสองสามแสน เลือกยี่ห้อแทบไม่ได้ เขาว่าบ้านเราขายน้อยเลยไม่มีตรงสภาพอากาศ

เลยไม่รู้ว่ารถพวกนี้กากแต่แพง หรือรถเจ้าตลาด
ขายดีเกินไปบางคนดูถูกสารพัด หาว่าแท๊กซื่บ้าง รถคนจนบ้าง
ลองไปดูขั้นตอนการประกอบดีกว่า รถแพงเวอร์การประกอบไม่ได้ดีกว่ารถตลาด
มุดท่อหาไม่ยาก รถทำปีละคัน สู้รถคันละนาทีไม่ได้ ความแม่นยำต่างกันมาก

แต่ขายแพงยังไงก็ต้องทดสอบจนจบ ไม่งั้นโดนฟ้องเจ๊งไม่ยาก
รถตลาดออกไปก่อน ค่อยแก้ แต่หลุดมากๆก็เจ๊งไม่ยาก

ยิ่งรุ่นใหม่บอกใส่คาร์บอนไฟเบอร์มาในรถ แบบสปอร์ตแพงเวอร์
เอาเข้าจริงมีแต่โครงหลังคาสองชิ้น ขนาดรัฐบาลเยอรมัน ช่วยลดต้นทุนให้แล้ว
ถ้าคว่ำมา ชิ้นหนึ่งน่าจะเกินห้าหมื่น หมดหลังคาแสนกว่า ต้องหารถเก่าตัดหลังคามาเปลี่ยน
ดีที่ช่วงล่าง ซุ้มล้อยังมีเนียม ไม่งั้นชนทีรถแตกซ่อมไม่ได้ เครื่องเชื่อมไม่ได้

ต้องตัดตามตะเข็บแล้วเชื่อมมีเนียมเบิกใหม่ ถึงจะมีที่ยึดคาร์บอนไฟเบอร์
ชนทีแทบทิ้งรถเขาว่าปลอดภัย แต่ติดไฟ หนีไม่ทันทำไงดี
ถึงแค่ใช้บางส่วน ไม่ได้ทั้งคันจนต้องแถมถังดับเพลิงแบบในรถแพงเวอร์

รถยกสูง ขับสี่ยุโรป วันนี้ถ้าไม่ทำหรูเวอร์คงเจอรถยุ่นตีตายหมด
ลุยไม่เหนือกว่า เจอโคลน น้ำลึก ก็ไปไม่ไหว ต้องรุ่นกลไกก็หายากเต็มที่
ถ้าดาวลูกไก่ประกอบ ยกสูงดีเซล ขับสี่ออโต้ในไทย ราคาพอๆกับเจ้าตลาด
รองรับว่าจะสะอื้นอีกหลายยี่ห้อ เพราะเดิมๆขับก็ไม่เหนือกว่าดาวลูกไก่เท่าไหร่
ยิ่งอะไหล่ไม่ต้องรอ ประกันยาว ศูนย์ดี ที่แพงเวอร์จะอยู่ยังไง เหลือแต่ไว้หลอกตัวเองมั้ง


กดไลค์ตรงไหนได้ครับ

กิเลส ราคะ โมหะ ในรถยุโรปสิ้นไปเลย
ออกรถยุ่นป้ายแดง 7-8 ปี ต่อ 1 คัน ยังคุ้มกว่า
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: mark2015 ที่ มกราคม 29, 2017, 16:27:36
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า

ย้อนเวลาได้คงไม่ซื้อ แต่ถ้าไม่ซื้อทุกวันนี้ก็คงไม่หายคัน
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: O_o" ที่ มกราคม 29, 2017, 16:47:25
อยู่ที่ความพร้อมของแต่ละคนด้วยละครับ ไม่ว่าซื้อรถยี่ห้อไหน ทุกอย่างมันมีค่าใช้จ่าย อยู่ที่ว่าพร้อมจะจ่ายรึเปล่า

อย่างได้ของดีราคาถูกๆ มันหายากเหลือเกินในยุคสมัยนี้ ที่รถมีแต่ระบบไฟฟ้าเต็มไปหมด ไม่แค่รถ Premium car

รถจากประเทศญี่ปุ่น ตอนนี้ก็เริ่มอัดเทคโนโลยีต่างๆ มาเต็มรถเช่นกัน คนซื้ออย่างเราก็อดภูมิใจไม่ได้ว่า มีออปชั่นต่างๆมากมายพอๆกับรถ Premium car

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง มันเกิดเสียขึ้นมา เรื่องซ่อมคงยากอยู่ แต่จะมีแค่เปลี่ยนอุปกรณ์อย่างเดียว มากกว่าละครับ ช่างซ่อมหายาก ช่างเปลี่ยนนะมีมากมาย

ออปชั่นเยอะก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้หน่อยครับ รถยุคสมัยนี้ ซ่อมที น่ากลัวกว่าเมื่อก่อนเยอะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Eakkypoo ที่ มกราคม 29, 2017, 17:03:18
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า

ย้อนเวลาได้คงไม่ซื้อ แต่ถ้าไม่ซื้อทุกวันนี้ก็คงไม่หายคัน

ต้องขอให้เล่าประสบการณ์ ตรง ให้ฟังด้วยครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: mark2015 ที่ มกราคม 29, 2017, 17:49:51
คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า

ย้อนเวลาได้คงไม่ซื้อ แต่ถ้าไม่ซื้อทุกวันนี้ก็คงไม่หายคัน

ต้องขอให้เล่าประสบการณ์ ตรง ให้ฟังด้วยครับ

ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เสียดายค่าเสื่อม พอครบสี่ห้าปีหายไปเกือบสองล้านแหละครับ เสียดายเงิน แถมมีภาวะจิตตกกับเวลาหมดประกันว่า ค่าเซอร์วิสจะขนาดไหน ในอนาคต

