Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Shirokuma ที่ กรกฎาคม 13, 2017, 18:29:56
-
ผมกำลังมองหา นมค. 5w-30 แล้วไปเจอเจ้า havoline pro ds กำลังมีโปรอยู่
เลยอยากถามว่ามันเป็นยังไงถ้าเทียบกับ Mobil1 5w-30 ครับ ?
ส่วนใหญ่ผมใช้รถระยะทางสั้น แต่ถ้าไปไหนแล้วมีโอกาสก็ซัดบ้าง เลยหวั่นๆใจอยู่ว่ามันจะดีมั้ย
-
ผมใช้ valvoline 5w-30 มาตลอดตั้งแต่ออกรถ ตอนนี้แสนกว่าก็ยังไงใช้ อยู่ เปลี่ยนทุกๆ 10,000 โล
ไปหาซื้อแถว วงจักร 4 ลิตร 1,2xx บาท 4+1 ลิตร 1,4xx บาท
(https://s3-ap-southeast-1.amazonaws.com/shopsmart-production/product_images/images/001/097/237/medium/valvoline-waaowliin-chinphaawew-r-sae-5w-30-api-sn-ilsac-gf-5-9798-601005-1-zoom.jpg?1473496131)
-
เป็นน้ำมันเครื่อง 5w-30 ที่อาจจะดีที่สุดยี่ห้อหนึ่งที่วางขายในไทยนะครับ ราคาเป็นธรรมไม่แพง ได้มาตรฐาน API-SN, ILSAC-GF5, DEXOS เป็นมาตฐานสูงสุดในเวลานี้
มาตรฐาน Dexos 1
มาตรฐาน Dexos 1 ดีกว่ามาตรฐานในปัจจุบันอย่างไร
Dexos1 vs API SN / ILSAC GF-5 vs API SM / ILSAC GF-4
Dexos 1 เป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดในปัจจุบัน พัฒนาโดยทีมวิศวกร GM Global Powertrain โดยรวมเอาจุดเด่นของ มาตรฐานล่าสุดจากสถาบันชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและยุโรป คือ API และ ACEA เข้าไว้ด้วยกัน
*** ผลรับที่ได้คือ ***
๐ เพิ่มประสิทธิภาพของสารป้องกันการเกิดอ๊อคซิเดชั่น ยืดอายุของน้ำมันเครื่องให้คงทนทุกสภาวะ ปกป้องการรวมตัวของออกซิเจนอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเป็นกรดส่งผลให้ความหนืดน้ำมันสูงขึ้น จนทำให้เนื้อน้ำมันเสื่อมสภาพก่อนถึงกำหนด
๐ รักษาเครื่องยนต์ให้สะอาดถึงภายใน พร้อมประสิทธิภาพ ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน รักษาเครื่องยนต์และปกป้องชิ้นส่วนเครื่องยนต์ ป้องกันการเสียดสีของโลหะการสึกหรอบริเวณแหวนลูกสูบและกระบอกสูบ หรือขณะสตาร์ทเครื่อง
๐ รับรู้ถึงการประหยัดและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยค่าดัชนีความหนืดที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยตามอุณหภูมิ ทำให้ลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในทุกสภาวะการขับขี่
๐ ด้วยประสิทธิภาพของน้ำมันเครื่องมีการระเหยต่ำช่วยประหยัดน้ำมันเครื่องได้ดี ด้วยอัตราการทนต่อความร้อนสูงที่หัวสูบส่วนบน และผนังกระบอกสูบได้ดี จึงมีอัตราการระเหยเป็นไอน้อยกว่า
๐ ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิงรักษาความสะอาดและปกป้องเครื่องยนต์ได้เหนือกว่า
๐ ป้องกันการเกิดโคลนที่เกิดจากปฎิกริยาออกซิเดชั่น (Oxidation) จากการทำงานในเครื่องยนต์ได้อย่างดี
๐ ช่วยยืดอายุการเปลี่ยนถ่ายได้มากกว่าน้ำมันสังเคราะห์ทั่วไปถึง 2 เท่าด้วยเทคโนโลยี EOLS (Engine Oil Life System) จึงทำให้อายุการเปลี่ยนถ่ายยาวนานกว่าถึง 20,000 km.
