Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: e:smart Hybrid ที่ พฤศจิกายน 28, 2018, 12:10:47
-
จากการที่ผมรู้สึกว่ารถ EV ใกล้เข้ามาในชีวิตบ้านเรามากขึ้น (เป็นรถในกลุ่ม ล้านกว่าๆ Premium)
ทำให้ผมรู้สึกว่า อนาคตบ้านเราอาจจะมีรถ EV มากขึ้น ถ้ารถอย่างเช่น Leaf ประกอบในไทย
แต่ผมสงสัยอย่างนึงครับ คือ ประเทศบ้านเราไม่มีโรงไฟฟ้า นิวเคลียร์
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2455&Itemid=116
สัดส่วนการใช้ไฟฟ้า จะเป็นพลังงานสิ้นเปลืองเป็นหลัก ซึ่งจะก่อให้เกิดมลพิษ (บ้าง)
และการที่เราผลิตไฟฟ้า มีเครื่องปั่นไฟ หม้อแปลง สายส่งผ่านๆ กันมาจนมาถึงเต้ารับที่ชาร์ทไฟ และเข้ารถยนต์
มันจะเกิด loss ไปเรื่อยๆ (ข้อดีมีครับ ที่ในเมืองจะมีมลพิษต่ำลง)
ผมสงสัยว่าสุดท้าย เราก็ยังใช้พลังงานสิ้นเปลืองเหมือนเดิม แล้วมันจะต่างอะไรกับการที่เราใช้รถน้ำมัน ในรถ Hybrid ครับ
ผมอยากขอความเห็นจากทุกท่านครับ ว่าทั้งสองแบบ อันไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน และแง่สิ่งแวดล้อมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
-
เรื่องสัดส่วนการผลิตไฟฟ้า ลองดูของอเมริกาเทียบครับ ถึงแม้เค้าจะมีรฟ.นิวเคลียร์ แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไรนะ
ส่วนของไทย
ลองอ่านนี่ครับ มาตรการรองรับระบบไฟฟ้า เพื่อรถไฟฟ้า
http://www.eppo.go.th/images/Infromation_service/studyreport/ensol.pdf
ปอลิง ไทยมีแผนทำรฟ.นิวเคลียร์ ในปี 2573 แล้วล่าสุดเลื่อนไปปี 78
และกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศตอนนี้ ล้นอยู่นะครัช จากพวกพลังงานทางเลือกต่างๆ มีข่าวอยู่เลยว่าล้นเยอะแยะ เพราะแห่กันขอโควต้าเพื่อขายไฟให้การไฟฟ้า
-
จาก โรงไฟฟ้าสิครับ internal combustion efficiency อย่างมากประมาน 50% เองครับ
-
ไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าในไทย หลักๆคือบ้านเรือนและอุตสาหกรรม
เขื่อน - อันนี้ตัดไปเลยในการปั่นไฟ เพราะการปล่อยน้ำขึ้นอยู่กับกรมชลฯ กฟผ ไม่ได้ปั่นไฟมากเท่าไหร่เลย มีหลายแห่งก็จริง
พลังความร้อน - ถ่านหิน,ก๊าซ,น้ำมันเตา นี่คือม้างานหลักของโรงไฟฟ้าไทย แต่มีแค่ไม่กี่แห่งที่ทำงานได้เต็มที่ เช่นแม่เมาะ พระนครเหนือ-ใต้ จะนะ แค่นี้แหละหลักๆ
นอกนั้นจะมีโรงไฟฟ้าเอกชนซึ่งเป็นถ่านหิน กับก๊าซ ป้อนไฟให้ กฟผ รับซื้อ แต่จะมีที่ป้อนไฟให้นิคมอุตฯ โดยตรงก็มี
ตอนนี้ไทยพึ่งโรงไฟฟ้าที่ไปสร้างในลาวเยอะ ภาคใต้ก็ซื้อเพิ่มจากมาเลฯ ความมั่นคงทางพลังงานยังไม่มีมากเลย
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2168:art-20171006-01&catid=49&Itemid=251
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=80&Itemid=116
จากเหตุผลแบบนี้ ไทย ควรทำควบคู่กันไปก่อน ไม่ใช่เอะอะก็จะดันรถ EV เต็มที่มันเว่อไป โรงไฟฟ้าจะสร้างก็ต่อต้านกัน