ความอยากมันเยอะกว่าเหตุผล พอไหวเลยต้องจัดแหละครับ

ทุกวันนี้แฮบปี้กับมันครับ ไม่งอแง จุกจิก ยอมรับว่าขับดีกว่าญี่ปุ่นเยอะมากครับ ขับสนุกจนสองปีคงแสนโลละครับ

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Carrera ที่ มกราคม 29, 2017, 17:58:21
รถราคาต่างกันสามเท่า เอามาเทียบกันยังไงคันที่แพงกว่าก็ไม่น่าเล่น

หรูกว่ายังไง สวนใหญ่คิดเอง เออเอง สรุปเองทั้งนั้น คนที่ไปนั่งขับเทียบกัน
ส่วนใหญ่ซื้อรถยุ่นเสียมาก เพราะเดี๋ยวนี้ภายในต่างกันไม่มาก

ยิ่งเบาะหนัง สามแฉกไม่ได้ใช้หนังนับปาแบบs class หรือตัวแพงนำเข้า
ส่วนเบาะรองน่อง หาคนที่เข้าใจยิ่งน้อยลงไปอีก เห็นแต่ซื้อไว้อวดมากกว่า
ค่าแร็คเทวดา เลี้ยวล้อหลังไฟฟ้า แบตสองลูกฟันๆ ไม่เปลี่ยนรีเลย์ร้อนรวน
จนละลาย จอดบุ๊ปติดเครื่องได้บ้างไม่ได้บ้าง ศูนย์จะเปลี่ยนยกชุดลูกเดียว
หม้อน้ำขอบพลาสติกถึงปีรั่ว สั่งร้านตีใหม่ดีกว่าถูกกว่า
ใครเจอทีแทบขายรถตอนหมดประกัน ถ้ามีอู่ทำก็ขับไปซ่อมไป
ยังไม่นับค่าน้ำมันเกียร์ และวิธีเติมที่ต้องวัดอุณหภูมิเสื้อเกียร์ก่อนเติม
น๊อตอ่างเป็นมิเนียม ต้องเปลี่ยนทุกครั้ง กรองเกียร์สุดแพง

หลังคาแก้ว เปิดประทุน เวลาขายต่อหาคนรับยากมาก เวลารั่ว ฝนตก
เสียงอย่างกับอยู่ในเพิงสังกะสี คนที่รู้ปัญหาไม่อยากเอาคอไปขึ้นเขียงหรอก
ค่าประเก็นยาง สักหราดรีดน้ำบางคันเกือบแสน

ถ้าหมดประกันแล้วขายก็ไม่เหนื่อยมาก แต่ที่ต้องลากใช้เกินสิบปีจะเล่นไม่กี่รุ่น
ส่วนใหญ่เล่นมือสอง หรือสิบปีไปแล้วมาปลุกผี แต่หลังๆรถยุ่นพัฒนาไปมาก
ซื้อยุ่นป้ายแดง ดีกว่า ยุโรปมือสอง ถึงเหล็กบางกว่า แต่โครงสร้างช่วงล่าง
ระบบไฟดีกว่า ซ่อมง่ายกว่า อะไหล่ถูกกว่า ยกเว้นไฮบริดที่ยุ่นแพงกว่าน้ำมัน

แค่พรีอุส โดนชนหัวขาด ถ้าหาหัวตัดไม่ได้ สามแสนไม่อยู่
แค่ไฟหน้า ฝากระโปรงมีเนียม เบิกห้างเกินแสน
บางคนโวยหาว่าแพง นี่ขนาดหนีภาษีชิ้นส่วนช่วยแล้ว ถ้าเสียเต็มๆ
ราคารถแพงกว่าคัมรี่เสียอีก อยากใช้รถไฮเทคแต่จะจ่ายค่าซ่อมเท่าไฮทอร์ค,สามห่วง

ยิ่งพวกรถสปอร์ตแพงเวอร์ตัวดี แค่ออกแบบท่อคายไอเบนซินยังไม่เสร็จ
ก็ออกขายแบบตีหัว คนซื้อก็เทิดทูนบูชา พอไฟไหม้ ไม่ยักโทษโรงงาน
หรือของแต่งที่ใส่เพิ่มแบบผิดๆ ขับรถไม่เป็นไม่ไปอบรบ ทำในสิ่งที่วิศวกร
ไม่คิดว่าจะทำ รถไฟไหม้ เสียหาย ประกันสอบแล้ว รู้ว่าเกิดจากคนขับ
จะไปโยนบาปให้คู่กรณีก็มี เพราะคนขับกับเจ้าของเป็นคนละคน
จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องความคุ้มค่า เอาแต่ตัญหาราคะที่เขายั่วยวน

เจอค่าน้ำมันเกียร์แปดหมื่นถึงแสน ตั้งครัชหลักหมื่น รีเซ็ทระบบไฟอีก
น้ำมันเครื่องแพงพิเศษ ใช้ข้างนอกหมดประกัน เพราะเป็นรถคนพิเศษ
ค่ายางสองสามแสน เลือกยี่ห้อแทบไม่ได้ เขาว่าบ้านเราขายน้อยเลยไม่มีตรงสภาพอากาศ

เลยไม่รู้ว่ารถพวกนี้กากแต่แพง หรือรถเจ้าตลาด
ขายดีเกินไปบางคนดูถูกสารพัด หาว่าแท๊กซื่บ้าง รถคนจนบ้าง
ลองไปดูขั้นตอนการประกอบดีกว่า รถแพงเวอร์การประกอบไม่ได้ดีกว่ารถตลาด
มุดท่อหาไม่ยาก รถทำปีละคัน สู้รถคันละนาทีไม่ได้ ความแม่นยำต่างกันมาก

