Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Skyforce ที่ ตุลาคม 17, 2017, 06:31:35
-
อยากรู้แนวโน้มสองสามปีมานี่ ว่า segmentไหน ขายดีกว่าพอดีคุยกับเพื่อนมันบอก b seg เยอะกว่า แต่ผมว่าอีโคคาร์น่าจะเยอะกว่า
-
สู้อีโค่ไม่ได้หรอก มีเหตุผลหลาย ๆ อย่าง รวมทั้ง บ่จี๊...
-
ดูคร่าวๆ ยอดครึ่งปี
http://www.headlightmag.com/sales-report-june-2017/
Eco รวมกัน(ด้วยตาคร่าวๆ) ประมาณ 47,000 คัน
B-seg รวมกัน 59,442 คัน
ตลาดใหญ่กว่า เห็นๆ มูลค่ารวมก็มากกว่า(คำนวนคร่าวๆ Eco คันละ 5 แสน B-seg คันละ 6แสน 5)
มูลค่า Eco 2 หมื่นสามพันกว่าล้าน ส่วน B-seg มูลค่า 7 พันกว่าล้าน แก้ไขตัวเลขเป็น 3 หมื่น แปดพันกว่าล้าน
ผมเดาว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า toyota เลยไปลุยทาง Eco car แทน
แต่ยอด pick up นี่ 1แสน7หมื่นกว่าคัน ถ้าเฉลี่ยนกระบะราคาคันละ 7 แสน 5 หมื่น (ถัวๆ ยกสูงกับสี่ประตูรวมกัน) มูลค่ากระบะ 1แสน 2 หมื่นกว่าล้าน !!!!
แก้ไขตัวเลขครับเอาของเดือนเดียวของ B-seg มาเทียบกับ 6 เดือน ของ Eco CAR ตัวเลขจริงๆ ผมแก้ให้แล้วนะครับ
-
ดูคร่าวๆ ยอดครึ่งปี
http://www.headlightmag.com/sales-report-june-2017/
Eco รวมกัน(ด้วยตาคร่าวๆ) ประมาณ 47,000 คัน
B-seg รวมกัน 10,816 คัน
ตลาดใหญ่กว่า เห็นๆ มูลค่ารวมก็มากกว่า(คำนวนคร่าวๆ Eco คันละ 5 แสน B-seg คันละ 6แสน 5)
มูลค่า Eco 2 หมื่นสามพันกว่าล้าน ส่วน B-seg มูลค่า 7 พันกว่าล้าน
ผมเดาว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า toyota เลยไปลุยทาง Eco car แทน
แต่ยอด pick up นี่ 1แสน7หมื่นกว่าคัน ถ้าเฉลี่ยนกระบะราคาคันละ 7 แสน 5 หมื่น (ถัวๆ ยกสูงกับสี่ประตูรวมกัน) มูลค่ากระบะ 1แสน 2 หมื่นกว่าล้าน !!!!
สายยานยนต์โบนัสกระจุย ไม่แปลกใจเลย
-
น้ำท่วมผมว่าต้องได้ยอดขายเพิ่มอีก1000-2000คัน
รถEco car นี่ คนที่ไม่เคยซื้อรถญี่ปุ่น ก็หันมาซื้อนะครับ คนรู้จักผม ซื้อมาขับรับส่งลูกส่งหลาน ใช้ไปจ่ายตลาดทำธุระปะปังที่รถคันใหญ่ๆไม่สะดวก นับๆรวมเป็ย10คันแล้ว.
