Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: CHANOM ที่ มีนาคม 16, 2017, 20:01:27
-
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้งานใหม่ใกล้ๆบ้าน (7 ก.ม)
ทุกวันนี้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไป-กลับตลอด ที่ทำงานกับบ้านห่างกัน 5 สถานีค่ะ ใช้เวลาเดินทางตอนเช้าและเย็นขาละ 30 นาทีได้ (เดินจากบ้านไปสถานีรถไฟฟ้า 7 นาที รอและเบียดคนขึ้นรถไฟฟ้า) ค่าใช้จ่ายในการเดินทางตอนนี้อยู่ที่ 1,000 บาท/เดือน
ตอนนี้ที่ทำงานยอมให้สิทธิ์จอดรถของที่ทำงานได้ (บริษัทได้แค่ 5 สิทธิ์) เคยลองขับรถไปและกลับบ้านก็ใช้เวลาขาละประมาณ 30 นาทีเท่าๆกัน ตอนเช้าถ้าออกเร็วหน่อยก็เหลือ 20 นาทีได้ แต่ค่าที่จอดรถเดือนละ 2,500 บาท (แพงสุดในละแวกนั้นแล้ว แต่ตึกที่ถูกกว่ารอคิวเป็นปี)
เรากำลังลังเล เพราะใจนึงก็อยากขับรถ ชอบความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องทนร้อน (วันก่อนขึ้นไป 40 องศา แทบจะเป็นลมให้ได้) ไม่ต้องทนเบียดเสียดกับผู้คน (เราเข้างาน 8-9 โมงค่ะ เพราะฉะนั้นช่วงพีคตลอด) แต่อีกใจนึงก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มไหมกับส่วนต่าง 1,500 บาทที่เพิ่มขึ้นมา ยังไม่รวมค่าน้ำมันอีก (เราขับ Mazda 2 Diesel ไม่น่าจะเปลืองมาก) เพื่อนที่ทำงานก็ทักว่าบ้าเปล่า บ้านอยู่แค่นี้จะขับมาให้เปลืองเงินทำไม
ถามความคิดเห็นที่บ้าน ที่บ้านก็ไม่มีความคิดเห็น เพราะคนในบ้านขับรถไปทำงาน ไปเรียนกันหมด เลยอยากลองฟังความคิดเห็นของคนภายนอกดูบ้าง เผื่อมีใครเคยผ่านสถานการณ์แบบเรามาก่อน
ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ :)
ปล. เงินเดือนเรา สองกลางๆ ค่ะ ค่าใช้จ่ายหลักๆก็มีแค่ค่าน้ำมันรถ ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และเงินให้ที่บ้านนิดหน่อย ปกติใช้เงินไม่เคยเกินครึ่งนึงของเงินเดือนค่ะ
-
มอไซด์ครับ เพราะว่าผมทำงานใกล้บ้านเหมือนกัน ไม่ จักรยาน (ไปทำงานคนเดี่ยวไม่ต้องรับแฟน) ก็ มอไซด์
-
เสียดายรถ อิๆ
-
สถานะการณ์คล้ายๆกัน ใช้รถเร็วกว่ารถไฟฟ้า
แต่ผมก็เลือกนั่งรถไฟฟ้านะ หลักๆเลยขี้เกียจ อยากมีเวลานั่งอ่านหนังสือในรถไฟฟ้า เวลาทำงานเหนื่อยให้มาขับรถก็ไม่อยากขับ สมาธิมันไม่เต็มร้อย ให้คนอื่นขับดีกว่า
แต่ก็บังคับตัวเองใช้รถบ้างเพราะจอดเฉยๆมันจะไม่ดีเลยขับไปทำงาน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (แต่ในกรณีคุณมันดูเหมือนเป็นการเบียดสิทธิ์คนอื่นรึเปล่า)
-
แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเป็นผมจะสลับขับรถเองกับขึ้นรถไฟฟ้าครับโดย
1. ขับรถไปเองเมื่อ วันไหนมีสัมภาระ โน้ตบุค หนังสือ เอกสาร กระเป๋า ต้องไปติดต่อลูกค้าหรือประสานงาน/คุยงานกับคนภายนอก หรือมีแผนต้องไป super market หรือห้างเพื่อซื้อของเข้าบ้าน/ดูหนังสุดสัปดาห์
2. นั่งรถไฟฟ้าไปเมื่อ วันไหนฝนตกหนักมีแววว่าการจราจรจะเป็นอัมพาตหรือน้ำท่วมถนน และสัมภาระไม่ค่อยมี หรือป่วย ปวดหัว ตัวร้อน ขับไม่ไหว ต้องรีบไปคลีนิคที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า
สมมติเดือนหนึ่งทำงาน 22 วันอาจจะได้ขับรถเองวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ นอกนั้นนั่งรถไฟฟ้า
-
ผมว่าขับไปดีกว่า ถ้าเป็นเคสที่กำลังจะซื้อรถผมคงแนะนำให้ใช้btsต่อไป
แต่มีรถอยู่แล้ว รถยิ่งจอดยิ่งโทรมขับออกไปใช้ดีกว่าจอดอยู่เฉยๆ
เพิ่มมาพันห้า+ค่าน้ำมันคงไม่มากเท่าไหร่เพราะรถประหยัดมากๆ
ถ้าเป็นผมคงยอมเพิ่มเงินเพื่อความสบายครับ ภาระอะไรก็ไม่มี ไม่ต้องตากแดดตากลมตากฝน อึดอัดกับคนอื่น จะขนอะไรก็ไม่ลำบาก
-
มอไซด์ครับ เพราะว่าผมทำงานใกล้บ้านเหมือนกัน ไม่ จักรยาน (ไปทำงานคนเดี่ยวไม่ต้องรับแฟน) ก็ มอไซด์
มอเตอร์ไซค์ แค่นั่งวินจากสถานีรถไฟฟ้ากลับคอนโดเรายังไม่กล้าเลยค่ะ ที่ทำงานอยู่บนถนนรัชดา ไหนจะอุโมงค์ ไหนจะรถซ้ายขวา เราคงไปไม่ถึงออฟฟิศค่ะ แถมไม่ได้เย็นขึ้นด้วยเลย :'(
