Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: sixaxis ที่ พฤษภาคม 21, 2018, 20:47:26
-
จากเมื่อกระทู้ที่ผ่านมาไม่นานเรื่องรถยุโรปกับญี่ปุ่น ก็ค่อนข้างเป็นที่เข้าใจว่ารถญี่ปุ่นทนกว่า และเหมาะกับการใช้ระยะยาวมากกว่าในหลายๆเคส แต่ผมก็อยากทราบในฐานะที่ไม่ใช่ผู้รู้เรื่องอะไหล่รถเลย ว่าทำไมรถญี่ปุ่นถึงทนกว่ารถยุโรป? เป็นเพราะสภาพอากาศที่ไทยต่างจากยุโรปรึป่าว? ถ้ารถยุโรปจะทำให้ทนได้มั้ย? หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องธุรกิจที่ต่างฝ่ายมีจุดขายชัดเจน ไม่จำเป็นต้องลงทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น ตราบเท่าที่ขายได้ เพราะ target customer ต่างกันอยู่แล้ว? คิดว่ายังไงกันบ้างครับ
-
จากเมื่อกระทู้ที่ผ่านมาไม่นานเรื่องรถยุโรปกับญี่ปุ่น ก็ค่อนข้างเป็นที่เข้าใจว่ารถญี่ปุ่นทนกว่า และเหมาะกับการใช้ระยะยาวมากกว่าในหลายๆเคส แต่ผมก็อยากทราบในฐานะที่ไม่ใช่ผู้รู้เรื่องอะไหล่รถเลย ว่าทำไมรถญี่ปุ่นถึงทนกว่ารถยุโรป? เป็นเพราะสภาพอากาศที่ไทยต่างจากยุโรปรึป่าว? ถ้ารถยุโรปจะทำให้ทนได้มั้ย? หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องธุรกิจที่ต่างฝ่ายมีจุดขายชัดเจน ไม่จำเป็นต้องลงทุนในส่วนที่ไม่จำเป็น ตราบเท่าที่ขายได้ เพราะ target customer ต่างกันอยู่แล้ว? คิดว่ายังไงกันบ้างครับ
ผมเคยใช้แลนเซอร์ พออายุสัก 6 ปี สีเริ่มกรอบแตกลายงา ชิ้นส่วนอะไหล่เริ่มเสีย เครื่องยนต์เกินแสนกิโลก็เริ่มไม่ดีแล้ว ผมว่าเบนซ์ทนกว่าเยอะนะ
-
มันก็ทนเหมือนกันแหละ แต่ราคา บำรุงรักษามันไม่เท่ากัน พออายุยิ่งเยอะ ก็ยิ่งซ่อมเยอะ ราคาก็จะสูง
ผู้ใช้ก็จะซ่อมไม่ครบจุด มันก็เลยดูไม่ทน ถ้าซ่อมตาม ตารางที่เค้าบอกทุกอย่าง ก็ใช้ ทนได้เหมือนกัน
-
รถค่ายจากญี่ปุ่นทำในไทยมานานเข้าใจถึงสภาพอากาศหรือลักษณะขับและการใช้งาน หรือแม้กระทั่งบางค่ายมีถึงรู้ว่าอาการอะไรจะทำให้คนไทยรู้สึกว่ารถคันนั้นดีหรือไม่ดี ซึ่งรถทางยุโรปพึ่งมาทำตลาดในไทยแบบเต็มตัวกันมากๆได้ไม่นานและมีแต่บางค่ายเท่านั้นที่จริงจัง ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เหมือนกันอันนี้ก้มีผลจริงครับแต่ก้ไม่ใช่ทั้งหมดแต่รถเกรย์อะแน่ๆเพราะไม่ได้ประกอบสำหรับอากาศแบบเรา ผมไม่เคยพูดกับใครนะครับว่าอันไหนทนกว่ากัน ยุโรป ญี่ปุ่น เพราะถ้าตามประสบการณ์ผมๆว่าก้ไม่ได้ต่างกันเยอะ
-
มันก็ทนเหมือนกันแหละ แต่ราคา บำรุงรักษามันไม่เท่ากัน พออายุยิ่งเยอะ ก็ยิ่งซ่อมเยอะ ราคาก็จะสูง
ผู้ใช้ก็จะซ่อมไม่ครบจุด มันก็เลยดูไม่ทน ถ้าซ่อมตาม ตารางที่เค้าบอกทุกอย่าง ก็ใช้ ทนได้เหมือนกัน
ส่วนใหญ่รถยุโรปที่มีปัญหาคือซ่อมไม่ถึง อะไหล่ไม่แท้ ช่างไม่เก่ง ถ้าช่างดี ซ่อมถึง อะไหล่แท้ ทนกว่ารถญี่ปุ่นแน่นอน
-
ขนาดw124ผมไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่มันก็ยังเรียกได้ว่าจุกจิกกว่ารถญี่ปุ่นทุกคันที่ใช้มาเยอะ อาจเพราะรถญี่ปุ่นมันไม่ค่อยมีอะไรให้เสียมั้ง
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
+1
-
ิคิดว่าไส้ในของรถ สิ่งที่เรามองไม่เห็นที่ซ่อนอยู่ใต้ฝากระโปรง มันซับซ้อนกว่ารถญี่ปุ่นครับ
สงสัยจังว่าค่าย BMW กับ Benz ที่ชอบจัดงาน Driving experience เชิญลูกค้ามาขับรถ All wheel drive ต่างๆ เช่น X3 X5 GLC GLE
เวลาเอาไปลุยโคลน ลุยทางวิบาก ลุยน้ำ ไฟเตือนต่างๆ จะโชว์ไหม 5555+ เพราะได้ยินมาว่าเป็น SUV แต่ก็ถนัดแต่ทางเรียบและกลัวน้ำ
ถ้ามีการ follow up เรื่องนี้คงจะดี ลูกค้าจะได้รู้ว่าเป็นยังไง
ตอนที่ขับทดสอบหรือถ่ายทำโฆษณา ไฟเตือนต่างๆคงไม่โชว์ ระบบต่างๆยังไม่รวน