ผมซื้อMarch ไม่ได้ไปแย่งตลาดB-seg หรอกครับ ซื้อเพราะอยู่ดีๆก็อยากซื้อ สี่แสนบาทได้แค่แบตไฮบริดเบนซ์ลูกเดียว แบตเอาไปขับยังไม่ได้ แต่นี่รถทั้งคัน
-
Eco รวมๆกันยอดเยอะกว่า เพราะสมัยนี้คนมีทางเลือกมากขึ้น เช่น เครื่องบินราคาถูก
เดิมต้องใช้รถ 1.5 -1.6 เอาไว้เผื่อกลับบ้านต่างจังหวัด แต่ปัจจุบันเดินทางน้อยลง (แต่หยุดยาวก็ติดเหมือนเดิม) มีครอบครัว ทำงานหนักขึ้น ใช้ชีวิตในเมืองมากขึ้น
ที่เห็นๆคือ ปัจจุบันบ้านเกือบทุกหลังมีรถอย่างน้อย 2-3 คัน เล็กคันใหญ่คัน เอาไว้สำรอง
หรือบางท่านกำลังสร้างครอบครัว และน้องๆจบใหม่ ต้องการหารถป้ายแดงราคาไม่แพงเพื่อใช้งาน ไม่อยากได้มือสองเพราะกลัวการซ่อม
1.2 จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะ เพียงพอกับการใช้งานรวมถึงเดินทางที่ไม่ไกลจากที่อยู่มากนัก
ไว้มีเงินพอที่ทำให้ชีวิตไม่เดือดร้อน และพร้อมจ่ายค่างวดที่เพิ่มขึ้น หน้าที่การงานดีขึ้น เมื่อนั้นถึงเปลื่ยนเป็นรถที่ใหญ่ขึ้นครับ
-
ยอดรวมพิกัด 1.2 กับ 1.3-1.5 อันไหนมากกว่าจะเห็นภาพชัดกว่า เพราะโตโยต้าเพิ่งประกาศว่ายารีสครองแชมป์ยอดขาย b-segment สามปีซ้อนตั้งแต่เปิดตัว..ก่อนเปิดตัว ativ
-
Eco car ส่วนหนึ่งมาจากเดิมขับจยย มีรถยนต์จ่ายเพิ่มไม่มาก ไปกันได้เยอะปลอดภัยกว่า เริ่มต้นทำงานก็พอมีกำลัง
กลับบ้าน ตจว ไม่ต้องรอรถ มีเวลาอยู่กับครอบครัวเยอะขึ้น กลับได้บ่อย
-
ตั้งแต่ไม่มีรถใช้รู้ซึ่งเลยว่า สาระสำคัญของการใช้รถ ก้เพียงแค่จุดมุ่งหมายในการเดินทางครับ
ขอแค่มีพาหนะเดินทางก็พอละจะ 800 1200 หรือ 2000 ซีซี มันก็พาเราจากจุด A ไป จุด B เหมือนกัน
ดังนั้น กลุ่มรถที่มีราคาต่ำสุด จึงมีความคุ้มค่ามากที่สุด ไม่แปลกอะไรที่ขายดีที่สุดครับ
-
ต่อไปแต่ละบ้านน่าจะเป็นรูปแบบนี้
1.คันเล็ก 1.0 - 1.2 ไว้ใช้ในเมือง ชีวิตประจำวัน
2.คันใหญ่ 2.5 diesel SUV/PPV/MPV ไว้ใช้ท่องเที่ยว ไปกับครอบครัว
ที่เหลือ เครื่องบิน - รถไฟฟ้า
-
ยังไงก็ eco car ครับ เอายอดขายให้เพื่อนดูเลยครับ
-
อนาคตเมืองไทย อาจเป็นเหมือนญี่ปุ่น พวกรถเล็ก เครื่องเล็ก จะยึดเมือง ยึดตลาด
เพราะ
1. ภาษีถูก เนื่องจากมาตรการทางมลพิษ
2. ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า (เชื้อเพลิง+ บำรุงรักษา) เมื่อเทียบที่ระยะทางเดียวกัน
3. ทำธุระในชุมชนเมืองได้สะดวก ทั้งการขับขี่และหาที่จอด (คล่องตัว)
4. ซื้อถูก ขายก็ไม่เสียดาย เช่น ซื้อรถ 5 แสน กับซื้อรถ 1 ล้าน ผ่านไป 5 ปี ขายทิ้ง ตัดสินใจได้ง่ายกว่า
5. ไม่เป็นเป้าสายตา เป็นแค่เพียงยานพาหนะ พาเราเคลื่อน จาก A ไป B ที่ไม่ต้องการใช้ความเร็วสูงๆ แต่อย่างใด ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์อยู่แล้ว
-
มาร์ชตัวล่างสุด ที่พึ่งขึ้นราคามา ข่าวว่า ขายดีอยู่นะ
/// ต้องการอะไรก็ได้ที่เป็นรถป้ายแดงที่ถูกที่สุด ///
-
ขอบคุณทุกท่านครับ
-
ดูคร่าวๆ ยอดครึ่งปี
http://www.headlightmag.com/sales-report-june-2017/
Eco รวมกัน(ด้วยตาคร่าวๆ) ประมาณ 47,000 คัน
B-seg รวมกัน 10,816 คัน
ตลาดใหญ่กว่า เห็นๆ มูลค่ารวมก็มากกว่า(คำนวนคร่าวๆ Eco คันละ 5 แสน B-seg คันละ 6แสน 5)
มูลค่า Eco 2 หมื่นสามพันกว่าล้าน ส่วน B-seg มูลค่า 7 พันกว่าล้าน
ผมเดาว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า toyota เลยไปลุยทาง Eco car แทน
แต่ยอด pick up นี่ 1แสน7หมื่นกว่าคัน ถ้าเฉลี่ยนกระบะราคาคันละ 7 แสน 5 หมื่น (ถัวๆ ยกสูงกับสี่ประตูรวมกัน) มูลค่ากระบะ 1แสน 2 หมื่นกว่าล้าน !!!!