เสียดายรถ อิๆ
ซื้อมาสี่เดือน ยังวิ่งไปไม่ถึง 4,000 กิโลเลยค่ะ หลักๆก็ขับออกไปล้างและกลับมาอาบฝุ่นใหม่ แวะปัดฝุ่นอยุ่เกือบทุกวัน ;D
สถานะการณ์คล้ายๆกัน ใช้รถเร็วกว่ารถไฟฟ้า
แต่ผมก็เลือกนั่งรถไฟฟ้านะ หลักๆเลยขี้เกียจ อยากมีเวลานั่งอ่านหนังสือในรถไฟฟ้า เวลาทำงานเหนื่อยให้มาขับรถก็ไม่อยากขับ สมาธิมันไม่เต็มร้อย ให้คนอื่นขับดีกว่า
แต่ก็บังคับตัวเองใช้รถบ้างเพราะจอดเฉยๆมันจะไม่ดีเลยขับไปทำงาน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง (แต่ในกรณีคุณมันดูเหมือนเป็นการเบียดสิทธิ์คนอื่นรึเปล่า)
คิดเหมือนกันค่ะ ถ้าจะขับก็ควรจะต้องขับไปเกือบทุกวัน เพราะพนักงานธรรมดาที่ได้สิทธิ์จอดรถตอนนี้มีแค่สองคน ขอสิทธิ์แล้วไม่ไปจอด ก็ไม่รู้ว่าจะดูน่าเกลียดไหม :-\
แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเป็นผมจะสลับขับรถเองกับขึ้นรถไฟฟ้าครับโดย
1. ขับรถไปเองเมื่อ วันไหนมีสัมภาระ โน้ตบุค หนังสือ เอกสาร กระเป๋า ต้องไปติดต่อลูกค้าหรือประสานงาน/คุยงานกับคนภายนอก หรือมีแผนต้องไป super market หรือห้างเพื่อซื้อของเข้าบ้าน/ดูหนังสุดสัปดาห์
2. นั่งรถไฟฟ้าไปเมื่อ วันไหนฝนตกหนักมีแววว่าการจราจรจะเป็นอัมพาตหรือน้ำท่วมถนน และสัมภาระไม่ค่อยมี หรือป่วย ปวดหัว ตัวร้อน ขับไม่ไหว ต้องรีบไปคลีนิคที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า
สมมติเดือนหนึ่งทำงาน 22 วันอาจจะได้ขับรถเองวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ นอกนั้นนั่งรถไฟฟ้า
หลักๆเราไม่ค่อยได้ไปไหนหลังเลิกงานเลยค่ะ เลิกงานปุ๊บก็เก็บของ อาจจะแวะซื้อข้าวเย็นระหว่างทางก่อนขึ้นรถไฟฟ้า ที่จริงเรากับคุณแม่ก็ทำงานอยู่บนถนนเดียวกันค่ะ แต่คุณแม่ไม่มีเวลากำหนดเข้างาน จะเข้าสายก็ได้ ออกกี่โมงก็ได้ จะไปบังคับให้ท่านออกเช้า ฝ่ารถติดทุกวันเพื่อให้เราได้นั่งรถสบายๆก็รู้สึกแปลกๆ :'(
ขอบคุณทุกท่านค่ะ
-
ผมที่ทำงานไกลจากบ้าน 3 กม. แต่ขับรถไปทำงานครับ บอกคำเดียวว่าสบายมากกว่าเยอะครับ เพราะสถานี bts ตรงที่ผมอยู่คนเยอะมวาก :)
มีรถไฟฟ้าไปจนเกือบถึง แต่ก็ต้องต่อมอไซค์ เดินไปได้ แต่อันตราย
ข้อดี
- สะดวกเพราะไม่ต้องเดิน ไม่ต้องต่อรถ
- สภาพอากาศไม่ดีก็ํไม่กลัว เพราะอยู่ในรถตลอดจนถึงปลายทางแน่ๆ
- ไม่ต้องเบียด ไม่ต้องเดินขึ้นลง ไม่ต้องต่อคิวเข้ารถหลายเที่ยว ไม่ต้องเจอความวุ่นวาย
ข้อเสีย
- ถ้ารถติดก็เปลืองน้ำมัน เสียเวลา
- ต้องหาที่จอดที่ทำงาน แต่ปกติที่ว่างมีพออยู่แล้ว ::)
-
ข้าวของเยอะไหมครับ มีปาร์ตี้ต่อไหม ระหว่างวันต้องออกไปข้างนอกหรือเปล่า
ถ้าใช่ขับรถไปครับ 8) 8)
แต่ถ้าของน้อย ไม่ต้องแบก Lab top กระเป๋าใบเดียว 5 โมงกลับบ้าน
ชอบแวะห้างเดินเล่นเล็กน้อย ไม่อยากหาที่จอด
นั่งรถไฟฟ้าต่อไปครับ 8) 8) 8)
-
ถ้าใช้เวลาพอๆกันผมก็เลือกขับรถนะครับ แต่เจอค่าจอดรถไป 10% ของเงินเดือนก็คงคิดหนักเหมือนกัน
-
ถ้าต้องจ่าย 2500 ผมว่าแพงไปหน่อย
ถ้าคิดว่าจ่ายไว้ เอารถมาบ้างวันที่อยากใช้ก็แล้วแต่สะดวก
-
ผมนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ใช้รถส่วนตัวเฉพาะวันหยุดเท่านั้นครับ ประหยัดเงิน และกำหนดเวลาในการเดินทางได้ ไม่เหมือนขับรถ ต้องมานั่งลุ้นว่าวันนี้จะรถจะติดหรือไม่ติด และขี้เกียจเครียดเวลาอยู่ในรถ นั่งรถไฟฟ้าได้ดูสิ่งอยู่รอบๆตัวเราเป็นการพักสายตาได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องอากาศร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศเรา คนอื่นเค้าทนได้ เราก็ต้องทนได้ครับ ถ้าชินแล้วสบายครับ และอย่าลืมว่าการขับรถนอกจากเสียค่าน้ำมันแล้ว ยังมีค่าสึกหรอของรถด้วยนะครับ คิดง่ายๆว่า ส่วนต่าง 1,500 บาท x 12 เดือน เท่ากับคุณเก็บเงินได้ปีละ 18,000 บาท เอาไว้ซื้อ LTF ปลายปีดีกว่าครับ
ส่วนเรื่องขอสิทธิ์แล้วไม่จอด ก็สละสิทธิ์ไป ไม่น่าเกลียดหรอกครับ คนรอคิวเยอะ เค้าน่าจะดีใจนะครับ
-