แต่ถ้าหลังจากเอารถกลับไปจอดที่โรงงาน/โชว์รูม ตามเดิม จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
แต่มั่นใจว่าเอา Fortuner กับ Pajero ไปทดลองขับแบบนั้น คงไม่มีไฟเตือนอะไรโชว์แน่นอน 8)
-
รถยุโรปไม่ใช่ไม่ทนนะครับ มันทน เพียงแต่ว่าต้องซ่อมให้ถึง ดูแลให้ดี และเครื่องเกียร์ วิ่งกันได้หลายแสนหละ เพียงแต่ค่าดูแลมันแพงกว่ามากครับ
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
ถ้าปัญหาเยอะขนาดนั้นรถลิมูซีนของสนามบินบางคันขับมาสามแสน สี่แสนกิโล อยู่ได้ยังไง ค่าโดยสารพอกับค่าซ่อม ค่าเสียเวลาไปซ่อมหรือ
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
เห็นด้วยครับ จากประสบการ์ที่ผ่าน VW, MB, BMW และ Mini ใช้เกิน 5 ปีมานะครับ
ระบบไฟ - ซับซ้อน กล่อง สายไฟ เซ็นเซอร์ เยอะมาก ผลัดกันเจ๊ง ไม่เตือนก่อน เสียไฟโชว์เลย
สายไฟกับพวกพลาสติก - เจออากาศบ้านเรา ใช้เกิน 5 ปี ถ้าไปแกะ โอกาสกรอบแตกสูง
เครื่องยนต์ - หลังๆยุโรปมาเป็นฉีดตรงเทอร์โบ เจอร้อนๆกับน้ำมันบ้านเรา พวกปั๊ม กับหัวฉีดมักอยู่ไม่ทน
ช่วงล่าง - ลองไปมุดดูจะรู้เลยครับ จุดต่อเยอะมาก ผมเคยไปมุด Bentley คันเบ่อเร่อ บูชตัวนิดเดียว เจอถนนบ้านเรา ไม่เหลือ
ญี่ปุ่นออกแบบง่ายเทคโนโลยีง่ายและเน้นปรับปรุงต่อยอดจากของเดิมที่ดีอยู่แล้วมากกว่าครับ ระบบไฟฟ้าแน่นอนกว่ามาก
ยุโรปก็ไม่ได้พังทุกคัน แต่ค่าเฉลี่ยขึ้นยานแม่มันสูงกว่ารถญี่ปุ่นแค่นั้นเองครับ รับความเสี่ยง ซ่อมถึงพร้อมจ่ายได้ก็ใช้รถมีความสุขครับ
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
พี่เทียบ A6 กับ อัลติส นี่มันกระดูกคนละเบอร์เลยนะฮะ
ลองดูคู่ A6 กับ IS/GS อะไรประมาณนี้ดูสิครับ
จะได้ดูด้วยว่าพวก IS/GS ด้านความทนทานมันสู้เยอร์มันได้รึเปล่า
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
พี่เทียบ A6 กับ อัลติส นี่มันกระดูกคนละเบอร์เลยนะฮะ
ลองดูคู่ A6 กับ IS/GS อะไรประมาณนี้ดูสิครับ
จะได้ดูด้วยว่าพวก IS/GS ด้านความทนทานมันสู้เยอร์มันได้รึเปล่า
เข้าใจครับ ผมแค่เทียบให้เห็นภาพเฉยๆ ส่วนจะเอาไปเทียบ Lexus อย่าเทียบให้เหนื่อยเปล่าเลยครับ
ผมซื้อ E39 เพื่อนผมซื้อ GS300
ผมซื้อ E90 เพื่อนผมซื้อ IS250
ขอมันดูบิลค่าซ่อมแต่ล่ะปี ช้ำใจครับ BMW ล่อปีล่ะแสนกว่า Lexus ไม่ถึง 5หมื่นด้วยซ้ำครับ จนปัจจุบันมันยังไม่ขายเลยครับ ผมนี่ขายไปหมดแล้ว แถมขาย E39 ไป แล้วไปออก E60 แล้วขาย E60 แล้วมันยังเก็บ GS อยู่เลยครับ
ส่วนของพี่สมิท ผมก็ไม่รู้ครับ ผมใช้จริง ซ่อมจริง จ่ายจริง ตามไปดูที่อู่จริง ก็ว่ากันตามจริง ถ้าพี่รู้ว่าทำไมรถโรงแรมแบกค่าซ่อม ค่าเสียเวลาซ่อมได้ พี่บอกผมด้วยนะครับ ผมก็อยากใช้ยุโรปแต่โคตรเบื่อเอารถไปซ่อมเลยครับ
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
พี่เทียบ A6 กับ อัลติส นี่มันกระดูกคนละเบอร์เลยนะฮะ
ลองดูคู่ A6 กับ IS/GS อะไรประมาณนี้ดูสิครับ
จะได้ดูด้วยว่าพวก IS/GS ด้านความทนทานมันสู้เยอร์มันได้รึเปล่า
เข้าใจครับ ผมแค่เทียบให้เห็นภาพเฉยๆ ส่วนจะเอาไปเทียบ Lexus อย่าเทียบให้เหนื่อยเปล่าเลยครับ
ผมซื้อ E39 เพื่อนผมซื้อ GS300
ผมซื้อ E90 เพื่อนผมซื้อ IS250
ขอมันดูบิลค่าซ่อมแต่ล่ะปี ช้ำใจครับ BMW ล่อปีล่ะแสนกว่า Lexus ไม่ถึง 5หมื่นด้วยซ้ำครับ จนปัจจุบันมันยังไม่ขายเลยครับ ผมนี่ขายไปหมดแล้ว แถมขาย E39 ไป แล้วไปออก E60 แล้วขาย E60 แล้วมันยังเก็บ GS อยู่เลยครับ
