Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: นายพรานจ๋าหมีมาแล้ว ที่ กรกฎาคม 12, 2017, 19:18:14
-
เรื่องมันมีอยู่ว่า.. ถ้าเพื่อนๆมีรถที่รักแสนรักอยู่คันนึง แต่เป็นรถเก่าคุณรักมากๆแต่ภรรยากับคุณแม่ไม่ชอบ (ชึ่งชื่อเจ้าของรถในเล่มเป็นของคุณพ่อ แต่คุณพ่อยกให้มาใช้)
ภรรยากับคุณแม่เขามองว่าต้องค่อยมาดูแลมันเสียเวลาไปกับมันเยอะ เขาเลยบอกให้ขายแต่คุณก็ไม่ยอมขายยังใช้ขับมาเรื่อยๆเพราะความชอบและผูกพันกับรถคันนั้น
ทีนี้มีอยู่ช่วงจังหวะนึงคุณต้องไปต่างประเทศเป็นเดือนๆ กลับมาอีกทีรู้ว่ารถตัวเองแสนรักถูกคุณแม่และภรรยาร่วมกันไปบังคับคุณพ่อให้ขาย แล้วคุณพ่อก็ขายไปตามที่ 2 คนบอก
เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร แล้วจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรทีนี้พี่ชายผมร้องห่มร้องไห้ชวนผมกินเหล้าไม่อยากกลับบ้านมาหลายวันแล้ว :( แกไปถามคุณพ่อขายต่อให้ใครไปแกก็ไม่ยอม
บอกกลัวจะตามไปซื้อกลับมา (ภรรยาและคุณแม่บังคับไม่ให้บอก) จะไปหาซื้อคันอื่นรุ่นเดียวกันก็ไม่ใช้คันเดิมที่แกขับแกรัก ตอนนี้แกเสียใจมากๆไปนอนคอนโดไม่กลับบ้านหลายวัน
แล้ว เพื่อนๆคิดว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไงดีครับ ผมนี้จนปัญญามากๆจะช่วยเหลือ แกพูดกับผมสั้นๆประโยคนึงว่า "แค่รถคันเดียวที่ขอร้องว่าไม่ให้ขายแล้วเป็นความสุขของพี่เขายังขาย
แล้ว เมียพี่กับแม่พี่เขาจะรักพี่ได้ไงแค่ความรู้สึดเล็กๆแค่นี้เขายังไม่แคร์" :'( ผมนี้จะชวยพี่เขาไงดีครับ
-
ผมก็กำลังถูกกดดันอย่างหนักให้ขาย BMW E30 coupe แรกๆก็จากภรรยา ตอนนี้ก็มีแม่และพี่สาวมาร่วมวงด้วย จนบางครั้งก็เริ่มจะคล้อยตามเหมือนกัน
-
รุ่นไหนครับ
-
จัดหารถในฝันของเขาให้ออกมาสู่ความจริงครับ ให้ลืมคันเก่าไปเลย อาจแพงไปบ้าง เจ็บแต่จบ
-
อนัตตาครับ แม้แต่ตัวเรายังไม่ใช่ของเรา รถมันเป็นแค่วัตถุ จะไปยึดมั่น นั้นไม่ได้ครับ
แน่ล่ะเคสนี้เมียและแม่ยายทำไม่ถูก แต่คนเราอายุเริ่มมากก็ควรที่จะรู้จักปล่อยวางครับ
คุณก็เช่นกันครับ แนะนำเค้าในฐานะเพื่อนให้รู้จักปล่อยวาง ถ้าเขาปล่อยวางไม่ได้และเป็นทุกข์มาก คุณก็คงต้องปล่อยวางให้เขาเป็นทุกข์ต่อไปครับ เพราะคุณก็ได้ให้คำแนะนำกับเขาไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงการที่เขาไม่กลับบ้าน มันน่าจะเป็นเรื่องความผิดหวังที่คนในครอบครัวทำให้เขาเสียใจมากกว่าครับ ต้องให้ถอยหลังกันคนละก้าว เมียก็ควรมาขอโทษ ผัวก็ควรที่จะให้อภัย ถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมหย่าแค่นั้นครับ
-
อนัตตาครับ แม้แต่ตัวเรายังไม่ใช่ของเรา รถมันเป็นแค่วัตถุ จะไปยึดมั่น นั้นไม่ได้ครับ
แน่ล่ะเคสนี้เมียและแม่ยายทำไม่ถูก แต่คนเราอายุเริ่มมากก็ควรที่จะรู้จักปล่อยวางครับ
คุณก็เช่นกันครับ แนะนำเค้าในฐานะเพื่อนให้รู้จักปล่อยวาง ถ้าเขาปล่อยวางไม่ได้และเป็นทุกข์มาก คุณก็คงต้องปล่อยวางให้เขาเป็นทุกข์ต่อไปครับ เพราะคุณก็ได้ให้คำแนะนำกับเขาไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงการที่เขาไม่กลับบ้าน มันน่าจะเป็นเรื่องความผิดหวังที่คนในครอบครัวทำให้เขาเสียใจมากกว่าครับ ต้องให้ถอยหลังกันคนละก้าว เมียก็ควรมาขอโทษ ผัวก็ควรที่จะให้อภัย ถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมหย่าแค่นั้นครับ
ตอบได้ซึ้งกินใจมาก
มันคือธรรมชาติ มันคือสัจธรรม
คนเราซักวันยังต้องตาย
รถก็ต้องมีจากเป็นเรื่องธรรมดา
และความจริงก็ต้องเป็นไปตามนั้นครับ
-
ผมมีรถคันแบบที่ว่าคันนึง คือ E30 คันแรก แต่ครั้งนั้นผมกลั้นใจขายเพราะตอนนั้นต้องทำทุกอย่างให้เข้ารูปเข้ารอย (แล้วมาตระหนักทีหลังว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ ณ เวลานั้นทุกอย่างมันสับสนไปหมด เลยตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้งหมด)
กลับมาเข้าเรื่อง ... ถ้าการดูแลรถคันที่ว่า ไม่ได้ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ผมว่าล้ำเส้นกันเกินไปจริงๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องขายรถ แต่เป็นเรื่องทำอะไรลับหลัง
ดีใจที่คนในครอบครัวผมไม่ได้เป็นแบบนี้ ...
