Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: DWL969 ที่ พฤศจิกายน 19, 2017, 01:11:14
-
วันนี้ไปจอง CX-5 ตัวดีเซล ขับสี่มาละครับ
ทั้งที่ได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยดีของเครื่องตัวนี้มาพอสมควร
แต่ใจมันไปละ พอถามทางเซลล์ เค้าก็ยอมรับว่าตัวก่อนหน้านี้
มีปัญหาจริง แต่จะเป็นรถLotแรก ซึ่งพอMC แล้วก็ไม่เคยเจอ
เคสนี้อีก ซึ่งทางรุ่นใหม่ก็รับทราบปัญหาและแก้ไขมาแล้ว
ขอถามทางเพื่อนใน HLM หน่อยครับ ถามผู้ที่เคยใช้ดูก็ได้
ว่าจริงรึปล่าวที่พอหลัง MC ก็ดีขึ้น
ลังเลว่าจะเปลี่ยนไปตัวเบนซินดีไหม รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
-
ผมจองเบนซิน sp ไปครับ
ดีเซลยังไม่กล้า:'(
-
มาสด้า2 ดีเซล1.5 เพิ่งรวมตัวกันไปฟ้องที่ สคบ. เมื่อไม่กี่วันมานี้เองครับ
-
วันนี้ไปจอง CX-5 ตัวดีเซล ขับสี่มาละครับ
ทั้งที่ได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยดีของเครื่องตัวนี้มาพอสมควร
แต่ใจมันไปละ พอถามทางเซลล์ เค้าก็ยอมรับว่าตัวก่อนหน้านี้
มีปัญหาจริง แต่จะเป็นรถLotแรก ซึ่งพอMC แล้วก็ไม่เคยเจอ
เคสนี้อีก ซึ่งทางรุ่นใหม่ก็รับทราบปัญหาและแก้ไขมาแล้ว
ขอถามทางเพื่อนใน HLM หน่อยครับ ถามผู้ที่เคยใช้ดูก็ได้
ว่าจริงรึปล่าวที่พอหลัง MC ก็ดีขึ้น
ลังเลว่าจะเปลี่ยนไปตัวเบนซินดีไหม รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
ที่คุณพูดมาเป็นความจริงในปัจจุบันครับ
และถ้าเข้าใจการทำงานของ DPF แล้ว
มันกำจัดของเสียของมันได้เองอยู่แล้ว (พามันไปออกกำลังกาย กินอาหารดีๆบ้าง)
ประหยัด ขับสนุก (มากกว่าตัวเบนซิล)
-
ที่เซลส์แจ้งก็มีบางส่วนถูกครับ หลัง MC ปัญหาตัวดีเซลลดลงพอสมควร ตัวใหม่ก็คงคล้ายกันครับ
หลักๆ ปัญหามาจากตัว dpf นั่นแหละครับ
เครื่องตัวนี้ต้องการอาหาร(น้ำมัน)ดีๆ ยิ่งเกรดพรีเมี่ยมยิ่งดีครับ
และเน้นการเช็คระยะให้ตรงตามกำหนดด้วยครับ
ลองเข้าไปหาข้อมูลในคลับดู จะได้ความรู้จากพี่ๆน้องๆในนั่นเยอะเลยครับ
ผมเพิ่งไปดูมาที่โชว์รูมมา ดูแล้วภายนอกสวยกว่าตัวเก่าพอสมควร ภายในแม้ layout จะคล้ายตัวเก่า MC แต่เบาะนิ่มและเอนหลังได้สบายขึ้นชัดเจน พื้นที่ legroom เยอะขึ้น โดยรวมแล้วผมว่าต่างจากCRV ไม่มากแล้วล่ะครับ
-
คิดว่าเบนซินน่าจะปลอดภัยกว่า ปัญหาของดีเซลจะมีมากเมื่อใกล้ๆ แสนกิโลหรือมากกว่านั้น MC น่าจะวิ่งยังไม่มากขนาดนั้น รถวิ่งในเมืองจะมีโอกาสมากกว่า
รอดูเหมือนกันครับ รอเทียบแล้วค่อยตัดสินใจระหว่าง CX5 เบนซิน กับ CRV เบนซินเหมือนกัน แต่ถ้า CHR สวยมากๆ อาจเปลี่ยนใจได้
-
เคยอ่านข้อมูลในเวปว่ามีการปรับปรุงอุปกรณ์ในฝาสูบใหม่ในตัวดีเซลน่าจะเป็นการแก้ปัญหาในจุดนี้รึปล่าวไม่แน่ใจ แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
-
ไม่แปลกครับที่ จขกท จะวิตก
เพราะปัญหาของตัวดีเซลมันดูน่ากลัวจริงๆ
แต่ก็มีการแก้ไขปัญหาแล้ว แม้จะยังทำให้ไม่มั่นใจถึง 100%
โดยส่วนตัวผมไม่เสี่ยงครับ
เพราะตังผมไม่พอซื้อดีเซล กลัวเป็นหนี้เกินครับ ฮ่าๆ
-
เป็นผมก็จัดดีเซลครับ น่าจะขับสนุก ปัญหาหลัง mc แล้วจากข่าวมันน้อยลงเยอะแล้วครับ
-
Mcรถออกน้อยมากยิ่งดีเซลไม่รู้มีกี่คัน รถออกมาว่าน้อยแล้วรถวิ่งเกินแสนยิ่งน้อยกว่า คงต้องรอดูกันยาวๆ
-
ผมเชียร์ 2.0 เบนซินเพราะมองว่าคุ้มทางราคามากกว่าครับ วันนี้ไปดูมาก้น่าใช้ดีครับ
-
ประเด็น DPF เนี่ยลองไปดูพวกรถยุโรปที่เขาใช้กันมานานแล้ว หลักๆ ก็ยี่ห้อน้ำมันที่เลือกใช้ และน้ำมันเครื่องก็ต้องเลือกหน่อย รู้ว่ามันทำงานยังไงแล้วจะเลี่ยงปัญหาได้อย่างไร ถ้าวิ่งรถติดทุกวันต่อเนื่องไม่เคยขับนอกเมืองหรือต่างจังหวัดเลยเขาก็มีน้ำยาช่วยล้างตัวกรอง
คือเรื่องของเรื่อง Mazda ไม่พูดความจริงกับลูกค้าเรื่อง DPF นั่นแหละ กลัวลูกค้าคนไทยจะหาว่าดูแลจุกจิก (ซึ่งมันก็สันดานคนไทยจริงๆ เอะอะเข้าอู่นอกอย่างเดียวไม่ลืมหูลืมตา)
-
เป็นผม ผมก็จัดดีเซลครับ
เพื่อความสนุกในการขับขี่
อันเป็นสุดยอดปรารถนาในการซื้อรถยนต์
ยินดีล่วงหน้าครับ
-
เสี่ยงดูสักตั้งครับ น่าจะแก้ไขได้แล้วนะครับ ยินดีกับรถใหม่ด้วยนะครับ
-
ถ้าพูดถึงความน่าใช้ น่าขับ และประหยัดน้ำมันผมก็นึกถึงดีเซลครับ
ส่วนตัวผมเองก็เล็ง cx-5 มาตั้งแต่โฉมเก่า MC แล้ว แต่คาดว่าจะไปจบที่ 2.0SP โฉมใหม่ช่วงงานปลายปีนี้