ส่วนของพี่สมิท ผมก็ไม่รู้ครับ ผมใช้จริง ซ่อมจริง จ่ายจริง ตามไปดูที่อู่จริง ก็ว่ากันตามจริง ถ้าพี่รู้ว่าทำไมรถโรงแรมแบกค่าซ่อม ค่าเสียเวลาซ่อมได้ พี่บอกผมด้วยนะครับ ผมก็อยากใช้ยุโรปแต่โคตรเบื่อเอารถไปซ่อมเลยครับ
-
รถยุโรปมันมีจุดให้เสียมากกว่ารถญี่ปุ่นไงละครับ แต่ก็เพราะแบบนี้ มันถึงได้ ขับดีกว่า แน่นกว่า เนี้ยบกว่ารถญี่ปุ่น
-
ตาม คห บนๆเลยครับ ชิ้นส่วนรถยุโรปเยอะและมักจะพ่วงเข้าหากันไปหมด เวลารวนหนึ่งตัวเลยเป็นไปได้ที่จะรวนไปหมด
รถยุคนี้ยิ่งมี Safe mode อีก เสียนิดหน่อยล็อกเลย ไม่ให้สตาร์ท ไม่ให้ขยับใดๆ
อีกประการก็คงเป็นที่ตัววัสดุเอง ที่ไม่ได้พัฒนามาเพื่อใช้งานในสภาพอากาศที่นรกแตกอย่างไทย
เผลอๆเจอน้ำมันบ้านเราที่ไม่ได้สะอาดเท่าที่อื่น ก็ตายอีก
-
คำถามกว้างอะครับ และเทียบกันยากนะ
เครื่องยนต์คนละแบบ
เกียร์คนละยี่ห้อ
พวงมาลัยก็ต่างกัน
ระบบไฟฟ้า ก้อไม่เหมือน
เซตช่วงล่างก็ต่างกัน
มันเทียบระบุชัดๆไปเลยีกว่าว่าอะไรที่ทนกว่า มั้ยครับ เหมารวมๆ ยี่ห้อเดียวกันมันยังต่างกันเลย ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้น
และจากประสบการณ์ผมนะครับ รถยุโรปส่วนใหญ่ มีอุปกรณีที่รถญี่ปุ่นไม่มี พวกระบบไฟฟ้า หรือการเซตช่วงล่าง แตให้มีระบบเหมือนกัน แต่ยี่ห้ออุปกรณีมันคนละเกรด
การซ่อม ต้องซ่อมให้ถึงทั้งคุ่ จะได้เทียบกันได้ ไม่ใช้ซ่อมญี่ปุ่นครบทุกตัว แต่ยุโรปแค่พอวิ่งได้
ยกตัวอย่าง ตอนนี้ผมใช้ w212 ตั้งแต่ จะ6ปี เปลี่ยนโช็คไป 3 ชุด โฟกัสก็2 รอบ
แต่ Accord G8 ผมยังปกติเลย แบบนี้เรียกว่า G8 ทนกว่าก็ไม่เสมอไป เพราะผมแทบจะไม่เคยซัดหนักเลย ขับชิว นานๆทีจะกดหนักๆ
ต่างกับอีก2คัน ซัดแทบทุกครั้งที่มีโอกาส คอสะพาน ลูกระนาด
ผมเชื่อว่ามันคือลักษณะการใช้งานและการบำรุงรักษา
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
ถ้าปัญหาเยอะขนาดนั้นรถลิมูซีนของสนามบินบางคันขับมาสามแสน สี่แสนกิโล อยู่ได้ยังไง ค่าโดยสารพอกับค่าซ่อม ค่าเสียเวลาไปซ่อมหรือ
รถลิมูซีนสนามบินเค้าวิ่งกันจะล้านกิโลแล้วครับ ในภาพคือW211 E220 CDI ตัวแรกที่คนบอกว่าจุกจิกสารพัดกล่อง SBCที่บ่นๆกันนั่นแหละ ทนกว่ารถญี่ปุ่นมั้ยคงคนสู้อัลติสไม่ได้ แต่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทนระดับนึงหละครับ ถามว่าอยู่ได้ยังไง ค่าบริการไงครับ แพงได้ใจ แล้วรถพวกนี้ซ่อมอู่หมด ราคาไม่แรงแบบซ่อมศูนย์ เอาเป็นว่าอู่ที่ทำคันนี้ค่าซ่อมถูกกว่าศูนย์ซัก2-3เท่าละกัน
ส่วนตัวผมใช้W212 E200 CGI ใช้มา8ปี วิ่งไป140,000โล เข้าศูนย์ตลอด ตลอดการใช้งานค่าซ่อมไม่ถึงสองแสน ไม่จุกจิกเท่าที่ควร ผมรับได้นะ ส่วนLexus ผมใช้ES 300 อยู่ เพื่อนพ่อส่งมาให้ใช้ต่อวิ่งไป130,000 แอบจุกจิกเหมือนกัน ถามว่ามันจะทนกว่ารถยุโรปมั้ย ส่วนตัว ผมคิดว่ามันทนกว่านะ เพราะ พลาสติกภายในมันธรรมดาไม่เน้นสวยงาม ไม่สวยเลยอะ เหมือนทำมาเพื่อความทนทานจนคิดว่าไม่น่ากรอบแตกง่ายๆ เครื่องยนตร์ก็NA ธรรมดา เทียบกับฝั่งยุโรปปีเดียวกันมีเทอโบ ซุปเปอชารจ์ สายไฟเยอะกว่าจะให้ทนกว่าได้ไงหว่า
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
ถ้าปัญหาเยอะขนาดนั้นรถลิมูซีนของสนามบินบางคันขับมาสามแสน สี่แสนกิโล อยู่ได้ยังไง ค่าโดยสารพอกับค่าซ่อม ค่าเสียเวลาไปซ่อมหรือ
รถลิมูซีนสนามบินเค้าวิ่งกันจะล้านกิโลแล้วครับ ในภาพคือW211 E220 CDI ตัวแรกที่คนบอกว่าจุกจิกสารพัดกล่อง SBCที่บ่นๆกันนั่นแหละ ทนกว่ารถญี่ปุ่นมั้ยคงคนสู้อัลติสไม่ได้ แต่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทนระดับนึงหละครับ ถามว่าอยู่ได้ยังไง ค่าบริการไงครับ แพงได้ใจ แล้วรถพวกนี้ซ่อมอู่หมด ราคาไม่แรงแบบซ่อมศูนย์ เอาเป็นว่าอู่ที่ทำคันนี้ค่าซ่อมถูกกว่าศูนย์ซัก2-3เท่าละกัน
