Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: lay ที่ กุมภาพันธ์ 26, 2017, 02:57:27
-
ไม่แน่ใจว่าผมคิดถูกหรือเปล่า? ยกตัวอย่างจากการทดสอบCX3 .... .............
"เราทราบดีแล้วว่าน้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 29.56 บาท และน้ำมันดีเซล ลิตรละ 20.19 บาท
และเราก็ทราบเช่นกันว่า CX-3 เบนซิน กิน 14.88 กิโลเมตร / ลิตร ส่วน CX-3 ดีเซล ทำได้
ในระดับ 17.65 กิโลเมตร / ลิตร ดังนั้น ถ้าจะวิ่ง 20,000 กิโลเมตรต่อปี ปริมาณน้ำมันที่ใช้
ต่อปี ก็เอามาหารได้เลย
CX-3 เบนซิน = 20,000 หาร 14.88 = ใช้น้ำมัน 1,344 ลิตร ในแต่ละปี
CX-3 Diesel Turbo = 20,000 หาร 17.65 = ใช้น้ำมัน 1,133 ลิตร ในแต่ละปี
จากนั้นถ้าจะคิดเป็นค่าน้ำมันต่อปี ก็เอาราคาน้ำมันคูณเข้าไปสิครับ
CX-3 เบนซิน = 1,344 คูณ 29.56 = 39,728 บาท
CX-3 Diesel Turbo = 1,133 คูณ 20.19 = 22,875 บาท
ความต่างในด้านค่าเชื้อเพลิง = 16,853 บาทต่อปี ราคารถต่างกัน 110,000 บาท เท่ากับว่า
คุณต้องใช้รถไปนานถึง 6 ปีครึ่ง ความประหยัดค่าเชื้อเพลิงจึงจะคืนทุน!! "
............. .....ที่นี้ลองเปลี่ยนตัวเลขใหม่ เป็นE85ลิตรละ20กับดีเซลลิตรละ26 .....คิดดูคร่าวๆแล้วผมว่าเบนซิลคุ้มกว่ามากมายเลยนะครับ
-
แล้วถ้าขับ 30000 กิโลเมตรแบบผมเกมส์เปลี่ยนทันที
สิ่งที่รถดีเซลเทอรโบได้คือ แรงบิดมหาศาลขับสนุดในรอบต่ำครับ และ ประหยัดกรณีรถติดด้วย
E85 เอาจริง กินมากกว่าเบนซิน 30 %
-
ขับเร็วๆ รถดีเซลกินน้อยกว่าเบนซินมากครับ เบนซินขับเร็วๆ แต่รถเครื่องไม่แรง หล่นมาเหลือ 6 ขนาดที่ดีเซลขับเร็วกว่า ยังได้ประมาณ 8
-
คงต้องดูแต่ละการใช้งาน
-
ถ้ารถวิ่งน้อยๆระดับประมาณ1-2หมื่นโลแล้วเอาส่วนต่างระดับเป็นแสนมาเทียบจะไม่คุ้มค่าเชื้อเพลิงแน่นอนครับ แต่อย่าลืมว่าเครื่องยนต์ดีเซลมีการบำรุงรักษาน้อยกว่าด้วยและเครื่องยนต์ก็ทนทานกว่าเครื่องเบนซินมากเช่นกันนะครับ และเวลาขายต่อค่อนข้างได้ราคาดีกว่าเพราะประหยัดน้ำมันมากกว่าครับ
-
ขับเร็วๆ รถดีเซลกินน้อยกว่าเบนซินมากครับ เบนซินขับเร็วๆ แต่รถเครื่องไม่แรง หล่นมาเหลือ 6 ขนาดที่ดีเซลขับเร็วกว่า ยังได้ประมาณ 8
ใช่ครับ ตัวเลขโรงงานเราต้องไปดูด้วยว่าเขาทดลองที่ความเร็วเท่าไร เวลาเราขับจริงใช้ความเร็วเท่าไร เวลาเราขับจริงความเร็วเราจะไม่คงที่ การสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าที่เขาทดสอบมาอยู่แล้ว
-
ในcx3 2.0g กับ 1.5d
ไม่ค่อยมีคนซื้อดีเซลเพราะแพงและขับไม่สนุก เนื่องจากแรงม้าน้อย คนไปซื้อ2ดีเซลหมด ถ้าจะเทียบควรเทียบรถที่กำลังเท่าๆกันแบบ 320i vs 320d
-
ดีเซลลิตรละ 26.64 บาทนะครับ 20 บาทมันปีที่แล้วครับ
ทั้งนี้อัตราสิ้นเปลือง HLM มันวัดได้เฉพาะขับทางไกลครับ
ขับในเมืองออกตัวบ่อยๆ E85 ซดเหมือนดื่มน้ำเลยครับ จะกลายเป็นกินมากกว่าดีเซล 50% ได้
-
ดีเซลที่ไหนขาย 20 บาทครับ จะไปเติม 555
เพิ่งเติมไปเมื่อววาน 26 บาทกว่าๆ ??? ;D
-
สงสัย จขกท.จะดูราคาผิดปีนะครับ อันนั้นมันราคาน้ำมันต้นเดือน ก.พ.2559 นะ
ปีนี้ 2560 แล้วนะครับ
ปล.หรือยกข้อความมาจาก Review?