-
ผมก็กำลังถูกกดดันอย่างหนักให้ขาย BMW E30 coupe แรกๆก็จากภรรยา ตอนนี้ก็มีแม่และพี่สาวมาร่วมวงด้วย จนบางครั้งก็เริ่มจะคล้อยตามเหมือนกัน
ถ้าวินๆทั้งคู่ก็โอครับ แต่ถ้าอีกฝ่ายไมนนี้ก็เป็นปัญหา
รุ่นไหนครับ
Toyota Starlet EP82
จัดหารถในฝันของเขาให้ออกมาสู่ความจริงครับ ให้ลืมคันเก่าไปเลย อาจแพงไปบ้าง เจ็บแต่จบ
แกเป็นพวกชอบทำรถโน้นทำนี้ชอบหาของทำรถโน้นนี้นั้น นี้ผมก็บอกแกบิ้วๆแกให้ซื้อ 86 หรือ Brz ไปเลยอารมณ์น่าจะขับสนุกแบบคันเก่าแกมั้งหรืออาจจะดีกว่า
อนัตตาครับ แม้แต่ตัวเรายังไม่ใช่ของเรา รถมันเป็นแค่วัตถุ จะไปยึดมั่น นั้นไม่ได้ครับ
แน่ล่ะเคสนี้เมียและแม่ยายทำไม่ถูก แต่คนเราอายุเริ่มมากก็ควรที่จะรู้จักปล่อยวางครับ
คุณก็เช่นกันครับ แนะนำเค้าในฐานะเพื่อนให้รู้จักปล่อยวาง ถ้าเขาปล่อยวางไม่ได้และเป็นทุกข์มาก คุณก็คงต้องปล่อยวางให้เขาเป็นทุกข์ต่อไปครับ เพราะคุณก็ได้ให้คำแนะนำกับเขาไปแล้ว
แต่ในความเป็นจริงการที่เขาไม่กลับบ้าน มันน่าจะเป็นเรื่องความผิดหวังที่คนในครอบครัวทำให้เขาเสียใจมากกว่าครับ ต้องให้ถอยหลังกันคนละก้าว เมียก็ควรมาขอโทษ ผัวก็ควรที่จะให้อภัย ถ้าทำไม่ได้ก็เตรียมหย่าแค่นั้นครับ
ผมก็พยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้ครับ หวังว่าเวลาแล้วอารมณืจะลดลงแล้วมีเหตุผลกันมาขึ้นทั้ง 2 ฝ่าย (สงสารคุณพ่อมาครับโดนทั้ง 2 ทาง)
ผมมีรถคันแบบที่ว่าคันนึง คือ E30 คันแรก แต่ครั้งนั้นผมกลั้นใจขายเพราะตอนนั้นต้องทำทุกอย่างให้เข้ารูปเข้ารอย (แล้วมาตระหนักทีหลังว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ ณ เวลานั้นทุกอย่างมันสับสนไปหมด เลยตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้งหมด)
กลับมาเข้าเรื่อง ... ถ้าการดูแลรถคันที่ว่า ไม่ได้ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน ผมว่าล้ำเส้นกันเกินไปจริงๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องขายรถ แต่เป็นเรื่องทำอะไรลับหลัง
ดีใจที่คนในครอบครัวผมไม่ได้เป็นแบบนี้ ...
ผมสงสารพี่แกตรงประโยคที่ผมบอกนั้นแหละ คนที่บ้านก็เกินไปหน่อยตรงจุดนี้
-
จัดหารถในฝันของเขาให้ออกมาสู่ความจริงครับ ให้ลืมคันเก่าไปเลย อาจแพงไปบ้าง เจ็บแต่จบ
นึกถึงโฆษณานี้เลยครับ
https://youtu.be/8-gBbFxK5qQ
-
เอาตรงๆนะครับ
เลิก
คำเดียวสั้นๆ
ไม่ใช่ว่ารักรถมากกว่าเมียนะครับ
แต่อย่างที่คุณพูด ถูกแล้ว
ความสุขของคนเราอาจจะเล็กๆน้อยๆ
แต่คนที่เอาความสุขของเราไปขายได้เนี่ย
อยู่ต่อกันไปก็มีแต่ทรงกับทรุดครับ
ยิ่งเป็นของที่มีคุณค่าทางใจด้วยแล้ว.......
ยิ่งควรหยุดความสัมพันธ์ไว้ตรงนี้เลยครับ
ผมรู้จักท่านประธานบริษัทขายยาเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง
เป็นรุ่นคุณยายแล้วครับ
ลูกๆแกขับเบ๊นซ์ป้ายแดงมาทำงาน
แต่ตัวแกยังขับ bmw2002 มาทำงาน
แถมเป็นเกียร์ธรรมดาด้วย
ผมไม่ทราบเหตุผลหรอกว่าทำไมแกไม่ใช้รถใหม่ที่ขับง่ายๆกว่าคันนี้
แต่ผมเชื่อแน่ว่า คันนี้มีคุณค่าทางใจอย่างมากที่สุด
แนวทางผมอาจดูโหดร้ายนะครับ
แต่ลองหารถใหม่ให้เค้าใช้ดู
ใจของคนที่คุณว่า ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วล่ะครับ
-
เอาเงินให้พี่ชายไปซื้อคันใหม่ แต่อย่าไปซื้อคันเดิม หรือรุ่นเดิมล่ะ โน้มน้าวให้ดี เอาน้ำเย็นเข้าลูบ สมมติรถเดิมเป็นรถญี่ปุ่น ก็โน้มน้าวช่วยออกเงินเสนอ benz bmw ไปเลย(ถ้ามีเงิน) รับรองว่าถ้าได้ลองแล้วจะลืมรถญี่ปุ่นไปเลยครับ
-
ผมว่า เรื่องแบบนี้ ให้เขาไปจัดการชีวิตเขาเองดีกว่าครับ คนเราทุกคนไม่เหมือนกัน ต่อให้รู้จักกันดีแค่ไหนก็ตาม คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าบางสิ่งมันสำคัญสำหรับเขาแค่ไหน ถ้าเกิดเขาปล่อยวางได้ มันก็ดี แต่ถ้าเขาปล่อยวางไม่ได้ ก็ให้คนที่ตัดสินใจทำแบบนี้รับผลที่ตามมาเถอะครับ มันก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆนะ
คือคนที่ไม่ได้เล่นรถ เขาไม่รู้ว่า การยุ่งกับรถของคนอื่นไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม มันทำไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควรทำ แต่มันทำไม่ได้ ให้เขารับกรรมไปเถอะครับ เลิกๆกันไป จบ ไม่โหดเกินไปหรอก เลิกกันด้วยเหตุผลที่น้อยกว่านี้ก็ยังมีได้เลย
แล้วคนบางคนไม่ใช่ว่าเอาวัตถุเข้าแลกแล้วจะยอมนะครับ เอารถแพงๆดีๆให้ ไม่อยากได้ มีเยอะ ถามว่าได้ผลไหม มันก็อาจจะได้ผล แต่ถามว่าคนที่ได้รับจะมีความสุขจริงๆหรือไม่ มันก็แล้วแต่คน ถ้าเขารักรถคันเก่าคันนั้นจริงๆแล้วเขาไม่ยอมละครับ คนแบบนั้นก็มีนะ มีเยอะด้วย
นั่นแหละครับ พี่ของคุณเป็นคนเดียวที่จะตัดสินบทสรุปของเรื่องนี้ได้ บางทีปล่อยไว้สักเดือนสองเดือนอาจจะยอมกลับไปก็ได้ บางทีเขาก็อาจจะไม่ให้อภัยไปตลอดกาล ทำยังไงได้ละครับ ผมก็ไม่ได้ไปรู้จักเขาโดยตรงนี่ จะให้ผมคอมเมนต์โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมว่ามันก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่หรอกครับ จะว่าไป คนที่น่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด น่าจะเป็น จขกท. เองครับ คนที่มาคอมเมนต์ไม่ได้ไปรู้จักพี่ของคุณด้วยตัวเอง ให้คำแนะนำได้หลากหลายแน่นอน แต่อันไหนละครับที่จะใช้ได้ผล? คุณเองรู้จักเขาดี คุณน่าจะตอบคำถามนี้ได้กว่าพวกเราทุกคนนะครับ
แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำจริงๆ ผมตอบแบบเดาเอาเลยนะ ต่อให้ตามซื้อรถคันนั้นกลับมาได้เลยนะ ความไว้เนื้อเชื่อใจมันก็เสียไปแล้วครับ ถ้าไม่ได้รักกันจริง บอกเลยเรื่องนี้จบให้สวยยากมาก
-
รถ อยากให้เป็นวัตถุ มันก็คือวัตถุ อยากให้เป็นลูก ก็ต้องดูแลแบบลูก ถ้าไม่มีภาระก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเป็นภาระจริงๆ ก็ต้องทำใจ เดี๋ยวเวลาก็บรรเทา ช่วงแรกก็อาจจะเจ็บ ให้เวลาสักพัก เดี๋ยวก็ลืมครับ หลายคนที่เขาเก็บ(รถ)ได้อย่างสบายใจเพราะต้องไม่เป็นภาระก่อนเลย เรื่องเวลาเป็นปัจจัยรอง
-
เรื่องแบบนี้พูดยาก
ครอบครัวแต่ละคน พื้นฐานก็ต่างกัน
แต่ที่แน่ๆ "เงิน" "เวลา" "สถานที่" มีผลกับ
ของสะสม ของมีคุณค่าทางใจ สิ่งที่ชอบ (หลง)
คนรอบตัวผม มีหลายกรณี เช่น
บ้าสัตว์เลี้ยง แต่ถนัดซื้อตัวใหม่ มากกว่าเลี้ยงเอง
บ้าโมเดล แต่บ้านแคบ แทบไม่มีที่จะนอนละ
บ้ามอไซค์ แต่คันเก่าๆ จอดทิ้งจนเก่า เกะกะ
บ้าตีกอล์ฟ แต่ไม่มีเวลาให้ลูกเมีย
บ้าแต่งรถ แต่ยังขอเงินพ่อแม่ตลอด
.....