พลังงานหมุนเวียนกับไทยเป็นเรื่องตลกนึงนะ ใครมันจะมีพื้นที่เป็นหลายๆไร่เพื่อผลิตไฟฟ้าได้ถึง 1 MW คิดดูว่าจะใช้พื้นที่ใหญ่ขนาดไหน อีกทั้งแดดในไทยไม่ใช่จะมีตลอดปี แผงโซล่ามีประโยชน์ในแน่ช่วยลดค่าไฟในสเกลไม่ใหญ่มากกว่าจะผลิตเป็นอุตสาหกรรม เช่นติดบนหลังคาบ้านตัวเอง หลังคาสำนักงาน
อีกอันพลังงานลม อันนี้ยากเหมือนกัน ต้องหาพื้นที่ๆมีลมเฉลี่ย 21 กม/ชม ขึ้นไป ตลอดทั้งปี ซึ่งไทยมันมีมั้ย หายากมากถ้าไม่มีบนเข้าก็ทะเล
แต่ใครจะให้ติด ? มันมีมลพิษทางเสียงมากใช่ว่าจะไม่มี มีผลวิจัยอีกอย่างมันส่งผลต่อนกมาก เพราะคลื่นเสียง และการหมุนส่งผลต่อการส่งสัญญาณโทรทัศน์และไมโครเวฟ
ดังนั้นประเทศไทยทำอะไรก็อย่าเล่นเอาตามประเทศที่เค้าพร้อมแล้ว รถ EV น่ะดี แต่พื้นฐานในประเทศยังไม่ดีขนาดนั้นก็ควรทำควบคู่กันไป ไม่ใช่เร่งรีบทำตามเทร็นคนอื่น ดูอย่างฝรั่งเศสไว้ ที่เค้าประท้วงกันรุนแรงในตอนนี้
-
พลังงานไฟฟ้า ได้เปรียบตรงที่มีแหล่งผลิตได้หลากหลายรูปแบบครับ
ไม่ว่าจะนิวเคลียร์ แสงอาทิตย์ พลังงานลม ถ่านหิน พลังน้ำจากเขื่อน หรือแม้แต่ใช้พลังงานจากคลื่นทะเลก็ยังได้
และโดยภาพรวมมันสะอาดกว่าพวกเชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยครับ
ส่วนประสิทธิภาพอาจจะไม่ได้ต่างกันมากนัก อย่างไฟฟ้าก็มี loss เวลาขนส่งมาตามสาย
แต่น้ำมันเองก็ต้องมีการใช้พลังงานในการขนส่งไปตามปั๊มที่ต่างๆ ก็ถือว่ามีการ loss เหมือนกันนะ
-
อย่าลืมเรื่องพลังงานสะอาดด้วย น้ำมันใช้แล้วหมดไป แต่แสงอาทิตย์ไม่มีวันหมด บ้านใครก็ตั้งโซล่าเซลล์ได้ แล้วส่วนใหญ่ก็ชาร์จรถตอนกลางคืนซึ่งการใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่ากลางวัน
แล้วตอนรถติด รถไฟฟ้าก็ดับ แต่รถที่ใช้เครื่องยนต์ทำงานตลอด แค่นี้ก็สูญเสียต่างกันแล้ว ไหนจะต้องสูญเสียพลังงานไปกับระบบส่งกำลัง เช่น เกียร์) ไม่ก็ดูรถ e-power อย่าง nissan note ก็ได้ ใช้เครื่องเดียวกันแต่ประหยัดน้ำมันกว่า
ปล. เมืองนอกเค้ารถไฟฟ้าเยอะกว่ายังไม่เห็นมีปัญหา เมืองไทยอีก 20-30 ปีก็คงยังไม่มีเยอะเท่าเค้าในปัจจุบัน แล้วทำไมต้องไปกังวลอะไรขนาดนั้น ถ้ามีปัญหาจริง กระแสไฟฟ้าขาดแคลนขึ้นมาจริงๆเมืองนอกเค้าต้องเจอปัญหาก่อนอยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก
ปล.2 บอกว่าไทยต้องซื้อไฟฟ้าจากต่างชาติส่งผลต่อความมั่นคงได้ แล้วตอนนี้เราก็ต้องซื้อน้ำมันต่างชาติอยู่มันมั่นคงกว่ายังไง
-
จากโรงไฟฟ้าน่าจะประสิทธิภาพดีกว่านะครับ ควบคุมมลพิษต่างๆง่ายกว่า. ความยืดหยุ่นของเชื่อเพลิงที่จะนำมาใช้เยอะกว่า
ไม่งั้นโรงงานใหญ่ๆคงตั้งเครื่องปั่นไฟใช้เองกันหมดแล้ว
-
กังหันลมแถวบ้านผม 300 กว่าต้นล่ะครับ
ถ้าไล่ตั้งแต่ห้วยบง อ.ด่านขุนทด มาถึงอ.เทพสถิต เรื่อยๆมาถึง อ.ซับใหญ่ รวมๆน่าจะ 500 ต้น
ไม่รู้ว่ามันจะพอไหม..