สาเหตุหลักที่ผมไปเบนซิลก็เพราะเรื่องปัญหานี้แหละครับ เคยพยายามทำใจยอมรับอยู่หลายครั้งกับดีเซลเพราะขับทางไกลบ่อย dpf คงทำงานได้ดีขึ้น ปัญหาเขม่าต่างๆคงมีปัญหาน้อยลงแต่ก็ยังไม่กล้าเสี่ยง
แต่ที่ได้ฟังจากรายการวิทยุเมื่อวานก็พอจะทำให้มั่นใจได้หน่อยว่าปัญหาน่าจะไม่เกิดขึ้น ที่สำคัญเลยคือเรื่องน้ำมันที่เติมกับการบำรุงรักษาที่ต้องดีกว่ารถทั่วๆไป ถ้าดูแลรถดีๆเค้าก็คงไม่งอแงและอยู่กับเรานานๆครับ
-
ผมคิดเสมอว่า รถซื้อมาครับ ไม่ได้ซื้อมาจอด
ในเมื่อปัญหายังไม่ชัดเจน ผมไม่เสี่ยงดีกว่า
-
ยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ ถ้าคิดจะซื้อแล้วก็ซื้อไปเถอะครับ แล้วเผื่อใจกับปัญหาที่จะตามมาบ้าง อันที่จริงมันก็รถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อนั่นแหละครับที่เกิดปัญหาขึ้นได้ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์เบสิคทั่วไป เพียงแต่มันเหมือนกับว่าตัวบริษัทรถยนต์เองก็ไม่ชัดเจนประเด็นนี้
ส่วนตัวผมระหว่างตัวท้อปเบนซินกับดีเซล ดูมันก็ตัดสินใจลำบากเหมือนกันนะ เงินที่จ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้เครื่องดีเซล (ซึ่งก็ยังไม่วางใจ 100%) กับได้ระบบขับสี่และ sunroof มันจะคุ้มกันมั๊ย ส่วนตัว sunroof ผมเฉยๆ นะ ตอนอยู่ต่างประเทศใช้เพราะอากาศดี เปิดแล้วไม่ร้อนมาก แต่อยู่เมืองไทยคิดว่าคงเปิดไม่ไหว ส่วนระบบขับสี่ก็อยากได้แต่ไม่มีในตัวเบนซิน
ถ้าท่านใดมี link เรื่องสาเหตุที่เกิดกับรถ mazda เรื่อง dpf รบกวนส่ง link มาให้อ่านหน่อยนะครับ ที่ผ่านตามาดูแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกี่ยวกับ dpf อย่างไร เพราะตัวเองใช้ crv ดีเซลอยู่ ในคู่มือก็มีเขียนถึงวิธีการใช้อยู่ แต่คิดว่าระบบมันมีแจ้งเตือนนะว่าถ้าเขม่าเยอะไปก็ให้ไปวิ่ง regenerate ซะ แต่ถ้าไม่ได้ทำนานๆ เข้ามันก็จะส่งข้อความเตือนว่าต้องเอารถเข้าศูนย์เช็ค ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องดีเซลนี้มันมีการแจ้งเตือนแบบนี้ให้ผู้ใช้ mazda ทราบหรือเปล่าครับ ถ้ามีผู้ใช้ก็ต้องเอารถไปเช็ค แต่ถ้าไม่มีทำไมถึงคิดว่าปัญหามาจาก dpf ที่จริงถ้า dpf มันตัน ก็น่าจะมีผลต่อเครื่องยนต์ทำให้ความดันในท่อไอเสียผิดปรกติและคงมีผลต่อเครื่องยนต์ทันที เพื่อความปลอดภัยระบบน่าจะสั่ง shut down เครื่องยนต์ทันที อันนี้คหสต.นะครับ
-
ดีเซลพวกนี้กำลังสูงเพราะเทอร์โบ น้ำมันเครื่องดีจะช่วยหล่อลื่นทั้งเครื่องและเทอร์โบ
ถ้าน้ำมันเครื่องไม่ดีจะระเหยทำให้เกิดเขม่า รอยไหม้ ในชิ้นส่วนทั้งเทอร์โบ dpf
น้ำมันพวกเกรดดีๆก็จะมีสารทำความสะอาดพวกนี้แตกต่างกันไป
-
df มีทุกยี่ห้อครับอยู่ในประกันก็เครมกันไปหมดประกันก็เสียตังกันไป
-
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
ถึงตอนนี้ ถามจากเพื่อนที่ใช้ Mazda
หลายๆ คน เค้าก็บอกว่าใช้ได้ดี
รถดี แต่ส่วนใหญ่ที่ถามคือพวกเบนซิน
ตอนนี้พอจะลองดีเซล ก็หาข้อมูลมาเยอะพอควร
สรุปว่าก็คงเอาดีเซลนี่แหละ
ลองดูครับ ถ้าไม่โอเคก็แค่ขายทิ้ง
ส่วนใหญ่ใช้รถต่างจังหวัด ถนนโล่งๆ อยู่ละ
ไม่น่ามีปัญหาเพราะรถติด แต่น้ำมันคงต้องเอา
ดีเซลของ ปตท นี่แหละ มันใกล้บ้านสุดละ
เอา!! ลองดู!! อย่างน้อยก็เจ็บน้อยกว่าพวกยุโรป 55
-
ยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ ถ้าคิดจะซื้อแล้วก็ซื้อไปเถอะครับ แล้วเผื่อใจกับปัญหาที่จะตามมาบ้าง อันที่จริงมันก็รถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อนั่นแหละครับที่เกิดปัญหาขึ้นได้ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์เบสิคทั่วไป เพียงแต่มันเหมือนกับว่าตัวบริษัทรถยนต์เองก็ไม่ชัดเจนประเด็นนี้
ส่วนตัวผมระหว่างตัวท้อปเบนซินกับดีเซล ดูมันก็ตัดสินใจลำบากเหมือนกันนะ เงินที่จ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้เครื่องดีเซล (ซึ่งก็ยังไม่วางใจ 100%) กับได้ระบบขับสี่และ sunroof มันจะคุ้มกันมั๊ย ส่วนตัว sunroof ผมเฉยๆ นะ ตอนอยู่ต่างประเทศใช้เพราะอากาศดี เปิดแล้วไม่ร้อนมาก แต่อยู่เมืองไทยคิดว่าคงเปิดไม่ไหว ส่วนระบบขับสี่ก็อยากได้แต่ไม่มีในตัวเบนซิน
