Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: J!MMY ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:28:16

หัวข้อ: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:28:16
ที่มาของกระทู้นี้ เนื่องจาก อ.Traveller เขียนเอาไว้ค่อนข้างยาว และน่าสนใจ
ในกระทู้ แนะนำตัวกัน ที่น้อง lazt_dezember ตั้งเอาไว้

คือ เนื้อหาข้างใน ไม่เกี่ยวกับกระทู้เลย ก็จริง
แต่ ด้วยความน่าสนใจมากพอที่ เราควรจะมาต่อยอดทางความคิดกัน

ก็เลยขออนุญาต นำมาตั้งเป็นกระทู้ใหม่ มาร่วมแชร์ความคิดเห็นกันก็ล้วกันนะครับ

ขอนำข้อความของ อ.Traveller มาเปิดประเดิมกระทู้นี้กันก่อน

-------------------------------------------

ปรู๋ อายุเฉลี่ยพวกคุณ 2 คน รวมกัน ก็จะใกล้เคียงอายุผมพอดี
จบโทอเมริกา
เคยได้ทุนกรมวิเทศน์ไปญี่ปุ่น
เคยทำงานทั้งรัฐวิสาหกิจไทยและบริษัทในต่างประเทศ
ปัจจุบันทำส่วนตัว และกำลังปั้นลูกชายให้ดีและเก่ง
หัดเปียโนเอง และ สอนเปียโนลูกชายด้วยตัวเองครับ
จูนเปียโนเองด้วย
ซ่อมรถเอง โอเวอล์ฮอลเครื่องเอง ซื้ออะไหล่เอง
อ่าน encyclopedia ตั้งแต่อยู่ ป3 เครื่องบินรบ รถถัง เรือรบ การเมือง การสงคราม สามก๊ก
ป6 ศึกษาเรื่องรถ
มัธยมอ่านพระไตรปิฎก

เป็นห่วงคุณภาพคนรุ่นใหม่มาก
อ่านน้อย คิดน้อย ไม่รู้จักแยกแยะคิดย่อย และ ไม่รู้จักคิดรวมภาพกว้าง
ไม่รู้จักเรื่องปริมาณและคุณภาพอย่างแท้จริง
ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนสภาพของคุณภาพจะเป็นไปอย่างฉับพลันเพียงใด
การเปลี่ยนสถานะของน้ำเหลวเป็นไอ คือตัวอย่างการเปลี่ยนคุณภาพ ครับ
คุณภาพคน เปลี่ยนจากด้อยเป็นเก่งได้ ด้วยการศึกษา โดยตัวเอง
หวังอะไรกับ โรงเรียน ครู อาจารย์ ไม่ได้ครับ
ไม่มีใคร รู้ทุกเรื่อง แต่ คนรุ้ต่างกัน มาแลกความรู้กัน ทุกคน ก็จะเพิ่มความรู้แบบทวีคูณ
ทำงานเป็นทีม แบบ ไวรัส นั่นแหละครับ เก่งที่สุด ดีที่สุด

โลก เปลี่ยนเร็วมาก
ประเทศที่คุณภาพคนตามไม่ทัน จะกลายเป็น แหล่งพักผ่อนผจญภัยของคนในประเทศที่คุณภาพคนส่วนใหญ่ดีกว่า
คนในประเทศที่ตามไม่ทัน จะกลายเป็น แรงงานค่าแรงถูก และ ลูกค้าซื้อของแพง
ลูกค้าคุณภาพต่ำ จะเชื่อ โฆษณามาก
ลูกค้าคุณภาพสูง จะเชื่อ โฆษณาน้อยมาก และ จะเลือกซื้อรถ จากการ ไปลอง เช่ารถรุ่นนั้น ขับซักหลายวัน แล้วค่อยตัดสินใจครับ

ถ้า ยังมองภาพไม่ออก โลกที่กำลังจะเป็นไป ก็ ลองหา การ์ตูน GUNDAM มาดู
คนสร้างเขา คิดคล้าย Lewis Carrol ผู้แต่ง Through the Looking Glass และ Alice in Wonderland
แต่งนิยายแฝงนัยการเมือง สมัยพระนางวิคตอเรีย ยุคจักรวรรดิอังกฤษครองโลก เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
GUNDAM ก็ แฝงนัยการเมือง สอนให้เด็กนอกจากดูหุ่นสู้กัน ยังต้องดูการเมือง และ  เทคโนโลยี่ด้วย

คนไทยอ่านหนังสือน้อยลงเรื่อยๆ
แต่ คนญี่ปุ่น เกาหลี จีน อ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ
คนยุโรป อเมริกา มีความคิดอิสระหลากหลาย ที่ โง่ ก็ โง่มาก ที่ เก่ง ก็ สุดยอดเก่ง หัด ตัดต่อยีน ตั้งแต่ อายุไม่ถึง 10 ขวบ
เทคโนโลยี่ชีวภาพ ผสมกับ นาโนเทคโนโลยี่และเล็กกว่า ด้วยพื้นฐาน พิสิกส์พื้นฐานระดับเล็กสุดสุด
คนที่จะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ ต้อง อ่านมาก ขยันมาก
สะสมความรู้ ตั้งแต่ ป2 ป3
คือ เริ่มตั้งแต่ อ่านออก จริง นั่นแหละครับ

ถ้า คนไทยรุ่นใหม่ ยังไม่ขยันให้ถูกเรื่อง ไม่พัฒนาความคิดแยกย่อยและภาพรวมให้แน่น
การเรียนจบ ปริญญาตรี โท เอก แล้ว ตกงาน หรือได้งานต่ำกว่าความรู้ ก็จะเป็นเรื่องปรกติครับ