แต่ขายแพงยังไงก็ต้องทดสอบจนจบ ไม่งั้นโดนฟ้องเจ๊งไม่ยาก
รถตลาดออกไปก่อน ค่อยแก้ แต่หลุดมากๆก็เจ๊งไม่ยาก

ยิ่งรุ่นใหม่บอกใส่คาร์บอนไฟเบอร์มาในรถ แบบสปอร์ตแพงเวอร์
เอาเข้าจริงมีแต่โครงหลังคาสองชิ้น ขนาดรัฐบาลเยอรมัน ช่วยลดต้นทุนให้แล้ว
ถ้าคว่ำมา ชิ้นหนึ่งน่าจะเกินห้าหมื่น หมดหลังคาแสนกว่า ต้องหารถเก่าตัดหลังคามาเปลี่ยน
ดีที่ช่วงล่าง ซุ้มล้อยังมีเนียม ไม่งั้นชนทีรถแตกซ่อมไม่ได้ เครื่องเชื่อมไม่ได้

ต้องตัดตามตะเข็บแล้วเชื่อมมีเนียมเบิกใหม่ ถึงจะมีที่ยึดคาร์บอนไฟเบอร์
ชนทีแทบทิ้งรถเขาว่าปลอดภัย แต่ติดไฟ หนีไม่ทันทำไงดี
ถึงแค่ใช้บางส่วน ไม่ได้ทั้งคันจนต้องแถมถังดับเพลิงแบบในรถแพงเวอร์

รถยกสูง ขับสี่ยุโรป วันนี้ถ้าไม่ทำหรูเวอร์คงเจอรถยุ่นตีตายหมด
ลุยไม่เหนือกว่า เจอโคลน น้ำลึก ก็ไปไม่ไหว ต้องรุ่นกลไกก็หายากเต็มที่
ถ้าดาวลูกไก่ประกอบ ยกสูงดีเซล ขับสี่ออโต้ในไทย ราคาพอๆกับเจ้าตลาด
รองรับว่าจะสะอื้นอีกหลายยี่ห้อ เพราะเดิมๆขับก็ไม่เหนือกว่าดาวลูกไก่เท่าไหร่
ยิ่งอะไหล่ไม่ต้องรอ ประกันยาว ศูนย์ดี ที่แพงเวอร์จะอยู่ยังไง เหลือแต่ไว้หลอกตัวเองมั้ง

+10

ดีกว่าเกิน 10 เท่าไหม ก็ไม่  เท่าที่เคยอยู่กับมันมาสิบปี  จะกลับไปอีกไหม ก็เฉยๆ ตอนนี้ใช้ญี่ปุ่น ได้ความสบายใจ  เหลือเงินใช้ในกระเป๋า

เมืองนอก ออกไปศึกษาข้อมูลจากต่างประเทศแล้วเห็นอะไรอีกเยอะแยะมากมาย  คนทั่วไปก็คิดไปสารพัด ญี่ปุ่นทำรถสู้ยุโรปไม่ได้  เอาเข้าจริงๆ หลายๆรุ่นตามทันแล้ว หรือดีกว่าด้วย

ฺฺผมว่าความต่างตอนขับมัน 20 % ไม่ได้ต่างแบบมากมายเหมือนราคาที่ตกไป หรือส่วนต่างค่าอะไหล่ + ราคารถ

เท่าที่รู้จากคนรอบๆตัว คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า สายมโนก็เยอะ คิดว่าต้องดีอย่างนั้น เจ๋งขนาดนี้

ถ้าผมจะซื้อ Premium Mid size ส่วนตัว ขอเอาเงินไปออก D Seg ญี่ปุ่นในวันเบาๆ คันนึง แล้วออก FT86 ในวันซ่าๆ อยากสนุกอีกคันดีกว่า  วันที่เดินทางหลายๆคน แล้วคนในครอบครัวนั่งด้วยคงไม่ได้มีอารมณ์อยากสนุกอะไรเท่าไหร่นัก  :P

เหลือ Lexus นี่ละที่ยังไม่ได้ลองในระยะยาวๆ  แต่เท่าที่เคยนั่งแปปๆ ผมไม่แปลกใจทำไมยอดขายมันถึงสูงนักในอเมริกา ถ้ามันถึกทนแบบพี่โตแต่วิ่งดีได้แบบยุโรปแบบนี้ในราคาพอดีๆ
 มันเป็นอะไรที่จบเลย  ;D
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Armaru ที่ มกราคม 29, 2017, 18:14:48
ง่ายๆครับ คนที่มีกำลังเงินเหลือเฟือจริงๆ เค้าก็หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเค้า เรื่องค่าซ่อมบำรุงนี่ จิ๊บจ๊อยมากๆ สำหรับคนระดับนี้

แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อ แต่ยังกังวลค่าซ่อมแพง ผมว่าจริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่พร้อมสำหรับรถระดับนี้ก็ได้ครับ

ผมมองว่าคนที่เค้ามีเงินเล่นรถระดับนี้ได้ ฐานะเค้าต้องพร้อมจริงๆ ที่บ้านอาจมีรถหลายคันก็ได้ คันนี้เสียก็สลับไปขับคันอื่นได้ชิวๆ คันที่เสียก็ยกไปซ่อม กำลังจ่ายนั้นมีเหลือเฟือ สำหรับคนรวยระดับนี้
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ มกราคม 29, 2017, 18:23:27
ถ้ามีเงินสำหรับซื้อรถ 3 ล้าน
ให้ซื้อรถราคาต่ำกว่าเงินที่มี ไม่ใช่กัดฟันซื้อ แล้วจะสบายกับค่าดูแล