-
ยังไงก็เลือกเบนซินครับ
-
ยังไงผมก็ยังจะไปเบนซิลครับ เสียงน่าจะดีกว่า :-* :P
-
ดีเซล ยังได้เปรียบเรื่องประหยัดน้ำมันอยู่บ้างครับ
-
ตกลงจะเทียบค่าน้ำมันหรือค่าใช้จ่ายโดยรวมครับ งงกับหัวข้อจัง
-
ตกลงจะเทียบค่าน้ำมันหรือค่าใช้จ่ายโดยรวมครับ งงกับหัวข้อจัง
นั่นสิ
แต่ที่แน่ๆ 1 น้ำมันขวดนึงเท่าๆกัน
ดีเซลสามารถวิ่งได้ไกลกว่าแน่นอน
แปลว่า ถ้าขับไปเที่ยว ในบางสถานที่สามารถขับรวดเดียวถึงที่หมายได้เลย
หรือบางสถานการณ์ สามารถประวิงเวลาได้เมื่อรู้ว่า อีก 2 วันน้ำมันกำลังจะลง
-
สงสัย จขกท.จะดูราคาผิดปีนะครับ อันนั้นมันราคาน้ำมันต้นเดือน ก.พ.2559 นะ
ปีนี้ 2560 แล้วนะครับ
ปล.หรือยกข้อความมาจาก Review?
ใช่ครับ ผม ยกข้อความมาจาก Review มาสด้าCX3ครับ ต้องขออภัย ที่ กระทู้ไม่ชัดเจน ทำให้สับสนกันไปหมด ครับ ขอขอบคุณครับ
-
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้หรอกคับที่เบนซินจะประหยัดเงินกว่าถ้าโครงสร้างราคาน้ำมันเป็นแบบนี้ ถ้าเอาราคารถมาคำนวนด้วยถึงจะเป็นไปได้ อย่างคู่นี้ใครๆก้ซื้อ 2.0 คับแรงกว่าเยอะถึงจะกินกว่าแต่ก้คุ้มครับราคสก้ถูกกว่าเยอะถามมาสด้าดีกว่าคับว่าทำไมวางราคาแปลกๆแบบนี้เข้าใจว่าเครื่องดีเซลแพงแต่ทำมาแบบนี้ขายไม่ออกหรอกคับหรือเค้าอาจจะไม่ค่อยอยากขายcx3 1.5d ก้ได้คับทำมาไว้งั้นๆ
-
ถ้าซีเรียสค่าน้ำมันขนาดนั้น ติด LPG จบเลยครับ ส่วนเรื่องอื่นเช่นอัตราเร่งที่ต่างกันมาก เป็นผมเลือกเบนซินแน่นอน เพราะดีเซลอืดมาก
CX3
เบนซิน 0-100 9.54
ดีเซล 0-100 12.62
Dif 3.08 วินาที
-
ตัวผมเองใช้ f30 328i กับที่บ้านมี 325d อยู่ด้วย ถ้าขับในลักษณะเดียวกัน 325d ถังนึงจะไปได้ไกลกว่าราวๆ 200 กม. ครับ เรื่องความประหยัดคงต้องยกให้ดีเซลแต่ถามว่าชอบฟีลเครื่องยนต์คันไหนกว่าก็คงต้องเป็นตัวเบนซินครับ
-
เจอรถติดๆในเมืองเบนซินถ้าเทียบใน ซีซี เท่ากันเบนซินน้ำมันลดมากกว่าชัดเจน อย่าลืมว่าถ้ารถซื้อในราคาสูงกว่าขายก็ต้องได้ราคาสูงกว่าด้วยครับเพราะไม่มีรถที่ราคาเท่ากัน แต่ให้เลือกแค่เบนซิลกับดีเซล e85 ก็จริงแต่ก็หมดไวกว่า e20 g95 g91 อย่างชัดเจน แล้วถ้าเบนซินกับดีเซลขับหนักๆลากรอบบ่อยๆ เบนซินยิ่งหมดไวกว่าอย่างชัดเจน
-
จขกท. พูดถึงอัตราสิ้นเปลือง แต่เหมือนจะลืมไปว่า E85 กินกว่าเบนซินปกติเยอะมาก...