ผมว่าขับไปดีกว่า ถ้าเป็นเคสที่กำลังจะซื้อรถผมคงแนะนำให้ใช้btsต่อไป
แต่มีรถอยู่แล้ว รถยิ่งจอดยิ่งโทรมขับออกไปใช้ดีกว่าจอดอยู่เฉยๆ
เพิ่มมาพันห้า+ค่าน้ำมันคงไม่มากเท่าไหร่เพราะรถประหยัดมากๆ
ถ้าเป็นผมคงยอมเพิ่มเงินเพื่อความสบายครับ ภาระอะไรก็ไม่มี ไม่ต้องตากแดดตากลมตากฝน อึดอัดกับคนอื่น จะขนอะไรก็ไม่ลำบาก
ซื้อรถตอนย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพมหานครก่อนที่จะได้งานค่ะ เพราะคิดว่าน่าจะได้งานไกลบ้านแน่ๆ ที่บ้านรถไม่พอคนใช้ด้วยค่ะ ถ้าได้งานก่อน ตอนนี้อาจจะยังไม่มีรถจริงๆค่ะ :-\
ผมที่ทำงานไกลจากบ้าน 3 กม. แต่ขับรถไปทำงานครับ บอกคำเดียวว่าสบายมากกว่าเยอะครับ เพราะสถานี bts ตรงที่ผมอยู่คนเยอะมวาก :)
มีรถไฟฟ้าไปจนเกือบถึง แต่ก็ต้องต่อมอไซค์ เดินไปได้ แต่อันตราย
ข้อดี
- สะดวกเพราะไม่ต้องเดิน ไม่ต้องต่อรถ
- สภาพอากาศไม่ดีก็ํไม่กลัว เพราะอยู่ในรถตลอดจนถึงปลายทางแน่ๆ
- ไม่ต้องเบียด ไม่ต้องเดินขึ้นลง ไม่ต้องต่อคิวเข้ารถหลายเที่ยว ไม่ต้องเจอความวุ่นวาย
ข้อเสีย
- ถ้ารถติดก็เปลืองน้ำมัน เสียเวลา
- ต้องหาที่จอดที่ทำงาน แต่ปกติที่ว่างมีพออยู่แล้ว ::)
ทั้งบ้านและที่ทำงานอยู่ตรงสถานีวุ่นวายทั้งคู่เลยค่ะ แต่ที่ทำงานดีหน่อยตรงที่มีทางออกเชื่อมกับตึกเลยค่ะ เลยไม่ต้องโดนแดด หรือต่อมอเตอร์ไซค์อีกต่อ :)
ข้าวของเยอะไหมครับ มีปาร์ตี้ต่อไหม ระหว่างวันต้องออกไปข้างนอกหรือเปล่า
ถ้าใช่ขับรถไปครับ 8) 8)
แต่ถ้าของน้อย ไม่ต้องแบก Lab top กระเป๋าใบเดียว 5 โมงกลับบ้าน
ชอบแวะห้างเดินเล่นเล็กน้อย ไม่อยากหาที่จอด
นั่งรถไฟฟ้าต่อไปครับ 8) 8) 8)
ของไม่เยอะค่ะ มีแค่กระเป๋าถือใบเดียว (อันนี้ก็เรื่องใหญ่ กระเป๋าแพง โดนเบียดจนจะโทรมหมดละค่ะ) งานก็นั่งอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวัน เลิกงานไม่ค่อยไปไหน ซื้อกับข้าวเสร็จก็กลับบ้านค่ะ ดูจากคำตอบแล้ว ควรจะนั่งรถไฟฟ้าจริงๆสินะคะ ::)
ถ้าใช้เวลาพอๆกันผมก็เลือกขับรถนะครับ แต่เจอค่าจอดรถไป 10% ของเงินเดือนก็คงคิดหนักเหมือนกัน
ถ้าต้องจ่าย 2500 ผมว่าแพงไปหน่อย
ถ้าคิดว่าจ่ายไว้ เอารถมาบ้างวันที่อยากใช้ก็แล้วแต่สะดวก
ค่าจอดแถวที่ทำงานเราอยู่ที่ 2,000-2,500 บาท/เดือนทั้งนั้นเลยค่ะ ดูเป็นตัวเลขยังพอรับไหว แต่พอตีเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็น่ากลัว แพงยิ่งกว่าภาษีรายได้อีกค่ะ :'(
-
ขึ้นอยู่กับอายุด้วยนะครับ ถ้ายังเด็ก ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็พอจะนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานได้ เพื่อนผมยอมขับรถไปทำงานใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเพราะเขาบอกว่าแก่แล้วเบียดสู้เด็กๆไม่ไหว เวียนหัว
-
ถ้าได้ที่จอดรถแล้วก็น่าสนนะครับ อย่างน้อยๆรถจะได้วิ่งบ้าง พอถึงช่วงหน้าฝน ขับรถน่าจะสบายกว่าครับ ไม่ต้องเดินลุยฝนกลับบ้าน
ตอนนี้ผมกำลังจะไปทำงานที่เดียวกับคุณแม่ ซึ่งห่างจากคอนโด กม. แต่ไม่มีรถสาธารณะแบบต่อเดียวเลย แถมที่จอดรถของบริษัทรอคิวนานมาก (บางคนรอคิวเกือบ10ปี) ปกติแม่ไป-กลับ Taxi เฉลี่ยวันละ 150-200 บาท (รถติดมาก) พอผมจะไปทำ คุณแม่เลยมองหาที่จอดรถเช่าอยู่ แล้วจะ Support ค่าจอดรถ ค่าน้ำมันให้ เพราะลองคำนวนดูแล้ว ค่าเช่า+ค่าน้ำมันน่จะถูกกว่า ค่าTaxi ไป-กลับ ครับ :)
ปล. ใช้รถน้อยมากๆ รถผมเกือบ 4 เดือน วิ่งไป 7,500 โล แล้ว แค่ในกทม.และปริมณฑลด้วย ;D
-
ถ้าบ้านและสถานที่ทำงานรถไฟฟ้าเข้าถึง เป็นผมก็คงไม่ขับรถครับ
ทุกวันนี้ผมยังลุ้นให้มีรถไฟฟ้าหน้าบ้านเชื่อมกับแอร์พอร์ตลี้งค์ จะได้ไม่ต้องขับรถไปทำงาน เบื่อรถติดครับ
-
คล้ายๆกันครับ ผมนั่ง MRT ตลอดนะ มันสบายใจกว่า ไม่มีภาระ
ใช้รถ มีโอกาสเสี่ยงรถติด น้ำท่วม ฝนตก ม็อบ ต่างๆเยอะแยะ
-
ข้อดีของการนั่งรถไฟฟ้าคือ
หนึ่ง ผมสามารถกำหนดเวลาในการเดินทางได้ค่อนข้างเที่ยงตรงบวกลบ 10 นาทีถ้าตอนเดินทางเป็น rush hours.