Credit: http://acdelcothailand.blogspot.in/2014/12/dexos-1.html?m=1
-
ถ้าดูตามค่า Viscosity แล้ว Vavoline จะด้อยกว่า Mobil1 อยู่นิดหน่อยครับ แต่จะด้อยกว่า ปตท. Super Syn อยู่เยอะพอสมควรครับ ค่า Viscosity index หรือค่าความหนืด จะเป้นตัวที่บอกว่าในตอนที่อุณหูมิสูงขึ้น (อุณหภูมิทำงานปกติของรถ) น้ำมันเครื่องยังคงความหนืดได้ดีมากแค่ไหน เป็นสิ่งที่บอกว่ายังปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีแค่ไหนครับ ตัวเลขยิ่งมากยิ่งดีครับ
-
havoline pro ds 5W-30 ผมซื้อจากลาซาดา ช่วงโปรเมื่อปลายปีที่แล้ว ราคา 925 บาท แถมได้โค้ดส่วนลดอีก 7% เลยสั่งซื้อมา 6แกลลอน มีน้ำยาล้างหัวฉีด เทครอนคอน
เซนเทรท พลัส แถมมาในกล่อง 1 ขวด (ช่วงนี้โปรหมด ส่วนลดไม่มี)
ผมเคยใช้ทั้ง วาลโวลีน mobil เบอร์ 5W-30 เมื่อเทียบกับฮาโวลีน ใช้งานเปลี่ยนถ่ายที่ 1หมื่นกิโล พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไรนักครับ
ยังไงรอความเห็นท่านอื่นๆ เพื่อพิจารณาตามความเหมาะสมครับ
-
ถ้าดูตามค่า Viscosity แล้ว Vavoline จะด้อยกว่า Mobil1 อยู่นิดหน่อยครับ แต่จะด้อยกว่า ปตท. Super Syn อยู่เยอะพอสมควรครับ ค่า Viscosity index หรือค่าความหนืด จะเป้นตัวที่บอกว่าในตอนที่อุณหูมิสูงขึ้น (อุณหภูมิทำงานปกติของรถ) น้ำมันเครื่องยังคงความหนืดได้ดีมากแค่ไหน เป็นสิ่งที่บอกว่ายังปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีแค่ไหนครับ ตัวเลขยิ่งมากยิ่งดีครับ
ขอเป็นความรู้นิดนึงนะครับ
นอกจากดู Viscosity index แล้ว มีค่าอื่น ที่เราต้องพิจารณาด้วยหรือไม่ครับ ในตารางที่ให้มา แสดงว่า PTT น่าใช้ เมื่อเทียบกับราคาหรือเปล่าครับ ?
ขอขอบคุณล่วงหน้า
-
VI สูง สื่อถึงความหนืดที่ลดลงน้อย ณ อุณหภูมิสูง
ค่า VI ที่สูง ถ้ามันคงที่หรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดจนถึงสิ้นอายุการเปลี่ยนถ่าย
รวมทั้งน้ำมันไม่ได้หนืดข้นขึ้นมากเกินไปจากการจับเขม่า แปลว่าน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีมาตรฐานการผลิตที่ดี
และใช้ Additive ที่มาตรฐานสูง เสียสภาพน้อยเมื่อมีใช้งานอย่างต่อเนื่อง
Additive บางชนิด สามารถทำให้ค่า VI เพิ่มสูงขึ้นได้มากๆ ตอนน้ำมันใหม่ *ยังไม่ผ่านการใช้งาน*
แต่ถ้าใช้ไปสักพัก ค่า VI หรือ Viscosity ช่วง 100 องศา (หรือมากกว่า หรือ ณ อุณหภูมิทำงาน)
ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อันนี้แปลว่าเกิดการสูญเสียสภาพ เช่นเกิดการแตกหักของโพลิเมอร์บางตัวที่ใส่ลงไปเป็น VI Improver