ผมจูนรถทุกคันเบนซินที่บ้าน ทำยังไงๆ E85 ก็กินกว่า E20 เกิน 2 กม./ลิตร รถติดๆ หรือเหยียบหนักๆ มากกว่านั้นเยอะ
เอาง่ายๆ Real Time รถ Eco Car เติม E85 แบบจ่ายแล้วไม่ขึ้นไฟเอนจิ้น ตอนวิ่ง 165 (อย่าทำตาม ผมลองรถหลังจูน) คือ 7 กม./ลิตร
ในขณะที่เวลาเติมเบนซินวิ่งทดสอบตามสไตล์ HLM มันคือ 17.25 กม./ลิตร บนรถรุ่นเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่ควรเทียบจริงๆ คือ บาท/กม. ใช้จริงครับ
//
เวลา HLM เทสต์ เขาใช้ "เบนซิน 95" กับรถสายเบนซิน แต่กับรถดีเซล เขาก็ใช้ดีเซลปกติ...
เพราะฉะนั้นเวลาใช้จริง เติม E10 E20 E85 ก็เปลืองขึ้นตามสัดส่วนด้วยครับ (แม้ E20 บาท/กม. จะดีกว่าหน่อยๆ ก็ตาม)
//
สุดท้าย คือ ต้องคิดให้ละเอียดระหว่างการคิดส่วนต่างค่าน้ำมันให้คุ้ม กับราคาส่วนต่างรถที่เพิ่มขึ้นมา และอย่าลืมสมรรถนะส่วนที่หายไปด้วย
และอย่าลืมว่า ดีเซลใช่ว่าจะทน อย่าเอาดีเซลสมัยมังกรทองมาเป็นพื้นฐาน ดีเซลระบบไฟฟ้าเพียบ ระบบแปลกๆ
กับเบนซินที่แปลกยิ่งกว่า ฉีดตรงกำลังอัดสูง ผมยังเดาไม่ถูกเลยว่า ระยะยาว ค่าเมนเทแนนซ์สองตัวนี้ตัวไหนจะเยอะกว่ากัน
ที่แน่ๆ คือ คนที่บ้านผม ออก 2.0 SP เรียบร้อย เพราะคิดทรงๆ เดียวกะ จขกท. นี่ล่ะครับ แหะๆ
-
:'( :-\
คิดราคาเป็น บาท/กิโลเมตร ดีเซลประหยัดกว่าครับ
เอ้า ยกตัวอย่าง BMW F10 เครื่องปัจจุบัน
ดีเซล 21 กิโล/ลิตร > 26.64/21 = 1.26
เบนซิน 17 กิโล/ลิตร > 27.9/17 = 1.64
แต่ถ้านับที่ราคารถ แบบรุ่นต่อรุ่น เครื่องดีเซลแพงกว่าเบนซิน แทบทุกรุ่น
และราคาขายต่อได้ดีกว่าด้วย
-
ถ้าคิดแบบ จขกท. ใช้รถ 6 ปี + เอาราคารถมารวมด้วย .. ก็ถูกต้องครับ
ส่วนตัวผมใช้ 2 ดีเซล รุ่นท็อป MY2016 อยู่ ราคา 779,000 บาท จะแพงกว่า ท็อปเบนซิน ประมาณ 130,000 บาท
ถ้าคิดแบบ จขกท. เบนซิน คุ้มค่าเงิน มากกว่า ..