สอง ประหยัดค่าใช้จ่าย
สาม รถวิ่งๆติดๆทั้งเผาน้ำมัน, สร้างมลพิษ(โลกสวย) และรถทำงานหนักสึกหรอไว
แต่ก่อนผมขับรถเพราะขี้เกียจเดินเท้า ขึ้นมอเตอร์ไซค์ นั่งรถไฟฟ้า และลงเดินต่อถึงจะเข้าที่ทำงาน แต่พอลองเปลี่ยนนิสัยขึ้นรถไฟฟ้าดู ตอนนี้ชินและชอบไปแล้วครับ ข้อบวกคือมันทำให้เราได้เดินเยอะขึ้นเลือดไหลเวียนถึงแม้จะนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ดีกว่านั่งอยู่ในรถเฉยๆครับ
-
ถ้าชีวิตอยู่บนเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ผมเลือกรถไฟฟ้าครับ
-
ที่จอดรถ ต้องทำสัญญาระยะยาวรึป่าวครับ ถ้าไม่ ก็ลองดูก่อนซักเดือนนึง ถ้าไม่ได้ทำให้สะดวกขึ้นมาก ก็กลับมาใช้รถไฟฟ้าเหมือนเดิม รถก็เอาไว้ใช้งานตอนอื่นได้อยู่แล้ว
-
การขึ้นรถไฟฟ้าทำให้มีโอกาสในการเจอผู้คนอีกมากมายเลยครับ อยากมีหนุ่มๆมาชวนไปนั่งดื่มต่อ หรือขอไลน์ให้ดีใจได้
ดีกว่าขับรถแล้วนั่งอยู่คนเดียวมากมาย
-
รถไฟฟ้าสถานเดียว
-
ในสถานการณ์เดียวกันถ้าเป็นผมจะเลือกขับรถครับ รถใต้ดินเอาไว้เป็นแผนสำรองพวกรถติดหนักๆ เท่านั้น
เหคุผลหลักๆ คือความสะดวกและความปลอดภัย เมื่อใช้เวลาเดินทางเท่าๆ กันแล้ว (คนส่วนมากสละรถเพราะเหตุนี้) ผมว่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มกับสิ่งที่ได้มาคุ้มค่าครับ :)
-
ก็ลองขับรถไปดูครับ
แต่ที่จอดรถนี่ จ่ายเดือนต่อเดือนใช่ไหมครับ
สำหรับผมตอนเช้าอาจไม่ต่าง แต่ขากลับนี่คนละเรื่อง
-
ต้องขับรถครับ...
-
ไปทำงานนั่งรถสาธารณะครับ
เพราะ...
1. คุณได้ออกกำลังกาย ทุกวันตอนเดินไปขึ้น BTS
2. คุณช่วยให้รถไม่ติด (ถ้าทุกคนที่บ้านใกล้ BTS MRT ไม่ขับรถ แล้วมาใช้รถสาธารณะกันหลายๆคน รถติดน้อยลงเยอะครับ)
3. คุณไม่ต้องเสียค่าสึกหรอมากนัก และยังประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า (ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน + ที่จอดรถ)
4. คุณไม่ต้องเสี่ยงเจออุบัติเหตุบนรถ (ระแวงไปชนเค้า หรือเค้ามาชนเรา)
5. คุณมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินๆบนรถไฟฟ้าประมาณ 20 นาที/ขา (ถึงแม้จะเบียด แต่คุณไม่จำเป็นต้องเพ่งสมาธิไปบนถนนตลอดเวลา)
6. คุณช่วยลดภาวะโลกร้อนครับ จากการไม่ใช้น้ำมัน อิอิ
แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ลองเปลี่ยนมาขับรถดูครับ เอามันออกไปใช้บ้าง ที่ๆ รถไฟฟ้าไปไม่ถึง
แค่เสนอความคิดครับ เพราะว่าถ้ารถไฟฟ้าใกล้บ้านผม ผมไม่ขับรถเหมือนกัน เบื่อ
-
นั่วรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ครับ
-
ผมโจทย์เดียวกันเลย กับเจ้าของกระทู้ เงินเดือนก็พอๆกันอีก
เมื่อก่อนมียุช่วงนึง ใช้รถขับไปทำงาน ระยะทางก้พอๆกันอีก
เบื่อมาก รถติด ไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะหาที่จอดรถ ค่าจอดรถอีก
เบ็ดเสร็จ รายจ่ายเยอะ หลายพันเลยหละ ถ้าขับรถไปทำงานซะ 70 % อะนะ
หลังๆเลย ลองปรับมานั่ง BTS เป็นหลัก สลับรถเมล์มั่งสนุกดี ซะ ค่าใช้จ่าย อยู๋ที่ 1500 ต่อเดือน ชิวมาก แค่ทนเบียดทนร้อนช่วงพีคๆหน่อย
สำคัญคือเหลือเงินเก็บอีกเยอะ
แต่ถ้าวันไหนมีสัมภาระนิดหน่อย ก็เอารถไป สลับกันไป หรือ ถ้าช่วงหน้าฝนถ้าฝนกระหน่ำแต่เช้าออกจากคอนโดไปBTS ลำบาก ก็เอารถยนไป
ยืดหยุ่นๆ ปนๆๆกันไปครับ
เกิดมาแล้วต้องดิ้นครับ ลำบากๆนิดๆ รสชาติชีวิตมาก 555555+++
-
อ่านแล้วไม่ว่ามองมุมไหนก็แนะนำให้นั่ง รถไฟฟ้าครับ คนส่วนใหญ่อยากได้บ้านหรือคอนโดที่ติดรถไฟฟ้า เดินทางสะดวกไม่ต้องติดบนถนน ควบคุมเวลาเดินทางได้ ไม่เป็นภาระเวลาจะไปไหนต้องหาที่จอดต้องคำนึงว่ารถติดไหม
ส่วนตัวเคยขับรถไปทำงานทุกวันจนได้งานใหม่ที่ออฟฟิตติดรถไฟฟ้าจากนั้นเลิกขับรถเลยครับ ขับเฉพาะเวลามีประชุมกับลูกค้าหรือของเยอะเท่านั้น