ไม่ได้เขียนเพื่อจะบอกว่าผมเก่ง แต่ เขียนเพื่อบอกว่า ผมเดินทางมาไกลและพอจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร
ประเทศไทยและคนไทยน่าเป็นห่วงกว่าที่พวกเรารู้กันมากครับ

คนเก่งทางวิชาการจริง คือ คนทีได้รับ รางวัลโนเบิล
คนเก่งทางธุรกิจจริง คือ คนที่สร้างตลาดใหม่ แบบ บิลเกตต์ สติฟ จอปส์ และพวกเซิร์สเอนจิ้น ซอฟแวร์ ทั้งหลาย
ธุรกิจใหม่ที่ทำกำไรสูงสุด คือ ธุรกิจยา กำไรกว่าเท่าตัว มากกว่า ซอฟแวร์เยอะครับ
ไฟเซอร์ เป็นบริษัทยาที่ใหญ่มาก ทำกำไรต่อทุน เหนือกว่า ไมโครซอฟท์เยอะ
ประเทศไทย มีความหลากหลายทางชีวิภาพเหนือกว่า ยุโรป ญี่ปุ่น จีน
คนไทยถ้าเก่งด้าน เทคโนโลยี่ชีวภาพ จะเป็นการเสริมจุดแข็งของประเทศตัวเอง ครับ
เก่งแล้ว ตั้งบริษัทเอง ผนึกกับ บริษัทยาข้ามชาติ ต่อแขน ต่อขา ให้ โยงไปทั่วโลก
โต พร้อม บริษัทยา บริษัทเทคโนโลยี่ชีวภาพระดับโลก
คุณภาพคนไทย คุณภาพประเทศไทย จะเปลี่ยนแบบก้าวกระโดด
แล้ว ลูกหลานรุ่นต่อไป จะ ชื่นชม คนรุ่นที่ เปลี่ยนประเทศไทย ไปอยุ่หัวแถวของโลก ได้ครับ
แล้วค่อยฝัน จะใหญ่กว่าบริษัทข้ามชาติอีกที

------------------------------
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: lastDezember Pae ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:30:28
พี่จิมมี่ครับ เขียนชื่อผมผิดไปตัวครับ อิอิ

lazt เป็น last ครับ อิอิ

แสดงว่าพิมเร็วมากแน่ๆ เลย
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: joufo ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:41:31
ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะครับ


แต่ที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อยลงเรื่อยๆ นี่อยากเถียงครับ
มีผลวิจัยออกมาใหม่ว่าคนไทยอ่านหนังสือเยอะขึ้นกว่าเดิม
(ถ้าจำไม่ผิดเพิ่มเป็น เฉลี่ยคนละ 2 หน้า A4 ต่อปี มั้งครับ ผมไม่แน่ใจข้อมูลที่เป็นตัวเลขแน่นอน แต่จำได้แม่นว่า คนไทยอ่านเยอะขึ้น)

ทั้งนี้รวมไปถึงการอ่านหนัง ก๊อตซิป ซุบซิบ ดารา ด้วยนะครับ
(ที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังสือ พวกนี้ด้วยครับ)

ที่รู้ข้อมูลนี้ เพราะมีช่วงนึง ผมศึกษาเกี่ยวกับวงการสิ่งพิมพ์บ้านเราครับ




ส่วนตัวผมแล้ว ผมเชื่อว่า ยังไงซะ การศึกษาที่ดีมีคุณภาพคือคำตอบของปัญหาในวันนี้ครับ
การลงทุนกับการศึกษานั้น ไม่เห็นผลวันนี้แน่นอน และอาจจะไม่เห็นผลในวันพรุ่งนี้ด้วย
เพราะถ้าจะรื้อระบบจริงๆ ก็ต้องนับหนึ่งกันใหม่
กว่าจะพัฒนาตัวคนสอนได้ กว่าจะพัฒนาไปถึงคนเรียนได้
อย่างเร็วก็คงเห็นผลในช่วงรุ่นลูก รุ่นหลาน เราหละครับ



เพราะมันไม่เห็นผลในทันที หลายคนเลยไม่ค่อยสนใจมั้งครับ  ::)




ผมว่าไปลุ้นให้ ฟอร์ด เอาเฟียสต้า เครื่องดีเซล มาขายในบ้านเรา จะยังเห็นผลเร็วกว่าด้วยซ้ำมั้งครับ
ฮ่าๆๆๆ  :D :D
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Satanic za' ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:54:56
แวะเข้ามาอ่านครับ  ;D

ผมคิดว่ามันไม่ขนาดนั้นหรอก  แต่ก็เห็นด้วยกับคุณ traveller ครับ

ผมคิดว่าคนไทยไม่ได้โง่ลงนะ แต่ผมว่าสิ่งที่เสื่อมโทรมลงน่าจะเป็นสังคมเรามากกว่า

จะคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า คนที่ทำตัวเป็นเดนสังคมมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย

ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือกำลังพัฒนา


หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: lastDezember Pae ที่ สิงหาคม 06, 2010, 14:55:20
พื้นฐานที่ดีที่จะฝังรากให้กับเยาวชนต้องมาจากครอบครัวเป็นอับดับแรกครับ