ถ้าท่านใดมี link เรื่องสาเหตุที่เกิดกับรถ mazda เรื่อง dpf รบกวนส่ง link มาให้อ่านหน่อยนะครับ ที่ผ่านตามาดูแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกี่ยวกับ dpf อย่างไร เพราะตัวเองใช้ crv ดีเซลอยู่ ในคู่มือก็มีเขียนถึงวิธีการใช้อยู่ แต่คิดว่าระบบมันมีแจ้งเตือนนะว่าถ้าเขม่าเยอะไปก็ให้ไปวิ่ง regenerate ซะ แต่ถ้าไม่ได้ทำนานๆ เข้ามันก็จะส่งข้อความเตือนว่าต้องเอารถเข้าศูนย์เช็ค ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องดีเซลนี้มันมีการแจ้งเตือนแบบนี้ให้ผู้ใช้ mazda ทราบหรือเปล่าครับ ถ้ามีผู้ใช้ก็ต้องเอารถไปเช็ค แต่ถ้าไม่มีทำไมถึงคิดว่าปัญหามาจาก dpf ที่จริงถ้า dpf มันตัน ก็น่าจะมีผลต่อเครื่องยนต์ทำให้ความดันในท่อไอเสียผิดปรกติและคงมีผลต่อเครื่องยนต์ทันที เพื่อความปลอดภัยระบบน่าจะสั่ง shut down เครื่องยนต์ทันที อันนี้คหสต.นะครับ
ตามที่ผมเข้าใจ คือ เวลาระบบ dpf จะทำงาน มันจะใช้วิธีฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเข้าไปเพื่อไปเผาเขม่าในระบครับ ทีนี้ถ้าวิ่งรถติดๆอยู่ แล้วมันฉีดน้ำมันไปเผาไหม้ มันก็จะเผาไหม้ได้ไม่ดี น้ำมันเชื้อเพลิงที่ฉีดก็เผาไหม้ไม่หมด แล้วลงไปปนกับน้ำมันเครื่องครับ
พอปนกับน้ำมันเครื่อง ความหนืดก็จะตกเพราะน้ำมันเชื่อเพลิงมันใสกว่า เลยทำให้น้ำมันเครื่องที่ไปหล่อลื่นมีประสิทธิภาพแย่ลง
จะสังเกตว่า cx5 พอวิ่งไปเกือบๆหมื่นโลจะมีไฟกาน้ำมันเครื่องโชว์ เพราะความหนืดมันไม่ได้สเปคแล้วครับ และถ้าลองดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องมาดู คิดว่าน่าจะเกินขีด max ด้วย เพราะมันคือน้ำมันเครื่อง+น้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนเรื่องตัว mc แก้ปัญหาแล้วรึเปล่า ส่วนตัวผมคิดว่าตัวดีเซลออกมาน้อยมากกว่า บวกกับรถยังใหม่ ยังวิ่งไม่ถึงแสนโลกัน เลยยังดูไม่ค่อยมีปัญหา เพราะตัวก่อน mc จะมีปัญหากันที่ช่วงประมาณแสนโลทั้งนั้น
ทั้งหมดเป็นความเข้าใจของผมเอง ถ้าไม่ถูกต้องก็ขออภัยครับ
-
ไม่ใช่เฉพาะมาสด้าหรอก w205 diesel HB เขายังแนะนำให้ผมเติมน้ำมันเกรดพรีเมี่ยมเลี่ยงเติมปั๊มนกแก้วเลยบอกเดี๋ยวเครื่องสะดุด(งงอยู่) นี่ว่าจะเติม maxnano ช่วยให้ลื่นตามพี่เมฆดูสักหน่อย55
-
ยินดีด้วยครับ
เห็นด้วยกับคนขายที่ปัญหาไม่มีกับตัว MC
แค่อยากจะบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นกันที่แสนกิโลขึ้นไปครับ
ตัว MC จะมีสักกี่คันที่วิ่งถึงครับ
-
ตัวMCมันแค่สองปีเองนิครับ หลายๆคันยังไม่มีใครวิ่งเยอะเท่าไหร่เลย ปัญหาอาจจะยังไม่ออกมาให้เห็น
ผมก็อยากได้ดีเซลแหละแต่กลัวเหลือเกิน รถใหม่ต้องมาซ๋อมเปลี่ยนเครื่องผมไม่เอาดีกว่า(เครื่องฟรีแต่หัวฉีดไม่ฟรีนาจา หัวละหมื่นกว่าไม่รวมแวท)
จะไปเอาเบนซินก็ขับไม่มันอีก ราคาก็แพงเอาเรื่องสำหรับรุ่นSP ตอนนี้คิดไม่ตกเลยพับโครงการไว้ก่อน
ส่วนการแก้ไขปัญหา ถ้ามาสด้าแก้ไขแล้วทำไมไม่ออกมาประกาศให้มันเป็นOfficialไปเลยละครับ จะเงียบทำไม งง ในเมื่อมันดีกับบริษัทท่านเอง
-
วันนี้ไปจอง CX-5 ตัวดีเซล ขับสี่มาละครับ
ทั้งที่ได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยดีของเครื่องตัวนี้มาพอสมควร
แต่ใจมันไปละ พอถามทางเซลล์ เค้าก็ยอมรับว่าตัวก่อนหน้านี้
มีปัญหาจริง แต่จะเป็นรถLotแรก ซึ่งพอMC แล้วก็ไม่เคยเจอ
เคสนี้อีก ซึ่งทางรุ่นใหม่ก็รับทราบปัญหาและแก้ไขมาแล้ว
ขอถามทางเพื่อนใน HLM หน่อยครับ ถามผู้ที่เคยใช้ดูก็ได้
ว่าจริงรึปล่าวที่พอหลัง MC ก็ดีขึ้น
ลังเลว่าจะเปลี่ยนไปตัวเบนซินดีไหม รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
จะไปเทียบกับตัว MC ได้อย่างไรครับ ตัวก่อน mc ปัญหาเพิ่งมาเกิดไม่นาน ตัว mc เพิ่งออกได้ไม่ถึงสองปี รอสักปีกว่า พวก mc วิ่งถึงแสนกิโลปัญหาถึงจะเริ่มมีๆ กัน
ลอง google ดูนะครับ ปัญหานี้เมืองนอกเจอกันมานานแล้ว ตั้งแต่ตัว Mazda 6 ปี 2012 ก็มี หนีไม่พ้นเรื่อง DPF แสดงว่า จาก Mazda 6 มา CX5 ตัวแรก Mazda ไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย เพราะปัญหามันไม่ใช่ที่เครื่อง มันอยู่ที่ตารางการซ่อมบำรง กับ คุณภาพน้ำมัน
คุณภาพน้ำมันไม่ดี คุณจะให้ Mazda แก้ไขเครื่องยังไงหล่ะครับ นี่ Mazda 2 ที่ตามมาทีหลังก็เริ่มมีปัญหากันแล้ว เด๋ว สักพัก CX3 ก็คงมีปัญหาตามๆ กันมาอีก
-