ผมมองว่า ตัวพี่ชายเอง น่าจะมีระดับ
ความรับผิดชอบ , ความสามารถ ที่ทำให้คน
รอบข้างเชื่อมั่น และยอมรับ ยังไม่มากพอ
ลองถอยออกมา และมองแบบคนรอบตัว
ว่ารถคันนั้นสร้างปัญหา ความเบื่อหน่าย
อะไรเอาไว้บ้าง เช่น หมกมุ่นกับการแต่งรถ
จนไม่มีเวลาให้แฟน , ลงเงินแต่งรถไปมาก
ทั้งๆ ที่ควรนำไปลงทุน , รถเกะกะ ทำให้คันอื่น
ที่ใหม่กว่าต้องจอดลำบาก...ฯลฯ
ครอบครัว จขกท. ท่าทางสนิทสนมกันดี
อย่าให้ความสัมพันธ์ดีๆ กระเทือนด้วยรถคันเดียว
ปล.ผมไม่เห็นด้วยนะ ที่ถูกเอาของรักไปขาย
แต่อย่างที่บอก ลองทบทวนตัวเองครับ
และเอาเป็นแรงผลักดัน ซื้อรถในฝันด้วย
น้ำพักน้ำแรงตัวเอง และสร้างความสุขให้คน
รอบข้างไปพร้อมๆ กัน รับรองว่าภูมิใจครับ
-
ล๊อกอินเพื่อตอบกระทู้นี้
สำหรับผม ผมก็มีรถที่รักมาก ถึงไม่ใช่รถใหม่ป้ายแดง(W124 E220) พ่อซื้อมือ2มาใช้แล้วได้รับมรดกเหมือนกัน เคยโดยบังคับให้ขายเหมือนกัน เพื่อแลกกับ w211 minor แต่ผมก็ไม่ยอม คิดว่าความรู้สึกไม่เหมือนกัน การที่โดนบังคับขายแบบนี้ เจ้าของรถเสียใจที่สุดครับ ผมก็เคยพูดกับลูกไว้ ถ้ารุ่นผมยังอยู่ w124 คันนี้จะจอดไว้แบบนี้แหละ แต่ถ้าตัวผมตาย จะเก็บหรือจะขายก็ได้ตามใจไม่รับรู้แล้วหรือว่าสิ้นสุดแล้ว วิธีแก้ของผมคือ หารถมาคืนครับ หรือหารถที่พี่เขาอยากได้ไปทดแทนครับ ต้องดูว่าเขาต้องการสิ่งใดทนแทน แต่ถ้านึกถึงตัวผมเองผมว่ายากมากครับ ราคารถเทียบกับปัจจุบันไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แต่คุณค่าทางจิตใจสูงส่งยิ่งกว่าทุกสิ่งครับ ผมมองว่างานนี้ทางภรรยากับคุณแม่ทำสิ่งที่ผิดใหญ่หลวงครับ ถ้าเป็นผมก็ไม่อภัยให้ครับ กลัวว่าอาจจะถึงขั้นมีหย่า ย้ายออกจากบ้าน ย้ายที่ทำงานให้ไปอยู่ไกลๆบ้านไม่ต้องกลับบ้านเลยครับ งานนี้ต้องใช้ระยะเวลาช่วยรักษาจิตใจครับ
-
เจออีกแล้ว คนที่เป็นโรคแยกประเด็นไม่ได้
ประโยคนี้คือประโยคที่ทำให้เขาติดล็อคนั่นเองครับ
"แค่รถคันเดียวที่ขอร้องว่าไม่ให้ขายแล้วเป็นความสุขของพี่เขายังขาย
แล้ว เมียพี่กับแม่พี่เขาจะรักพี่ได้ไงแค่ความรู้สึดเล็กๆแค่นี้เขายังไม่แคร์"
คำตอบง่ายๆ คือ
เรื่องความรักในครอบครัวนั้นก็เรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องการบังคับก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ
ตอนนี้อยู่ที่เจ้าตัวแล้วว่า จะ value ให้กับความรักในครอบครัวมากขนาดไหน
ซึ่งถ้าเขารักครอบครัวมากๆ เขาก็พร้อมที่จะให้อภัย และปล่อยวาง
การที่เจ้าตัวต่อว่าๆ ผู้อื่นไม่แคร์ ไม่รักตน
ตรงนี้ก็กฎเรื่องเกี่ยวกับการย้อนกลับอีก ตามจิตวิทยา หมายถึง
เจ้าตัวนั่นเอง ที่ไม่ได้รัก หรือแคร์ผู้อื่นเท่าที่ควร
(ฉะนั้นเวลาจะว่าใคร ลองย้อนดูตัวเองครับ เพราะส่วนมาก ตัวเองนั่นแหล่ะที่เป็นแบบนั้นเอง)
จริงๆ ใครผิดใครถูกผมไม่อยากฟันธง เพราะผมไม่รู้ที่มาที่ไป รวมทั้งทุกๆ คนที่เข้ามาฟังเรื่องราว
นี้ก็ต่างไม่รู้ที่มาที่ไป เช่น อะไรที่ motive ที่ทำให้ที่บ้านต้องบังคับ และถึงกับต้องแอบทำ
และปกติพี่เขาเป็นคนแนวไหน ประมาณยังไง คือเราไม่รู้ข้อมูล detail อะไรตรงนี้เลย
แต่ย้อนกลับไปยังประโยคแรกที่ว่าไว แบบนี้เขาเรียกอาการว่า พี่เขาติดล็อคของตัวเองครับ
แยกเรื่องราวไม่ได้ ซึ่งคนเป็นโรคนี้เยอะมาก เพราะการศึกษาบ้านเรารึเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
เพราะเมื่อก่อนผมก็เป็น และจำได้ว่าครูบาอาจารย์ สื่อต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์ ละคร อะไรต่อมิอะไร
ต่างก็มีวิธีคิดแนวๆ นี้ จนมาตาเห็นธรรมเอาตอนหลัง ซึ่ง ใครที่แยกเรื่องเก่งๆ ถ้า iq ดีอยู่แล้วด้วยล่ะก็ ก็ยิ่ง
iq ดียิ่งขึ้นไปอีก แต่กลับกัน ถ้าแยกเรื่องไม่เก่ง หรือทำไม่เป็น ชีวิตอาจจะแย่ล้มลุกคลุกคลานเอาได้ครับ
วิธีแก้คือ คนที่อยากให้เขาหายจากการโศกเศร้าต้องทำการปลดล็อกประโยคที่ว่าให้ได้
แล้วบอกเขาให้รู้ว่า มันเป็นคนล่ะเรื่องกัน อาจจะต้องใช้ความพยายามหน่อย รับฟังเขามากๆ
ค่อยๆ ให้เขาระบายไปเรื่อยๆ แต่ท้ายที่สุด เขาต้องรู้ว่ามันคือคนล่ะเรื่องกัน พอปลดล็อคตรงนี้ได้