ผมเชื่ออย่างนี้  
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Chinoezuekae ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:02:15
+1 คิดง่ายๆ ลองดูประเทศที่แพ้สงครามสิครับ ฮึ่มม..น่ากลัวเลยทีเดียว >:(
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Ruksadindan ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:03:22
ดูง่ายๆครับ ถ้าจะให้ใกล้เว็บเราหน่อยก็ วินัยจราจร สะท้อนวินัยชาติ คนไทยยังขาดวินัยครับ
ถ้าผมมีลูก ผมจะปลูกฝังเขาให้เป็นคนดี ขยันศึกษาก็แล้วกันครับ แม้จะไม่เป็นถึง บิล เกตส์
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Chinoezuekae ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:08:18
สังคมไทยทุกวันนี้ เห็นคนไทยรักกันน้อยลง เหยียดกันระหว่างชนชั้นมากขึ้น แต่ที่น่าเศร้าใจมากที่สุดคือ คนไทยดูถูกกันเอง (เป็นที่เศร้าใจยิ่งนัก)
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: J!MMY ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:16:06
ถึงตรงนี้ ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นนะครับ

คนไทย ในอนาคต ถามว่าน่าเป็นห่วงไหม?
ผมเห็นว่า น่าเป็นห่วงจริง

แต่...เพราะอะไร?
ทุกอย่างเริ่มต้นจาก บ้าน แต่ละครอบครัว อบรม เลี้ยงดูบุตรหลาน มาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
ซึ่งความแตกต่างกันนั้น ดีแล้ว เพราะจะได้ทำให้สังคมมีความหลากหลาย แต่แน่นอน มันก็มีด้านซึ่งแตกต่าง อันไม่พึงประสงค์ รวมอยู่ด้วย

บางบ้าน ผู้นำครอบครัว เลี้ยงดู ดี  
บางบ้าน ผู้นำครอบครัว ก็ปล่อยปละละเลย อาจเพราะงานหนัก ไม่มีเวลาจริงๆ
บางรายหนักข้อ ถึงขั้นว่า วันวัน ไม่ทำอะไรเลย เอาแต่กินเหล้าเมาหยำเปทั้งวัน
หรือหนักกว่านั้นอีกหน่อยก็คือ หายหัวออกจากบ้าน สาบสูญไปเลย
ปล่อยให้ลูกหลาน ที่อยู่อาศัยด้วย ต้องคอยผจญชะตาชีวิตกันไปตามยถากรรม ก็มี
ไม่ต้องอื่นไกล คนรอบข้างตัวผมนี่ก็หลายคนอยู่

แล้วเด็กเหล่านั้น จะเอาแบบอย่าง หรือเรื่องราวในการดำรงชีวิต ที่ดีๆ จากไหน จากใครกันละ
มีเพื่อน ก็ต้องโดนเพื่อนชักลากจูงถูไถกันไปในทางที่เสื่อม เจอเพื่อนดี ก็ดีไป แต่เพื่อนดีๆ จากสถาบันการศึกษาสมัยนี้ก็น้อยลง
เพราะแต่ละบ้าน เลี้ยงดู ให้ลูกหลาน กันไม่เป็น มากขึ้น

อนาคตของชาติ มันไม่ใช่เพียงแค่ มานั่งเป็นห่วงกัน แต่เราควรหาวิธีแก้ปัญหา และเริ่มจากตัวเรา
อนาคตของชาติ มันไม่ใช่เพียงแค่ การทำในสิ่งที่คนทั่วไปพูดต่อๆกันมา ว่าต้องเริ่มต้นที่ การปลูกฝัง คนรุ่นหลังจากเรา
หากแต่ยังต้องรวมถึง การช่วยกันอธิบาย รณรงค์ แก้ไขความเข้าใจผิด ในคนรุ่นราวคราวเดียวกันเองกับเรา ที่กำลังจะเริ่มเป็น
พ่อคนแม่คน รวมถึงกลุ่มที่มีวัยวุฒิ และคุณวุฒิมากกว่าด้วย

คือ คนทุกวัย ทุกระดับในสังคม เราล้วนแล้วแต่ จำเป็นต้อง ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน ว่า เราจะแก้ปัญหากันอย่างไร
การเริ่มต้นจากตัวเราเอง ถ้าช่วยกันอย่างจริงจัง มันจะช่วยเปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศนี้ไปได้อย่างไร

ทุกอย่าง มันแก้ไขได้ ถ้า "เราทุกคน เปิดใจคุยกัน ยอมรับฟัง สิ่งที่ต่างคิดต่างฝัน และช่วยกันลงมือทำ ไม่ใช่เกี่ยงงอน เพื่อเอาเปรียบกัน"

เอาง่ายๆ เลย ข้อแรก ทำอย่างไร ให้เด็กชอบอ่านหนังสือเยอะขึ้น?

แค่นี้ ก็สนุกแล้วครับ

ผู้ใหญ่ และนักวิชาการในประเทศนี้เอาแต่แสดงความเป็นห่วง ว่าเด็กไทยสมัยนี้อ่านหนังสือน้อยลง
วรรณคดีไทยถูกละเลย ไม่ได้รับการเหลียวแลใส่ใจ จากเด็กรุ่นใหม่เท่าที่ควรเลย บ่นออกสื่อต่างๆ กันมาหลายปีละ

แต่ เราเคยถามกันไหมครับว่า เราเคยคิดจะปรับปรุง วรรณคดี ออกมา ให้มีรูปแบบที่ น่าอ่าน น่าศึกษาค้นคว้า
และมันไม่จำเป็นจะต้องออกมาในรูปของสิ่งพิมพ์ อย่างเดียวบ้างไหมครับ?