ส่วนตัวผมใช้W212 E200 CGI ใช้มา8ปี วิ่งไป140,000โล เข้าศูนย์ตลอด ตลอดการใช้งานค่าซ่อมไม่ถึงสองแสน ไม่จุกจิกเท่าที่ควร ผมรับได้นะ ส่วนLexus ผมใช้ES 300 อยู่ เพื่อนพ่อส่งมาให้ใช้ต่อวิ่งไป130,000 แอบจุกจิกเหมือนกัน ถามว่ามันจะทนกว่ารถยุโรปมั้ย ส่วนตัว ผมคิดว่ามันทนกว่านะ เพราะ พลาสติกภายในมันธรรมดาไม่เน้นสวยงาม ไม่สวยเลยอะ เหมือนทำมาเพื่อความทนทานจนคิดว่าไม่น่ากรอบแตกง่ายๆ เครื่องยนตร์ก็NA ธรรมดา เทียบกับฝั่งยุโรปปีเดียวกันมีเทอโบ ซุปเปอชารจ์ สายไฟเยอะกว่าจะให้ทนกว่าได้ไงหว่า
รถยุโรปลิมูซีนโรงแรม เค้าไปซ่อมกันอู่ไหนมั่งครับ ท่าทางจะซ่อมจนชินมือแล้ว :-* :-* :-*
-
เอาแบบที่ผมเห็นจะๆเลยนะครับ
1. ระบบไฟฟ้า ญี่ปุ่นทำซับซ้อนน้อยกว่าเยอะมากครับ เช่น ระบบเซนทรัลล๊อค กล่องของญี่ปุ่นแทบจะเป็นแบบ Stand Alone ไม่เหมือนของยุโรปที่ชอบกับระบบเซ็นเซอร์ต่างๆพอเซ็นเซอร์เริ่มรวน มันก็รวนทั้งระบบครับ
2. วัสดุปิดความสวยงามรถยุโรปเยอะกว่า เช่น ฝาครอบเครื่อง ฝาครอบต่างๆนาๆ บุวัสดุซับต่างๆ วัสดุหุ้มคอนโซลและแผงประตูต่างๆ เป็นที่มาว่าทำไมรถยุโรปมันแน่น และเก็บเสียงดี แต่พอกาลเวลาผ่านไปกลายเป็นภาระของผู้ใช้เมื่อมันเสื่อมสภาพ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเก็บรายละเอียดสูงมาก เมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นที่รื้อคอนโซลมา เปิดแผงประตูมา เจอเหล็กเลย
3. ระบบเซ็นเซอร์ยุโรปเยอะมาก เยอะจนปวดหัว เซ็นเซอร์ผ้าเบรค เซ็นเซอร์จับระดับตัวรถ เซ็นเซอร์จับปิดประตูไม่สนิท อากาศบ้านเรามันร้อนมาก พอใช้งานไปซักพักมันมีเอ๋อครับ ที่ผมเข็ดมากๆคือเซ็นเซอร์กันขโมยในห้องเครื่องของ E60 ที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม วันนึงผมไปพาพราก้อน กว่าจะหาที่จอดรถได้ก็ยากมากแล้ว พอจอดได้จะล๊อครถ เดินไปยังไม่ถึงทางเข้ากันขโมยร้อง หาไปหามา มันฟ้องมาเซ็นเซอร์ปิดฝากระโปรงหน้าเอ๋อ จบครับ ขับรถกลับบ้าน ล๊อครถไม่ได้
4. เครื่องยนต์ยุโรปมีระบบที่ซับซ้อน การวางเลย์เอ้าเครื่องสะสมความร้อนมากกว่า ผมซ่อม BMW BENZ AUDI มาจนชินตากับห้องเครื่องแน่นมาก ฝาปิดโน่นนั่น สายไฟระบบต่างๆเต็มไปหมด น่าจะเป็นที่มาว่าทำไม CC เครื่องเท่ากันรถยุโรปส่วนมากจะแรงกว่า โดยเฉพาะความเร็วปลาย แต่พอผมมาเปิดห้องญี่ปุ่น นี่ถึงร้อง มันช่างโล่ง มองเห็นพื้นเลยครับ วางเลย์เอ้าแบบเข้าใจง่ายมาก แล้วมันโผล่มาให้เห็นหมด ไม่ต้องมุดหาเลยว่าอยุ่ตรงไหน
5. ระบบแอร์ยุโรป ส่วนมากจะมีระบบซับซ้อนและมีฮีตเตอร์ ยกระบบแอร์ทีนึงรถยุโรปประมาณ 4-5 หมื่น รายการท่อ โอริง มาเป็นหางว่าวเลยครับ ผิดกับระบบแอร์ญี่ปุ่นที่ง่ายๆ เย็นอย่างเดียว เปิด 27 ยังหนาวไข่หดเลยครับ
6. สุดท้าย ระบบช่วงล่างรถยุโรปที่ขึ้นชื่อ มีจุดเชื่อมต่อ ทั้งลูกหมาก บูช เยอะกว่ารถญี่ปุ่นเยอะมาก ครึ่งผมไปเปลี่ยนยาง ช่างยกอัลติสหน้าหมูขึ้น ผมเห็นเพลาขับหน้า/หลัง แทบร้องนี่เพลาขับหรือไม้กลอง หันมามองของ A6 ใหญ่และแน่นหนากว่าเยอะ
เท่าที่ผมเห็นประมาณนี้นะครับ ส่วนใครที่คิดว่ารถยุโรปถึงทนกว่าญี่ปุ่น อันนี้เถียงขาดใจ ไม่จริงเลยครับ ช่วงล่างเปลี่ยนยกหมด ของใหม่ของแท้ ไม่ถึงปีมีเสียงอีกแล้ว แล้วยิ่งพวกกล่องต่างๆนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย รับประกัน 3 เดือน พอเดือนที่ 4 มันพังเลย ซ่อมถึงแล้วทนกว่าผมยืนยันไม่จริงครับ