เขาจะมองอะไรต่อมิอะไรได้สว่างขึ้นครับ แต่บอกก่อนว่าปัญหาของเขากับทางบ้านคือพวกเราไม่รู้นะ
นี่แค่เรื่องปลายเหตุเรื่องหนึ่ง ส่วนต้นเรื่องที่มาที่ไปเราไม่รู้ ขอให้โชคดีครับ
-
ชวนพี่ท่านทำนู่นทำนี่ไป กินลงกินเหล้า คุณทำไม่ได้มากกว่านี้หรอกครับ
ไม่ต้องแนะนำอะไรด้วย ให้เวลาพี่ท่านตัดสินใจเองครับ
ส่วนตัวผมคิดว่า ที่เค้าพูดมาประโยคหลังนี่ตอบทุกคำถามแล้วนะ
ขนาดความสุขเล็กๆ ยังทำกันได้แถมทำลับหลังอีก มันเสียความรู้สึกครับ
-
แล้วแต่คน
ส่วนตัวผมแล้ว "ยิ่งตามกลับมา คุณจะไม่มีวันได้ของๆเดิม"
เปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ ของที่รักษาแล้วสุดๆแล้วไม่ได้ก็ไม่ควรยึดติดครับ
คนเราก็ต้องเสียอะไรบางอย่าง ที่สำคัญจริงๆ ลืมไม่ลงอ่ะได้แต่ก็เอามันกลับมาไม่ได้
ไม่งั้นถ้าทำได้สิ่งแรกที่ผมอยากจะเอากลับมาคือ บุพการีของตัวเองเอามานั่งคุยกันต่อ มีเรื่องให้คุยอีกเป็นภูเขาเลากา เหอะๆ
-
ผมโกรธน้ำตาไหลแทนเลย คนบางคนไม่รู้จักคำว่าของรัก :( ความหมกมุ่นมันมีกันทุกคน
เราโตแล้วจริงๆก็ไม่ควรยึดติด แต่ถ้าเจ้าของทำใจได้ ถ้ามันไม่เหมาะสม มีแล้วเค้าลำบากเค้าจะปล่อยเองแหละ ไม่ต้องไปช่วยคิดแทนเค้าหรอกครับ
ต้องปล่อยให้เขาหายโกรธเองอ่ะ ง้อเยอะๆหน่อย
-
ในมุมมองของผม ผมมองว่า ถ้าเจ้าของพร้อมที่จะปล่อย เขาก็ปล่อยได้ทุกอย่างหละครับ แต่ถ้าเขาไม่พร้อม เสียเท่าไหร่ยังไงเขาก็ไม่ยอมปล่อยครับ
-
คุณเป็นคนสำคัญที่สุดที่ช่วยแก้ปัญหานี้ครับ เพราะเป็นคนที่พี่ชายเขาไว้ใจที่สุดในเรื่องนี้
แต่แน่ล่ะ ต้องใช้วาทศิลป์และจิตวิทยาอย่างมากๆ (...ผมก็ไม่ได้เก่งด้านวาทศิลป์นี้เหมือนกันครับ)
ก่อนอื่นมาดูปัญหาคืออะไร เพื่อคลายตรงจุดนั้น ..รถขายไปแล้ว
คิดว่าอย่างไรพี่ชายก็พอรู้อนาคตว่าคงไม่ง่ายที่จะได้คืนแล้ว เวลาที่ผ่านอาจจะค่อยๆรับจุดนี้ในใจไปได้บางส่วน
ตัวแก่นปัญหาจริงๆ คือ เวลานี้พี่ชายกำลังมีความเข้าใจผิดอยู่ในจิตใจเขา
(แต่คงจะบอกเขาตรงๆไม่ได้ว่าเขาเข้าใจผิดอยู่)
เขาคงเข้าใจว่าแฟน คุณแม่ รักเขาน้อย..ที่เขาได้ประกาศห้ามแล้วว่าอย่าขาย
แต่คงคิดว่าทั้งสอง คงรักเขาน้อย เลยกล้าที่จะขายรถไป ไม่ได้เห็นอกเห็นใจเขา ทั้งที่พูดไปแล้ว
ไม่มีใครเห็นความสำคัญของตัวเขา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างที่พี่ชายเขาเข้าใจ
จึงต้องหาคำพูด..ที่จะทำให้เขารู้สึกว่า เขาอาจจะเข้าใจผิดที่คิดเช่นนั้นก่อนหน้า
..ทั้งแฟนและแม่ ไม่ใช่ไม่ได้รักเขาน้อย แม้แฟนและคุณแม่จะขายรถออกไปโดยไม่ได้บอก
แต่ทั้งคู่ไม่ได้ไม่รักเขา แฟนและคุณแม่ไม่ได้ขายเขาไปจากชีวิตครอบครัว
แต่ในสายตาแฟนและคุณแม่ไม่ได้มองว่า รถคันนั้นสำคัญจนขายไม่ได้(แบบที่พี่ชายผูกพัน)
อย่างไรก็ตาม ยังมีความรักต่อตัวพี่ชายเขามากเป็นปกติเยี่ยงคนทั่วไปที่รักแฟนของตัวเอง รักลูกของตัวเอง
อาจจะเป็นการประเมินที่ผิดไปของแฟนและคุณแม่ เป็นการให้ความสำคัญกับรถที่แตกต่างไป(กับพี่ชาย) มุมมองต่างกันได้
คุณคงต้องเป็นไม้แรกพูดให้เขาสว่างขึ้นนิดหนึ่งก่อน
เผื่อพี่ชายเขาจะเริ่มเข้าใจว่าความคิดเขาที่เขาเชื่อในใจเขาที่คิดว่าไม่รักอาจจะไม่ถูกต้องนัก
แต่คุณต้องไม่แสดงว่าเป็นการแก้ต่างแทนแฟนและคุณแม่ เพื่อให้รู้ว่าคุณยังเข้าใจเขาเห็นใจเขาตลอด
แล้วตามด้วยไม้สอง ถ้าเป็นไปได้ให้แฟนพร้อมแม่มาหาเขาถึงที่พักคอนโด และแสดงความเสียใจ(จะถึงขอโทษก็แล้วตามแต่)
เชื่อว่าพี่ชายเขาก็คงใจอ่อนลงเยอะ
มองว่าแฟนและคุณแม่ยังรักและเป็นห่วงเขาอยู่ จึงตามมาถึงที่พักเลย
ไม้ที่สามก็อาจให้แฟนและคุณแม่บอกว่าจะช่วยออกซื้อคันใหม่ด้วย
(แต่ไม่ต้องรับว่าจะไปตามคันเก่า ไม่เหมาะสมเพราะขายไปแล้ว คนซื้อไปแล้วเขาก็คงเสียใจ)
คุณลองนึกคำพูดดีๆ ผมคิดว่าช่วยพี่ชายได้แน่นอนครับ
-
ปล่อยวางครับ ครอบครัวสำคัญกว่ารถครับ
หลังๆคันไหนครบ 10ปี ขายทันทีหารถใหม่ครับ ถือเป็นกฏของบ้านครับ
ผู้หญิง เขาไม่ยอมให้คุณรักรถมากๆแน่ แถมกลัวรถดับกลางทางกลัวมากๆ นี่เป็นธรรมชาติ
เรื่องเก็บรถเก่าไว้ผมเคยโดนรุมจากผู้หญิงทั้งบ้านโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน สุดท้ายก็ยอมๆไป
