Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: xcalibur ที่ มิถุนายน 06, 2017, 23:41:19
-
ข่าวจากหน้าเว็บเราก็มีครับ และ เขียนไว้อย่างละเอียด
http://www.headlightmag.com/news-agreement-between-toyota-and-tesla-is-ended/
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อ 7 ปีก่อน Tesla และ Toyota ได้เซ็นสัญญากันผลิตรถยนต์
พลังงานไฟฟ้า (จาก http://www.headlightmag.com/tesla-toyot1484/)
โดยที่ Toyota ได้ซื้อหุ้นราว 3% ใน Tesla คิดเป็นมูลค่า 50 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ
(ราว 1,702 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือดังกล่าวจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่โฆษกของ Toyota ได้เปิดเผยว่าบริษัทได้ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน Tesla
ไปทั้งหมดตั้งแต่สิ้นปี 2016
Ryo Sakai โฆษกของ Toyota เปิดเผยว่าความร่วมมือในการพัฒนาระหว่างบริษัทตน
และ Tesla ได้จบไปตั้งแต่ปี 2015 และไม่มีแผนที่จะพัฒนาอะไรใหม่ ทำให้บริษัทมองว่า
ถึงเวลาที่ต้องขายหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้ Toyota ไม่ได้ขายหุ้นทั้งหมดทีเดียว
แต่พวกเขาแบ่งขายมาทีละส่วน โดยเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2014 จนเหลืออยู่ 2,340,000 หุ้น
ในเดือนมีนาคม 2016 หรือคิดเป็น 1% นิดๆ ของหุ้น Tesla ทั้งหมด
(https://www.uppic.org/image-4148_59375B32.jpg) (https://www.uppic.org/share-4148_59375B32.html)
ผลงานที่พวกเขาเคยร่วมกันฝากเอาไว้คือ Toyota RAV4 EV ที่เปิดตัวในปี 2012
โดยใช้แบตเตอรี่ของ Tesla แต่ ณ วันนั้น Toyota เคยมองว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่น่าจะ
กลายเป็นรถยนต์กระแสหลักได้ด้วยปัญหาราคาแบตเตอรี่ที่สูง และ มีระยะทางวิ่งที่จำกัด
Toyota จึงหันไปพัฒนา Hybrid และ Fuel Cell แทน
แต่วันนี้หลายประเทศได้ออกกฎสนับสนุนให้ประชาชนหันมาซื้อรถไฟฟ้า ประกอบกับ
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ก็ก้าวล้ำขึ้นจนสามารถขยายระยะทางวิ่งได้ไกลขึ้น และ มีการ
ขยายสถานีชาร์จประจุมากขึ้น ก็ทำให้ Toyota เริ่มเอนเอียงมาพัฒนารถไฟฟ้ามากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงของ Toyota ในครั้งนี้น่าจะเกิดจาก Volkswagen Group ได้หันเห
ทุ่มตลาดรถไฟฟ้าพร้อมตั้งเป้าจำหน่ายสัดส่วน 25% ของยอดขายรวมในปี 2025
รวมทั้งผู้ผลิตรถไฟฟ้ารายอื่นอย่าง BYD ที่เริ่มขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการ
และ Tesla ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ
(https://www.uppic.org/image-8377_59375B32.jpg) (https://www.uppic.org/share-8377_59375B32.html)
(https://www.uppic.org/image-E512_59375B32.jpg) (https://www.uppic.org/share-E512_59375B32.html)
สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า Toyota Motor เตรียมผลิตรถไฟฟ้าสำหรับตลาด Mass
ในปี 2020 โดยเป็นส่วนหนึ่งของสายการผลิตรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมนอกเหนือจาก
Hybrid และ Fuel Cell จนถึงขั้นต้องเร่งสร้างทีมวางแผนและพัฒนารถไฟฟ้าให้เร็วที่สุด
ภายในปี 2017 โดย Toyota จะแสวงหาความร่วมมือภายในกลุ่มบริษัทเพื่อเร่งให้ขึ้น
สายการผลิตเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ในเบื้องต้นรถไฟฟ้าจากค่าย Toyota จะมีระยะทางวิ่งสูงสุดมากกว่า 300 กิโลเมตร ต่อการ
ชาร์จประจุ 1 ครั้ง อาจจะใช้พื้นฐานของ Prius หรือไม่ก็ Corolla และกำลังพิจารณาที่จะ
พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ด้วยเช่นกัน
Toyota วางแผนจัดซื้อแบตเตอรี่จากซัพพลายเออร์เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่
โดยยังคงสามารถตอบสนองด้านสมรรถนะที่ดี รวมถึงประสิทธิภาพในการชาร์จประจุ และ
ระยะทางวิ่งสูงสุด จังหวะการเปิดตัวรถไฟฟ้า Toyota ในปี 2020 ถือเป็นจังหวะดีมาก
เพราะเป็นช่วงเวลาที่ประเทศญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพ Tokyo Olympic 2020 พอดี
(https://www.uppic.org/image-CF7A_59375B32.jpg) (https://www.uppic.org/share-CF7A_59375B32.html)
การตัดสินใจของโตโยต้าครั้งนี้ ในการยุติบทบาทร่วมกับ Tesla แสดงผลให้เห็นว่า
ไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับค่ายรถยนต์ไฟฟ้าอีกต่อไป รวมถึงไม่จำเป็นต้องร่วมมือกัน
ในการพัฒนากับ Tesla เนื่องจาก Toyota เองกำลังเบนเข็ม พยายามพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า
ด้วยตัวเอง เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในอนาคต
ที่มา: reuters, asia.nikkei
-
รอดูทิศทางกันต่อไปครับ
-
ข่าวนี้เหมือนจะเขียนแต่ว่าพี่โตได้อะไรจากการเข้าไปถือหุ้นเทสล่า
แล้ว เทวล่าล่ะครัช ได้อะไรจากพี่โตบ้างไหม ไม่นับเรื่องเงินหรือหุ้นอ่ะนะ
-
None cares about their FOOL CELL.
-
ผมว่ามาหมดแหล่ะ Fuel cell, EV จากค่ายนี้ แค่ช้าหรือเร็ว
เพราะศักยภาพมี กับ พ่อยกแม่ยกเยอะ
-
รอดูการพัฒนาของทั้งสองยี่ห้อ
-
ผมว่ามาหมดแหล่ะ Fuel cell, EV จากค่ายนี้ แค่ช้าหรือเร็ว
เพราะศักยภาพมี กับ พ่อยกแม่ยกเยอะ