แต่ทัศนคติ ในการมองของผม จะหารถเก๋งดีเซล ป้ายแดง ในราคาไม่เกิน 800,000 บาท ได้ที่ไหน ...
เครื่องยนต์ clean ดีเซล 1.5 turbo , EGR + DPF ปล่อยไอเสียคาร์บอน ต่ำกว่า 100 g/กม. ..
-
ใช้รถปีละ 4-50,000 km เลือก ดีเซล ถ้าต่ำกว่า เลือกเบนซิน ในแง่ค่าน้ำมัน
-
ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง รถถ้าเหมือนกันรุ่นเดียวกันอ๊อพชั่นเหมือนกัน ต่างกันแค่เบนซินกับดีเซล โดยมากแล้วราคารถเบนซินจะถูกกว่าดีเซลอย่างน้อยสมัยนี้ต้องมี 1 แสนบาทขึ้นไปครับ เพราะเครื่องดีเซลแพงกว่ามาก
ถ้าจะขับให้ได้ความประหยัดใกล้กัน ๆ มันต้องใช้เวลาในการคืนทุนโดยมากหลายปีครับ ยกเว้นใช้เยอะแบบวิ่งเยอะจริง ๆ
แต่ถ้าไม่คิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง เลือกดีเซลก็เหมาะครับ ได้อัตราเร่ง ความประหยัดแต่ต้องจ่ายแพงกว่าทุกอย่างในตอนซื้อและตอนซ่อม
-
ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง รถถ้าเหมือนกันรุ่นเดียวกันอ๊อพชั่นเหมือนกัน ต่างกันแค่เบนซินกับดีเซล โดยมากแล้วราคารถเบนซินจะถูกกว่าดีเซลอย่างน้อยสมัยนี้ต้องมี 1 แสนบาทขึ้นไปครับ เพราะเครื่องดีเซลแพงกว่ามาก
ถ้าจะขับให้ได้ความประหยัดใกล้กัน ๆ มันต้องใช้เวลาในการคืนทุนโดยมากหลายปีครับ ยกเว้นใช้เยอะแบบวิ่งเยอะจริง ๆ
แต่ถ้าไม่คิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง เลือกดีเซลก็เหมาะครับ ได้อัตราเร่ง ความประหยัดแต่ต้องจ่ายแพงกว่าทุกอย่างในตอนซื้อและตอนซ่อม
ความคิดนี้ จะใช้ไม่ได้ กับ กลุ่มที่ ไม่ยอมรับเครื่อง ดีเซล ครับ
-
ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้ง รถถ้าเหมือนกันรุ่นเดียวกันอ๊อพชั่นเหมือนกัน ต่างกันแค่เบนซินกับดีเซล โดยมากแล้วราคารถเบนซินจะถูกกว่าดีเซลอย่างน้อยสมัยนี้ต้องมี 1 แสนบาทขึ้นไปครับ เพราะเครื่องดีเซลแพงกว่ามาก
ถ้าจะขับให้ได้ความประหยัดใกล้กัน ๆ มันต้องใช้เวลาในการคืนทุนโดยมากหลายปีครับ ยกเว้นใช้เยอะแบบวิ่งเยอะจริง ๆ
แต่ถ้าไม่คิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง เลือกดีเซลก็เหมาะครับ ได้อัตราเร่ง ความประหยัดแต่ต้องจ่ายแพงกว่าทุกอย่างในตอนซื้อและตอนซ่อม
ความคิดนี้ จะใช้ไม่ได้ กับ กลุ่มที่ ไม่ยอมรับเครื่อง ดีเซล ครับ
สำหรับ passenger car จ่ายแพงมาขับ ดีเซล เสียงดังสนั่นเหมือนรถแทรคเตอร์ ผมไม่เอาด้วยคนนึงคับ ไม่ได้ฟิลเลย
ยุคดีเซลใน passenger car มันใกล้หมดละในโลกที่หนึ่งอย่าง euro หลังเจอ dieselgate เข้าไป
พวก yank ไม่ต้องพูดถึงไม่เอาอยู่แล้ว
สำหรับ performance oriented แบบผม ผม pattern ตามแบบพวก yank นิยมเบนซินล้วนๆครับ