เกิดเป็นลูกผู้ชาย เกิดมาพร้อมกับ คำว่า "หน้าที่" ครับ และ "หน้าที่ต่อครอบครัว" สำคัญที่สุดมาก่อนทุกเรื่อง
อย่ารักรถมากกว่าครอบครัว ให้ความสำคัญมันเป็นระดับรองๆลงไป
-
เอาเครื่องสำอางที่มันรัก ไปเททิ้งขยะมั่ง ดูดิมันจะรู้สึกยังไง
ส่วนแม่ ทำได้แค่คิด เดี๋ยวบาป 5555
-
น่าเห็นใจครับ แต่ต้องชั่งใจว่า ครอบครัว ก็สำคัญ จะทำอะไรก็ต้องนึกถึงคนในครอบครัวไว้เสมอ
ผมก็เคยโดนครับ แต่อาจจะไม่ใช่ของใหญ่โต แบบรถ แต่เป็นพวกหนังสือการ์ตูนสมัยเด็กๆ กับพวกการ์ด คือของสมัยยังมัธยมอยู่น่ะครับ พอโตมา โดนแบบเอาไปขายทิ้งหมดเลย ก็ใจหายมากๆครับ
-
เรื่องยากเลยล่ะครับ จิตใจกำลังอ่อนไหว เหตุผลบอกยังไงก็ไม่เข้าหัวแหงๆ แล้วกรณีนี้มีโอกาสที่จะยึดติดกับความคิดผิดๆที่คิดเองเออเองในหัวตัวเองด้วยครับ
ใช้เวลาสักพักให้ทำใจได้ แล้วระหว่างนั้นไปคุยกับฝั่งคุณแม่ว่าหลังจากที่พี่คุณใจเย็นลงแล้วจะคุยแก้ความเข้าใจผิดยังไง ระหว่างนี้ก็คอยดูๆไว้ครับบางคนปล่อยไว้เฉยๆก็กลับมีอาการหนักกว่าเดิม
จากนั้นภาวนาว่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่พอ ขอให้โชคดีครับ
-
พลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ ( รถที่รักโดนขายไป )
พบพานกับสิ่งที่ไม่รัก ก็เป็นทุกข์ ( เจอแม่+เมีย บังคับขาย )
ยึดติดกับอดีต ก็เป็นทุกข์ ( ยึดติดกับรถในอดีตที่เคยดูแลกันมา)
ปล่อยวางจาก สิ่งที่รักในอดีต ( รถที่รักโดนขายไป ) เป็นสุข
ทำใจรับกับสิ่งที่ไม่รัก ( เจอแม่+เมีย บังคับขาย ) โดยการให้อภัย เป็นสุข
อยู่กับปัจจุบัน ( หารุ่นใหม่ ๆ ถูกใจในปัจจุบันนี้ ) เป็นสุข
มีแค่นี้จริง ๆ แล้วทุกสิ่งในโลกนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้เท่าทันก็เป็นสุข ไปยึดติดก็เป็นทุกข์
ให้อภัยแม่+พ่อ+เมีย เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง แต่การให้อภัยตัวเองในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด ณ ขณะนี้
-
เดี่ยวมันก็ผ่านไป เวลาจะช่วยเยียวยา เราทำอะไรไม่ได้ แค่ได้รับฟัง และอยู่เคียงข้างก็ดีแล้ว
จริงๆนะ
-
ผมกลับมองว่า
ถ้ามันไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสจริงๆ ครอบครัวเขาคงไม่บังคับขายหรอกครับ
จำได้เหมือนเคยอ่านเคสคล้ายๆนี้ สุดท้ายครอบครัวออกมาแฉ ว่าหมกมุ่นกับงานอดิเรก งานการไม่ใส่ใจ จนร้านจะเจ๊ง ลูกไม่มีตังจะเรียนต่อ อะไรพวกนั้น
ถ้ารู้จักจัดสรรค์ ไม่ให้ของรัก มากระทบชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ผมว่า ครอบครัวน่ะ ไม่มีใครเขามาบังคับเรื่องพวกนี้หรอกครับ
ป.ล. ผมอาจจะผิดก็ได้ครับ
-
เป็นผมคงทำอะไรไม่ได้
นอกจากรับฟัง อยู่ข้างๆ ไม่เลือกข้างว่าอยู่ฝั่งไหน ไม่ว่าฝ่ายไหนจะถูกก็ตาม
แล้วเวลาจะช่วยให้หลายๆสิ่งดีขึ้นครับ
แต่ความไว้ใจ(แม่และภรรยา)คงไม่เหมือนเดิมแน่นอน
-
แค่แปลกใจว่า ทำไม แม่กับเมียต้องพยายามขายออกไปขนาดนั้น
มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่
-
ขายไปแล้ว..ทำใจ
รถเก่า พังและโทรมลงทุกวัน แต่ครอบครัวต้องอยู่กันอีกนาน
เป็นความเห็นส่วนตัวในกรณีที่เจอกับสถานการณ์แบบนี้นะครับ
-
สำหรับผม
รถเป็นทรัพย์สินครับ
ที่เราต้องดูแลรักษามันให้ดี
เราดูแลรักษารถ รถก็จะดูแลรักษาเราครับ
ถ้ารถเก่า แล้วเรารักมาก จากแค่ทรัพย์สิน จะเพิ่มเติมคำว่าสมบัติเข้ามาด้วย
จะเมีย หรือ แม่ ก็ทำไรผมไม่ได้
-
ทำใจ
-
เพื่อนพ่อผม ชอบรถมาก ซื้อรถมากมายจนภรรยา ยื่นโนติสว่าจะเลือกรถ หรือเมีย ปรากฏว่าเลือกรถ เมียก็ขอหย่าตามที่พูด ทั้งที่มีฐานะที่มั่งคง มีลูกด้วย สุดท้ายชีวิตก็ล้ม ร้านวัสดุก่อสร้างที่ทำอยู่ก็ปิดกิจการ ผู้ชายไปแต่งงานใหม่ (ผู้หญิงใหม่ที่แต่งด้วยก็แย่ ชีวิตลำบาก ผมยังคิดเลยว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปแต่งด้วยทำไม หาเรื่องให้ตัวเองลำบาก ชาวบ้านก็คิดว่าเป็นมือที่ 3 ไปแย่งผู้ชายมา)
ยากเตือนสติว่า พวกรถหรือของรักของหวงอื่น ๆ มันเป็นของนอกกาย ครอบครัวสำคัญกว่า เวลาเจ็บป่วยคนที่ดูแลเราก็คือครอบครัวนะ :(