ว่าก็ว่าครับ ปกติเวลาผู้ผลิตแสดงข้อมูล ไม่ว่าจะ PDS, MSDS หรือแม้แต่ข้อมูลที่ให้กรมธุรกิจพลังงาน มันไม่ได้ใส่ลงไปทุกอย่างหรอก
หลายๆ ยี่ห้อคนเขียนโฆษณาก็ฉลาด อีกอย่างคือกฎหมายบ้านเราเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคไม่แข็งแรงเลย
ดูอย่างบทความล่าสุดของคุณแพน ทำไมอเมริกาห้ามเขียนเครื่อง L15A7 ว่าเป็น VTEC Turbo เพราะมันไม่ใช่ อะไรประมาณนั้นครับ
-
ค่า Viscosity Index เป็นตัวชี้บอกความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความหนืดตามสภาพอากาศ ความหนืดของน้ำมันหล่อลื่นจะลดลงเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น และหนืดเพิ่มขึ้นที่อุณหภูมิลดลง ตัวน้ำมันเครื่องที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสูง ย่อมมีค่า Viscosity Index(VI) ที่สูง ซึ่งหมายถึงมีคุณสมบัติสามารถใช้ได้ในสภาวะอุณหภูมิที่แตกต่างได้มาก แต่นั้นคือตัวชี้บอกคุณภาพของน้ำมันหล่อลื่นจริงหรือ? ค่าสูงคือน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพสูงใช่หรือไม่?
ตรงนี้คำตอบคือใช่และไม่ใช่ เนื่องจากในปัจจุบัน ค่า VI สามารถปรับแปลงได้โดยใช้สารเติมแต่ง (additive) ที่เรียกว่า Viscosity Index Improver (VIIs) ซึ่งเป็นหนึ่งในสารเติมแต่งที่ใช้แพร่หลาย ดังนั้นจึงตอบได้ยากว่าค่า VI ชี้ถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่อง และสิ่งที่ผู้ใช้รถมักจะลืมคำนึงถึงคือ อุณหภูมิในสภาวะทำงาน(operating temp) คือเท่าไร สิ่งที่จะทำให้ได้ผลสูงสุดคือ การเข้าถึงอุณหภูมิสภาวะทำงานได้ไว เนื่องจากในส่วนผสมของ Additive ต่างๆ จะให้คุณภาพสูงสุดที่อุณหภูมิทำงานของรถ ซึงจะอยู่ที่ประมาณ 75-100 องศาเซลเซียส ซึ่งตรงนี้ โดยการเลือกเบอร์ความหนืดน้ำมันเครื่องที่เหมาะสมนั้น เราจะสามารถสังเกตุผลได้จาก การใช้ระยะเวลาที่สั้นลงที่อุณหภูมิเครื่องจะมาอยู่ที่ operating Temp. ทำให้สาร Additive ทำงานได้ดีที่สุด และคงความร้อนอยู่ตรงนั้นจนมีการดับเครื่องยนต์
และเนื่องด้วยโดยปกติสาร additive จะเสื่อมคุณภาพไปก่อนตัว Base stock หรือ วัตถุดิบพื้นฐานในการผลิต จึงทำให้ค่า VI ของน้ำมันจะเกิดความแตกต่างตามระยะทางที่ใช้ และเป็นไปได้สูงที่ ค่า VI จากตอนเปิดขวด กับหลังวิ่งไปแล้ว 5,000 กิโล จะแตกต่างไป โดยจะอ้างอิงถึงตารางค่า VI ของ Basestock แต่ละชนิด