ที่นี้คุณอาจจะมีประเด็นเรื่องอุตสาห์ซื้อรถมาแล้วถ้าไม่ใช้ก็เสียดาย ยังงัยลองเอาไปออกกำลังไกลๆเสาร์อาทิตย์ดูครับ ขับพาแม่ไปเที่ยว เพราะถ้าวันเสาร์ขับรถในเมือง ก็รถติดไม่ต่างกันอยู่ดี 555
-
อิจฉา คนบ้านใกล้รถไฟฟ้า จัง
เดินออกกำลังกายบ้าง เบียดกับหนุ่มๆๆบ้าง ก็ดีนะครับ
-
ความเห็นส่วนตัวนะครับ
ถ้ามีรถอยู่แล้ว และรู้สึกสะดวกสะบายกับการขับรถมากกว่า ผมแนะนำให้ขับครับ
ตามที่ความเห็นด้านบนว่า รถถ้าไม่ขับอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งจ่ะทำให้รถเสื่อมเร็วได้
ส่วนการเดินทางด้วย bts ถ้าไปทำงานตอนชั่วโมงเร่งด่วน อัดกันเป็นปลากระป๋อง
แถมต้องยืนตลอด 30นาที มันอาจจ่ะฟังดูคุณหนูนิดๆ แต่ผมว่าการไปทำงานโดยที่เราสดชื่น
ไม่เหนื่อยล้า จ่ะทำให้เรารู้สึกเฟรชเวลาทำงานมากขึ้น
ให้มองว่า 1500 ที่เพิ่มขึ้นมาแลกกับประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น (อย่างน้อยแค่ให้เป็นแรงจูงใจ)
ส่วนค่าน้ำมัน Diesel ก็แลกกับการได้ใช้เครื่องยนต์เพื่อยืดอายุมัน
-
เชียร์รถไฟฟ้าครับ
-
มอไซด์ดีสุดไม่ร้อนเพราะลมตีตลอดเวลาใส่แจคเก็ต ทั้งไวและประหยัด รถยนต์ผมจอดไว้เฉยๆขับไม่ไหวรถติดและค่าจอดที่ทำงานแพงเหมือนกันแถมจอดดึกก็ไม่ได้
-
ถ้าไม่คิดใช้รถก็ขายออกไป ถ้าจะใช้ก็ไม่จำเป็นต้องเอาออกมาขับทุกวันหรอกขับไปแค่อาทิตย์ละครั้งพอ จะไปทนขับรถทำไม ยกเว้นไม่อยากนั่งรถไฟฟ้าจริง ๆ
-
แนวประหยัดครับ
ขายรถทิ้ง นั่ง bts ใช้น้อยเกิน เก็บไว้ราคาตกลงเรื่อยๆ ตีราคาเสื่อมกลมๆปีละ10% ปีนึงตก 50000(ถ้ากะใช้ยาวมากๆ10ปี++ตัดข้อนี้ไป)
ต่าที่จอด 1500 น้ำมัน 1500 ปีนึง 36000 เท่ากับทำงานเดือนครึ่ง
เรื่องอื่นๆท่านข้างบนกล่าวไว้หมดแล้ว
-
จาก จขกท. ที่ว่า "ชอบรถเป็นการส่วนตัว แต่เสียดายที่จ่ายเพิ่ม 1,500 บ. ค่าที่จอดรถ" ผมวิเคราะห์ได้ว่า คุณร้อน คนเบียดเสียดนั่ง bts แต่เสียดายเงินจ่ายค่าที่จอดรถ
แต่ละคนจะคิดไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นผมเจอโจทย์อย่างนี้ ชอบรถด้วย จะจ่ายส่วนต่างค่าที่จอดรถเพิ่ม 1500 บ. เพราะเราชอบ/รักรถ การได้ขี่รถที่เรารักทุกวันมันก็ดีต่อใจแล้วครับ แอร์เย็นๆ ฟังเพลงที่เราชอบในรถ ก็ทำให้เริ่มต้นทำงานได้ดีจิตใจเบิกบาน
เราใช้เงินซื้อเพื่อความสุขของตัวเองทั้งนั้นหละ ดังนั้น การที่เราได้ขับรถที่เรารัก แต่เสียเพิ่มแค่ 1500 บ. ผมยอม
-
ราคาที่จอดรถ2,500/เดือน ผมว่าก็ปกตินะครับ เพราะอย่าง All seasonsหรือQ houseลุมพินี ก็เรทนี้มาเกือบ10ปีละ แถมส่วนใหญ่เต็มอีกต่างหาก ต้องเข้าคิวไว้ด้วย
ผมว่าถ้าได้สิทธิ์แล้วก็ควรจะคว้าไว้ จะขับรถมาหรือนั่งรถไฟฟ้ามาก็ค่อยว่ากันอีกที บางวันอยากขับรถก็ขับมาวันไหนไม่อยากใช้รถก็นั่งรถไฟฟ้ามาก็ได้ ผมว่าค่าที่จอดไม่น่าจะทำให้คุณกระทบกระเทือนกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนัก
มีที่จอดแล้วไม่ได้เอารถมา ดีกว่าตอนจะเอารถมาแต่ไม่มีที่จอดครับ
-
ชอบส่วนตัว เลือกขับเอง ไม่ต้องแปลครับ
-
หน้าร้อน และเย็น ใช้รถใต้ดินครับ หน้าฝนค่อยใช้รถ
อ่อบ้างวันถ้าจะไปเที่ยวไหนต่อก็จอดรถไว้ที่จอดรถใต้ดินก็ได้นะครับ เพื่อเป็นออปชั่นไว้
-
ถ้าเป็นผม ผมจะไม่สนใจสิทธิ์ที่ได้ แต่คิดว่า
1.ไม่ไปเป็นส่วนหนึ่งของปริมาณรถที่ติดบนถนน
2.ใช้เวลา30นาทีที่ว่านี้พักผ่อน
3.ค่าใช้จ่ายที่ลดลงเก็บสะสมไว้ในโอกาสที่มีเหตุจำเป็นต้องใช้เงิน เพราะเหตุของการใช้จ่ายจะเกิดได้เสมอ อย่าประมาท
แต่ดูจากที่จขกท.เขียนมา คุณมีคำตอบในใจอยู่แล้วว่า "จะขับรถไปทำงาน"
-
ขอบคุณสมาชิกทุกท่านสำหรับความคิดเห็นนะคะ ได้มุมมองแง่คิดใหม่ๆเพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ
หลังจากตั้งกระทู้ไปเมื่อวาน เราได้ลองไปนั่งคำนวนค่าใช้จ่ายดู แล้วก็ค้นพบว่าเรามีวิธีหาเงินมาช่วยส่วนต่าง 1,500 บาทนี้ได้
- เราทานชาไข่มุกทุกวันทำงาน แก้วละ 40 บาท ตกเดือนละ 800-900 บาท (ลดเหลืออาทิตย์ละ 1 หรือ 2 แก้ว)