ยินดีล่วงหน้าด้วยนะครับ ถ้าคิดจะซื้อแล้วก็ซื้อไปเถอะครับ แล้วเผื่อใจกับปัญหาที่จะตามมาบ้าง อันที่จริงมันก็รถทุกรุ่น ทุกยี่ห้อนั่นแหละครับที่เกิดปัญหาขึ้นได้ ไม่เว้นแม้แต่อุปกรณ์เบสิคทั่วไป เพียงแต่มันเหมือนกับว่าตัวบริษัทรถยนต์เองก็ไม่ชัดเจนประเด็นนี้
ส่วนตัวผมระหว่างตัวท้อปเบนซินกับดีเซล ดูมันก็ตัดสินใจลำบากเหมือนกันนะ เงินที่จ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้เครื่องดีเซล (ซึ่งก็ยังไม่วางใจ 100%) กับได้ระบบขับสี่และ sunroof มันจะคุ้มกันมั๊ย ส่วนตัว sunroof ผมเฉยๆ นะ ตอนอยู่ต่างประเทศใช้เพราะอากาศดี เปิดแล้วไม่ร้อนมาก แต่อยู่เมืองไทยคิดว่าคงเปิดไม่ไหว ส่วนระบบขับสี่ก็อยากได้แต่ไม่มีในตัวเบนซิน
ถ้าท่านใดมี link เรื่องสาเหตุที่เกิดกับรถ mazda เรื่อง dpf รบกวนส่ง link มาให้อ่านหน่อยนะครับ ที่ผ่านตามาดูแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกี่ยวกับ dpf อย่างไร เพราะตัวเองใช้ crv ดีเซลอยู่ ในคู่มือก็มีเขียนถึงวิธีการใช้อยู่ แต่คิดว่าระบบมันมีแจ้งเตือนนะว่าถ้าเขม่าเยอะไปก็ให้ไปวิ่ง regenerate ซะ แต่ถ้าไม่ได้ทำนานๆ เข้ามันก็จะส่งข้อความเตือนว่าต้องเอารถเข้าศูนย์เช็ค ทีนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเครื่องดีเซลนี้มันมีการแจ้งเตือนแบบนี้ให้ผู้ใช้ mazda ทราบหรือเปล่าครับ ถ้ามีผู้ใช้ก็ต้องเอารถไปเช็ค แต่ถ้าไม่มีทำไมถึงคิดว่าปัญหามาจาก dpf ที่จริงถ้า dpf มันตัน ก็น่าจะมีผลต่อเครื่องยนต์ทำให้ความดันในท่อไอเสียผิดปรกติและคงมีผลต่อเครื่องยนต์ทันที เพื่อความปลอดภัยระบบน่าจะสั่ง shut down เครื่องยนต์ทันที อันนี้คหสต.นะครับ
ตามที่ผมเข้าใจ คือ เวลาระบบ dpf จะทำงาน มันจะใช้วิธีฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเข้าไปเพื่อไปเผาเขม่าในระบครับ ทีนี้ถ้าวิ่งรถติดๆอยู่ แล้วมันฉีดน้ำมันไปเผาไหม้ มันก็จะเผาไหม้ได้ไม่ดี น้ำมันเชื้อเพลิงที่ฉีดก็เผาไหม้ไม่หมด แล้วลงไปปนกับน้ำมันเครื่องครับ
พอปนกับน้ำมันเครื่อง ความหนืดก็จะตกเพราะน้ำมันเชื่อเพลิงมันใสกว่า เลยทำให้น้ำมันเครื่องที่ไปหล่อลื่นมีประสิทธิภาพแย่ลง
จะสังเกตว่า cx5 พอวิ่งไปเกือบๆหมื่นโลจะมีไฟกาน้ำมันเครื่องโชว์ เพราะความหนืดมันไม่ได้สเปคแล้วครับ และถ้าลองดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องมาดู คิดว่าน่าจะเกินขีด max ด้วย เพราะมันคือน้ำมันเครื่อง+น้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนเรื่องตัว mc แก้ปัญหาแล้วรึเปล่า ส่วนตัวผมคิดว่าตัวดีเซลออกมาน้อยมากกว่า บวกกับรถยังใหม่ ยังวิ่งไม่ถึงแสนโลกัน เลยยังดูไม่ค่อยมีปัญหา เพราะตัวก่อน mc จะมีปัญหากันที่ช่วงประมาณแสนโลทั้งนั้น
ทั้งหมดเป็นความเข้าใจของผมเอง ถ้าไม่ถูกต้องก็ขออภัยครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ถ้ามองมุมนี้มันก็น่าจะมาจากการออกแบบระบบ regen ที่ผิดพลาด หมายถึงมันไม่ควร regen ที่สภาวะที่จะนำมาสู่การเกิด oil dilution effect ระบบก็ควรจะสั่งให้ผู้ขับสร้างสภาวะขับขี่ที่เหมาะสม หรือไม่ก็หยุดการทำงานเครื่องยนต์ไปเลย เพื่อป้องกันปัญหาเหล่านี้ ถ้านี่คือสาเหตุการใช้น้ำมันหรือน้ำมันเครื่องเกรดสูงก็ไม่น่าจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดนะ
-
แถมอีกนิด ถ้าผมเป็น Mazda ผมก็คงไม่แก้ไขไรหรอกนะ 1. กลุ่ม CX-5 ยังโวยวายอยู่เลยว่าน้ำดัน ศูนย์เปลี่ยนแต่เครือง พวกหัวฉีดที่ละลาย ไม่อยู่ในเงื่อนไขเจ้าของรถต้องจ่ายเอง แถมรถที่น้ำยังไม่ดันศูนย์ก็ไม่คิดจะ recall ไปแก้ไขไร ปล่อยให้เจ้าของรถลุ้นไปวันๆ ว่าวันไหนน้ำจะดัน 2. กลุ่ม Mazda 2 เพิ่งออกมาเรียกร้องเรื่องรถตัวเองที่ศูนย์เหมือนบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบ ...... แต่ พอ CX-5 ตัวใหม่มา คนไทยก็ยังไปรอซื้อกัน ไม่เห็นต้องปรับปรุงก็ขายได้
-
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
ถึงตอนนี้ ถามจากเพื่อนที่ใช้ Mazda
หลายๆ คน เค้าก็บอกว่าใช้ได้ดี
รถดี แต่ส่วนใหญ่ที่ถามคือพวกเบนซิน
ตอนนี้พอจะลองดีเซล ก็หาข้อมูลมาเยอะพอควร
สรุปว่าก็คงเอาดีเซลนี่แหละ
ลองดูครับ ถ้าไม่โอเคก็แค่ขายทิ้ง
ส่วนใหญ่ใช้รถต่างจังหวัด ถนนโล่งๆ อยู่ละ
ไม่น่ามีปัญหาเพราะรถติด แต่น้ำมันคงต้องเอา
ดีเซลของ ปตท นี่แหละ มันใกล้บ้านสุดละ