เคยเห็นข่าวจากกระทรวงพลังงานว่า ตอนนี้ไฟฟ้าสำรองของไทยล้น
จนมีการประกาศไม่รับซื้อไฟจากเอกชน อันนี้ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน..
ส่วนตัวผมมองว่าพลังงานไฟฟ้ามันสะอาดกว่าอะครับ
ในแง่รักษ์สิ่งแวดล้อมผมขอเลือกไฟฟ้าก่อน
แม้ว่าขั้นตอนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามันจะก่อมลพิษมากกว่าเครื่องยนต์สันดาปก็ตาม
แต่โรงงานมันอยู่เป็นที่เป็นหลักแหล่ง..
-
จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน การใช้ไฟฟ้า "ในไทย" 1 หน่วย ปล่อย CO2 508 กรัม
http://www.eppo.go.th/index.php/en/en-energystatistics/co2-statistic?orders[publishUp]=publishUp&issearch=1
ผมคำนวณคร่าวๆ จากรีวิวของคุณ J!MMY (Hyundai Ioniq) ไฟฟ้า 1 หน่วย รถวิ่งได้ 7.64 กิโลเมตร
ตกเฉลี่ย 508/7.64 = CO2 66.5 g/km
Nissan Leaf ก็ใช้พลังงานไฟฟ้าตกประมาณ 6-8 กิโลเมตร/หน่วยไฟฟ้าเช่นกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในขณะที่ Accord Hybrid อยู่ที่ประมาณ 100 g/km ซึ่งถ้า Civic / Altis ที่ขนาดใกล้ Ioniq มีทำรุ่น Hybrid
อาจจะได้เห็นตัวเลข 90-95 g/km
และจากข้อมูลเบื้องต้นที่ผมทราบมา Nissan Note E-Power ซึ่งเป็นไฮบริดน้ำมันล้วน ปล่อย CO2 62 g/km (น้อยกว่า Ioniq/Leaf ที่ใช้ไฟฟ้านิดๆ)
http://www.headlightmag.com/nissan-note-e-power-goes-to-asean/
เทียบดูแล้ว ผมถือหางรถไฟฟ้าล้วนว่ายังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใกล้เคียง หรือมากกว่าไฮบริดน้ำมันเล็กน้อย ถ้าเทียบรถขนาดเดียวกัน เต็มที่ไม่เกิน 20%
ปล. Eco Sticker ของไทย เท่าที่ทราบยังไม่นับรวม CO2 จากไฟฟ้าเข้าไปนะครับ รถที่ชาร์จไฟได้ อาจจะเชื่อถือตัวเลขสติ๊กเกอร์นี้ไม่ได้เท่าไรนัก
-
เรื่อง รฟฟ. รอดู รบ.ใหม่ กับที่ดินแปลงหนึ่งไว้ให้ดีครับ
เราอาจจะไม่ต้องรอปี 73 ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับใครได้เป็น รบ.
-
เรื่อง รฟฟ. รอดู รบ.ใหม่ กับที่ดินแปลงหนึ่งไว้ให้ดีครับ
เราอาจจะไม่ต้องรอปี 73 ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับใครได้เป็น รบ.