- เราล้างรถทุกอาทิตย์ ครั้งละ 160 บาท เสียเงินเดือนละ 640 เพื่อเอารถมาจอดตากฝุ่น (ลดเหลือ สองอาทิตย์/ครั้ง)
- เราใช้โทรศัพท์โปร 899 บาท ทั้งๆที่ที่บ้านและที่ทำงานมี ไวไฟให้ใช้ ใช้เน็ตไม่เคยถึงครึ่ง (ลดเหลือ 599 บาท/เดือน)
เราเลยตัดสินใจตกลงรับสิทธิ์ที่จอดรถไปแล้ว น่าจะได้เริ่มขับรถมาทำงานอย่างเร็วสุดในเดือนเมษายนค่ะ ดีใจเหมือนกัน ไม่ต้องตากแดด ตากฝนละ :)
ผมนั่งรถไฟฟ้าไปทำงาน ใช้รถส่วนตัวเฉพาะวันหยุดเท่านั้นครับ ประหยัดเงิน และกำหนดเวลาในการเดินทางได้ ไม่เหมือนขับรถ ต้องมานั่งลุ้นว่าวันนี้จะรถจะติดหรือไม่ติด และขี้เกียจเครียดเวลาอยู่ในรถ นั่งรถไฟฟ้าได้ดูสิ่งอยู่รอบๆตัวเราเป็นการพักสายตาได้เป็นอย่างดี ส่วนเรื่องอากาศร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดาของประเทศเรา คนอื่นเค้าทนได้ เราก็ต้องทนได้ครับ ถ้าชินแล้วสบายครับ และอย่าลืมว่าการขับรถนอกจากเสียค่าน้ำมันแล้ว ยังมีค่าสึกหรอของรถด้วยนะครับ คิดง่ายๆว่า ส่วนต่าง 1,500 บาท x 12 เดือน เท่ากับคุณเก็บเงินได้ปีละ 18,000 บาท เอาไว้ซื้อ LTF ปลายปีดีกว่าครับ
ส่วนเรื่องขอสิทธิ์แล้วไม่จอด ก็สละสิทธิ์ไป ไม่น่าเกลียดหรอกครับ คนรอคิวเยอะ เค้าน่าจะดีใจนะครับ
อ่านตัวเลขที่คุณ November_beer คำนวนมา ก็ลองไปคำนวนค่าใช้จ่ายของตัวเองมาค่ะ ปีนึงเราหมดเงินกับของสิ้นเปลืองบ้างอย่างเยอะอย่างน่ากลัวจริงๆ :'(
ขึ้นอยู่กับอายุด้วยนะครับ ถ้ายังเด็ก ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว ก็พอจะนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานได้ เพื่อนผมยอมขับรถไปทำงานใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงแทนที่จะนั่งรถไฟฟ้าที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเพราะเขาบอกว่าแก่แล้วเบียดสู้เด็กๆไม่ไหว เวียนหัว
อายุยังน้อยค่ะ เพิ่งเรียนจบเมื่อปีที่แล้วนี้เอง คุณแม่ก็พูดเหมือนคุณ Smith686 ค่ะ ต่อให้ต้องขับรถนานกว่าเป็นชั่วโมงๆ แม่ก็ไม่สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ เบียดไม่ทันจริงๆ
ถ้าได้ที่จอดรถแล้วก็น่าสนนะครับ อย่างน้อยๆรถจะได้วิ่งบ้าง พอถึงช่วงหน้าฝน ขับรถน่าจะสบายกว่าครับ ไม่ต้องเดินลุยฝนกลับบ้าน
ตอนนี้ผมกำลังจะไปทำงานที่เดียวกับคุณแม่ ซึ่งห่างจากคอนโด กม. แต่ไม่มีรถสาธารณะแบบต่อเดียวเลย แถมที่จอดรถของบริษัทรอคิวนานมาก (บางคนรอคิวเกือบ10ปี) ปกติแม่ไป-กลับ Taxi เฉลี่ยวันละ 150-200 บาท (รถติดมาก) พอผมจะไปทำ คุณแม่เลยมองหาที่จอดรถเช่าอยู่ แล้วจะ Support ค่าจอดรถ ค่าน้ำมันให้ เพราะลองคำนวนดูแล้ว ค่าเช่า+ค่าน้ำมันน่จะถูกกว่า ค่าTaxi ไป-กลับ ครับ :)
ปล. ใช้รถน้อยมากๆ รถผมเกือบ 4 เดือน วิ่งไป 7,500 โล แล้ว แค่ในกทม.และปริมณฑลด้วย ;D
ดีใจกับงานใหม่ด้วยนะคะ ทางเดียวกัน เอารถไปเอง คุ้มกว่าเยอะเลยค่ะ นี่ถ้าเข้างาน-เลิกงานพร้อมคุณแม่ ก็คงไปกับแม่ทุกวันเหมือนกันค่ะ :)
ปล. ไม่ค่อยได้ไปไหนจริงๆค่ะ วันหยุดก็ใช้รถตลอดนะ แต่ไปไหนไม่ค่อยเกิน 20 กิโลเมตรเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวจะเอาไปชลบุรี น่าจะได้เกิน 4000 กิโลแล้วค่ะ
ถ้าบ้านและสถานที่ทำงานรถไฟฟ้าเข้าถึง เป็นผมก็คงไม่ขับรถครับ
ทุกวันนี้ผมยังลุ้นให้มีรถไฟฟ้าหน้าบ้านเชื่อมกับแอร์พอร์ตลี้งค์ จะได้ไม่ต้องขับรถไปทำงาน เบื่อรถติดครับ
เรายังไม่เคยขึ้นแอร์พอร์ตลิ้งค์เลย แต่ขอเอาใจช่วยให้มีรถไฟฟ้าหน้าบ้านในเร็ววันนะคะ :)
คล้ายๆกันครับ ผมนั่ง MRT ตลอดนะ มันสบายใจกว่า ไม่มีภาระ
ใช้รถ มีโอกาสเสี่ยงรถติด น้ำท่วม ฝนตก ม็อบ ต่างๆเยอะแยะ
เราอาจจะต้องลองดูก่อนค่ะ จะได้เข้าใจทั้งสองมุมมองเลย :)
ข้อดีของการนั่งรถไฟฟ้าคือ
หนึ่ง ผมสามารถกำหนดเวลาในการเดินทางได้ค่อนข้างเที่ยงตรงบวกลบ 10 นาทีถ้าตอนเดินทางเป็น rush hours.