เอา!! ลองดู!! อย่างน้อยก็เจ็บน้อยกว่าพวกยุโรป 55
วิ่งทางไกลจะเหมาะกับเครื่องดีเซลมากๆครับ เรื่องRegenผมก็ไม่แน่ใจเพราะที่ใช้มาทั้งBenzกับAudiก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆจากเรื่องดังกล่าวเลยครับ
-
อยากลุ้นอยากเสี่ยงไปดีเซล อยากสบายใจไปเบนซิน
-
เท่าที่ผมใช้ cx5 2.2 ตัวเเรก ตอนนี้วิ่งไป120,000กม แล้ว ไม่เจอปัญหาอะไรนะครับ อัตราเร่งการตอบสนอง ขับสนุก
วิ่งในเมือง ทางไกล 50:50
-
ผมสงสัยว่า ถ้าแบบนี้เครื่องตัวนี้เอาไป reflash กล่อง ได้ไหมครับ หรือ จะยิ่งพังเร็วขึ้นไปอีกครับ
-
เท่าที่ผมใช้ cx5 2.2 ตัวเเรก ตอนนี้วิ่งไป120,000กม แล้ว ไม่เจอปัญหาอะไรนะครับ อัตราเร่งการตอบสนอง ขับสนุก
วิ่งในเมือง ทางไกล 50:50
นี่แหละครับ เขาเรียกว่าใช้รถเป็น คุ้มค่า และเข้าใจในตัวรถ
หากใครกังวล หลังหมดประกันไปทำ DPF Removal เลยก็ได้ครับ
เห็นเขาบอกว่ารีดม้าได้เพิ่มขึ้นและตอบสนองดีขึ้นด้วย หมดปัญหาที่กังวลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
เพียงมารีแม็บเพิ่มอีกหน่อย ไฟหน้าปัดก็จะไม่ฟ้องอะไรแล้ว ไม่ว่าจะเข้าศูนย์ไปอีกหลังทำ
ตัวก่อน MC เขาไปทำกันหลายคันแล้ว ไปถามคนในคลับได้เลย (ตอนนี้จะดูเงียบๆ เพราะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร)
แต่รถคุณจะเป็นประเภทไม่ค่อยจะ "รักษ์โลก" สักหน่อยเท่านั้นเอง
-
แล้ว crv ดีเซลจะมีปัญหา dpf ไหมครับ ที่บ้านออกมาวิ่งจะพันโลละ
-
อย่าไปกังวลครับ ใช้ไปเถอะ กว่ามันจะมีปัญหา หรือหมดรับประกัน 6 ปี 180,000 Km ผมว่าคุณก็คงเลิกเห่อไปแล้ว 555
แต่กว่าคุณจะเบื่อ คุณจะได้สัมผัสกับสมรรถนะ ที่รถทั่วๆไปในราคาระดับเดียวกันให้คุณไม่ได้
ขับแล้วจะรักครับ ย้ำอีกครั้งครับ อย่ากังวล รถดี รถแรง เทคโนโลยีอัดเน่น ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม
เจ้าใหนรุ่นใหนเค้าก็มีปัญหากันทั้งนั้นครับ
คิดมากระวังจะเครียดตายก่อนรถพัง 555
จากผู้ใช้ CX-5 2.2D วิ่งกว่า 100,000 km ยังไม่เคยเจอปัญหาไรเลย นอกจากใบสั่งความเร็ว
-
ที่ว่าน้ำมันดี น้ำมันเครื่องดี ต้องขนาดไหนครับ ขอเป็นตัวอย่างได้มั้ยครับ
-
ซื้อ crv ดีเซลมาได้ 4 เดือน วิ่งไปหมื่นโลนิดๆ แล้ว เติมน้ำมันพรีเมี่ยมตลอด
ถ้าเกิดผมซื้อรถช่วงนี้มีเขวเหมือนกันครับ อาจจะเปลี่ยนใจไป cx5 แทน
ส่วนใหญ่ผมวิ่งทางด่วนตลอด ทำคววามเร็วได้อยู่แล้ว แต่อายุเริ่มเยอะ ชอบช่วงล่างนุ่มๆ มากกว่า แต่ option กับความแรง cx5 จัดเต็มจริงๆ
ตอนก่อนออก crv ก็ไปดู cx5 ครับแต่เป็นตัวเก่า ตอนนั้นแพ้ความสดของ crv
-
อย่าไปกังวลครับ ใช้ไปเถอะ กว่ามันจะมีปัญหา หรือหมดรับประกัน 6 ปี 180,000 Km ผมว่าคุณก็คงเลิกเห่อไปแล้ว 555
แต่กว่าคุณจะเบื่อ คุณจะได้สัมผัสกับสมรรถนะ ที่รถทั่วๆไปในราคาระดับเดียวกันให้คุณไม่ได้
ขับแล้วจะรักครับ ย้ำอีกครั้งครับ อย่ากังวล รถดี รถแรง เทคโนโลยีอัดเน่น ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม
เจ้าใหนรุ่นใหนเค้าก็มีปัญหากันทั้งนั้นครับ
คิดมากระวังจะเครียดตายก่อนรถพัง 555
จากผู้ใช้ CX-5 2.2D วิ่งกว่า 100,000 km ยังไม่เคยเจอปัญหาไรเลย นอกจากใบสั่งความเร็ว
ขอบคุณที่ออกมาแสดงความคิดเห็นนะครับ แสดงว่ามันก็อาจจะเป็นปัญหาแล้วแต่คันไป คงจะเหมาว่าเป็นทุกคันไม่ได้นะครับ ว่าแต่คุณ Thon3737 มีการดูแลรถอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ใช้น้ำมันดีเซลปกติหรือพรีเมียม น้ำมันเครื่องก็ถ่ายกับที่ศูนย์ใช่มั๊ยครับ
-
เออ แล้วทำไม ปิคอัพดีเซล วิ่งกันเป็นล้านโล ไม่มีปัญหา
-
อย่าไปกังวลครับ ใช้ไปเถอะ กว่ามันจะมีปัญหา หรือหมดรับประกัน 6 ปี 180,000 Km ผมว่าคุณก็คงเลิกเห่อไปแล้ว 555
แต่กว่าคุณจะเบื่อ คุณจะได้สัมผัสกับสมรรถนะ ที่รถทั่วๆไปในราคาระดับเดียวกันให้คุณไม่ได้
ขับแล้วจะรักครับ ย้ำอีกครั้งครับ อย่ากังวล รถดี รถแรง เทคโนโลยีอัดเน่น ระบบความปลอดภัยจัดเต็ม
เจ้าใหนรุ่นใหนเค้าก็มีปัญหากันทั้งนั้นครับ
คิดมากระวังจะเครียดตายก่อนรถพัง 555
จากผู้ใช้ CX-5 2.2D วิ่งกว่า 100,000 km ยังไม่เคยเจอปัญหาไรเลย นอกจากใบสั่งความเร็ว
ขอบคุณที่ออกมาแสดงความคิดเห็นนะครับ แสดงว่ามันก็อาจจะเป็นปัญหาแล้วแต่คันไป คงจะเหมาว่าเป็นทุกคันไม่ได้นะครับ ว่าแต่คุณ Thon3737 มีการดูแลรถอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ใช้น้ำมันดีเซลปกติหรือพรีเมียม น้ำมันเครื่องก็ถ่ายกับที่ศูนย์ใช่มั๊ยครับ