ส่วนที่ผมทึ่งมากๆกับญี่ปุ่นคือ ระบบไฟฟ้าเค้าแน่นอนมาก รถญี่ปุ่นที่บ้านไม่เคยเจอปัญหา กล่อง ABS CentralLock ECU หรือระบบกระจกไฟฟ้า ม่านไฟฟ้า ประตูดูดพังแม้แต่ครั้งเดียว บางคันวิ่งไป 3-4 แสนผ่านมือผ่านเท้าคนขับรถยังไม่เคยเสียเลย แต่ยุโรปที่ใช้อย่างทนุถนอม 2 ปี เสีย ซ่อมอีก 1-2 ปี ไม่ไฟโชว์ก็เสียอีกแล้ว
ถ้าปัญหาเยอะขนาดนั้นรถลิมูซีนของสนามบินบางคันขับมาสามแสน สี่แสนกิโล อยู่ได้ยังไง ค่าโดยสารพอกับค่าซ่อม ค่าเสียเวลาไปซ่อมหรือ
รถลิมูซีนสนามบินเค้าวิ่งกันจะล้านกิโลแล้วครับ ในภาพคือW211 E220 CDI ตัวแรกที่คนบอกว่าจุกจิกสารพัดกล่อง SBCที่บ่นๆกันนั่นแหละ ทนกว่ารถญี่ปุ่นมั้ยคงคนสู้อัลติสไม่ได้ แต่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าทนระดับนึงหละครับ ถามว่าอยู่ได้ยังไง ค่าบริการไงครับ แพงได้ใจ แล้วรถพวกนี้ซ่อมอู่หมด ราคาไม่แรงแบบซ่อมศูนย์ เอาเป็นว่าอู่ที่ทำคันนี้ค่าซ่อมถูกกว่าศูนย์ซัก2-3เท่าละกัน
ส่วนตัวผมใช้W212 E200 CGI ใช้มา8ปี วิ่งไป140,000โล เข้าศูนย์ตลอด ตลอดการใช้งานค่าซ่อมไม่ถึงสองแสน ไม่จุกจิกเท่าที่ควร ผมรับได้นะ ส่วนLexus ผมใช้ES 300 อยู่ เพื่อนพ่อส่งมาให้ใช้ต่อวิ่งไป130,000 แอบจุกจิกเหมือนกัน ถามว่ามันจะทนกว่ารถยุโรปมั้ย ส่วนตัว ผมคิดว่ามันทนกว่านะ เพราะ พลาสติกภายในมันธรรมดาไม่เน้นสวยงาม ไม่สวยเลยอะ เหมือนทำมาเพื่อความทนทานจนคิดว่าไม่น่ากรอบแตกง่ายๆ เครื่องยนตร์ก็NA ธรรมดา เทียบกับฝั่งยุโรปปีเดียวกันมีเทอโบ ซุปเปอชารจ์ สายไฟเยอะกว่าจะให้ทนกว่าได้ไงหว่า
รถยุโรปลิมูซีนโรงแรม เค้าไปซ่อมกันอู่ไหนมั่งครับ ท่าทางจะซ่อมจนชินมือแล้ว :-* :-* :-*
ที่ผมเห็น อู่ BMW ราชพฤกษ์ มี E66 โรงแรมป้ายเขียวจอดเต็มเลยครับ ตามที่ความเห็นด้านบนว่าเค้าซ่อมอู่นอกอยู่แล้ว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เรื่องเวลาเอาไปซ่อมผมก็ไม่แน่ใจถ้ามันจุกจิกเวลาใช้งานไปเยอะแล้ว เอาเวลาที่ไหนไปซ่อมหว่า
-
ความทนทาน ไม่รู้พอใจกันระดับไหน
คนไทยติดภาพ แค่รถวิ่งได้ขับได้
สมัยเก่า เสียงเครื่องยนต์ทั้งช่วงล่าง ดังมโหลก โขกเขก ก็ยังว่ามันทน พอรถยุโรปมี อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องอำนวยสะดวกเข้ามาเยอะแยะจิปาถะ ไม่ใช่งั้นแล้วสิ ต้องทำความเข้าใจ รถยุโรปแค่หายใจไม่โล่งไฟก็แจ้งเตือนแล้ว เหมือนกับสุขภาพเรามีข้อ บกพร่องนะเครื่องตรวจจับได้ ส่วนรถญีปุ่นรอให้มันพังค่อยรักษาทีเดียว เหมือนคนโบราญ ไม่ค่อยใส่ รายละเอียด อดทนจนถึงที่สุดจนไม่ไหวค่อยบอกว่ามันพัง
-
รถญี่ปุ่น ถ้าเป็นตัวแพงๆ อย่างalphardก็ซ่อมเดือดเหมือนกันนะครับ รถนำเข้าอะไหล่แพง หมดค่าซ่อมเป็นหลักแสนอยู่
แต่แพงยังไงก็สู้รถยุโรปไม่ได้ครับw211อายุ12ปีค่าซ่อมปีละ แสน จุกเหมือนกัน
แต่จากประสบการณ์ คิดว่ารถญี่ปุ่นอึดกว่าแน่นอนครับ
-
เรื่องเครื่องยนต์กับเกียร์ผมว่ามันทนมากเลยนะครับรถอากงผม e200 w211 ปี 2003 ปัจจุบันเครื่องเกียร์ก็ยังอยู่ดีครับ
แต่ซ่อมเหนื่อยพวกระบบไฟกับแอร์นี้หละครับแพงโคตรๆ ซ่อมใหญ่ทีเตรียมเงินหลักแสนไว้เลยครับ
แล้วคันนี้มีปัญหาเรื่องแอร์ตั้งแต่ออกมาเหมือนระบบมันรวนๆเปิด 25 ร้อนต้องเปิดไว้ซัก 22-23
กับขีดวัดน้ำมันไม่ตรงเอาไปแก้กับศูนย์มา 3 รอบเลยปล่อยเลยตามเลย
-
รถยุโรปไม่ใช่ไม่ทนนะครับ มันทน เพียงแต่ว่าต้องซ่อมให้ถึง ดูแลให้ดี และเครื่องเกียร์ วิ่งกันได้หลายแสนหละ เพียงแต่ค่าดูแลมันแพงกว่ามากครับ
+1ครับ ต้องซ่อมถึง เงินถึง ช่างถึง อะไหล่ถึง ใช้ยาวครับ
-
น่าเป็นส่วนของการประกอบด้วยนะครับ
เห็นรถยุโรป เช่น benz / bmw ป้ายแดง หลายรุ่น
บ่อยครั้งที่ไฟเบรค / ไฟท้าย ติดข้างเดียว เห็นมาหลายคันจะ 20 ปีละ ก็ยังมีให้เห็นอยู่ครับ 8)
-