สมัยผมเรียน พ่อให้งบ 8 แสน ซื้อรถ
ผมเลือกวีออสมา 1 คัน กันเงินอีก 2 แสนไว้ซ่อมบำรุง
ผมใช้เงิน 2 แสนซื้อประกัน ซื้อยาง กับเข้าศูนย์ไปได้ราวๆ 6-7 ปี

ถ้าต้องซื้อแบบ ซื้อแล้วเงินหมดเลย คุณจะกังวลค่าดูแลรักษา
แต่ถ้าซื้อแบบกำลังดี พอประมาณ คุณจะไม่กังวลเลย
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Koong ที่ มกราคม 29, 2017, 18:27:20
    ผมเป็นอีกคนนึงที่ผิดหวังกับพรีเมี่ยมคาร์  คุณภาพและการขับขี่ เทียบกับรถญี่ปุ่นดีๆ ไม่ได้หนีกันมาก แต่ราคาไปไกลมากๆ   
     ที่เบื่ออีกอย่างนึงคือ รู้สึกมันเสียจุกๆจิกๆ พวกเซ็นเซอร์ต่างๆ พอเสียปุ๊บเข้าโหมดเซฟตัวเองปั๊บ จอดอย่างเดียวรอรถสไล    ยิ่งใช้ยิ่งระแวงไม่กล้าเอาไป ตจว ไกลๆ     แต่รถญี่ปุ่นอย่างมากก็แค่ไฟเอนจิ้นโชว์ ยังขับต่อได้
     สรุป   ถ้ามีเงินอยากให้รางวัลกับตัวเองก็ซื้อไปเถอะ      แต่ถ้ามองเรื่องความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป รถตลาดๆคุ้มที่สุด
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: NONT4477 ที่ มกราคม 29, 2017, 18:37:54
ง่ายๆครับ คนที่มีกำลังเงินเหลือเฟือจริงๆ เค้าก็หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเค้า เรื่องค่าซ่อมบำรุงนี่ จิ๊บจ๊อยมากๆ สำหรับคนระดับนี้

แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อ แต่ยังกังวลค่าซ่อมแพง ผมว่าจริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่พร้อมสำหรับรถระดับนี้ก็ได้ครับ

ผมมองว่าคนที่เค้ามีเงินเล่นรถระดับนี้ได้ ฐานะเค้าต้องพร้อมจริงๆ ที่บ้านอาจมีรถหลายคันก็ได้ คันนี้เสียก็สลับไปขับคันอื่นได้ชิวๆ คันที่เสียก็ยกไปซ่อม กำลังจ่ายนั้นมีเหลือเฟือ สำหรับคนรวยระดับนี้
ก็มีทั้งส่วนถูกและไม่ถูกครับ
บางคนมีเงินจ่ายค่าซ่อมบำรุงรถปีละแสนได้สบายๆ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
แต่เค้ามองว่ามันเกินความจำเป็น ทำไมต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงรถสูงขนาดนั้น
รถ ไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตเค้านอกจากเป็นแค่ยานพาหนะ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: J_Serie5 ที่ มกราคม 29, 2017, 19:21:33
:) :) :) ประมาณรถ Premium ทั่วๆไปที่ไม่สูงเกินไปนัก พวก C class , E class , Series 3, 5
คือพอมีงบประมาณที่จะออกรถกลุ่มนี้เพื่อจะได้ใช้รถยุโรปดีๆซักคัน แต่ตัดใจไม่ได้อะครับ กับค่าใช้จ่ายหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เช่น ประกันชั้น1 ค่าบำรุงให้สวยงาม ตกแต่ง ค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ที่คาดว่าอาจจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นคันก่อนๆที่ใช้มา หรือ บางท่านอาจจะรับไม่ได้กับที่จังหวัดที่อยู่ไม่มีศูนย์ ต้องเสียเวลาในการเอารถเข้าศูนย์ซึ่งไม่สะดวก   
  อยากทราบคนกลุ่มนี้มีมากไหมครับ.
  ท่านใดที่มีประสพการณ์ประมาณนี้บ้างไหมครับ

คิดมากแบบนี้คำตอบง่ายๆ = เงินคุณยังไม่พร้อมครับ

ทางเลือก ถ้าเสียดายเงิน ก็ซื้อมือ2
Bmw F10 528i M Sport มือ1 3,799,000

มือ2 2014 1.7-1.8 ล้าน มี BSI เหลืออยู่ รถมีปัญหาก็เข้าขับศูนย์เคลมให้ครบๆ

3,799,000 - 1800000 = 1999000 ประหยัดเงินไปประมาณ 2 ล้าน รับได้มั้ยครับ? ถ้ารับไม่ได้แพงไปอีก ทางเลือกคือ ซื้อ 523i หรือ 520D F10 มือ 2 ราคาล้านต้นๆ แล้วมาซ่อมเอาเอง นี่ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจอีกทางเลือกครับ

ซื้อรถมือ2 อย่ารอให้เสียแล้วค่อยซ่อม เพราะคุณประหยัดเงินในกระเป๋าไปเป็นล้านบาท ได้รถมาก็จับเข้าอู่นอก เปลี่ยนอะไหล่ยกชุด ทำให้ครบ แล้วจะใช้รถได้อย่างสบายใจครับ ( คนส่วนใหญ่ทำใจไม่ได้ที่จะเสียเงินก้อนเป็นแสนๆเปลี่ยนอะไหล่ให้ครบทั้งคัน แต่เลือกที่จะรอให้เสียแล้วค่อยซ่อม ก็เลยต้องเซ็งกินข้าวลิง ขึ้นรถสไลด์ )
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: GRB0999 ที่ มกราคม 29, 2017, 20:37:28
ผมว่า bsi คือการรวมเอาค่าservice ไปไว้ในราคารถตั้งแต่ซื้อ
ถ้าใช้รถน้อยบริษัทก้อกำไรฟรีๆไป แต่ถ้าใช้เยอะจนครบ100000กม ใน 5 ปี
เค้าก้อไม่ขาดทุนหรอก
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: arte ที่ มกราคม 29, 2017, 20:50:36
ทุกคนต่างมีเหตุผลส่วนตัวสำหรับการซื้อรถหรูหรือซื้อรถญี่ปุ่น ไม่มีใครผิดถูกครับ สำหรับผมแล้วชีวิตมันสั้นและไม่แน่นอนครับ ไม่รู้ว่าจะอยู่กับคนที่เรารักได้นานเท่าไหร่ แต่ถ้าการซื้อรถหรูแล้วทำให้คนที่เรารักมีความสุข ความปลอดภับและความทรงจำที่ดีกับเราตลอดไปผมก็ยอมครับแม้รายได้จะไม่มากมาย ยังดีกว่าวันหนึ่งมีเงินเก็บเยอะๆแต่วันนั้นไม่มีคนที่เรารักอีกต่อไป เงินเหล่านั้นก็แทบไม่มีความหมายอะไร
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: gorilla ที่ มกราคม 29, 2017, 21:38:39
ค่าซ่อมหลายคนก็ไม่กลัว แต่กลัวจุกจิก ใช้แล้วเสียก็ขี้เกียจเอาเข้าศูนย์นะครับ

+10   
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Booboo ที่ มกราคม 29, 2017, 21:49:30
 มีปัญญาซื้อครับ แต่เสียดายเงินเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ทุกวันนี้มีความสุขกับcamry เดิมๆ ถ้าจะเปลี่ยนรถก็คงเป็น D segmentญี่ปุ่น
หรือพวก CRV Everest Fortuner พวกนี้มากกว่า
ใช้รถยุโรปกลัวน้ำท่วมครับ บอกตามตรง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Booboo ที่ มกราคม 29, 2017, 22:01:48
มีปัญญาซื้อครับ แต่เสียดายเงินเอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า
ทุกวันนี้มีความสุขกับcamry เดิมๆ ถ้าจะเปลี่ยนรถก็คงเป็น D segmentญี่ปุ่น
หรือพวก CRV Everest Fortuner พวกนี้มากกว่า
ใช้รถยุโรปกลัวน้ำท่วมครับ บอกตามตรง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: FastButSlow ที่ มกราคม 29, 2017, 23:13:36
เคยเชียร์ให้พ่อซื้อ V40 ใหม่หรือไม่ก็ Mini Countryman อยู่ เพราะราคาไม่แรงมาก

แต่ที่บ้านใช้รถยาวๆประมาณ 10 ปีต่อคัน เลยขอบาย เพราะพ่อเคยใช้ Volvo ซึ่งค่า service ศูนย์ค่อนข้างแพง (ที่บ้านชอบเอาเข้าศูนย์มากกว่าอู่นอก) นอกจากแพงแล้วยังจุกจิก พอซ่อมชิ้นนู้น ชิ้นนั้นก็พังอีก ต่างจากรถญี่ปุ่นที่ซ่อมบำรุงตามระยะตามปกติก็ไม่ต้องลุ้นว่าจะต้องไปพังกลางทาง
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car
เริ่มหัวข้อโดย: Smith686 ที่ มกราคม 29, 2017, 23:37:57
ง่ายๆครับ คนที่มีกำลังเงินเหลือเฟือจริงๆ เค้าก็หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเค้า เรื่องค่าซ่อมบำรุงนี่ จิ๊บจ๊อยมากๆ สำหรับคนระดับนี้

แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อ แต่ยังกังวลค่าซ่อมแพง ผมว่าจริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่พร้อมสำหรับรถระดับนี้ก็ได้ครับ

ผมมองว่าคนที่เค้ามีเงินเล่นรถระดับนี้ได้ ฐานะเค้าต้องพร้อมจริงๆ ที่บ้านอาจมีรถหลายคันก็ได้ คันนี้เสียก็สลับไปขับคันอื่นได้ชิวๆ คันที่เสียก็ยกไปซ่อม กำลังจ่ายนั้นมีเหลือเฟือ สำหรับคนรวยระดับนี้
      ผมเคยใช้รถญี่ปุ่นมาก่อน  ตอนที่ผมจะซื้อรถเบนซ์ผมเคยลังเลเหมือนกันว่ารถเบนซ์ราคาเท่าโตโยต้าแคมรี่สองคัน  แต่ผมคิดว่ารถญี่ปุ่นอายุใช้งานสั้น  ขับไปเกิน 5 ปีรายการซ่อมก็มาแล้ว ปีที่หกรายการซ่อมก็เยอะจนต้องขายทิ้ง  ถ้าใช้รถเบนซ์ยาวๆ 12 ปีเราก็จ่ายเท่ากับใช้รถญี่ปุ่น  ผมจึงตัดสินใจซื้อเบนซ์  ซื้อมาใช้แล้วไม่ผิดหวังครับ  การทรงตัวที่ความเร็วสูงๆและการเก็บเสียงเหนือกว่ารถญี่ปุ่นเยอะ  ความเหนื่อยล้าในการขับรถระยะทางไกลๆก็น้อยกว่าเยอะ  ตอนนี้ใช้มาเข้าปีที่ 14 แล้ว เช็กระยะตามโปแกรมตลอด  เปลี่ยนชิ้นส่วนตามระยะทาง  รถไม่เคยมีปัญหาอะไรเลย  คิดว่าใช้ต่ออีกสัก 2-3 ปีอาจจะเก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วซื้อคันใหม่มาใช้อีกคัน   :-*
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มกราคม 30, 2017, 03:02:08
ง่ายๆครับ คนที่มีกำลังเงินเหลือเฟือจริงๆ เค้าก็หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเค้า เรื่องค่าซ่อมบำรุงนี่ จิ๊บจ๊อยมากๆ สำหรับคนระดับนี้

แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อ แต่ยังกังวลค่าซ่อมแพง ผมว่าจริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่พร้อมสำหรับรถระดับนี้ก็ได้ครับ

ผมมองว่าคนที่เค้ามีเงินเล่นรถระดับนี้ได้ ฐานะเค้าต้องพร้อมจริงๆ ที่บ้านอาจมีรถหลายคันก็ได้ คันนี้เสียก็สลับไปขับคันอื่นได้ชิวๆ คันที่เสียก็ยกไปซ่อม กำลังจ่ายนั้นมีเหลือเฟือ สำหรับคนรวยระดับนี้
ก็มีทั้งส่วนถูกและไม่ถูกครับ
บางคนมีเงินจ่ายค่าซ่อมบำรุงรถปีละแสนได้สบายๆ ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
แต่เค้ามองว่ามันเกินความจำเป็น ทำไมต้องจ่ายค่าซ่อมบำรุงรถสูงขนาดนั้น
รถ ไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตเค้านอกจากเป็นแค่ยานพาหนะ
อันนี้มันคล้ายผมกับแฟนเลย     คือแฟนเราใช้รถวีออส  เข้าศูนย์ทุก 1 หมื่นโล จ่ายประมาณ 1 พันกว่าบาท    ถ้าเปลี่ยนมาใช้รถยุโรปที่ไม่มี BSI  แล้ว  เสียค่าเช็คระยะเข้าศูนย์ 1x,xxx กว่าบาท      เท่ากับว่าต่างกัน 10 เท่า        แฟนผมบ๊ายบายเลยครับ เอาเงินไปเที่ยวไปทำหน้า ทำศัลยกรรมหรืออื่น ๆ ดีกว่า 
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: คุณพ่อหาเงิน ที่ มกราคม 30, 2017, 08:48:50
ใจจริงอยากได้ XC90 ใจจะขาด
แต่ภรรยา และลูกอยากได้ Vellfire ก่อน  ;) ก็ OK ครับ
คงจะอีกยาวๆเลย
ค่าดูแลคงสบาย5ปีแรก หลังจากนั้นก็อู่นอก
ยังไงลองมอง Premium ญี่ปุ่นดูบ้างก็ได้ครับ Lexus น่าจะไม่แรงเท่าไหร่
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: @MIN ที่ มกราคม 30, 2017, 09:01:19
ง่ายๆครับ คนที่มีกำลังเงินเหลือเฟือจริงๆ เค้าก็หาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเค้า เรื่องค่าซ่อมบำรุงนี่ จิ๊บจ๊อยมากๆ สำหรับคนระดับนี้

แต่สำหรับคนที่มีกำลังซื้อ แต่ยังกังวลค่าซ่อมแพง ผมว่าจริงๆแล้ว คุณอาจจะไม่พร้อมสำหรับรถระดับนี้ก็ได้ครับ

ผมมองว่าคนที่เค้ามีเงินเล่นรถระดับนี้ได้ ฐานะเค้าต้องพร้อมจริงๆ ที่บ้านอาจมีรถหลายคันก็ได้ คันนี้เสียก็สลับไปขับคันอื่นได้ชิวๆ คันที่เสียก็ยกไปซ่อม กำลังจ่ายนั้นมีเหลือเฟือ สำหรับคนรวยระดับนี้

เห็นด้วยครับ   ถ้าจะเล่นรถยุโรปป้ายแดง ต้องรวยจริง ถึงจะไม่เดือดร้อน ในวันหน้า

หัวหน้าที่ทำงานเก่าผม  รวยจริง มีเงินหลัก 100 ล้าน ..  แกเคยเปลี่ยนรถป้ายแดงชนป้ายแดง (เพิ่งซื้อได้ไม่ถึง 3 เดือน ยังป้ายแดงอยู่..แล้วเปลี่ยนคันใหม่เลย)
ผมถามว่า พี่ไม่เสียดายเงินหรือ .. แกตอบง่ายๆ ว่า .. ผมไม่เดือดร้อน .. คำเดียวจบเลย

มี 10 ล้าน ใช้ 3 ล้าน .. คือ 30% , มี 100 ล้าน ใช้ 3 ล้าน .. คือ 3% ... ความรู้สึกแตกต่างกันมาก
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ
เริ่มหัวข้อโดย: sakano ที่ มกราคม 30, 2017, 10:15:17
:) :) :) ประมาณรถ Premium ทั่วๆไปที่ไม่สูงเกินไปนัก พวก C class , E class , Series 3, 5
คือพอมีงบประมาณที่จะออกรถกลุ่มนี้เพื่อจะได้ใช้รถยุโรปดีๆซักคัน แต่ตัดใจไม่ได้อะครับ กับค่าใช้จ่ายหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เช่น ประกันชั้น1 ค่าบำรุงให้สวยงาม ตกแต่ง ค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ที่คาดว่าอาจจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นคันก่อนๆที่ใช้มา หรือ บางท่านอาจจะรับไม่ได้กับที่จังหวัดที่อยู่ไม่มีศูนย์ ต้องเสียเวลาในการเอารถเข้าศูนย์ซึ่งไม่สะดวก   
  อยากทราบคนกลุ่มนี้มีมากไหมครับ.
  ท่านใดที่มีประสพการณ์ประมาณนี้บ้างไหมครับ
   รถพวกนี้ 5 ปีแรกค่าบำรุงรักษายังไม่มีอะไร แค่ตรวจเช็กตามระยะทาง ค่าตกแต่งไม่มีเพราะแต่งแล้วคงไม่สวยไปกว่าเดิม  หลัง 5 ปีไปแล้วค่าซ่อมเริ่มมา  แต่คนที่ใช้รถพวกนี้น่าจะเกือบครึ่งขายรถหลังจากใช้ไปแล้ว 5-7 ปีจึงไม่ค่อยเจอเรื่องค่าซ่อม  ส่วนคนที่ซื้อมือสองก็ต้องทำใจกับค่าซ่อมแต่ก็ถือว่าซื้อมาราคาถูก