ดูแลปกติครับ เข้าเช็คระยะตรงตามคูมือ เพราะผมไม่มีเวลาดูแลรถมากมายครับ
แต่ผมเติมน้ำมันดีเซลพรีเมียมตลอด น้อยครั้งมากที่จะเติมดีเซลปกติ
นอกนั้นก็ดูแลตามระยะครับ ถ้าเราดูแลตามคู่มือแล้วมันจะพังก็ปล่อยมันพังครับ
มาสด้าจะได้รู้ว่ารถเค้าดีหรือห่วย เพราะเราหน้าที่ใช้ มาสด้าหน้าที่ผลิด เค้าต้องทำรถให้ตอบโจทย์ครับ
-
ดีเซลมาสด้า 2 ต้องเติมดีเซลพรีเมี่ยมครับ ของผมเปลี่ยนมาเติมไฮฟอร์ช ปตท มันไม่สั่นอีกเลย น้ำมันเครื่องใช้ของ pulza ตอนนี้จะแตะ 90000 โลแล้ว
เปลี่ยน นมค นอก 0 ตั้งแต่ 30000 โล ซื้อไปเปลี่ยนที่อู่เอง กรองใช้เทียบบ้าง แท้บ้างแล้วแต่โอกาส
-
เออ แล้วทำไม ปิคอัพดีเซล วิ่งกันเป็นล้านโล ไม่มีปัญหา
มันก็มีเหมือนกันสำหรับคนที่ใช้รถน้อย ๆ มาก ๆ เพียงแต่รถปิคอัพปัญหามันไม่ออกมาเยอะเหมือนรถที่มีระบบ DDF เพราะการทำเรื่องระบบไอเสีย
ส่วนตัวที่มองดีเซลมาตลอดในยุคนี้คือ
- ถ้าใช้งานหนัก วิ่งกันยาว ๆ ไม่มีปัญหาอะไร น่าใช้ครับ
- แต่ถ้าใช้งานรถน้อย วิ่งระยะทางสั้น ๆ ใช้ในเมือง วิ่งด้วยความเร็วต่ำ ๆ ตลอด ผมว่าเลือกใช้เป็นเบนซินดีกว่า
-
เราถกเรื่องระบบ dpf ของมาสด้าไปหลายกระทูู้แล้วก่อนนี้ จริงๆ เพื่อนสมาชิกหลายท่านก็บอกว่า ระบบนี้มีในรถหลายรุ่นไม่ใช่เฉพาะ mazda อย่าไปเทียบกับกระบะล้านโล นั่นปล่อย มลภาวะเท่าไร นี่คือรถ รักษ์ โลก ระดับนึงเพราะความเข้มงวดการปล่อยไอเสียที่เข้มข้นมาก ไม่งั้นก็ผลิตขายทั่วโลกไม่ได้ สมัยล้านโล มันไม่มีกฎเข้มแบบนี้เลิกเอามาเทียบได้แล้ว
สรุป รถต้องการน้ำมันพรีเมี่ยมเพื่อลดการเกิดเขม่าให้นานที่สุด (ยังไงก็ได้แค่ชะลอการทำงานของระบบเจ้าปัญหา) + น้ำมันเครื่องที่เหมาะสม + ใช้รถให้มันได้ทำงาน เผาเขม่าได้สมบูรณ์จากเราบ้าง วิ่งทางไกล อัดเกิน 2 พันรอบ ไม่ใช่รอแค่เครื่องเข้าโหมดเผาเองยังไงก็อาจจะไม่หมดเสมอไป
ซื้อคันไหนก็ได้ครับ ชอบคันไหนซื้อคันนั้น ผมก็ใช้มาจะ 4 หมื่นโล ทุกอย่างปกติ รถ MC lot แรก ขับสนุกตามที่เค้าคุยไว้หละจะบอกไม่มี ปห. ก็ไม่ได้ เพราะคงต้องรอให้ครบ แสน แล้วค่อยมาบอก ตอนนั้นคง สร่าง ไม่ ฮอตแล้วหละ ประกันตั้ง 6 ปี รอไปเลย
-
ใช้ครบ 100,000 กิโลเมตรแล้วครับ ตอนนี้ 102,XXX กม. แล้ว
ตอนได้รถใหม่ๆ ก็ไม่เคยคิดจะเติมน้ำมันพรีเมี่ยมหรอก เพราะที่บ้านก็บอกรถดีเซลเหมือนกัน(ที่บ้านมีกระบะอีก 2 คัน) ที่บ้านบอกเติมดีเซลธรรมดาก็ได้ เหมือนๆกัน รถแกมันพิสดารต้องเติมของแพงหรือไง? ก็เลยเติมดีเซลธรรมดา จากนั้นมีปัญหาน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้น ทราบมาว่าต้องถ่ายน้ำมันเครื่องเร็วขึ้นก็ถ่ายให้เร็วขึ้น แล้วไฟ DPF ก็ขึ้นมาที่ 3X,XXX กม. เข้าศูนย์แก้ไข ศูนย์ขอเผาเขม่า ก็หาย ใช้ได้เรื่อยมา
หลังจากไฟโชว์ ศึกษา เข้าคลับ Thai Mazda CX-5 Club เพื่อนสมาชิกแนะนำให้เติมพรีเมี่ยม
หลังจากนั้นเปลี่ยนมาใช้ดีเซลพรีเมี่ยมตลอดจนปัจจุบันนี้ ก็ไม่เคยมีปัญหาน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้น กับไฟ DPF นี้อีกเลย
ส่วนปัญหาอื่นๆ ถ้าพูดถึง ผมมองว่าเป็นปัญหาทั่วๆไป จุกจิก ยิบย่อยพบได้จากรถ ทุกคันทุกยี่ห้อ ดูแลซ่อมบำรุงตามเคสปัญหาก็จบ
เท่าที่เห็นและได้ยิน คันที่มีปัญหาก็ได้รับการดูแลจากมาสด้านะ แต่สำหรับคันที่มีปัญหานี่เสียงจะค่อนข้างดังมาก รู้กันทั้งโลก ส่วนคันที่ไม่มีปัญหาก็ไม่ค่อยจะมีคนสนใจเท่าไร เพราะคนจะสนใจแต่ปัญหา
ส่วนตัวตอนแรกที่คนมีปัญหาเขาโพสๆกัน ก็เริ่มกลัว พอโพสบ่อยๆ เราเริ่มจิตตกไปใหญ่ ผมจึงต้องมาพิจารณาความเป็นจริงกับรถของผมเองว่ามันมีปัญหาเหล่านั้นจริงๆเหรอ ซึ่งตอนนี้ผมเลิกจิตตกแล้ว โดยการไม่เสพโพสเหล่านั้นอีกต่อไป ก็ดีครับมีการแชร์ปัญหาให้รับทราบ แต่มันบ่อยๆเหมือนโดนขู่ แล้วก็ต้องมานั่งกังวลกับสิ่งที่มันไม่เกิดขึ้น ไม่ไหวครับไม่ไหว
ขอให้ จขกท. ได้รถที่ใช้แล้วมีความสุขนะครับ ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็ตาม ศึกษาข้อดี-ข้อเสีย รับข้อเสียของมันได้ไหม? ผมว่ามันจะมีความสุขกับการใช้รถที่คุณซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของคุณครับ
-
จองตอนนี้ รับรถตอนไหนครับ????