ที่ผมเห็น อู่ BMW ราชพฤกษ์ มี E66 โรงแรมป้ายเขียวจอดเต็มเลยครับ ตามที่ความเห็นด้านบนว่าเค้าซ่อมอู่นอกอยู่แล้ว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย แต่เรื่องเวลาเอาไปซ่อมผมก็ไม่แน่ใจถ้ามันจุกจิกเวลาใช้งานไปเยอะแล้ว เอาเวลาที่ไหนไปซ่อมหว่า
ส่วนใหญ่รถสนามบินจะมีรถสลับสับเปลี่ยนเหมือนอู่ให้เช่าแท๊กซี่แบบนั้นอะครับ แล้วส่วนใหญ่อู่ซ่อมจะทำงานค่อนข้างไว จากที่ผมเห็นคือวันนึงซ่อมW211อย่างน้อยวันละ4คัน สำหรับอาการเล็กๆ แต่ถ้าเป็นงานใหญ่พวกโอเวอฮอลเครื่องเกียร์คือ 1-5วัน เน้นส่งรถอาการเล็กๆก่อน ที่กล่าวมานี้ผมไม่ใช่เจ้าของอู่นะครับ คือเอารถไปทำที่นี่บ่อย คุยกับช่างจนรู้อะไรหลายอย่าง เคยไปบ่นน้อยใจไม่ทำรถให้ผมซักทีทำแต่รถสนามบิน ;D ส่วนW211นี่ คือมันไม่ได้จุกจิกขนาดนั้นครับ แต่ก็จุกจิกตามสไตล์รถยุโรปนะครับ บางอย่างที่ซ่อมไปแล้วมันจะไม่กลับมาเสียในเร็วๆนี้อีกแน่นอน อย่างW211 ที่ผมสัมผัสมาคือ คนกลัวๆกับไอกล่องกล่องsbcเสียนี่หละ ซึ่งจริงๆมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเสียก็สไลด์เข้าอู่อย่างเดียว ค่ากล่องsbcตอนนี้ของใหม่ประมาณ4-5หมื่น เปลี่ยนทีใช้ลืมวิ่งไปเลยเป็นแสนโล ส่วนอื่นก็เปลี่ยนตามอาการ 2-3เดือนมาถ่ายน้ำมันเครื่องที ช่างก็จะเช็ครถให้พร้อมอยู่แล้ว เช็คด้วยตาเปล่ากับมีเสียบคอมหาค่าfaultทั่วไป จนบางทีผมยังพูดแซวช่างเลยว่าซ่อมแต่รุ่นนี้จนผมจะไปหามาให้ซ่อมละเนี่ย ::)
-
คุณลอง เทียบ ตัวถังกับ ตัวถัง ใครทนกว่า ยุโรป ถ้าไม่เฉี่ยวไม่ชน ต่อให้จมน้ำ งัดขึ้นมา มันก็ไม่ผุ ผุยากมากถ้าตัวถังไม่ยับ
ระบบ คุณจะไม่เห็นยุโรปไฟท้ายติดข้างเดียว...แค่สว่างไม่ได้เกณฑ์ มันบอกให้เปลี่ยนแล้วครับ.. ลองตัดระบบเซนเซอร์ออก เช่น เตือนไฟเบรค ไฟท้าย ไฟส่องป้าย ไฟเลี้ยว ขาด ฯลฯ
ระบบการทรงตัว การควบคุมเสถียรภาพออก
เครื่องยนต์ เอาแค่เครื่องติด ตัดระบบชดเชยต่าง ๆ ออกไป
ถ้าทำแบบนี้ มันทนกว่าแน่นอนครับ คุณจะเห็นรถบีเอ็มเก่า ๆ แล้วยัดเครื่องเจโบ ตัดระบบต่าง ๆทิ้งไป วิ่งกันเกลื่อน...เป็นตัวชี้วัด
-
ยิ่งออปชั่นเยอะ ยิ่งจุกจิกครับ เพราะมันมีจุดซ่อมเยอะกว่าครับ
-
เคยคิดว่าคันต่อไปจะออกรถยุโรปสักคัน
เปลี่ยนความคิดไปออก Lexus น่าจะดีสุด
รถยุโรปมันดี ชอบนะ น่าใช้มาก แต่ถ้าจุกจิกขนาดนั้น มันก็ไม่ไหว
-
รถญี่ปุ่นจุกจิกน้อยกว่า การบำรุงรักษาง่ายกว่าครับ แต่รถยุโรปผมว่าพวกโครงสร้าง สี ฝีมือประกอบจะทนต่อการเวลามากกว่า
-
ใครทนกว่ากันไม่รู้ สรุปกันยาก
ไปดู predicted reliability ของ consumer report จบกว่า
แถมเจ้านั้นยังมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมบำรุงต่อปีของรถแต่ละยี่ห้อด้วย
-
เข้ามาอ่าน
-
ยุโรปจะทนกว่าได้ไงครับ บอกซ่อมไม่ถึงมั้ง ไม่ตรงจุดบ้าง
คือถ้ามันไม่เสียมันจะไปเริ่มซ่อมได้ไงครับ มันซ่อมมากกว่ารถญี่ปุ่นเห็นๆ
เอาง่ายๆว่า รถญี่ปุ่น 5 ปี มีซ่อมกี่ครั้ง แล้วรถ ยุโรป 5 ปีมีซ่อมกี่ครั้ง
ยังไงยุโรปก็ทนน้อยกว่าเยอะครับ อาจจะไม่ใช่ว่าเครื่องยนต์ตัวถังไม่ทน แต่เป็นเพราะส่วนประกอบมันเยอะ ทำให้มีรายการต้องเข้าซ่อมเยอะกว่ามาก มันก็คือไม่ทนวันยังค่ำแหละครับ
-
รถยุโรปหมดยุคซ่อมถึง ช่างถึงไปแล้วมังครับ คลับเบนซ์นี่ไม่กี่เดือนก็ร้องจ๊ากกันละ รถยุโรปเซฟกว่าจริง แต่ถ้าซัดที่ 180 แบบแคมรี่คันนั้นผมก็ว่าตายทุกรายครับ
แต่ lexus ก็เป็นตัวเลือกที่ดีของคนที่เบื่อรถจุกจิกครับ
โดยเฉพาะการจราจรแบบบ้านเราจริงๆก็อยากได้แค่ โครงแข็งแรงเหมือนเบนส์ เครื่องทนเหมือนโตต้าก็พอละ :'(
-
เข้ามากลัว :)
-----------
ภาคออกทะเล ...