ประวัติศาสตร์บ้านเรา ก็มีคนทำ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ออกมา ล่าสุด ก็มีเกม นเรศวร ออนไลน์ ออกมาแล้ว

ถ้ารูปแบบ การเสพรับสื่อข้อมูลของผู้คนเปลี่ยนไป มันเป็นหน้าที่ของคนทำสื่อ หรืออยู่ในวงวิชาการนั่นละครับ ที่จะต้อง สนองตอบตามให้ทัน

เหมือนอย่างเช่น การอ่านเว็บไซต์ กับนิตยสาร ทุกวันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า คนอ่านหนังสือน้อยลง
แต่เริ่มมาหาอะไรในเว็บอ่านกันมากขึ้น ก็ต้องย้ายเอา อะไรต่อมิอะไรที่เคยลงในหนังสือ
มาไว้ในเว็บ ให้สะดวกต่อการค้นหามากขึ้น ไม่ใช่เรียกให้คนกลับไปอ่านหนังสือในแบบเดิม

แต่เราก็ยังจะต้องมีหนังสือเอาไว้เป็นทางเลือกร่วมด้วย ยังไง โลกนี้ ก็ยังขาดสิ่งพิมพ์ ไม่ได้หรอกครับ
เหมือนกันกับ ความรู้สึกจากการฟังเพลง ที่เล่นผ่าน แผ่นเสียง กับ แผ่น CD
แม้ CD จะชัดเจน ละเอียดกว่า แต่ความละเมียดจาก แผ่นเสียง ก็มีเสน่ห์ ให้ชวนติดตรึงมากกว่า

เราต้องมีทางเลือกที่หลากหลาย เอาไว้ให้กับคนทุกคน ให้เขาเลือกเสพ เลือกรับรู้ ในรูปแบบและวิธีการที่เขาชอบ
แบบนี้ ถึงจะทำให้ สิ่งที่ ควรค่าแก่การรักษาไว้ของประเทศนี้ จะยังไม่สูญหายไปง่ายๆนัก

เรื่องประวัติศาสตร์ เก่าๆ นั้น
เด็กยุคใหม่สมัยนี้ ที่ชอบเรื่องจำพวกนี้ มีแอบแฝงอยู่เยอะมาก!! แต่เขาไม่รู้แหล่ง ว่าจะไปหามาจากไหน
คนที่ทำอยู่ในหน่วยงานที่ดูแลเรื่องพวกนี้เองก็เถอะ มีความรู้ เชี่ยวชาญ และมีไอเดีย ในการจัดการ
หรือ สร้างเสริม ให้เกิดความ "ง่ายต่อการเข้าถึง ความรู้" มากมายเพียงใด

และที่เหนือกว่าทุกข้อที่เขียนมา ก็คือ
คนเขียนละ คนทำงานละ? ทำออกมาให้น่าอ่านได้มากน้อยแค่ไหน?

ถ้าเขียน อะไรอกมา ให้น่าอ่าน เชื่อเถอะครับ จะมีคนตามอ่านเยอะแยะทั้งบ้านทั้งเมืองได้ไม่ยาก

ไม่ต้องอื่นไกล เอาแค่ นวนิยายรัก อย่าง เซ็งเป็ด เขียนขึ้นมา ก็มีคนเอาไปแพร่กระจายให้ได้อ่านต่อด้วย

เหตุผลเพราะ สนุก ลุ้น ชวนให้ติดตาม

ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องเขียน อะไรก็ตาม ให้น่าอ่าน น่าติดตาม
ไม่ใช่เอาแต่มานั่งถามว่า ทำไมคนไม่อ่านวรรณคดีของไทยเลย
ก็ในเมื่อ มันรู้อยู่แล้วว่า จะจบอย่างไร และเป็นได้แค่วรรณคดี
สิ่งที่คนสมัยนี้ อยากอ่าน มากขึ้นกว่าเดิม คือ สิ่งที่ เป็น Real things.

ไม่ต้องอื่นไกล เอา Headlightmag.com นี่แหละ เป็นตัวอย่าง!

แค่ 3 วันที่ผ่านมา มีคน 3 คนแล้ว ที่บ่นกับผมบอกว่า ทุกันนี้ Full Review มันยาวไป
เขาชอบที่จะอ่านแค่ สมรรถนะ อัตราสิ้นเปลือง และ สรุป แค่นั้น ซึ่งโอเคครับ ไม่ว่ากัน

แต่ ทำไม ผมถึงยังเขียนออกมาให้อ่านกันยาวๆ ทำไมต้องใส่ประวัติ ทำไมต้องใส่ดีเทล โน่นนี่นั่น ให้เยอะแยะวุ่นวาย และเสียเวลามากๆ

ก็เพราะ เราต้องนั่งคิดถึงวันข้างหน้าด้วยครับ เราต้องเตรียมข้อมูล และความรู้จากตัวเราเอง ที่ต้องได้รับการยืนยัน
เช็คสอบทานย้อนลังได้ว่า ถูกต้อง ให้พร้อมที่ใครจะเข้ามาศึกษาได้ ง่ายดาย อยู่เสมอ คนอ่าน อยากรู้แค่ไหน
เราต้องคิดให้ครบ และรอบด้านมากพอ อย่างเหมาะสม เท่าที่เราจะเตรียมการได้ ไม่เหนื่อยเกินไป ไม่เสียเวลาโดยเปล่าเกินไป
และ เมื่อออกมาแล้ว ใช้ประโยชน์ได้จริง เป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงได้ในอนาคต อย่าสักแต่ว่าเขียนงานส่งเดชไปวันๆ
เพียงเพื่อเรียกยอดจำนวนคนเข้าเว็บในแต่ละวันแค่นั้น แบบนั้นไม่แคล้วโดนผมด่าเปิงแน่นอน