--------------------------------------------------------------------------------------------
ฉะนั้นแล้ว ดูค่ามาตรฐาน SAE กับ API SN เป็นหลัก และไม่ใช่น้ำมันปลอมแค่นั้นพอ
-
VI สูง สื่อถึงความหนืดที่ลดลงน้อย ณ อุณหภูมิสูง
ค่า VI ที่สูง ถ้ามันคงที่หรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดจนถึงสิ้นอายุการเปลี่ยนถ่าย
รวมทั้งน้ำมันไม่ได้หนืดข้นขึ้นมากเกินไปจากการจับเขม่า แปลว่าน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีมาตรฐานการผลิตที่ดี
และใช้ Additive ที่มาตรฐานสูง เสียสภาพน้อยเมื่อมีใช้งานอย่างต่อเนื่อง
Additive บางชนิด สามารถทำให้ค่า VI เพิ่มสูงขึ้นได้มากๆ ตอนน้ำมันใหม่ *ยังไม่ผ่านการใช้งาน*
แต่ถ้าใช้ไปสักพัก ค่า VI หรือ Viscosity ช่วง 100 องศา (หรือมากกว่า หรือ ณ อุณหภูมิทำงาน)
ลดลงอย่างเห็นได้ชัด อันนี้แปลว่าเกิดการสูญเสียสภาพ เช่นเกิดการแตกหักของโพลิเมอร์บางตัวที่ใส่ลงไปเป็น VI Improver
ว่าก็ว่าครับ ปกติเวลาผู้ผลิตแสดงข้อมูล ไม่ว่าจะ PDS, MSDS หรือแม้แต่ข้อมูลที่ให้กรมธุรกิจพลังงาน มันไม่ได้ใส่ลงไปทุกอย่างหรอก
หลายๆ ยี่ห้อคนเขียนโฆษณาก็ฉลาด อีกอย่างคือกฎหมายบ้านเราเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคไม่แข็งแรงเลย
ดูอย่างบทความล่าสุดของคุณแพน ทำไมอเมริกาห้ามเขียนเครื่อง L15A7 ว่าเป็น VTEC Turbo เพราะมันไม่ใช่ อะไรประมาณนั้นครับ
ขออนุญาติ สอบถามครับ แล้วค่า VI ที่โชว์ ๆ กันอยู่ในบ้านเรา คือ ค่า VI ของน้ำมันใหม่ใช่ไหมครับ
-
havoline pro ds 5W-30 ผมซื้อจากลาซาดา ช่วงโปรเมื่อปลายปีที่แล้ว ราคา 925 บาท แถมได้โค้ดส่วนลดอีก 7% เลยสั่งซื้อมา 6แกลลอน มีน้ำยาล้างหัวฉีด เทครอนคอน
เซนเทรท พลัส แถมมาในกล่อง 1 ขวด (ช่วงนี้โปรหมด ส่วนลดไม่มี)
ผมเคยใช้ทั้ง วาลโวลีน mobil เบอร์ 5W-30 เมื่อเทียบกับฮาโวลีน ใช้งานเปลี่ยนถ่ายที่ 1หมื่นกิโล พบว่าไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไรนักครับ
ยังไงรอความเห็นท่านอื่นๆ เพื่อพิจารณาตามความเหมาะสมครับ
havoline pro ds 5W-30 4 ลิตร แถมเสื้อ Transformer จากลาซาดา ช่วงโปรมีเมื่อปลายเดือน มิย. และ ต้น กค.2560 ราคา 925 บาท เพิ่งหมดโปรไปครับ
ถ้า 4+1 ลิตร ราคา 1200 บาท ไม่มีแถม
ผมใช้ Valvoline 5w-30 สองคันรวม 1 แสนกม./2 ปี คันนึงเป็น Turbo ก็ดีไม่มีปัญหานะครับ แต่ขับแบบบ้านๆ ไม่ได้อัดตลอด มีเร็วบ้าง นานครั้ง ตัว valvoline ก็ไม่มีปัญหาตลอดระยะ 1 หมื่น กม.ที่เปลี่ยนถ่าย