ในทางวิทยาศาสตร์ อวกาศและมนุษยชาติ ฯลฯ ..
การคงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น
จะเหมาะสมที่สุดในการดำรงชีวิตเฉพาะบนโลกใบนี้
เมื่อเราออกจากโลกใบนี้ หรืออยู่บนดาวดวงอื่น
ที่แรงโน้มถ่วงหรือสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป
จะทำให้ระบบร่างกายแปรปรวน มีผลต่อการดำรงเผ่าพันธ์
ทำให้อายุขัยสั้น มีแนวโน้มที่จะสูญพันธุ์ได้ง่าย
ทฤษฎีนี้ มีการนำมาดัดแปลงย้อนกลับมุมมองในภาพยนตร์เรื่อง
The day the earth stood still.
ที่พระเอก(มนุษย์ต่างดาว)ต้องมาเปลี่ยนแปลงคล้ายเกิดใหม่บนโลกก่อน
เพื่อปฏิบัติภารกิจต่างๆ
----------
สรุป รถยนต์เมื่ออยู่ในประเทศเกิด ปัญหาน่าจะน้อยกว่านี้มาก .. จบ ;D
-
ถ้าเอาความทนใช้งานหนักๆ ไม่ต้องไปนับพวกอุบัติเหตุนะครับ ญี่ปุ่นทนกว่าแน่นอน จากการใช้ส่วนตัว ทั่ง Fiesta และ Jazz แต่ถ้าวัดเรื่อง performance นั้นทางยุโรปดีกว่าเยอะ อันนี้ก็น่าจะเกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ทางญี่ปุ่นน้อยกว่ายุโรปมาก เลยลดทอนความจุกจิกความซับซ้อนลงไป ก็น่าจะทนกว่าแล้ว
-
เบนซ์รุ่นเก่า ผมว่าทนจริงนะ
แต่รุ่นหลังมา เทคโนโลยีไรไม่รู้ใส่มาเยอะแยะ ระบบไฟฟ้าเยอะ
มีจุดให้ซ่อมจุกจิกเยอะ
จริงๆอยากได้แบบแค่ หน้าตา และสมรรถนะแบบเบนซ์
เอาแค่วิ่งเกาะ ทน ถึก พอ
ฟังก์ชั่น เทคโนโลยี ระบบไฟฟ้า ไม่ต้องใส่มาเยอะมากก็ได้
-
ญี่ปุ่นทนกว่าเพราะการออกแบบที่เรียบง่ายกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า จุดที่จะให้เสียหรือทำงานผิดพลาดมันก็เลยน้อยกว่า
อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี
ประมาณว่าให้ลูกค้าซื้อรถที่มีเทคโนโลยีเต็มที่ แล้วพอรถเริ่มตกรุ่น ลูกค้าก็เอาคันเก่าไปเทิร์นเป็นคันใหม่ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ลูกเล่นเยอะกว่าแทน
แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
https://www.youtube.com/watch?v=r2H8Oqm1eQ4
-
อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี
:'( :'( :'(
-
.
.