ถ้าโตยังดื้อ ไม่ยอมรับว่า Fool cell มันไม่มีอนาคตจริงๆ คงพยายามเข็นรถ FCV ดีไซน์สุดน่าเกลียดออกมาอีก และ FAIL เหมือน Mirai (แนวๆ เดียวกับ Sony สู้ใน tape format war ช่วง ปลายยุค 70s ถึง 80s พยายามดื้อเข็น Betamax สู้ต่อไปเรื่อยๆทั้งที่ VHS ครองตลาดแล้ว)
ผมว่าโตไม่กล้ายอมรับว่าที่นโยบาย pro-FOOL CELL ของเค้ามันล้มเหลวครับ ตามนิสัยแบบยุ่น conservative รับไม่ได้กับสิ่งที่ทำผิดพลาด คงพยายามบิดเบือนไปเรื่อยๆ กลัวเสียหน้า (หลอกติ่งไปได้เรื่อยๆ)
อีกอย่างเค้ายังไม่กล้ายอมรับเลยว่า โดนชาวบ้านกระทั่ง Nissan กะ BYD แซงล้ำหน้าไปถึงไหนใน BEV technology ที่เห็นๆออกมาแถลงข่าวว่า คิดโน้นคิดนี้ได้ใน BEV เป็น propaganda รักษาหน้าไว้ก่อน
ปล. ผมเคยได้ยินติ่งโตคนนึงอ้างว่า รถ Fool cell, รถ Plug in ดัดแปลงเป็น BEV ได้เลย แต่ไม่เคยเห็นมีหลักฐานมาสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตัวเอง
-
Toyota คงเอาเงินไปทุ่มพัฒนา Full EV ของตัวเองเต็มที่ละครับ ระดับ Toyota ผมว่าจะทำให้แรงกว่า tesla / วิ่งได้ไกลกว่า / ราคาถูกกว่า tesla ก็ยังไหว เพียงแต่ว่าตอนนี้ได้แต่ยื้อเท่านั้น เพราะถ้ารีบปล่อยออกมา รถที่ใช้เครื่องยนต์ธรรมก็ขายไม่ออก บริษัทในเครือที่ผลิตอะไหล่supportก็ยิ่งพังเร็วขึ้น เพราะคนแห่ไปซื้อ Full EV กันหมด
-
โตดูเกมส์ไม่ออก มั่นใจเกินว่า ถ้าเค้าทำอะไรคนอื่นจะทำตามแน่นอน บวกกับนโยบายรัฐบาลยุ่นที่ต้องการเปลี่ยนยุ่นให้เป็น hydrogen society เลยเป็นที่มาของ การพยายามดัน Fool cell
ปรากฏว่า FAIL ไม่เป็นท่า แต่เนื่องจากความ arrogance สไตล์ old school ยุ่นจึงพยายามดื้อ ยื้อตลอด เป็นที่มาของการออกมาให้ข่าวบิดเบือนเกี่ยวกับ BEV หลอกชาวบ้านไปวันๆ
จนตอนนี้ต้านกระแสไม่ไหว บวกกับตามหลังชาวบ้านมาก เลยพยายามกลับลำแบบเงียบๆ ออก propaganda อ้างความก้าวหน้าของ BEV ตัวเอง (พิสัยวิ่งสูงสุดที่ชาวบ้านเค้าทำได้นานแล้ว etc...) มายื้อไว้
นี้ยังดูกันต่อไปว่า ยังพยายามดัน Fool cell รักษาหน้าที่แตกไปแล้วอยู่หรือเปล่า
โทนมันมาแนวเดียวกับ Betamax ครับ
-
แปลว่าโตโยต้าจะหันมาทำตลาดรถไฟฟ้าแล้วสิครับ รอดูผลงานอยู่ครับ :D
-
ก็ยังไม่ทิ้ง fuel cell นะ ผมว่า ประเทศญี่ปุ่นเขายังสนับสนุน fuel cell นะครับ ถึงแม้ประเทศอื่นจะไม่สนใจก็ตาม
http://www.motortrivia.com/2017/06/honda-nissan-toyota-to-develop-hydrogen-stations-in-japan/
-
ลองคิดว่า จะต้องเปลี่ยนจะต้องลงทุนอะไรมากกว่ากันระหว่างทำปั๊มไฮโดรเจน กับปั๊มชาร์จไฟ
ผมว่าไฮโดรเจนดูจะลำบากกว่ามาก
ในขณะที่การชาร์จไฟ ผมคิดว่า ที่ไหนมีไฟเข้าถึงก็สามารทถได้ง่ายกว่าเยอะ