เพิ่งสั่ง Havoline ตัวนี้มาเหมือนกันโปรฯคราวนี้ รวมๆแล้ว 26 ลิตร สำหรับใช้ เปลี่ยน 5-6 ครั้ง ครั้งละ 4.5 ลิตร(พันกว่าบาทต่อครั้ง) ผมว่าถ้าราคานี้ส่งจาก caltex เอง ถือว่าคุ้ม สำหรับการใช้งานทั่วไป เหลือๆครับ
คราวหน้าถ้ามีโปรมาอีกก็จะสั่งอีกครับ
-
ขออนุญาติ สอบถามครับ แล้วค่า VI ที่โชว์ ๆ กันอยู่ในบ้านเรา คือ ค่า VI ของน้ำมันใหม่ใช่ไหมครับ
ใช่ครับ ของใหม่ๆเลย
-
--------------------------------------------------------------------------------------------
ฉะนั้นแล้ว ดูค่ามาตรฐาน SAE กับ API SN เป็นหลัก และไม่ใช่น้ำมันปลอมแค่นั้นพอ
ผมก็ดูตามนี้ก็พอครับในกรณีไม่เข้าศูนย์ ผมว่าบางครั้งมันก็ไม่ได้ต่างกันมากมายจนเป็นปัจจัยในการเลือกครับถ้าใช้รถแบบปกติทั่วไปครับ ไม่ได้เอาไปแข่งขันในสนาม
ผมใช้รถมา คันที่ 7 ใช้น้ำมันเครื่องศูนย์โดยตลอดนะครับ ก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องเครื่องยนต์เลยครับ
-
ขออนุญาติ สอบถามครับ แล้วค่า VI ที่โชว์ ๆ กันอยู่ในบ้านเรา คือ ค่า VI ของน้ำมันใหม่ใช่ไหมครับ
ถูกต้องครับ :-X
บางเจ้าที่ Additive+Base คุณภาพดีๆ ก็ยืนระยะเทียบเท่าน้ำมันใหม่ได้ยาวๆ เกิน 5,000 กม. ก็มี แต่บางเจ้า Additive เสื่อมสภาพตั้งแต่ 100 ชม. แรก (ประมาณ 3,000 กม.) ก็มี
พวกโฆษณาน้ำมันเบอร์ต่ำๆ VI 200+ อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้ ต้องเก็บตัวอย่างมาทดสอบดูครับ
-
ผมว่าไม่ค่อยแตกต่างอย่างมีนัยยะมากมายอ่ะ
ส่วนตัวลองหลายยี่ห้อมากๆๆๆๆ คือ เปลี่ยนทีก็เปลี่ยนยี่ห้อที
ใช้รถมา 3 คันหลายแสนโล ยี่ห้อไหนก็ไม่แตกต่างครับ (อาจมีช่วงถ่ายแรกๆ 1 - 2 พันโลแรก หลังจากนั้นก็เหมือนๆกัน)
หลังๆเลยใช้ "ราคา" มาเป็นตัวตัดสินตลอด แล้วเน้นเปลี่ยนถ่ายให้ตรงตามระยะทาง (หรือระยะเวลา) ดีกว่า
-
ขอสอบถามเพิ่มเติม 2 ข้อครับ
1. ในเมื่อค่า vi ที่โชว์ในเน็ตเป็นค่าที่ตรวจตอน นมค ใหม่ๆ ถ้าเราอยากทราบว่า นมค ตัวที่เราใช้ ปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีไหม เราสามารถนำ นมค ที่ถ่ายออกเมื่อครบหมื่นโลไปทำการตรวจหาค่า vi ว่าลดลงไปมากแค่ไหน แล้วหาค่าเฉลี่ยระหว่าง before กับ after ผมเข้าใจถูกไหมครับ
2. หน้าที่ของ นมค มี 4 อย่างคือ
2.1 ปกป้องเครื่องยนต์ หล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน
2.2 ระบายความร้อน
2.3 ป้องกันสนิม
2.4 ความความสะอาดเครื่องยนต์
การดูค่า vi ที่เรากำลังคุยกันนี้ เป็นเพียงคุณสมบัติข้อแรก 2.1 ข้อเดียว ซึ่งไม่ได้หมายความว่า vi สูงสุด จะทำให้คุณสมบัติ 2.2-2.4 ดีตามไปด้วย ผมเข้าใจถูกไหมครับ