นี่และครับ ผมเริ่มจากตัวผมเองแบบนี้กันก่อนละ
แล้วค่อยๆ แผ่ขยาย ไปยังคนอื่นๆ รอบๆข้าง ใกล้ๆตัว
ค่อยๆเป็นค่อยๆไป

หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: H3T ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:19:33
      หากผมมองเพิ่มเติมอีกมุมนึงว่า หากเราจะทำการเปลี่ยนแปลงในเรื่องทัศนคติที่ผิดๆยังไม่ได้ การลงแรงในการกระทำใดๆก็ตามก็จะไม่สามารถเห็นผลและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้ ความเชื่อ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับผม อาจจะไม่ได้ผ่านโลกมาอะไรมากมาย ผมศรัทธาในความเชื่อ ความเชื่อที่ไว้ยึดเหนี่ยวเป็นเข็มทิศคอยบอกทางที่ถูกที่ควร ยกตัวอย่าง เหมือนเรากำลังเดินไปยังจุดหมายที่วางไว้ หากเราเดินไปตรงๆ เดินบ้าง วิ่งบ้าง เหนื่อยก็คลานบ้าง หยุดบ้าง อย่างน้อยๆแล้วผมมั่นใจว่าจะถึงจุดหมาย กลับกัน หากเราแวะซ้าย แวะขวา จากเหตุผลใดๆก็ตาม ความเป็นไปได้สูงมากที่จะไม่กลับมาเดินไปยังจุดหมายเดิม
      ผมกำลังชี้ว่า บางทีทำตัวเป็นคนหูหนวกบ้างก็ดี เรามีเป้าหมายของเรา เดินไปหา ไม่ต้องสนใจคนรอบข้าง แต่ตอนนี้ในสภาวะบ้านเราในปัจจุบันยังมีคนที่มีแนวคิดอย่างนี้น้อยเต็มที ทำอะไร ทำไม่จริง ทำไม่เสร็จ ก็หยุด แล้วมานั่งประชดชีวิต แล้วก็เริ่มเรื่องใหม่ วนไปวนมา
      ผมจึงอยากจะยกประเด็นวัฒนธรรมของต่างชาติ แต่จะเอาเฉพาะข้อดีนะครับ อะไรที่ไม่ดีก็ช่างเค้า ผมไม่สนใจ เช่น คนญี่ปุ่น ปลูกฝังการรักชาติมาก เกิดมาทั้งทีต้องทำคุณให้แผ่นดิน หากอยู่ไปไม่มีประโยชน์จะอยู่ไปทำไม ส่งผลให้เค้าทำอะไรจะทำจริง สิ่งประดิษฐ์และความรู้ที่สร้างขึ้นมาจะได้รับการส่งเสริม เพราะถือว่าเป็นสมบัติของชาติ ทรัพยากรคนจึงได้รับการคุ้มครองและให้ความสำคัญมากๆ เชื่อมั๊ยว่า หากคุณเป็นหนี้แล้วเกิดปัญหาทางธุรกิจ คุณก็แค่ไปขอศาลให้เป็นบุคคลล้มละลาย 6 เดือนคุณก็เป็นคนปกติ สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาดและกลับมาทำประโยชน์แก่บ้านเมืองได้
       ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีวิธีใดที่เป็นรูปธรรม ทำได้จริง ที่จะสามารถทำให้บ้านเมืองเราดีขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: SignifeR ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:28:53
ผมมองว่าอ่านหนังสือน้อยลง แต่ไม่ได้แปลว่า เสพ ข้อมูลน้อยลง ผมเองอายุ ปีนี้อีกเดือนกว่าๆก็จะ 30 แล้ว....แต่.... 30 ยังแจ๋วนะครับ
อยู่ในยุคเปลี่ยนถ่ายพอดีของข้อมูลแบบหนังสือ มาเป็น อินเตอร์เนต เอาง่ายๆ แต่ก่อนตอนยังรุ่นๆ มีแอบไปซื้อหนังสือโป๊ตามแผงหนังสือ
มาแอบดู....เดี๋ยวนี้ทุกอย่างออนไลน์อยู่บนโลกของอินเตอร์เนต (ยกตัวอย่างไม่ได้ชี้นำนะครับ...)

ผมไม่คิดว่าคนเสพข้อมูลน้อยลง แต่คนอ่านน้อยลงครับ เพราะในโลกของอินเตอร์เนตมันสามารถค้นหาข้อมูลได้ง่ายดาย ทำให้คนเข้าถึง
ข้อมูลที่ต้องการได้เร็วและไวขึ้น และเวปบอร์ด ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้คนอ่านหนังสือน้อยลง เอาง่ายๆ คือพอมีอะไร กูถามไว้ก่อนเลย...มันง่ายสุด
ที่จะเทคข้อมูลที่ต้องการ แต่ในทางกลับกัน ก็ต้องกลั่นกรองข้อมูลที่ได้นั้นด้วย ว่ามีความถูกต้องแม่นยำ เพียงใด