เพราะงั้นพี่โตคงปล่อยให้รถพลังไฮโดรเจนเป็นแค่การเรียนรู้เท่านั้น
ผมเคยจำได้ว่า พี่โตบอกไว้เมื่อปีที่แล้วว่า รถไฟฟ้าสำหรับไทยยังไม่พร้อม พี่โตเองก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก
มาวันนี้ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดแล้ว คงรู้ตัวตั้งแต่นานแล้วละ แต่พูดไปไม่ให้เสียหน้า
และที่สำคัญคือ ยิ่งพี่โตบอกว่า จะพัฒนารถไฟฟ้า จะทำนู้นนี้นั้นที่ทำให้ลูกค้าที่กำลังจะเปลี่ยนรถได้ยิน
คิดว่า ลูกค้าจะลังเลมั้ย เพราะรถคันนึงไม่ได้ถูกๆ ใช้ทีส่วนใหญ่ก็ 4-5 ปีอย่างน้อย
-
ลองคิดว่า จะต้องเปลี่ยนจะต้องลงทุนอะไรมากกว่ากันระหว่างทำปั๊มไฮโดรเจน กับปั๊มชาร์จไฟ
ผมว่าไฮโดรเจนดูจะลำบากกว่ามาก
ในขณะที่การชาร์จไฟ ผมคิดว่า ที่ไหนมีไฟเข้าถึงก็สามารทถได้ง่ายกว่าเยอะ
เพราะงั้นพี่โตคงปล่อยให้รถพลังไฮโดรเจนเป็นแค่การเรียนรู้เท่านั้น
ผมเคยจำได้ว่า พี่โตบอกไว้เมื่อปีที่แล้วว่า รถไฟฟ้าสำหรับไทยยังไม่พร้อม พี่โตเองก็เหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก
มาวันนี้ก็เริ่มเปลี่ยนความคิดแล้ว คงรู้ตัวตั้งแต่นานแล้วละ แต่พูดไปไม่ให้เสียหน้า
และที่สำคัญคือ ยิ่งพี่โตบอกว่า จะพัฒนารถไฟฟ้า จะทำนู้นนี้นั้นที่ทำให้ลูกค้าที่กำลังจะเปลี่ยนรถได้ยิน
คิดว่า ลูกค้าจะลังเลมั้ย เพราะรถคันนึงไม่ได้ถูกๆ ใช้ทีส่วนใหญ่ก็ 4-5 ปีอย่างน้อย
เค้ากล้าออกมาแถลงไปทั่วโลกว่าไม่เห็นอนาคตใน BEV นี้คงไม่ใช่ ทำ Fool cell เพื่อแค่เรียนรู้แล้วครับ แต่ Fool cell มัน FAIL ไม่เป็นท่า ไม่มีใครสนใจ แค่ตลาดรถใหญ่สุดสองแห่งของโลกอย่าง US กับ จีนไม่เอา จะเอา BEV แค่นี้ก็ดูแววออกแล้ว
-
รถในรูป ไม่มีคันไหนแจ้งเกิดได้เลยนะครับ
-
ก็ยังไม่ทิ้ง fuel cell นะ ผมว่า ประเทศญี่ปุ่นเขายังสนับสนุน fuel cell นะครับ ถึงแม้ประเทศอื่นจะไม่สนใจก็ตาม
http://www.motortrivia.com/2017/06/honda-nissan-toyota-to-develop-hydrogen-stations-in-japan/
BMW ยังจับมือกับ Shell ลุยเชื้อเพลิงไฮโดรเจนอยู่เลยครับ
ไม่ต้องกลัวมันหายไปไหน นี่ก็ยักษ์ใหญ่ทั้งคู่
-
อ่านบางความเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ::) เกมนี้ดูกันยาวๆ ถ้ามีกรณียักษ์ล้มจริงอย่างที่กล่าวถึง ผมว่าคนญี่ปุ่นก็คงได้บทเรียนจริงๆจังๆเสียที
-
อ่านบางความเห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ ::) เกมนี้ดูกันยาวๆ ถ้ามีกรณียักษ์ล้มจริงอย่างที่กล่าวถึง ผมว่าคนญี่ปุ่นก็คงได้บทเรียนจริงๆจังๆเสียที
สงสัยเจอบทเรียนจาก telecom sector กับ consumer electronics แล้วยังไม่เข็ดครับ