-
ที่ว่าน้ำมันดี น้ำมันเครื่องดี ต้องขนาดไหนครับ ขอเป็นตัวอย่างได้มั้ยครับ
เบอร์40สังเคราะห์ครับ ของ0ให้เบอร์20กึ่ง อาจจะมีส่วนไม่มากก็น้อย
เพราะคนในคลับที่มีปัญหามีคันนึงไม่ได้ใช้น้ำมันเครื่อง0ตั้งแต่แรก แต่น้ำไม่ดัน
อาจจะอยู่ที่การขับด้วยมั้ง ถ้าอัดบ่อยๆ ขับโหดๆน่าจะไม่มีปัญหา
อันนี้ผมมโนเอานะเพราะเท่าที่ดูพวกขับไกลๆจะไม่ค่อยเป็น
-
ตอนนี้ในกลุ่มคนใช้ Mazda CX5 ไม่มีใครพูดถึงเรื่องน้ำดัน น้ำพุ่งเลย
มีแต่คนพูดถึงรถตัวใหม่กันหมด ว่าจะออกรุ่นไหนดี 5555+
เพราะเรื่องดีเซลคงจะคุยกันมามากแล้ว และหลายคนคงเข้าใจการใช้รถกันมากขึ้น
จึงไม่ใช่เรื่องที่มาต้องมานั่งวิตกกังวล กลับมาใช้รถให้มันคุ้มค่าดีกว่า
-
รถยนตร์หรือสัตว์เลี้ยงครับเนี้ย "พามันไปออกกำลังกาย และกินอาหารดีๆ" 8)
-
ใช้ครบ 100,000 กิโลเมตรแล้วครับ ตอนนี้ 102,XXX กม. แล้ว
ตอนได้รถใหม่ๆ ก็ไม่เคยคิดจะเติมน้ำมันพรีเมี่ยมหรอก เพราะที่บ้านก็บอกรถดีเซลเหมือนกัน(ที่บ้านมีกระบะอีก 2 คัน) ที่บ้านบอกเติมดีเซลธรรมดาก็ได้ เหมือนๆกัน รถแกมันพิสดารต้องเติมของแพงหรือไง? ก็เลยเติมดีเซลธรรมดา จากนั้นมีปัญหาน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้น ทราบมาว่าต้องถ่ายน้ำมันเครื่องเร็วขึ้นก็ถ่ายให้เร็วขึ้น แล้วไฟ DPF ก็ขึ้นมาที่ 3X,XXX กม. เข้าศูนย์แก้ไข ศูนย์ขอเผาเขม่า ก็หาย ใช้ได้เรื่อยมา
หลังจากไฟโชว์ ศึกษา เข้าคลับ Thai Mazda CX-5 Club เพื่อนสมาชิกแนะนำให้เติมพรีเมี่ยม
หลังจากนั้นเปลี่ยนมาใช้ดีเซลพรีเมี่ยมตลอดจนปัจจุบันนี้ ก็ไม่เคยมีปัญหาน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้น กับไฟ DPF นี้อีกเลย
ส่วนปัญหาอื่นๆ ถ้าพูดถึง ผมมองว่าเป็นปัญหาทั่วๆไป จุกจิก ยิบย่อยพบได้จากรถ ทุกคันทุกยี่ห้อ ดูแลซ่อมบำรุงตามเคสปัญหาก็จบ
เท่าที่เห็นและได้ยิน คันที่มีปัญหาก็ได้รับการดูแลจากมาสด้านะ แต่สำหรับคันที่มีปัญหานี่เสียงจะค่อนข้างดังมาก รู้กันทั้งโลก ส่วนคันที่ไม่มีปัญหาก็ไม่ค่อยจะมีคนสนใจเท่าไร เพราะคนจะสนใจแต่ปัญหา
ส่วนตัวตอนแรกที่คนมีปัญหาเขาโพสๆกัน ก็เริ่มกลัว พอโพสบ่อยๆ เราเริ่มจิตตกไปใหญ่ ผมจึงต้องมาพิจารณาความเป็นจริงกับรถของผมเองว่ามันมีปัญหาเหล่านั้นจริงๆเหรอ ซึ่งตอนนี้ผมเลิกจิตตกแล้ว โดยการไม่เสพโพสเหล่านั้นอีกต่อไป ก็ดีครับมีการแชร์ปัญหาให้รับทราบ แต่มันบ่อยๆเหมือนโดนขู่ แล้วก็ต้องมานั่งกังวลกับสิ่งที่มันไม่เกิดขึ้น ไม่ไหวครับไม่ไหว
ขอให้ จขกท. ได้รถที่ใช้แล้วมีความสุขนะครับ ไม่ว่าจะยี่ห้ออะไรก็ตาม ศึกษาข้อดี-ข้อเสีย รับข้อเสียของมันได้ไหม? ผมว่ามันจะมีความสุขกับการใช้รถที่คุณซื้อมาจากน้ำพักน้ำแรงของคุณครับ
https://www.avontuning.co.uk/blog/mazda-5-6-oil-level-rising
ในเวปอธิบายไว้ว่าถ้าวิ่งในเมืองบ่อยๆทำให้อุณหภูมิไอเสียไม่สูงพอ กล่องECUจึงสั่งฉีดน้ำมันเพื่อชดเชยให้เพิ่มอุณหภูมิดังกล่าว ผลที่ตามมาทำให้มีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตกค้างไหลลงอ่างน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำมันเครื่องจึงเพิ่มสูงขึ้นครับ ถ้าพบอาการดังกล่าวแนะนำให้วิ่งทางยาวๆมากขึ้นเพื่อลดอาการอิ่มตัวของDPFครับ
-
ตอนแรกชอบเครื่องดีเซลมาก ๆ อยากออกดีเซล
พอมาอ่านเรื่องข่าวก็ตกใจแล้วก็หลอน ๆ ไปเหมือนกันครับ
เลยเล็งไปที่ตัวเบนซิน 2.0 S
แต่พอมาอ่านกระทู้นี้
ตอนนี้นั่งเช็คสเป็คแล้วว่าดีเซลออพชั่นเป็นยังไง
ผมว่าปัญหาถ้าเรารู้ปัญหา ปัญหานั้นก็ถูกแก้ไปแล้วครึ่งนึง
ที่เหลือคือเรารู้วิธีรับมือปัญหานั้นก็ไม่เป็นไร
ที่สำคัญระยะประกันก็ยาวขนาดนี้
บวก ลบ คูณ หารแล้ว
ถ้าคุ้มกับสิ่งที่เราได้รับ ก็ไม่ต้องคิดมากครับ
ปล. รุ่นเบนซิน 2.0 S กับ ดีเซล 2.2 XD
นอกจากล้อ 19" กับเครื่อง
มีอะไรที่แตกต่างกันอีกมั้ยครับ
-
จองตอนนี้ รับรถตอนไหนครับ????