มั่ว ship
ดูยังไง ให้มันต่างกันได้ขนาดนั้น
B-segment ผมรวมด้วยการบวกในใจ ได้ 59,000
ECOCAR ผมรวมได้ 52,000
มีอยู่อย่างเดียว คือ Mazda 2 รุ่นเบนซิน มันยังคาใจอยู่ว่า ควรจะนับไปรวมใน ECOCAR หรือจะ B-Segment ??? ??
-
เออ... กระทู้นี้ ตอบครั้งแรก เพราะจะ comment คห.นึงไป ...
แล้วก็เลยลืมตอบคำถามของกระทู้นี้เลยแฮะ
มา มา ... เดี๋ยวผมสรุปให้
ยอดขายรวม 2015 2016 2017 (8 เดือน)
ECOCAR 87,745 90,870 69,385
1500cc 117,667 99,670 77,427
หมายเหตุ
1. Mazda 2 ยอดขายทั้งหมด ไปรวมอยู่ที่ 1500cc นะ ไม่ได้อยู่ใน ECOCAR เพราะยอดขาย Mazda 2 มีแต่ตัวเลขรวม (2 ตัวถัง 2 เครื่องยนต์ รวม 4 ตัวเลือก)
2. ถึง ECOCAR จะมีรถให้เลือก นับแยกรุ่นกันแล้ว รวมถึง 12 รุ่น :
10 รุ่นแรกที่มีมาหลายปีแล้ว : Yaris, Almera , Attrage , Ciaz , March , Mirage , Swift , Brio , Amaze , Celerio
2 รุ่นใหม่ : ที่เพิ่งมีช่วงต้นปีนี้ Note , Yaris Ativ
แต่ยอดรวม ECOCAR ทั้งหมด ก็ย้งน้อยกว่า 1500cc ที่มีให้เลือกแค่ 7 รุ่น : Vios , City , Jazz , 2 (รวมทุกเครื่อง) , Fiesta , MG3 , MG5
-
ดูคร่าวๆ ยอดครึ่งปี
http://www.headlightmag.com/sales-report-june-2017/
Eco รวมกัน(ด้วยตาคร่าวๆ) ประมาณ 47,000 คัน
B-seg รวมกัน 10,816 คัน
ตลาดใหญ่กว่า เห็นๆ มูลค่ารวมก็มากกว่า(คำนวนคร่าวๆ Eco คันละ 5 แสน B-seg คันละ 6แสน 5)
มูลค่า Eco 2 หมื่นสามพันกว่าล้าน ส่วน B-seg มูลค่า 7 พันกว่าล้าน
ผมเดาว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า toyota เลยไปลุยทาง Eco car แทน
แต่ยอด pick up นี่ 1แสน7หมื่นกว่าคัน ถ้าเฉลี่ยนกระบะราคาคันละ 7 แสน 5 หมื่น (ถัวๆ ยกสูงกับสี่ประตูรวมกัน) มูลค่ากระบะ 1แสน 2 หมื่นกว่าล้าน !!!!
มั่ว ship
ดูยังไง ให้มันต่างกันได้ขนาดนั้น
B-segment ผมรวมด้วยการบวกในใจ ได้ 59,000
ECOCAR ผมรวมได้ 52,000
มีอยู่อย่างเดียว คือ Mazda 2 รุ่นเบนซิน มันยังคาใจอยู่ว่า ควรจะนับไปรวมใน ECOCAR หรือจะ B-Segment ??? ??
หงะ สงสัยจะตายลาย ขอโทษครับ เช็คใหม่ๆ ยอดครึ่งปี ปี 60
Eco ครึ่งปี 60 ยอดรวม 46,571 คัน
Bseg เครื่อง 1,500 ยอดรวม 59,442
คห.ตอบก่อนหน้าคงจะมึนๆ เอายอดเดือนมิถุนายน เดือนเดียว
สรุป ตอนนี้ bseg ขนาดตลาดยังใหญ่กว่าครับ
ขอบคุณที่เข้ามาบอก