-
เป็นผมจะขอยื่นข้อเสนอเลยครับ
ถ้าอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม
เอากระเป๋า-เครื่องประดับของภรรยาที่รักมากๆ ให้ภรรยาเอาไปขาย
ถ้าเขาทำได้ผมยอมกลับไปนะ แล้วset zeroใหม่เลย
ไม่ได้ว่าจะเอาคืน แต่ถ้าเขาทำได้ก็แสดงว่าเขาเห็นผมสำคัญกว่าของนอกกายของเขาเหมือนกัน
-
ผมว่าพี่คุณต้องเอารถคันนี้ออกไปขับแบบไม่ปกติบ่อยๆ
ที่เขา (ภรรยา แม่ยาย พ่อคุณด้วย) ทำแบบนั้น ตัดสินใจทำด้วยความห่วงใยในตัวคุณพี่คุณ
เพราะคุยกันดีๆ หลายครั้งแล้วก็ยังไม่ฟัง เขาก็เลยใช้วิธีแบบนี้ (มันผิด แต่เขาก็ชั่งน้ำหนักแล้ว)
เขารักมากนะ จึงทำแบบนี้ ขนาดพ่อที่เลี้ยงเรามาขนาดนี้ยังเลือกวิธีนี้เลย
-
รถยนต์เป็นของนอกกายก็จริงครับ แต่ความผูกพันที่มีกับรถคันนั้น
นั่นแหละคือคุณค่าทางจิตใจ ผมเป็นคนนึงที่บ้ารถเอามากๆ
เลยสะสมโมเดลรถยนต์
ถูกแม่สั่งห้ามซื้อตั้งแต่40คันแรกเมื่อ10ปีที่แล้ว
ผมจึงขอแม่ว่าอะไรที่ผมรักผมชอบอย่าห้ามได้ไหม
หลังจากนั้นมาแม่ก็ไม่เคยห้ามอีกเลย
จนตอนนี้มี4-5ร้อยคันและผมก็จะเก็บไปเรื่อยๆ
เคยมีคนถามเหมือนกันครับว่าเลือกรถหรือเลือกแฟน
ผมก็ตอบว่าเลือกรถเช่นกันครับ เพราะผมคิดว่าคนที่รักเราจริงๆ
เขาจะไม่ถามคำถามนี้กับเราเพราะมันเป็นสิ่งที่เรารัก
ถ้าเขารักเราเขาต้องรักในสิ่งที่เรารักด้วยครับ
ทำไมเลือกรถ--เพราะรถไม่เคยทำให้คนเสียใจครับ5555
-
ถ้าคุณเป็นภรรยา และ แม่ เห็นสามีหรือลูก สนใจแต่รถ เอาเงินไปลงที่รถจนหมด คิดว่าจะปล่อยวางมั้ย
ผมเชื่อว่า ถ้าไม่คอขาดบาดตาย ไม่มีใครทำแบบนั้นหรอก คนเราเทาๆ กันทั้งนั้นะ คนโลกสวยมีแต่ในหนังเท่านั้นแหละ
ดูจากอารมย์พี่คุณแล้ว โตแต่ตัว วุฒิภาวะทางอารมย์ยังไม่โต ความคิดยังเป็นเด็กๆ อยู่ ถ้าเดาผิดต้องขออภัย
เพราะให้ข้อมูลมาน้อยมาก ต้องเดา วิเคราะห์เอง
คหสต. คือมันยากครับ ที่แม่จะเห้นอะไรคล้อยตามสะไภ้ ถ้าไม่รักมาก เพราะรักลูกกมากกว่าอยู่แล้ว เลยเดาว่าพี่ จขกท.
น่าจะเป็นเด็ก ไม่รู้จักโต อายุให้เดา น่าจะไม่เกิน 30 มั้ง
-
ไม่ต้องทำอะไรหรอก น้องก็คือคนนอกของครอบครัว คู่นี้ยังไงต้องเลิกกันแน่
ไม่ใช่เรื่องขายหรือไม่ขายรถ มันเป็นเรื่องของการขาดความเคารพ เรื่องขายรถ
อาจไม่ใช่เรื่องแรก และแน่ใจได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องสุดท้ายแน่นอน ยิ่งมีทั้งแม่และพ่อ
ของทั้ง2ฝ่าย เข้ามายุ่งย่ามด้วยแล้ว พังทุกครอบครัว :(
-
แนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากปลอบใจ และพยายามใช้เหตุผลเข้ามาแก้ไข เพราะความถูกต้อง และ เวลา จะจัดการปัญหาได้อย่างยั่งยืนกว่า
เราๆ ท่านๆ ไม่รู้ข้อมูลทั้ง 2 ฝั่ง ยังไงทุกความเห็น ล้วนเป็นคนนอก
ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีละกันครับ อย่าให้ต้องมานั่งเสียใจ เสียดายว่า เรื่องแบบนี้ ไม่น่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวเลย
-
ผมว่าถ้าเขาต้องเลิกกับแฟน เพราะศักดิ์ศรี ความเชื่อใจ
ความเคารพ ความยำเกรง อะไรต่อมิอะไร
ถือเป็นบุญของแฟนแล้วครับ 555
ครอบครัวจริงๆ เขามองที่ตัวคนเป็นหลัก เรื่องอื่นเป็นเรื่องรองๆ ทั้งนั้น
แค่วางแผนดูแลลูก กิจกรรมทุกอย่าง สิ่งของที่เราชอบทุกอย่างมันก็มลายหายไปหมด
แล้วล่ะครับ ถ้าจะปั้นครอบครัวกันจริงๆ ไม่มีอะไรที่เหลือเป็นของตัวเองเลย
ทั้งเวลาและของมีค่า สมองก็ต้องคิดโน้นนี้ คอยสังเกตุ คอยทดลองอันไหนผิดอันไหนถูก
เวลาดูหนัง ดูทีวียังไม่มีเลยครับ
ลูกผมอยู่สองภาษาลาดพร้าวครับ เท่าที่คุยกันกับผู้ปกครองไม่ว่ากี่คนต่อกี่คนก็
ต้องเป็นประมาณนี้ ไม่ว่าจะเจ้าของธุรกิจหรือพนักงานก็คิดคล้ายๆ กัน
ไม่รู้เป็นกันอยู่โรงเรียนเดียวรึเปล่า ;D
-
มันเกิดอะไรกันแน่ ทำไมต้องอยากขายขนาดนั้น
ผมว่ามีรายละเอียดที่เล่าไม่หมด
เพื่อนผมคนนึง ลงกับรถแต่งไปเป็นล้าน (เฉพาะค่าแต่ง)
ถ้าเป็นกรณีนั้น เกิดในครอบครัวผม
ผมคงคิดหนักเหมือนกันว่า จะอยากกำจัดรถคันนั้นออกไปจากบ้านไหม
-
ถ้าตอบเท่าที่อ่านมาทั้งหมด
เลือดเย็นนะครับ...