ผมจองสีแดง 2.2 XD วันเปิดตัววันแรกไปครับ ณ บัดนี้ยังไม่มีวี่แวว
-
รถใหม่มีประกันไม่ต้องไปกลัวมากหรอกครับ - -
-
ผมว่าเคสนี้มาสด้าทำทุเรศอ่ะ ส่วนพี่จิมมี่เห็นตอบในรายการก็บอกแต่ให้ใช้น้ำมันนอก อย่าใช้น้ำมันไทย และให้เอารถไปอัดบ่อยๆ
คือมันใช่หรอ? ผมเข้าใจนะว่าแนะนำวิธีไม่ให้มีปัญหา แต่หลังๆมาไม่ตอบเลยว่าตกลงมาสด้าแก้ปัญหานี้ไปหรือยัง เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมจะถามแบบระบุคำถามชัดเจนดู
จะถามขอแค่ แก้ได้หรือยัง วิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่เอา
ถ้าทำแบบพี่จิมมี่ว่าแล้วมันหาย มาสด้ากล้าพอจะระบุในคู่มือไหมว่า ต้องอัดถึงเท่าไหร่ กี่ครั้งต่อกี่วัน ห้ามใช้น้ำมันอะไรบ้าง
กล้าไหมติดฝาถังไปเลยว่า เติมน้ำมันแบรนด์นอกเท่านั้น จริงใจกับผู้บริโภคแค่ไหน รถเติม e20 e85 ดีเซล เบนซิน เขายังติดบอกเลย ถ้าเห็นค่าผู้บริโภคจริงก็ต้องติดบอกเหมือนกัน
ทำรถมาขายในไทย น้ำมันไทยมันก็ต้องผ่านมาตรฐานของไทยมาแล้ว ส่วนแบรนด์นอกถ้าดีกว่าก็คือสูงกว่ามาตรฐาน
ถ้าทำรถให้ใช้น้ำมันไทยแล้วพัง ก็คือห่วยแค่นั้นแหละครับ ผมคนนึงล่ะไม่สนับสนุนให้พวกนักธุรกิจที่เอาเปรียบคนไทย เอารถห่วยๆขับแล้วเสี่ยงตายมาขายในบ้านเรา
ใครอยากใช้รถห่วยๆก็ใช้ไปครับ แต่ถ้าเป็๋นเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องผม ผมคงด่าที่รู้ว่ามีปัญหาแล้วยังจะเสียเงินเกือบสองล้านซื้อมาใช้
-
ผมว่าเคสนี้มาสด้าทำทุเรศอ่ะ ส่วนพี่จิมมี่เห็นตอบในรายการก็บอกแต่ให้ใช้น้ำมันนอก อย่าใช้น้ำมันไทย และให้เอารถไปอัดบ่อยๆ
คือมันใช่หรอ? ผมเข้าใจนะว่าแนะนำวิธีไม่ให้มีปัญหา แต่หลังๆมาไม่ตอบเลยว่าตกลงมาสด้าแก้ปัญหานี้ไปหรือยัง เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมจะถามแบบระบุคำถามชัดเจนดู
จะถามขอแค่ แก้ได้หรือยัง วิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่เอา
ถ้าทำแบบพี่จิมมี่ว่าแล้วมันหาย มาสด้ากล้าพอจะระบุในคู่มือไหมว่า ต้องอัดถึงเท่าไหร่ กี่ครั้งต่อกี่วัน ห้ามใช้น้ำมันอะไรบ้าง
กล้าไหมติดฝาถังไปเลยว่า เติมน้ำมันแบรนด์นอกเท่านั้น จริงใจกับผู้บริโภคแค่ไหน รถเติม e20 e85 ดีเซล เบนซิน เขายังติดบอกเลย ถ้าเห็นค่าผู้บริโภคจริงก็ต้องติดบอกเหมือนกัน
ทำรถมาขายในไทย น้ำมันไทยมันก็ต้องผ่านมาตรฐานของไทยมาแล้ว ส่วนแบรนด์นอกถ้าดีกว่าก็คือสูงกว่ามาตรฐาน
ถ้าทำรถให้ใช้น้ำมันไทยแล้วพัง ก็คือห่วยแค่นั้นแหละครับ ผมคนนึงล่ะไม่สนับสนุนให้พวกนักธุรกิจที่เอาเปรียบคนไทย เอารถห่วยๆขับแล้วเสี่ยงตายมาขายในบ้านเรา
ใครอยากใช้รถห่วยๆก็ใช้ไปครับ แต่ถ้าเป็๋นเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องผม ผมคงด่าที่รู้ว่ามีปัญหาแล้วยังจะเสียเงินเกือบสองล้านซื้อมาใช้
ใจเย็นครับ ผมเห็นด้วยนะว่ารถมีปัญหาค่อนข้างชัดเจนแต่ไม่มีมาตรการเรียกกลับไปแก้ไขอะไรเลย แล้วตัวใหม่มีการเปลี่ยนพาร์ทที่มีปัญหาไป แล้วคนใช้ตัวเก่าล่ะครับ ? ขยายเวลารับประกันมันก็ยังไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไปนะครับ คนอยากซื้อเค้าจะได้มั่นใจหน่อย
-
บางที ผมก็คิดว่ามาดด้า ขับดี น่าใช้ แม้จะแคบไปหน่อย แต่จากหลายปัญหาที่เจอ
- มาดด้า 3 ตอนแรกที่เติม E85 แล้วมีปัญหา ก็ไม่เคยเห็นมีมาตราการ แก้ไขที่จริงจังเลย ได้แต่ปล่อยให้ข่าวมันหาลือไปเอง ผมว่าไม่ใส่ใจแก้ปัญหาให้ลูกค้าดีพอครับ
- มาดด้า CX5 หรือ 2 เครื่องดีเซลมีปัญหา แล้วให้แก้โดยไปอัดยาว บ่อยๆ หรือไม่สามารถแก้ได้จริงจัง แล้วมาเพิ่มระยะเวลารับประกัน ผมโดตรตลกเลย
รถไม่ดี ไม่พยายามแก้ไข ปัญหาให้ลูกค้าให้หายขาด แต่ดันเพิ่มเวลารับประกัน ปัญหาที่มีก็ไม่ได้แก้อะไร ได้แต่ให้ลูกค้าที่ซื้อไป ต้องไปแก้ปัญหาเอาเองตอนหมดประกัน