สอง ประหยัดค่าใช้จ่าย
สาม รถวิ่งๆติดๆทั้งเผาน้ำมัน, สร้างมลพิษ(โลกสวย) และรถทำงานหนักสึกหรอไว
แต่ก่อนผมขับรถเพราะขี้เกียจเดินเท้า ขึ้นมอเตอร์ไซค์ นั่งรถไฟฟ้า และลงเดินต่อถึงจะเข้าที่ทำงาน แต่พอลองเปลี่ยนนิสัยขึ้นรถไฟฟ้าดู ตอนนี้ชินและชอบไปแล้วครับ ข้อบวกคือมันทำให้เราได้เดินเยอะขึ้นเลือดไหลเวียนถึงแม้จะนิดๆหน่อยๆ แต่ก็ดีกว่านั่งอยู่ในรถเฉยๆครับ
ปกติเราไม่เคยเดินเกินวันละ 3,000 ก้าวมาก่อนค่ะ มีช่วงที่เดินไปทำงานนี้แหละ ที่เดิน 5,000+ ก้าวทุกวัน ชอบเหมือนกันค่ะ ที่สามารถคาดเดาเวลาได้ แต่ไม่ชอบตรงจำนวนคนที่ต้องเบียดเสียดกันไป และคนที่ไม่ยอมหลบให้เราลงค่ะ >:(
ถ้าชีวิตอยู่บนเส้นทางรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ ผมเลือกรถไฟฟ้าครับ
อยู่ทั้งบ้านและที่ทำงานเลยค่า แฮะๆ :)
ที่จอดรถ ต้องทำสัญญาระยะยาวรึป่าวครับ ถ้าไม่ ก็ลองดูก่อนซักเดือนนึง ถ้าไม่ได้ทำให้สะดวกขึ้นมาก ก็กลับมาใช้รถไฟฟ้าเหมือนเดิม รถก็เอาไว้ใช้งานตอนอื่นได้อยู่แล้ว
เดี๋ยวต้องลองสอบถามดูค่ะ อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน คนก็ใหม่ ตึกก็ใหม่ค่ะ แฮะๆ
การขึ้นรถไฟฟ้าทำให้มีโอกาสในการเจอผู้คนอีกมากมายเลยครับ อยากมีหนุ่มๆมาชวนไปนั่งดื่มต่อ หรือขอไลน์ให้ดีใจได้
ดีกว่าขับรถแล้วนั่งอยู่คนเดียวมากมาย
พูดอย่างงี้แล้วไม่อยากจะลงจากรถไฟฟ้าเลยค่ะ นั่งมันทั้งวันทั้งคืนเลย เผื่อจะได้เจอ ทุกวันนี้จะมองหน้ายังเงยหน้าขึ้นไปดูไม่ได้เลย ;D
รถไฟฟ้าสถานเดียว
ขอบคุณค่ะ
ในสถานการณ์เดียวกันถ้าเป็นผมจะเลือกขับรถครับ รถใต้ดินเอาไว้เป็นแผนสำรองพวกรถติดหนักๆ เท่านั้น
เหคุผลหลักๆ คือความสะดวกและความปลอดภัย เมื่อใช้เวลาเดินทางเท่าๆ กันแล้ว (คนส่วนมากสละรถเพราะเหตุนี้) ผมว่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มกับสิ่งที่ได้มาคุ้มค่าครับ :)
คุณ Niti มองมุมเดียวกับคนที่บ้านเราเลยค่ะ ถ้าขับรถแล้วใช้เวลาเท่ากับรถไฟฟ้า จะนั่งรถไฟฟ้าไปทำไม :-\
ก็ลองขับรถไปดูครับ แต่ที่จอดรถนี่ จ่ายเดือนต่อเดือนใช่ไหมครับ
สำหรับผมตอนเช้าอาจไม่ต่าง แต่ขากลับนี่คนละเรื่อง
อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ตึกก็ใหม่ คนก็ใหม่ แต่คิดว่าสิทธิ์ของที่จอดรถบริษัทบนตึกนี้ถาวรอยู่แล้ว เราน่าจะขอยกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ค่ะ
ปล. ขากลับเราไม่ห่วงมาก เพราะมีซอยที่ใช้ทะลุจากรัชดาเข้าลาดพร้าวได้อยู่ค่ะ ขาไปนี้อีกเรื่อง 5555 ;)
ต้องขับรถครับ...
ขอบคุณค่ะ
ไปทำงานนั่งรถสาธารณะครับ
เพราะ...
1. คุณได้ออกกำลังกาย ทุกวันตอนเดินไปขึ้น BTS
2. คุณช่วยให้รถไม่ติด (ถ้าทุกคนที่บ้านใกล้ BTS MRT ไม่ขับรถ แล้วมาใช้รถสาธารณะกันหลายๆคน รถติดน้อยลงเยอะครับ)
3. คุณไม่ต้องเสียค่าสึกหรอมากนัก และยังประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า (ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน + ที่จอดรถ)
4. คุณไม่ต้องเสี่ยงเจออุบัติเหตุบนรถ (ระแวงไปชนเค้า หรือเค้ามาชนเรา)
5. คุณมีเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพลินๆบนรถไฟฟ้าประมาณ 20 นาที/ขา (ถึงแม้จะเบียด แต่คุณไม่จำเป็นต้องเพ่งสมาธิไปบนถนนตลอดเวลา)
6. คุณช่วยลดภาวะโลกร้อนครับ จากการไม่ใช้น้ำมัน อิอิ
แต่ถ้าวันเสาร์อาทิตย์ลองเปลี่ยนมาขับรถดูครับ เอามันออกไปใช้บ้าง ที่ๆ รถไฟฟ้าไปไม่ถึง
แค่เสนอความคิดครับ เพราะว่าถ้ารถไฟฟ้าใกล้บ้านผม ผมไม่ขับรถเหมือนกัน เบื่อ
วันหยุดก็ใช้รถนะคะ แต่ไม่เคยมีโอกาสไปไหนไกลๆสักที จะไปคนเดียว เราก็กลัวหลง ทุกวันนี้ไปไกลสุดก็ 30 กิโลเมตรเองค่ะ เราว่าถ้า MRT มีขบวนเยอะขึ้นเมื่อไหร่ จะเป็นบริการสาธารณะที่เรายินดีใช้มาก (ส่วนตัวไม่ชอบ BTS ค่ะ รู้สึกไม่เคยพัฒนา)
นั่วรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ครับ
เกิดมาไม่เคยนั่งรถเมล์ในเมืองไทยค่ะ ไม่สามารถจริงๆ ::)
ผมโจทย์เดียวกันเลย กับเจ้าของกระทู้ เงินเดือนก็พอๆกันอีก
เมื่อก่อนมียุช่วงนึง ใช้รถขับไปทำงาน ระยะทางก้พอๆกันอีก
เบื่อมาก รถติด ไหนจะค่าน้ำมัน ไหนจะหาที่จอดรถ ค่าจอดรถอีก
เบ็ดเสร็จ รายจ่ายเยอะ หลายพันเลยหละ ถ้าขับรถไปทำงานซะ 70 % อะนะ
หลังๆเลย ลองปรับมานั่ง BTS เป็นหลัก สลับรถเมล์มั่งสนุกดี ซะ ค่าใช้จ่าย อยู๋ที่ 1500 ต่อเดือน ชิวมาก แค่ทนเบียดทนร้อนช่วงพีคๆหน่อย
สำคัญคือเหลือเงินเก็บอีกเยอะ
แต่ถ้าวันไหนมีสัมภาระนิดหน่อย ก็เอารถไป สลับกันไป หรือ ถ้าช่วงหน้าฝนถ้าฝนกระหน่ำแต่เช้าออกจากคอนโดไปBTS ลำบาก ก็เอารถยนไป