-
พ่อผมรักรถกระบะ isuzu ก่อนมังกรทอง คันที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาก สุดท้ายพ่อก็ต้องตัดใจขายไปเพราะไม่มีที่จอด แล้วเป็นภาระที่ต้องดูแล
ไหนจะค่าแบตเสื่อม ยางเสื่อม น้ำมันเครื่อง ฯลฯ startเครื่องทีก็ควัน ฟุ้งไปทั่วเกรงใจข้างบ้าน
พ่อผมบอกว่าขายไปให้คนที่เขาเอาไปใช้งานจริงดีกว่า รถมันคงมีความสุขที่ได้วิ่งบนท้องถนนมากกว่ามาจอดเก็บไว้เฉยๆ
ทุกวันนี้ มันก็ยังควันดำ บรรทุกหนัก เก็บของเก่าขายอยู่ แถวบ้าน
-
ทำใจสิครับ อย่าไปยึดติด เกิดมามันต้องจากลาทั้งหมดแหละ
เสียใจได้ เศร้าได้ แต่ก็ควรจะปล่อยไปในที่สุด
-
ต้องขอถามว่า
1.-พี่ชาย จขกท เอารถไปรับสาวอื่นๆ หรือเปล่า หรือใช้รถเพื่อการพิเศษอย่างไรหรือไม่ >>> ของผมเมียบังคับขาย เพราะเหตุนี้แหละ (ประสบการณ์ตรงไปเปล่า อิๆ)
2.- เมีย+แม่ยายใช่ไหม ถ้าใช่ ไม่แปลกอะไร ถามต่อนะครับ เงินที่ขายได้ ไปอยู่ตรงไหน พ่อ หรือเอาไปทำอะไร ถ้ามีเหตุจำเป็น แล้วเงินไปใช้ตรงนั้น อันนี้พิจารณาไปตามเรื่อง แต่ถ้าเงินโดนแบ่งไปโดยผู้สบคบคิด คือ เมีย+แม่ยาย เป็นผมๆ ไม่ยอมครับ
3.- รถมันเป็นของรัก ทุกคนมีของรัก ถ้าของรักโดนทำร้าย ก็เหมือน บ้าน สมบัติสะสม ฯ รถ พระเครื่อง ศิลปะฯลฯ สมัย น้ำท่วม ปี54 หลายๆคน อาจจะเคยมีเพื่อน หรือคนรู้จักเสียของพวกนี้ไป แต่ทำไงได้ เรื่องแบบนั้นเกิดเพราะธรรมชาติวิบัติซะส่วนใหญ่ ถ้ามันเป็นแบบนั้น ทำใจได้แหละครับ แต่ถ้าเกิดจากคน ลองไปบอกเมีย และแม่ยาย ให้มาขอโทษบ้างทำได้ไหม มันเกินไปตรงที่ "ขายลับหลัง" ไม่งั้นต่อไป ให้พี่ชายย่องไปบ้าน แล้วเอาของแม่ยาย และเมียออกไปขายดูบ้าง ทำแบบน้ัน ซักระยะนึง ผมว่าความรู้สึกมันพอจะรับรู้ได้ (บ้านแตกก็ว่าไป)
4.- เรื่องแบบนี้ ผมเจอมากับตัวบ่อยๆ ถามว่า รักอะไรมากกว่ากันระหว่าง เมีย แม่ยาย ครอบครัวทางเมีย บอกได้ว่า เสียไปหมดทั้งอารมณ์ ความรู้สึก หลายรอบ แต่เวลาก็ผ่านไป สักวันก็คงโดนเอง และไม่มีความสุขหรอก เวรกรรมมีจริง และถามอีกรอบนะครับ พ่อคุณเขารู้และยินยอมให้ทำด้วย ของบางอย่าง มันทำให้รู้สึกว่า ครอบครัวทางเมีย มีอำนาจการครอบครองและสิทธิทางทรัพย์สินล้ำมาทางครอบครัวคุณด้วยใช่ไหม ถ้าใช่ ก็ไม่แปลกอะไร และบอกให้พี่ชายยอมรับจุดนี้ซะ
5.- ทำตัวเป็นตัวกลางก็ได้ครับ แต่พยายามอยู่กลางๆ คือ คุยกับพี่ก่อน มีทางออกทดแทนไหม...แล้วคุยกับ พ่อ เมียพี่ เรียกมาคุยรอบนึงก่อน แล้วตกลงเอาไง พร้อมขอโทษพี่ชายไหม (ไงๆก็ต้องมีคำขอโทษออกมาจากปาก เป็นอย่างน้อยนะผมว่า )
-----------------------------------
ของบางอย่าง ศิลปินวาดรูป มันจะมีห้องเลอะเทอะ เละเทะ อย่างไรก็ห้ามไปยุ่ง ถ้าเขาไม่อนุญาติ ไปแตะต้องขึ้นมา เรื่องอาจจะลามถึงเผาห้องหรือของทิ้งเลยก็ได้นะครับ
ผู้บริหารระดับ ใหญ่ๆ แห่งนึงของประเทศนี้ แม่บ้านไปจัดโต๊ะที่ทำงาน เขาหาของที่เคยเขียน ปากกาที่เคยเซ็นต์ชื่อไม่ได้ จัดซะเรียบร้อยเชียวแต่ หาของไม่เจอ เขาไล่แม่บ้านออกเลยก็มีครับ
-
^
^
เพิ่มเติมตัวอย่างด้านล่างสุด
ดังนั้นมันจึงเป็นที่มาของการฝึกเด็กให้ถนัดสมองทั้งสองซีกยังไงล่ะครับ
เพราะถ้าสมองถนัดอยู่ซีกเดียวมันก็เหมือนคนพิกลพิการ ที่คุยกับคนที่ถนัดแบบตัวเองได้แบบเดียว
ถ้าคุณพบว่าลูกคนถนัดคำนวน จงให้แกหัดด้านศิลปะ ร้องรำทำเพลง
ถ้าพบว่าอ่อนด้านคำนวน ให้หาของเล่นเสริมทักษะด้านคำนวน
ตัวผู้ใหญ่ก็เช่นกัน เป็นนักคำนวนก็สามารไปลงคอร์สหัดวาดรูปดูครับ
ท่องไว้ ลีโอนาโด ดาวินชี่ เก่งทั้งศิลปะและด้านวิทย์
มีคนเข้าใจผิดๆ ว่าถนัด ด้านไหนให้มุ่งไปด้านนั้นอย่างเดียวเพื่อให้เก่งไปเลย แต่มันไม่ใช่
คนเรามีสกิลแฝงมากกว่าที่คิดครับ
ทั้งศิลปิน และ ผู้บริหารที่ยกตัวอย่างมา ก็คือพวกอย่างว่า
ถ้าฝึกสมองทั้งสองซีกดีๆ การแยกแยะ การตัดสินใจจะทำได้เยี่ยมครับ
ที่จริงปมเจอเคสที่ติดล็อคแบบนี้กับหลานชายแฟน
ขออธิบายคำว่าติดล็อคก่อน มันหมายความว่า จริงๆ เราก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
แต่มีความคิดบางอย่างทำให้เราไม่อาจรับได้
คือหลานแฟนไม่ได้ถูเลี้ยงมาโดยพ่อแม่ แล้วพี่สาวแฟนผมเป็นคนส่งเสียทุกสิ่งอย่าง
พอพี่สาวตาย คำสั่งเสียของพี่คืออยากให้หลานบวชหน้าไฟให้ เพราะเขาไม่มีลูก
คราวนี้ หลานชายติดเรื่องงานที่ต้องใช้หน้าตา ทำเกี่ยวกับหนัง ซึ่งเขาไม่พร้อมจะโกนหัว
และเขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ยังไงเขาจะกินเจให้พี่สาวเพื่อตอบแทนบุญคุณแทน
เลยพยายามจะต่อรองทางบ้าน ทางบ้านไม่เข้าใจและรับไม่ได้ว่าทำไมโกนหัวแค่นี้ทำไม่ได้ โมโห
ด่าว่าๆ เป็นคนเนรคุณ อกตัญญู ด่าเสียเทเสีย เมื่อเด็กได้ยินแบบนั้นก็รับไม่ได้ หลบหน้าญาติ
ไม่ยอมไปงานศพ และจะย้ายออกจากบ้านไม่กลับมาอีก
ซึ่งจริงๆ หลานก็รู้อะไรถูกอะไรผิด แม้จะเป็นแค่ความเชื่อ แต่มันเป็นคำขอสุดท้ายของน้า
เขาก็ควรจะทำ แต่คำพูดของทางบ้านได้ทำร้ายจิตใจของเขาอย่างรุนแรง และเขารับไม่ได้
สิ่งนี้แหล่ะครับ ที่เรียกว่า ติดล็อก เพราะที่จริงทั้งสองเรื่องมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย
ผมกับแฟนต้องวางแผนจะพูดยังไงให้หลานแก้ล็อกตรงนี้ ซึ่งเป็นการเจรจา
ที่ใช้เวลายาวนานมาก กว่าหลานจะเลิกติดล็อก ด้วยคำพูดที่ว่า มันเป็นคนล่ะเรื่องกัน
เรื่องที่ทางบ้านปากไม่ดีทำร้ายจิตใจก็เรื่องหนึ่ง
ส่วนเรื่องตอบแทนบุญคุณให้น้าก็เรื่องหนึ่ง
และการเจรจาที่กินเวลายาวนานมาก เพราะมีเรื่องการคุยเพื่อช่วยหาทางแก้ไข
เหตุการณ์ด้วยในเรื่องที่ต้องตัดผมจะทำยังไง และใช้เวลาในการรับฟังการระบาย
ของคนที่กำลังทุกข์ใจด้วย
สุดท้ายหลานก็ยอมบวชให้ และเหล่าญาติๆ ต้องมาขอโทษหลานครับ
ถ้าไม่มีการปลดล็อกตรงนี้ ตามที่ผมคิดแล้วล่ะก็
เสียหายมากมายครับ เพราะหลานพูดจริงทำจริง และเตลิดหนีไปแน่นอน
เพราะเขาเป็นคนแนวนั้นอยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ประจำมาตลอดที่เรียน พ่อแม่ไม่เลี้ยง
ความผูกพันธ์กับญาติน้อย หรือเลี้ยงเด็กไม่เป็น ไม่ให้ความอบอุ่น การเอาใจใส่
และคนก็เป็นโรคแบบนี้กันเยอะครับ ไม่ว่าจะเรียนสูง เรียนน้อย จะรวยหรือจะจน
ไม่รู้ว่าไปเลียนแบบวิธีคิดแบบ คิดรวมๆ มาจากไหน แยกประเด็นไม่เป็น วิเคราะห์ไม่เป็น
มีปัญหา หรือ มีเรื่อง คุณต้องซอยแยกๆๆๆ เป็นส่วนๆ ครับ ห้ามคิดรวมยอดเป็นอันขาด
ชีวิตจะสดใส ความสับสนในชีวิตจะหายไปในทันที เรื่องนี้ก็มีบอกในพุทธวัจนะด้วยครับ
และมันก็เป็นหลักจิตวิทยาปกติอีกด้วย
ดังนั้น แยกเรื่องรถออกมา แยกเรื่องครอบครัว เรื่องความรักออกมา และแยกอีกหลายๆ
อย่างออกมา เพราะทุกๆ เรื่อง ล้วนเป็นคนล่ะเรื่องกันครับ เรื่องเคารพ เรื่องความเชื่อใจอะไรนั่นก็ด้วย
คุณต้องแยกคุย แยกคิดทีละข้อๆ คิดกับตัวเอง แล้วก็คุยเจรจากับอีกฝ่ายแบบแยกประเด็นด้วยครับ
-
ผมว่า เรื่องแบบนี้ ให้เขาไปจัดการชีวิตเขาเองดีกว่าครับ คนเราทุกคนไม่เหมือนกัน ต่อให้รู้จักกันดีแค่ไหนก็ตาม คุณไม่มีวันรู้หรอกว่าบางสิ่งมันสำคัญสำหรับเขาแค่ไหน ถ้าเกิดเขาปล่อยวางได้ มันก็ดี แต่ถ้าเขาปล่อยวางไม่ได้ ก็ให้คนที่ตัดสินใจทำแบบนี้รับผลที่ตามมาเถอะครับ มันก็มีเรื่องแบบนี้มาเรื่อยๆนะ
คือคนที่ไม่ได้เล่นรถ เขาไม่รู้ว่า การยุ่งกับรถของคนอื่นไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม มันทำไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่ควรทำ แต่มันทำไม่ได้ ให้เขารับกรรมไปเถอะครับ เลิกๆกันไป จบ ไม่โหดเกินไปหรอก เลิกกันด้วยเหตุผลที่น้อยกว่านี้ก็ยังมีได้เลย
แล้วคนบางคนไม่ใช่ว่าเอาวัตถุเข้าแลกแล้วจะยอมนะครับ เอารถแพงๆดีๆให้ ไม่อยากได้ มีเยอะ ถามว่าได้ผลไหม มันก็อาจจะได้ผล แต่ถามว่าคนที่ได้รับจะมีความสุขจริงๆหรือไม่ มันก็แล้วแต่คน ถ้าเขารักรถคันเก่าคันนั้นจริงๆแล้วเขาไม่ยอมละครับ คนแบบนั้นก็มีนะ มีเยอะด้วย
นั่นแหละครับ พี่ของคุณเป็นคนเดียวที่จะตัดสินบทสรุปของเรื่องนี้ได้ บางทีปล่อยไว้สักเดือนสองเดือนอาจจะยอมกลับไปก็ได้ บางทีเขาก็อาจจะไม่ให้อภัยไปตลอดกาล ทำยังไงได้ละครับ ผมก็ไม่ได้ไปรู้จักเขาโดยตรงนี่ จะให้ผมคอมเมนต์โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ผมว่ามันก็ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่หรอกครับ จะว่าไป คนที่น่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด น่าจะเป็น จขกท. เองครับ คนที่มาคอมเมนต์ไม่ได้ไปรู้จักพี่ของคุณด้วยตัวเอง ให้คำแนะนำได้หลากหลายแน่นอน แต่อันไหนละครับที่จะใช้ได้ผล? คุณเองรู้จักเขาดี คุณน่าจะตอบคำถามนี้ได้กว่าพวกเราทุกคนนะครับ
แต่ถ้าอยากได้คำแนะนำจริงๆ ผมตอบแบบเดาเอาเลยนะ ต่อให้ตามซื้อรถคันนั้นกลับมาได้เลยนะ ความไว้เนื้อเชื่อใจมันก็เสียไปแล้วครับ ถ้าไม่ได้รักกันจริง บอกเลยเรื่องนี้จบให้สวยยากมาก
เห็นด้วยกับบรรทัดสุดท้ายเลยครับ