ใช่เลยครับ
ส่วนมากจะใช้กันจนหมดประกัน (เด่วนี้มีให้ซื้อต่อได้แล้วอีก)
ประมาณ 5-7ปี ก็ขายกันหมดแล้วอ่ะครับ
เห็นเค้าก็เคลมกันไปเพราะอยู่ในประกัน ก็เลยไม่ค่อยเจอค่าใช้จ่ายหนักๆกันมากนัก
อีกทั้งก็ขับกันไม่เยอะเลย ปีละหมื่นกว่า Km. มันก็เลยไม่เกินประกันด้วยครับ

ต้องดู style การใช้งานรถของตัวเองอ่ะครับ ^^
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: winit2014 ที่ มกราคม 30, 2017, 10:33:31
+1
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัด
เริ่มหัวข้อโดย: mothsan ที่ มกราคม 30, 2017, 11:22:26
ผมมอกว่า ถ้ามีปัญญาผ่อน ก็น่าจะมีปัญญาจ่ายค่าซ่อมครับ
พอผ่อนหมด ก็จ่ายเป็นค่าซ่อมแทน
ค่าผ่อนตกปีล่ะ 2 แสนกว่าขึ้นไป น่าจะพอค่าซ่อมนะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: aekoy ที่ มกราคม 30, 2017, 11:27:37
สำหรับผมใช้ทั้งรถญี่ปุ่น และยุโรป ใช้ทั้งป้ายแดงและมือสอง คันล่าสุดซื้อ Volvo V60 เพื่อทดแทน Volvo 850 van ใช้มาเกือบ 4 แสนกิโล ทีแรกก็ลังเลจะซื้อแคมรี่ละได้ส่วนลด 2 แสน เดินๆที่ Central ลาดพร้าว มีบูท volvo เขาชวนไปลองรถขับไปเที่ยว 1 วัน ไปเช้ากลับเย็น กลับมากรุงเทพฯ ภรรยาสั่งจองทันทีเลย ตอนนี้ใช้มา 3 ปีละก็มีความสุขกับมันดี เนื่องจากเคยใช้รถยุโรปมาก่อนดังนั้นจึงไม่กังวลกับค่าซ่อมและมีอู่นอกที่ซ่อมกันอยู่ ราคาขายต่อไม่สนใจเพราะใช้นานเกิน 10 ปีอยู่แล้ว สิ่งที่ภรรยาตัดสินใจซื้อเพราะเรื่องระบบความปลอดภัยล้วนๆครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: time traveler ที่ มกราคม 30, 2017, 12:03:32
คิดและมีผลครับ ถึงจะซื้อได้อีกเป็น 20 -30 คัน ก็คิดครับ จ่ายได้แต่ทำไมต้องจ่าย บางคนมีตังส์เยอะเพราะคิดแบบนี้ ถึงตังส์เยอะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อ
เริ่มหัวข้อโดย: Smith686 ที่ มกราคม 30, 2017, 12:54:20
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=980369902096658&set=gm.1066414410155042&type=3&theater (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=980369902096658&set=gm.1066414410155042&type=3&theater)
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ
เริ่มหัวข้อโดย: Smith686 ที่ มกราคม 30, 2017, 13:14:45
ทำไมถึงเลือกเบนซ์
(ทั้งที่ราคานี้ซื้อแคมรี่ได้ตั้ง2คัน)

https://www.facebook.com/groups/520552961407859/permalink/1067003923429424/ (https://www.facebook.com/groups/520552961407859/permalink/1067003923429424/)

หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: BenzParagon ที่ มกราคม 30, 2017, 13:16:13
:) :) :) ประมาณรถ Premium ทั่วๆไปที่ไม่สูงเกินไปนัก พวก C class , E class , Series 3, 5
คือพอมีงบประมาณที่จะออกรถกลุ่มนี้เพื่อจะได้ใช้รถยุโรปดีๆซักคัน แต่ตัดใจไม่ได้อะครับ กับค่าใช้จ่ายหลังจากที่ซื้อมาแล้ว เช่น ประกันชั้น1 ค่าบำรุงให้สวยงาม ตกแต่ง ค่าซ่อมบำรุงหลังหมดประกัน ที่คาดว่าอาจจะแพงกว่ารถญี่ปุ่นคันก่อนๆที่ใช้มา หรือ บางท่านอาจจะรับไม่ได้กับที่จังหวัดที่อยู่ไม่มีศูนย์ ต้องเสียเวลาในการเอารถเข้าศูนย์ซึ่งไม่สะดวก   
  อยากทราบคนกลุ่มนี้มีมากไหมครับ.
  ท่านใดที่มีประสพการณ์ประมาณนี้บ้างไหมครับ

ผมไม่กังวล กับ ค่าใช้จ่าย ครับ

ผมกังวล กับ ความจริงจัง / ความจริงใจ / ความตั้งใจ ใน การผลิต / การซ่อมบำรุงรักษา / การแก้ไขปัญหา ครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: AuNaraKa ที่ มกราคม 30, 2017, 13:39:47
ผมมี คุณแพน และ คุณจิมมี่ เป็นไอดอลครับ

เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านรถยนต์มากจึงเลือกใช้รถยนต์ที่คุ้มค่า

ณ จุดนี้ผมจึงเลือก Honda City 2017 S MT ใส่ชุดแต่ง Modulo ราคา 12,000 บาท แค่นี้ก็แฮปปี้แล้วครับ ^___^

เห็นคุณแพน ชอบใจ Porsche 718 อยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ มกราคม 30, 2017, 14:05:14
ผมมี คุณแพน และ คุณจิมมี่ เป็นไอดอลครับ

เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านรถยนต์มากจึงเลือกใช้รถยนต์ที่คุ้มค่า

ณ จุดนี้ผมจึงเลือก Honda City 2017 S MT ใส่ชุดแต่ง Modulo ราคา 12,000 บาท แค่นี้ก็แฮปปี้แล้วครับ ^___^

เห็นคุณแพน ชอบใจ Porsche 718 อยู่นะครับ
  คุณ Jimmy  ประทับใจที่สุดในบรรดารถที่ขับมา   ก็ Mazda  MX5  NC     ;D
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: SM. ที่ มกราคม 30, 2017, 15:41:16
บางคนยินดีจ่ายเงินกับเรื่องบางเรื่อง และไม่ยินดีจ่ายกับเรื่องบางเรื่อง ก็คล้ายๆๆกับเรื่องนี้แหละครับ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ มกราคม 30, 2017, 15:55:57
คนเราความคิดไม่เหมือนกันครับ คิดแบบคุณก็มีอีกเยอะ
คิดตรงข้ามก็เยอะ แต่ถ้าไหวอยากให้ลองดูสักครั้งครับ ถ้าไม่ชอบก็ขายกลับไปใช้ยุ่นก็ได้
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: O-ver-Late-Driver ที่ มกราคม 30, 2017, 20:51:25
ชอบ พอมีกำลังไหว ก็ซื้อ ความสุข ที่เงิน สามารถซื้อได้ สำหรับคนชอบรถ แต่งรถ ขับรถ มองเป็นความสุข มากกว่าเหตุผล กลัวนู้น นี่ นั่น

ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็กลับมาขับญี่ปุ่น เหมือนเดิม เห็นมาหลายคนล่ะ   ทุกคนต้องการสื่งที่ดีที่สุด สำหรับตนเอง ครอบครัว  ถ้ามัวแต่กังวล

รอให้มีเงินเท่านั้น เท่านี้ คงไม่มีโอการขับ   LIFE IS TOO SHORT   ถ้าความสุขของคนชอบรถ พวกเขามักหาเหตุผลเสมอว่า

ต้องลอง สักครั้ง ในชีวิต    พวกเขาไม่ได้มองว่า  รถเป็นแค่ยานพาหนะไปสู่สถานที่ที่ต้องการ   แต่มองว่า สื่งที่เป็นความสุขที่สัมผัสได้
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: Super hornet ที่ มกราคม 30, 2017, 23:16:23
มีความสุขที่ได้เห็นมันอยู่ในบ้าน ซื้อเพราะมันดีต่อใจไม่ใช่เอามาเพื่ออวด คิดกลับไปกลับมาแล้วผ่อนไหวรับไหว ศึกษารู้ถึงจุดอ่อนข้อด้อยและคิดว่ารับมันได้ มีอู่ไว้ใจได้ เอามาแล้วไม่เป็นภาระต่อตัวเอง ก็จัดเลยสิครับ รถยุโรปถ้าเข้าใจธรรมชาติของมันและซ่อมเป็นไม่ใช่เอะอะเข้าศูนย์จะใช้อย่างมีความสุขแน่นอน
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: knotty_loves_hani ที่ มกราคม 31, 2017, 12:16:20
ถ้าไม่เคย ต้องลองมีซักครั้งครับ จะได้รู้ว่ามีแล้วเป็นยังไง
ดวงแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนผมเห็นซื้อมาแล้วเจอแบบจุกจิกมากกกก ในขณะที่บางคนใช้รุ่นเดียวกันแต่ไม่เจอปัญหาเลยก็มี
ส่วนตัวผมเคยใช้ทั้งยุโรปมือ1 และมือ2 ปัจจุบันใช้ d segment ญี่ปุ่นอยู่ก็ happy ดี คชจ.ถูก เวลาขายไม่เจ็บตัวมาก สมรรถนะไม่แย่กว่ากันมาก เพราะผมเป็นคนชอบแต่งรถอยู่แล้ว รถมีจุดอ่อนตรงไหนก็ปรับปรุงมันซะ
หัวข้อ: Re: มีมากไหมครับ ที่มีกำลังซื้อรถ Premium car ได้สบายแต่ตัดใจซื้อไม่ได้ เพราะตัดใจไม่ได้กับค่าดูแล
เริ่มหัวข้อโดย: lovepor1 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2017, 14:31:03
ผมไม่กลัวค่าดูแล แต่ผมกลัวที่จะดูแลรถ  เพราะ

1. ที่จอดตากแดด ไม่มีหลังคา

2. นิสัยไม่ชอบล้างรถบ่อย

3. ขับไปจอดไหน ต้องระวัง

4. กลัวพี่ๆน้องๆ จะอิจฉาเรา

เหมือนกันครับ ทุกวันนี้ E coupe จอด ขับแต่ Toyota sport rider ไปไหนสบายใจครับ เพราะขับแต่ในเมือง ล่าสุดขับ sport rider มอไซค์มาชนท้าย โชคดีไม่เป็นอะไรเลย ถ้าวันนั้นขับ E coupe คงเสียหายเยอะ
ปล.รถทุกคันผมไม่มีประกัน ไม่เคยขับชนครับ