ส่วนตัวผม ผมมองว่าบ้านเรายังขาดการพัฒนาระบบความคิด ควรจะสอนให้เด็กคิดและถาม มากกว่าให้คุณครูตั้งคำถามให้เด็กตอบ
การสังเคราะห์ความคิดเป็นสิ่งที่ดีและยังขาดการพัฒนาอีกมาก ส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานการศึกษาและระบบการศึกษาด้วย
แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ ครอบครัวจะสามารถพัฒนาสิ่งเหล่านี้ให้กับบุตรหลานได้อย่างไรมากกว่า

การสร้างคนให้มี ความเป็นผู้นำ นั้นยากกว่า การสอนคนให้ทำตามมากนะครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Pan Paitoonpong ที่ สิงหาคม 06, 2010, 15:44:35
ความน่าเป็นห่วง อาจจะหมายถึงการเล็งเห็นหนทางการเดินที่นำไปสู่ความเสื่อมถอย ลดประสิทธิภาพ เสียทาง เสียโอกาส

ถ้าเช่นนั้น ผมว่าความน่าเป็นห่วง..มันเกิดขึ้นทุกยุค ขึ้นอยู่กับว่ายุคนั้นอะไรคือสิ่งชักนำพาที่อาจจะเคลือบย้อมไปด้วยแนวคิดที่ดูดี หรือได้รับความนิยม ทั้งๆที่ทุกสิ่งอย่างที่ได้รับความนิยม ไม่มีอะไรตายตัวว่าเป็นของดี หรือไม่ดี

มนุษย์ชาวไทยทุกยุค มีเรื่องให้ต้องห่วงอนาคตเสมอ เพียงแต่ว่าอะไรคือตัวจุดประกายให้เกิดความเป็นห่วงนั้นๆ

ยุคนี้ เราห่วงว่า Gen ต่อๆไปของเราจะมีรูปแบบการใช้ภาษาผิดๆ สะกดคำผิด ฟังแล้วดูปัญญาไม่แข็ง สมมติว่าผมเขียนคำว่า "ไป" เป็น "ปาย" หรือ "นะ" เป็น "น้า" จะมีใครด่าไหม? แล้วถ้าผมเขียนคำว่า "เป็น" ว่า "เปน" จะมีใครด่าผมไหม ? อันที่จริง คำว่าเป็น เมื่อก่อนก็เขียนว่า เปน ยุคนี้ถ้าผมมาใช้คำนี้เขียน ก็มีแต่คนด่า ทั้งๆที่เมื่อก่อน ก็เป็นสิ่งที่ถูก

หากเจ้านายผมเขียนเมล์หาผมว่า "กูขอสั่งให้มึงทำงานชิ้นนี้ให้สำเร็จ" ผมคงลุกไปต่อยหัวหน้าโทษฐานใช้คำไม่สุภาพ แต่ถ้าเป็น 100 ปีก่อน..ไม่มีปัญหา เป็นเรื่องธรรมดามาก

สมัยก่อนเราห่วง ห่วงว่าลูกสาวเราจะมีหนุ่มมาออเลาะเซาะจีบ แล้วพาไปเสียตัวก่อนวัยอันควร..ซึ่งวันอันควรสมัยนั้นก็ 18 ปี ต่อมาก็ 20..แล้วก็ 22 แล้วก็ในวันนี้ ถ้าเพื่อนที่มหาลัยของคุณอายุ 20 แล้วแต่งงาน จะมีใครพูดไหมว่า อ้า ดีจัง ถึงวัยอันควรแล้วโว้ย แต่งงานแม่งเลย

ถ้าจะย้อนกลับไป คิดดูดีๆ คนรุ่นเก่ามักจะห่วงคนรุ่นใหม่เสมอว่าจะทำอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ เราเคยห่วงว่าวันข้างหน้าประเทศไทยจะมีความล้าหลังประเทศที่เจริญแล้ว ตามเขาไม่ทัน เราก็สร้างวัฒนธัม (สะกดแบบนี้โดยตั้งใจ) วัฒนธัมตะวันตก ส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอก เอาทุกอย่างตามแบบเมืองนอก สวมหมวก ใส่ชุดสากล ใส่รองเท้า ทั้งๆที่เราอยู่มาหลายร้อยปีโดยไม่ต้องมีหมวกก็ไม่ตาย แต่เราก็เลือกเดินตามทางตะวันตก เราก็ห่วงว่าเด็กรุ่นหลังจะสืบทอดแนวคิดของเราหรือเปล่า มันจะปฏิวัติตนเองได้หรือเปล่า

ต่อมา พอโดนโลกตะวันตกเอาเปรียบในหลายๆด้านเข้า คนในยุคนั้นก็กลายเป็นไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ เป็นชาตินิยม ใครก็ตามที่คิดแบบตะวันตก ทำตัวแบบตะวันตก ย่อมถูกมองไว้ก่อนว่ามีแนวโน้มว่าไม่รักชาติ ทั้งๆที่ยุคก่อนๆ ใครทำแบบนี้ได้น่ะเท่ห์โคตรๆ

เสร็จจากชาตินิยม พอเราเริ่มหายโกรธชาวบ้าน เราก็เริ่มกลับเข้ามาสู่การปฏิวัติตนเองอีกครั้ง เป็นอุตสากรรมใหม่ New Industrial Country ถ้าใครเป็นชาตินิยมมาตลอด ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อนตายห่าหมด ยุคที่การส่งออกกับนำเข้ากับธุรกิจข้ามชาติรุ่งเรือง คนที่มีความรู้นอกประเทศได้เปรียบ คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะตำหนิว่าไม่รักเมืองไทย (แต่ไม่เคยถามว่าธุรกิจข้ามชาติบางธุรกิจก็นำเงินเข้าประเทศเหมือนกัน)