ถ้าได้ทำจริงคงดี ... ว่าแต่ต้องขั้วไหนได้ถึงจะมีหวังล่ะนี่ ...... แต่ถ้าเดา คงเป็นขั้วปัจจุบันไหมครับ ขั้วตรงข้ามไม่น่ากล้าแตะเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ลำพังแค่ผ่านด่าน สว. ก็หือขึ้นคอแล้ว
-
ตอนนี้ปริมาณไฟฟ้าสำรองบ้านเราน่าจะล้น สาเหตุก็เพราะ การประมาณการความต้องการใช้กระแสไฟฟ้า ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ( การสร้างแบบจำลองจะดู อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วางแผนทีเป็นสิบปี ตอนนั้นคนคำนวณคงไม่คิดว่าบ้านเมืองจะเป็นแบบทุกวันนี้)
-
เข้าสู่ยุค EV เร็วก็กระทบทั้งโรงงานผลิตรถเดิมๆ และโรงไฟฟ้า เดือดร้อนคนไม่ใช่รถต้องเอาภาษีประเทศมาช่วยอุ่มภาษี EV และจ่ายค่าไฟที่แพงขึ้น
เข้าช้า ก็ไม่ได้เป็นผู้นำเรื่องการผลิตรถ EV อีกหน่อยรถน้ำมันไม่ได้รับความนิยม ประเทศไทยก็คงเป็นยุคนำเข้าเหมือนมือถือปัจจุบัน
-
ทุกวันนี้คนไม่ใช้รถต้องมานั่งดมควันรถผมว่ามันยิ่งกว่าค่าไฟขึ้นราคาอีกนะ ถึง EV จะมาช้าแต่ควรจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมได้แล้ว ขนาดญี่ปุ่นเป็นประเทศผลิตรถแต่อากาศดีกว่าบ้านเราเยอะ คนก็ร่วมกันใช้รถน้อยหันไปใช้ขนส่งมวลชนแทน
-
ชอบกระทู้แนวนี้ครับ
นอกจากที่เราๆคุยกันในฐานะ "คนใช้รถ" กัน
คนไทยยุคใหม่เราเริ่มคุยกันในมุม "eco-system" กันมากขึ้น
สร้างสรรค์ดีครับ
-
ญี่ปุ่นสิ่งแวดล้อมดีก็ใช่ครับขนส่งมวลชนดีจริง แล้วไทยจะให้เป็นแบบเค้าเพียงแค่ให้คนซื้อรถ EV ใช้หรอครับ ไม่มีทางเลย แค่ราคารถไฟฟ้าของไทยวิ่งไกลๆมี 65-70 บาท ไป-กลับวันนึงเกือบ 140 บาท มันไมได้แค่นั้น หลายคนต้องนั่งวิน นั่งสองแถวเข้าซอยอีกต่อ วันนึงจ่ายไปแล้วกี่บาท จะว่ารัฐอย่างเดียวก็ไม่ได้อีก ถ้าไม่ให้เอกชนร่วมลงทุนจะเอาเงินที่ไหนมาสร้าง ราคามันก็เลยแพง พอแพงแล้วมันคุ้มมั้ยถ้าครอบครัวนึงสอง-สาม คนเดินทางพร้อมๆกัน สรุปใช้รถถูกกว่า
แต่พอใช้รถจะไปให้เค้าซื้อ EV.เลย เป็นไปไม่ได้ อีกอย่างประเทศไทยปล่อยให้มีตรอกซอกซอยเยอะเกินไป ถนนหลักมารับซอยเหล่านั้นมันน้อย รถก็เลยติด ต่อให้สร้างรถไฟฟ้าได้มากกว่านี้ยังไงก็ไม่ครอบคลุม เพราะผังเมืองมันพึ่งมาคิดทำไม่นานนี้ ปล่อยให้ที่อยู่อาศัยมาอยู่ในเมือง ปนกับธุรกิจ โรงเรียนโรงพยาบาล มาอยู่กระจุกไปหมด พอเวณคืนก็แพงทำอะไรไม่ได้