-
ขอสอบถามเพิ่มเติม 2 ข้อครับ
1. ในเมื่อค่า vi ที่โชว์ในเน็ตเป็นค่าที่ตรวจตอน นมค ใหม่ๆ ถ้าเราอยากทราบว่า นมค ตัวที่เราใช้ ปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีไหม เราสามารถนำ นมค ที่ถ่ายออกเมื่อครบหมื่นโลไปทำการตรวจหาค่า vi ว่าลดลงไปมากแค่ไหน แล้วหาค่าเฉลี่ยระหว่าง before กับ after ผมเข้าใจถูกไหมครับ
ใช่ครับ ส่วนมากก็คือวัด Viscosity ณ อุณหภูมิ 40 และ 100 องศาเซลเซียส แล้วคำนวณกลับเป็น VI โดยประมาณ จากการเทกสมการ
2. หน้าที่ของ นมค มี 4 อย่างคือ
2.1 ปกป้องเครื่องยนต์ หล่อลื่น ลดแรงเสียดทาน
2.2 ระบายความร้อน
2.3 ป้องกันสนิม
2.4 ความความสะอาดเครื่องยนต์
การดูค่า vi ที่เรากำลังคุยกันนี้ เป็นเพียงคุณสมบัติข้อแรก 2.1 ข้อเดียว ซึ่งไม่ได้หมายความว่า vi สูงสุด จะทำให้คุณสมบัติ 2.2-2.4 ดีตามไปด้วย ผมเข้าใจถูกไหมครับ
ข้อ 2.3-2.4 ไม่เกี่ยวอย่างที่คุณ xxxxxx07 ว่า แต่ 2.2 เกี่ยวบ้างส่วนหนึ่ง เพราะการที่น้ำมันเสียสภาพหล่อลื่น หรือพูดง่ายๆ ใสเกินที่ควรจะเป็น มันก็จะเสียคุณสมบัติตรงนี้ไปด้วย พวกค่าความจุความร้อนหรือการนำถ่ายเทไปตรงอื่นมันก็มีแนวโน้มจะน้อยลงตาม เป็นต้นครับ
ส่วนมากคุณสมบัติที่เยอะๆ ใน 2.2-2.4 อย่างเช่นทำตัวเป็นสารจับเขม่า สารชะล้างทำความสะอาด สารสะเทินความเป็นกรด ฯลฯ ได้มาจาก Additive ที่เติมเข้าไป ซึ่งมีหลายรูปแบบครับ ส่วนใน 2.1 ได้จากทั้งตัวเนื้อน้ำมันเองและ Additive
-
ขอบคุณคุณแมวดราม่าที่ช่วยอธิบายโดยละเอียดครับ
-
ขอบคุณทุกท่านครับ ได้ข้อมูลเยอะมาก
เรื่อง VI ยผมสรุปแบบที่ผมเข้าใจคือค่า VI สามารถใช้สาร additive ทำให้ได้ค่า VI เยอะๆได้
ดังนั้นควรมอง Base oil และทดลองส่ง Lab ด้วยใช่มั้ยครับว่าน้ำมันตัวนั้นดีจริงไหม
-
ขอบคุณทุกท่านครับ ได้ข้อมูลเยอะมาก
เรื่อง VI ยผมสรุปแบบที่ผมเข้าใจคือค่า VI สามารถใช้สาร additive ทำให้ได้ค่า VI เยอะๆได้
ดังนั้นควรมอง Base oil และทดลองส่ง Lab ด้วยใช่มั้ยครับว่าน้ำมันตัวนั้นดีจริงไหม
Base Oil ทั้งใช่ และไม่ใช่
เพราะบางครั้งค่า CAS No. ของสารเคมีที่แสดงใน MSDS ก็ไม่ได้สื่อถึงคุณลักษณะของ Base Oil หรือสารเคมีนั้นๆ อย่างถ่องแท้
อย่างเช่น Hydrotreated Heavy Paraffinic มีกลไกหลายๆ อย่างที่จะทำให้มันออกมาเป็น CAS เดียวกันได้ เป็นต้น
และมันไม่ได้พูดถึงแหล่งที่มา ความบริสุทธิ์ ฯลฯ แค่มีสเป็กระบุกำกับไว้ประมาณนึงเพื่อจัดกลุ่ม