สรุป..ผมว่าบางอย่าง จะผิด หรือถูก บางทีมันก็แค่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นใหญ่เป็นโตในยุคนั้น มีอำนาจสูงสุดในยุคนั้น คนกลุ่มนี้จะบอกเองว่าใครทำอะไรถูก ใครทำอะไรผิด



คนรุ่นใหม่ มีเรื่องอะไรน่าห่วง? ไม่เรียนหนังสือ หรือโดดเรียน เป็นเรื่องน่าห่วง น่าห่วงเพราะการเรียนถ้าเรียนไม่ดี หางานยาก เพราะไม่มีที่ทำงานไหนๆอยากรับคนไม่จบปริญญาตรีหรือโท...แล้วคนรุ่นไหนเป็นคนตั้งค่านิยมว่าคนทำงานเก่งต้องจบตรีหรือโท

คนรุ่นใหม่ มีอะไรน่าห่วง? มันกินเหล้า ดูดบุหรี่ อันนี้น่าห่วงจริง กินเหล้า เสียเงิน เสียทอง เมาแล้วขับก็ตายห่า ตายไม่พอพาเพื่อนไปตายด้วย ดูดบุหรี่ ติดมะเร็งปอดตายห่า แล้วคนรุ่นไหนเป็นคนผลิตเหล้ากับบุหรี่มาขายคนรุ่นใหม่?

คนรุ่นใหม่ มีอะไรน่าห่วง? มันติดเกม ติดสื่ออบายมุข ติดเทคโนโลยีปล้นเงินแบบงอมแงม แล้วคนรุ่นไหนเป็นคนผลิตของพวกนี้มาป้อนคนรุ่นใหม่?

คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยคิดอะไรสมเหตุสมผล เพราะทุกคำตอบที่ออกจากปากเขา มีได้แค่ 2 อย่างคือ ไม่ลามปามข้ามเกลียว ก็จืดจนไม่พัฒนา เด็กไม่กล้าพูด ไม่กล้ายกมือถาม ไม่อยากแสดงความเห็น เพราะเขารู้ว่าแสดงความเห็นไป คนรุ่นเก่า ก็ยังยึดติดกับความเชื่อเก่าๆ ค่านิยมเก่าๆ ในโลกที่มีเขาคนเดียวเป็นผู้ที่ถูกต้องที่สุด

แล้วตูจะแสดงความเห็นให้เหนื่อยปากทำปลาสร้อยอะไร?

แต่มีความเห็น อยากแสดง แต่เก็บไว้ในหัว หาที่ระบายไม่ได้ ท้ายสุด ก็มาพบแหล่งระบายที่อินเทอร์เน็ต
การแสดงความเห็นเลยดูจะรุนแรงทั้งๆที่ตัวจริงมันก็เงียบๆเชียบๆ เพราะเก็บกดมาจากการที่ไม่มีใครฟัง

สรุปก็คือ

วงจรอุบาทว์ในวันนี้ ไม่ใช่อะไรที่เกิดขึ้นนอกจากเป็นผลพวงจากสิ่งเคลือบย้อมที่คนรุ่นเก่าๆปลูกฝังมาให้ น่าตลกที่ทั้งๆที่คนรุ่นเก่าเป็นคนสร้างสิ่งเคลือบย้อมเหล่านี้ เขากลับมาหวังว่าคนรุ่นใหม่จะปฏิเสธ และจะกำจัดสิ่งปฏิกูลที่คนรุ่นเดียวกันกับเขานั้นยัดเยียดให้เด็กรุ่นใหม่

เขาควรจะไปฆ่าคนรุ่นเดียวกับเขาเสียก่อนเพื่อขจัดปัญหา แล้วหลังจากนั้นคุณอยากจะยัดอะไรที่ถูกต้อง (หรือสิ่งที่คุณคิดว่า "ถูกต้อง") ใส่ในหัวเด็กรุ่นใหม่ได้เลย


- - - - - - - - - - - - - - - - -  - - - - - - - --  -

ปล. ที่พูดทั้งหมด คือพูดกันในเรื่องแง่ลบ กับสิ่งที่ไม่ดีเท่านั้น

ของดีๆที่คนรุ่นเก่ามอบให้มา ก็อย่าลืม และอย่าปล่อยให้มันสูญสลายไป
คนรุ่นเก่ารักษาเอกราชมาให้เราทุกวันนี้ อย่าปล่อยให้เราต้องเสียเอกราชไป
คนรุ่นเก่าสร้างตัวอักษรที่สวยงดงามจนฝรั่งยังหลงใหลมาให้ใช้ ก็อย่าให้เราต้องสูญเสียสิ่งนี้ไป
คนรุ่นเก่าสร้างการยกมือไหว้ หรือการค้อมหลังเวลาเดินผ่านคนที่เราเคารพมาให้ นี่ไม่ใช่ของโง่เง่า ฝรั่งมาเห็นคนไทยทำ เขาไม่ใช่ว่าด่า เขากลับชมว่ามันเป็นสิ่งที่งดงาม เราก็ควรรักษาไว้ ไม่ใช่เพราะคนรุ่นเก่าทำแล้วเราต้องทำ แต่เป็นเพราะมันเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่ดูดี และทำให้คนอื่นมองเราในแง่ดี เมื่อเป็นประโยชน์แก่ตนขนาดนี้ ก็ควรทำ