รถญี่ปุ่นออกแบบ แบบง่ายมากๆ คนละเรื่องกับรถเยอรมันเลย
ความซับซ้อนต่างๆต่างกันเยอะ พอมันไม่ซับซ้อน
จุดที่เสียมันก็น้อยกว่าแค่นั้นแหละครับ
ลองรถยุโรปเอาเข้าศูนย์ตามระยะ ใช้อะไหล่แท้หมด มันก็ใช้ได้เรื่อยๆครับ
แค่มันจะแพงกว่า คนก็จะบ่นแค่นั้นแหละ
แต่จริงๆถ้าว่ากันตาม concept แล้ว รถยุโรปต้องทนกว่าอยู่แล้ว
เพราะยุโรปใช้รถกันนานกว่าที่ญี่ปุ่น อย่างที่ญี่ปุ่นภาษีรถเก่าจะแพงมากๆ
คนเลยนิยมเปลี่ยนรถบ่อยกว่า อะไหล่ถึงเต็มเชียงกง
อยู่เมืองไทยถ้างบน้อย ใช้รถญี่ปุ่นสบายใจกว่าครับ
-
ญี่ปุ่นทนกว่าเพราะการออกแบบที่เรียบง่ายกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า จุดที่จะให้เสียหรือทำงานผิดพลาดมันก็เลยน้อยกว่า
อีกอย่างคือ พวกรถยุโรปแพงๆทั้งหลาย (ถ้านับเฉพาะรถ Luxury นะ) มักตั้ง target ผู้ซื้อที่มีกำลังในการซื้อสูง
สามารถเปลี่ยนรถได้บ่อยๆทุก 3-5ปี (ซึ่งยังอยู่ในระยะรับประกัน) ผู้ผลิตก็มักจะออกแบบรถและวัสดุให้ใช้ได้เต็มประสิทธิภาพที่สุดแค่3-5ปี
ประมาณว่าให้ลูกค้าซื้อรถที่มีเทคโนโลยีเต็มที่ แล้วพอรถเริ่มตกรุ่น ลูกค้าก็เอาคันเก่าไปเทิร์นเป็นคันใหม่ที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ลูกเล่นเยอะกว่าแทน
แล้วก็วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
https://www.youtube.com/watch?v=r2H8Oqm1eQ4
อันนี้น่าสนใจครับ
-
เอาที่เรียกได้ว่าทน
ผมเห็นจะมีแค่โตโยต้า Vios Altis Honda Jazz City
นอกนั้นอายุอะไหล่สั่นพอๆกะรถยุโรป
เอาพวกรถวิ่งเมืองหนาว ลุยหิมะได้มาวิ่งไทย ร้อนๆ อะไรๆก็เสื่อมเร็ว
ถ้ารถยุโรปหันมาใช้เครื่องเย็น เดี๋ยวก็กินน้ำมันหนักเท่ารถญี่ปุ่นเครื่องขนาดเดียวกันอีก
-
W213 ผมปีเดียว จอดในโรงไม่โดนแดดโดนฝน วิ่ง 5,000 โล
ไฟ led ส่องใต้กระจกซ้ายดับ ตอนนี้นอนศูนย์ ยังไม่รู้เป็นที่ไหน หลอดหรือแผงวงจร
-
รถค่ายจากญี่ปุ่นทำในไทยมานานเข้าใจถึงสภาพอากาศหรือลักษณะขับและการใช้งาน หรือแม้กระทั่งบางค่ายมีถึงรู้ว่าอาการอะไรจะทำให้คนไทยรู้สึกว่ารถคันนั้นดีหรือไม่ดี ซึ่งรถทางยุโรปพึ่งมาทำตลาดในไทยแบบเต็มตัวกันมากๆได้ไม่นานและมีแต่บางค่ายเท่านั้นที่จริงจัง ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เหมือนกันอันนี้ก้มีผลจริงครับแต่ก้ไม่ใช่ทั้งหมดแต่รถเกรย์อะแน่ๆเพราะไม่ได้ประกอบสำหรับอากาศแบบเรา ผมไม่เคยพูดกับใครนะครับว่าอันไหนทนกว่ากัน ยุโรป ญี่ปุ่น เพราะถ้าตามประสบการณ์ผมๆว่าก้ไม่ได้ต่างกันเยอะ
+1
-
รถยุโรป ไม่ใช่ว่าไม่ทนนะครับ แต่ผมว่ามันจุกจิกกว่า อาจจะเพราะระบบต่างๆมากมาย
รถญี่ปุ่น หลังๆก็เริ่มมีระบบต่างๆท่วมคันแล้วเหมือนกัน ผมว่าต่อไปก็คงจุกจิกพอกัน
-
ผมไม่ค่อยเปลี่ยนรถบ่อยๆ
ผมออก W213 มาจะครบ 2 ปีแล้วครับ
รู้สึกเสียงน่ารำคาญจากวัสดุแผงประตู คอนโซล และอื่นๆ มันเยอะขึ้นเรื่อยๆ (รู้สึกเกรดวัสดุจะต่ำลงเน้น วัสดุรีไซเคิล)
พวงมาลัยปรับขึ้นลงก็ฝืด(Easy entry ปรับขึ้นได้บ้าง ไม่ได้บ่้างต้องกดก้าปรับเองย้ำๆ) และ intelligent light ก็รวนไปรอบนึง (ส่องมั่ำไปหมด ถูกคันที่สวนส่องไฟสูงกลับ)
รถ Camry ACV40 ใช้มา 8-9 ปี เสียงน่ารำคาญจากวัสดุในห้องโดยสารแทบไม่มี
ทางครอบครัวก็บอกนั่งไม่ค่อยสบาย ตอนนี้เลยไปจอง Alphard แล้วครับ ผมดันซื้อ Warranty 5 ปี ที่รวมกับที่เหมารวมค่า Service ทุกอย่างไปแล้ว ก็เลยต้องใช้ให้คุ้มครับ
กะว่าครบหรือใกล้ๆหมด Warranty คงขาย
-
เป็นที่วัฒนธรรมองค์กรด้วยครับ บางค่ายในระยะประกันนี่ ไม่มีปัญหาไรเลย พอหมดประกันปุ๊บไฟโชว์ปุ๊บปับ ไอ้นั่นเสีย ไอ้นั่นต้องเปลี่ยน ยังผ่อนไม่หมด มีการเชียร์ให้เทิร์นคันใหม่ไปขับละ ::)
ยุคปัจจุบันผมไม่เชื่อว่ายุโรปทนกว่าญี่ปุ่นแน่นอน เผลอๆผมยังรู้สึกว่ารถเกาหลีทนกว่าด้วยซ้ำ
Electronic ก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆผมว่าแนวคิดองค์กรกับผู้บริหารมากกว่า จะทำให้มันเน้นทนทาน ทำไมจะทำไม่ได้ แต่เค้าเลือกที่จะไม่ทำมากกว่า มันหมดยุค overengineer แล้ว เน้นทำมาใช้ได้ 5-6 ปีก็พอ 555+
-
ผมขอเสนอ ครับว่า ใครบ้างที่ใช้รถแล้ว จดบันทึกว่ารถตัวเองเสียอะไรบ้างตอนเลขกิโลเท่าไหร่ ลองเอามาเทียบกันแล้วจะรู้ว่าอะไรทนหรือไม่ทน แล้วราคาอะไหล่แท้ ระหว่างรถยุโรปและญี่ปุ้นมาเทียบกันในแต่ละระดับจะรู้เลยว่า อะไรที่เสียบ่อย ค่าบำรุงมันต่างกันหรือเปล่า แต่ไม่มีใครทำหรอกครับ