ดูอย่างรภไฟฟ้าชานเมืองสายหัวลำโพง มหาชัย ที่จะสร้างแต่โดนบ้านที่รุกเขตทางรถไฟต่อต้านดิ แค่นี้รัฐก็ง่อยแดกแล้ว พวกบุกรุกแท้ๆ ทั้งที่ได้ประโยชน์ต่อคนที่มีบ้านนอกเมืองมากกว่าชุมชนแออัดที่ต่อต้าน สุดท้ายก็พับเก็บ
นึกๆไปช่วงสงครามโลกทำไมกรุงเทพไม่โดนบอมให้ราบพอที่จะวางผังเมืองใหม่นะ แบ่งโซนด้วนถนนใหญ่ free way ผ่าเมืองสักสี่เส้น วงแหวนสักสองชั้น เอาธุรกิจมาอยู่เป็นดาวน์ทาวน์กลางเมือง บ้านคนอยู่วงแหวนรอบนอก ความแออัดคงจัดการง่ายกว่านี้
-
Efficiency โรงไฟฟ้าเยอะกว่ารถยนต์มาก ยิ่งไม่นับพวกรถเก่าหรือแต่งท่อให้ดัง มีมลภาวะมากขึ้นนะครับ
จิตสำนึกคนมันต่ำ มีท่อก็ไปตัดแคท ตัดกรองไอเสียให้ดัง ให้ควันดำ ตามสันดานที่เกิดมา
-
ได้ความรู้ดีมากเลยครับ ขอขอบคุณทุกท่าน
-
เอาง่ายๆ นะครับ คิดจากต้นทุนพลังงานคือน้ำมันหรือแก๊ส เพื่อให้รถ 1 คัน วิ่งได้
รถยนต์เครื่องสันดาป--- น้ำมัน,แก๊ส = พลังงานกล (แรงที่รถวิ่งจากการจุดระเบิด) + พลังงานความร้อน (จากการจุดระเบิด) + พลังงานกล (แรงเสียดทานจากการเบรค)
+ พลังงานกล (ระบบส่งกำลัง,เกียร์) + พลังงานสูญเสียอื่นๆ (การขนส่งน้ำมัน)
รถไฟฟ้า.................น้ำมัน,แก๊ส = ไอน้ำ (การต้มน้ำเพื่อปั่นกังหันปั่นไฟ) + พลังงานความร้อน (น้ำเป็นไอน้ำ) + พลังงานกล (แรงที่รถวิ่ง)
+ พลังงานสูญเสียอื่นๆ ( ประสืทธิภาพการแปลงพลังงานไฟฟ้าเป็นกล, ต้นทุนค่าขนส่งระบบไฟฟ้า, ประสิทธิภาพการชาร์จแบตเตอรี่, พลังงานความร้อนแบตเตอรี่ที่รับและจ่ายกระแสไฟฟ้า)
เครื่องสันดาป พลังงานความร้อน พลังงานกลจากระบบส่งกำลังและการเบรค สามส่วนนี้จะอยู่ในราวๆ 70-80 % ของพลังงานทั้งหมด
ส่วนรถไฟฟ้า โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมมีประสิทธิภาพประมาณ 50% พลังงานสูญเสียอื่นๆ อย่างระบบการแปลงพลังงานกลเป็นไฟฟ้า (ระบบไดร์ท และ มอเตอร์ไฟฟ้า) และ ประสิทธิภาพการกักเก็บประจุพลังงาน (แบตเตอรี่) มีไม่ถึง 10%
จะเห็นได้ว่าในเรื่องพลังงาน การให้รถเคลื่อนที่จากจุด A ไป B รถไฟฟ้าใช้ต้นทุนพลังงานน้อยกว่าพอสมควร ดังนั้นยังงัยอนาคตก็น่าจะดีกว่า
นอกจากนี้ผลกระทบในเรื่องสิ่งแวดล้อม เครื่องสันดาปทีสร้างมลภาวะ ด้านเสียง และ แก็ส CO ควบคุมยากกว่ารถไฟฟ้าที่สร้างมลภาวะด้านสารพิษจากแบตเตอรี่ ที่สามารถตั้งโรงงานกำจัดได้
-
ขอบคุณทุกความเห็นครับ