VI Improver หรือสารเพิ่ม VI หรือสารเพิ่มดัชนีความหนืด มีหลายประเภทครับ
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ก็แล้วกัน นึกถึงสปริงที่ยืดได้หดได้ เวลาที่เราดึง หรือกด มันอาจจะยืดตัวหรือบิด
แต่ถ้าไม่แตกหักและยังยืดหยุ่นได้ มันก็ยังคงความเป็นสปริงของมัน แต่ถ้าเลยจุดที่มันยืดหยุ่นได้
มันก็จะแตกหักหรือเสียสภาพไป... เหมือนกับโพลีเมอร์ที่เป็น VI Improver
สมมติให้ความร้อนมากเกินไป หลายตัวจากเดิมที่ทำให้น้ำมันยังคง 'เหนียว' ได้ ก็ไม่เหลือสภาพดังกล่าว
ถ้าเลือก VI Improver ที่เหมาะสมกับอุณหภูมิทำงานของน้ำมัน น้ำมันที่เป็นมัลติเกรด (คือเบอร์ xW-yy เช่น 0W-40)
ก็จะสามารถ "หล่อลื่นได้ตั้งแต่อุณหภูมิต่ำ และคงการรักษาเครื่องยนต์ได้จนอุณหภูมิสูง" ประมาณนี้ครับ
-
Base Oil ทั้งใช่ และไม่ใช่
เพราะบางครั้งค่า CAS No. ของสารเคมีที่แสดงใน MSDS ก็ไม่ได้สื่อถึงคุณลักษณะของ Base Oil หรือสารเคมีนั้นๆ อย่างถ่องแท้
อย่างเช่น Hydrotreated Heavy Paraffinic มีกลไกหลายๆ อย่างที่จะทำให้มันออกมาเป็น CAS เดียวกันได้ เป็นต้น
และมันไม่ได้พูดถึงแหล่งที่มา ความบริสุทธิ์ ฯลฯ แค่มีสเป็กระบุกำกับไว้ประมาณนึงเพื่อจัดกลุ่ม
VI Improver หรือสารเพิ่ม VI หรือสารเพิ่มดัชนีความหนืด มีหลายประเภทครับ
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ก็แล้วกัน นึกถึงสปริงที่ยืดได้หดได้ เวลาที่เราดึง หรือกด มันอาจจะยืดตัวหรือบิด
แต่ถ้าไม่แตกหักและยังยืดหยุ่นได้ มันก็ยังคงความเป็นสปริงของมัน แต่ถ้าเลยจุดที่มันยืดหยุ่นได้
มันก็จะแตกหักหรือเสียสภาพไป... เหมือนกับโพลีเมอร์ที่เป็น VI Improver
สมมติให้ความร้อนมากเกินไป หลายตัวจากเดิมที่ทำให้น้ำมันยังคง 'เหนียว' ได้ ก็ไม่เหลือสภาพดังกล่าว
ถ้าเลือก VI Improver ที่เหมาะสมกับอุณหภูมิทำงานของน้ำมัน น้ำมันที่เป็นมัลติเกรด (คือเบอร์ xW-yy เช่น 0W-40)
ก็จะสามารถ "หล่อลื่นได้ตั้งแต่อุณหภูมิต่ำ และคงการรักษาเครื่องยนต์ได้จนอุณหภูมิสูง" ประมาณนี้ครับ
ขอบคุณครับ ::) กระจ่างเลยครับ
-
ขอขอบคุณ ท่าน แมวดราม่า ท่านShirokuma และท่านอื่น ๆ ด้วยที่ได้แบ่งปันความรู้กันครับ วันนี้กระจ่างหลายเรื่อง
-
ความรู้ล้วนๆเลย
-
ผมเพิ่งสอยมา 2 ชุด
ชุด 4+1 ราคา 1200 บาท
กับ 4 ลิตร ทรานฟอร์เมอร์ 925 บาท
เอามาใส่อัลติส 2017 เพิ่งเปลี่ยนได้ 1 อาทิตย์ ยังไม่เคยวิ่งไกลๆดูเลยครับ
แต่เห็นว่าราคาไม่ค่อยแพง จัดโปรพอดีเลยจัดมา รถใหม่ เลยยังไม่รู้จะเทียบกับอะไรดี