ยืดหยุ่นๆ ปนๆๆกันไปครับ
เกิดมาแล้วต้องดิ้นครับ ลำบากๆนิดๆ รสชาติชีวิตมาก 555555+++
ทุกวันนี้ มาม่ากลางเดือนก็หลายรสชาติอยู่นะคะ ::)
ขอบคุณที่แชร์ประสบการณ์ค่ะ
อ่านแล้วไม่ว่ามองมุมไหนก็แนะนำให้นั่ง รถไฟฟ้าครับ คนส่วนใหญ่อยากได้บ้านหรือคอนโดที่ติดรถไฟฟ้า เดินทางสะดวกไม่ต้องติดบนถนน ควบคุมเวลาเดินทางได้ ไม่เป็นภาระเวลาจะไปไหนต้องหาที่จอดต้องคำนึงว่ารถติดไหม
ส่วนตัวเคยขับรถไปทำงานทุกวันจนได้งานใหม่ที่ออฟฟิตติดรถไฟฟ้าจากนั้นเลิกขับรถเลยครับ ขับเฉพาะเวลามีประชุมกับลูกค้าหรือของเยอะเท่านั้น
ที่นี้คุณอาจจะมีประเด็นเรื่องอุตสาห์ซื้อรถมาแล้วถ้าไม่ใช้ก็เสียดาย ยังงัยลองเอาไปออกกำลังไกลๆเสาร์อาทิตย์ดูครับ ขับพาแม่ไปเที่ยว เพราะถ้าวันเสาร์ขับรถในเมือง ก็รถติดไม่ต่างกันอยู่ดี 555
เราปฏิเสธงานที่นึงไป เพราะไม่อยากขับรถไปไหนมาไหนทั้งวันค่ะ แต่ขับรถไป-กลับนี้ เกิดไม่มีปัญหา อยากขับซะงั้น 555
ปล. อยากขับรถพาที่บ้านไหนมาไหนเหมือนกันค่ะ แต่ที่บ้านกลับไม่ยอมนั่งรถเราออกต่างจังหวัด สุดท้ายก็จอดแหมะอยู่บ้านเหมือนเดิม :(
อิจฉา คนบ้านใกล้รถไฟฟ้า จัง
เดินออกกำลังกายบ้าง เบียดกับหนุ่มๆๆบ้าง ก็ดีนะครับ
เบียดกับผู้ชายนี้ สุขที่สุดของวันแล้วค่ะ :-*
-
แล้วแต่สถานการณ์ ถ้าเป็นผมจะสลับขับรถเองกับขึ้นรถไฟฟ้าครับโดย
1. ขับรถไปเองเมื่อ วันไหนมีสัมภาระ โน้ตบุค หนังสือ เอกสาร กระเป๋า ต้องไปติดต่อลูกค้าหรือประสานงาน/คุยงานกับคนภายนอก หรือมีแผนต้องไป super market หรือห้างเพื่อซื้อของเข้าบ้าน/ดูหนังสุดสัปดาห์
2. นั่งรถไฟฟ้าไปเมื่อ วันไหนฝนตกหนักมีแววว่าการจราจรจะเป็นอัมพาตหรือน้ำท่วมถนน และสัมภาระไม่ค่อยมี หรือป่วย ปวดหัว ตัวร้อน ขับไม่ไหว ต้องรีบไปคลีนิคที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้า
สมมติเดือนหนึ่งทำงาน 22 วันอาจจะได้ขับรถเองวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ นอกนั้นนั่งรถไฟฟ้า
+1
-
จขกท รู้จักจัดการบริหารเงิน ได้ดีนะครับ
แต่กินชานมไขุ่มุกทุกวัน อันตรายจากครีมเทียม มีมากนะครับ
-
รถไฟฟ้าดีที่สุด รถเก็บไว้วิ่งเสาร์ อาทิตย์ หรือวันที่รถไฟฟ้าไปไม่สะดวก
รถจะติดหนักขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีการสร้างรถไฟฟ้าอีกสามสายในปีนี้
ปีหน้าสร้างส่วนต่อขยายเพิ่ม กว่าจะหายติดอีก หก เจ็ดปีเป็นอย่างเร็ว
คนแน่น แก้ด้วยการออกเช้าขึ้น เพราะใช้เวลากลับบ้านน้อย
นอนหัวค่ำได้ ไม่ต้องเหนื่อยบนถนน
คนแถวสุขุมวิทขึ้นรถไฟฟ้าเป็นหลัก
บริหารเวลาได้ ไม่ต้องตื่นตีสี่ กลับขึ้นบ้านสามทุ่ม
สมัยที่ยังไม่มีรถลอยฟ้า ห้าโมงจากราชประสงค์มาเอ็มโพเรียม ชม.ขึ้นไป
ถ้าเกิดเรื่องไม่น่าเกิด ถนนไม่ต่างอะไรจากคุก ที่เจ้าของจะทิ้งรถไม่ได้
จอดพักได้ยากในเมือง รอบนอกยังมีปั้มน้ำมัน ให้พักเข้าห้องน้ำ ทานข้าว
ยิ่งในเมืองหาที่จอดยาก ค่าจอดแพง เสียเวลาวนรถออกนอกอาคาร
ยิ่งสมัยรถแก็สระเบิดที่ถ.เพชรบุรี เป็นทะเลเพลิง จนห้ามรถแก๊สเข้าเขตชั้นใน
ทั้งที่เกิดจากรถแก๊สดัดแปลงจากรถประเภทอื่น แต่มาตรฐานไทยๆอะไรก็เกิดขึ้นได้
ตอนระเบิด มีรถหลายคันเลี้ยวไปทางอื่นเพราะรถติดมากเลยรอด พอรถแก๊สระเบิด
รถที่ติดๆกัน ก็ระเบิดเป็นลูกโซ่จากถังน้ำมันในรถ กว่ารถพยาบาล ดับเพลิงจะเข้าไปได้
มีคนตายไม่น้อย แรงระเบิด ไฟโหมยังไม่ราง่ายๆ เพราะรถติดมาก ขยับมายาก
ส่วนเรื่องไปเที่ยวหลังเลิกงานแนะนำว่า อย่าไป รีบกลับบ้านดีที่สุด
จขกท.เพิ่งกลับมา ยังไม่ชำนาญที่จะรู้ว่าช่วงเวลาไหน เปลี่ยวไม่เปลี่ยว
ควรไม่ไปหลังกี่ทุ่ม ด่านตั้งได้ทั้งวันทั้งคืน วันไหนรถติดหนัก อย่างไม่น่ามีสาเหตุ
แค่ไฟไหม้สะพานที่พระรามสี่ ติดสี่ชม. วันต่อมารถใต้ดินแน่นทั้งวัน
คอมซื้อ อัลตร้าบุ๊ค แบกไม่หนัก เน้นคล่องตัว พกเสื้อ ร่ม สวมรองเท้าหุ้มส้น
บ้านเราอะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่น ฝนตกชม.เดียวน้ำท่วมครึ่งล้อ
เดินไกลก็กลับบ้านได้แบบนี้ ดีที่สุดแล้ว จักรยานไม่แนะนำ
บ้านน้ำไม่ท่วม ใกล้รถไฟฟ้า ไม่ต้องขับรถ หาได้ยาก
เรื่องร้อนอยู่ไปก็ชินเอง แต่จะเจอเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวแอร์ จะเป็นไข้แดดได้
เพราะไม่มีเสื้อนอกเวลาอยู่ในแอร์
สิทธิ์ที่ได้ คล้ายเบี้ยน้ำมัน ถ้าเบิกสุดเพดานบ่อยๆ เวลาเลื่อนขั้นมีผล
บ.ออกให้แต่ดูว่า ช่วยองค์กรประหยัดรึเปล่า
-
คุณถือว่าโชคดีนะครับ เดินไปรถไฟฟ้าได้ ก็ใช้ซะเถอะ แต่ว่าด้วยพื้นฐานครอบครัวอาจจะไม่ชินเท่านั้นเอง