จบ







หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: 2k ที่ สิงหาคม 06, 2010, 16:16:25
นี่คือผลพวงของประเทศที่ทำตัววัตถุนิยมแต่ความคิดและคุณภาพคนยังไม่พร้อมครับ   :P


เลี้ยงลูกด้วยละครหลังข่าว ปลูกฝังอยากให้เป็นคนเกาหลี เสพเรื่องเพศเน่าๆจากดาราไทย ปลอบประโลมความเหงาของลูกด้วยโทรศัพท์มือถือ เชิดชูการกระทำที่เห็นว่า"แรง"แต่ความแรงนั้นแท้จริงคือความสถุลย์สามานย์ คนไทยสมัยนี้ถูกแลดล้อมด้วยเรื่องแบบนี้ตลอดเวลาแล้วจะให้มันมีคุณภาพได้อย่างไร  >:(


ในระหว่างที่ประเทศอื่นๆเค้ากระตุ้นให้คนในชาติขวนขวายหาความรู้เพื่อไปฟาดฟันกับประเทศอื่นในเศรฐกิจโลกแต่ประเทศไทยมอมเมาปลูกฝังให้เยาวชนอยากเป็นเดอะสตาร์อยากอยู่บ้านแฟนตาเซีย  อยากมีชีวิตหรูหราอยากมีเงินเยอะๆแบบง่ายๆ ใครที่ไม่ได้ประกวดก็มีหน้าที่นั่งเฝ้าหน้าจอส่งข้อความคุยทางโทรทัศน์มั่ง เสียค่าโหวตเดือนละหลายพันให้คนที่ตัวเองชอบมั่ง ปั่นราคาของประมูลไม่ให้น้อยหน้าคนอื่นมั่ง คนที่ตัวเองชอบโผล่มาใกล้ๆทีแทบจะบ้าคลั่งลงไปเลียทรีนเค้าเดี๋ยวนั้น แม้แต่ผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบก็เป็นไปกับเค้าด้วย.................เรื่องพวกนี้ผมรับรู้แล้วอยากจะอ๊วกกับค่านิยมไทยปัจจุบันจริงๆ อีกสิบปีมันจะมีอะไรไปแข่งกับเค้ากันวะ???? พวกมีอำนาจกุมสื่อมันก็จ้องแต่จะโกยๆๆๆๆๆๆๆๆเงินเข้ากระเป๋ามันกันคนไทยบ้าคลั่งแค่ไหนไม่สนจะเอาแต่เงิน!!!!!  ทุกวันนี้ผมไม่ดูทีวีไทยแล้ว เอาค่าไฟทีวีมาเปิเเว็บเลือกความรู้ที่ตังเองต้องการดีกว่า ไม่ใช่เปิดทีวีมาอุ๊ยน้องริท กัน โตโน่ โอ้ววววนักล่าฝันยั้วเยี้ยไปหมด ทีวีในบ้านตัวเองกรูยังเสียเอกราชให้มันเล้ยยยยย  >:(


เมื่อวันอังคารมานี้ผมนั่งรถไฟฟ้าใกล้ๆกับแม่ลูกคู่นึงที่ดูไม่ธรรมดา คนแม่คุยโทรศํพท์กับเพื่อนเกี่ยวกับลูกตัวเองว่าเป็นยังไงบ้าง แต่สิ่งที่ลูกสาววัยไม่เกิน 4 ขวบพูดออกมาคือ"แม่ทำไมต้องเล่าให้น้าอ๊อฟังด้วย แม่รักน้ามากกว่าหนูงั้นเหรอ!!!!" อีกแป๊บนึงเอาอีกละ "มันคันปากมากนักรึไง" นี่คือสิ่งที่เด็กสมัยนี้พูดกับแม่ตัวเองครับ พูดออกมาด้วยสีหน้าเหมือนกับว่าเหมือนเป็นบทสนทนาธรรมดา ส่วนแม่ก็เฉยไม่สนใจไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟันธงเลยว่าแม่ลี้ยงลูกด้วยละครหลังข่าวแน่ๆอีกหน่อยแม่โดนถีบตกกระไดเวลาลูกโดนขัดใจเหมือนบ้านทรายทองผมจะไม่แปลกใจเลย เรื่องของสื่อที่เสี้ยมสอนความดัดจริตให้คนดูนี่เป็นปัญหาอย่างหนักที่เหล่าแม่ๆทั้งหลายในเว็บบอร์ดกลัวกันนักหนา แม้แต่บ้านที่อบรมมาอย่างดียังมาพลาดเอาง่ายๆเมื่อฝากลูกให้ป้าเลี้ยงเพียงวันเดียวเลย ในเมื่อสังคม สื่อ คนรอบข้างไม่มีสักอย่งาที่จะอบรมให้เด็กเป็นคนดีได้แล้วอีกยี่สิบข้างหน้าจะเอาผู้ใหญ่ที่ไหนมาพัฒนาประเทศไทย????       :-[
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: liveshow ที่ สิงหาคม 06, 2010, 16:42:22
ขอสั้นๆ แล้วกันครับ

น่าเป็นห่วงครับ ผู้ใหญ่สมัยนี้หาบ้านที่จะสอนเด็กแบบแยกแยะดีชั่วได้ น้อยครับ ดีไม่ดีสอนแต่เอาเงินมาล่อ พอไม่มีเงินไม่มีของล่อ
เด็กก็ไม่เอาพอไม่เอาเด็กก็ไปหาจากข้างนอก แล้วคราวนี้แหละครับที่จะคุมได้ยากขึ้น

ยกตัวอย่างผมเป็นเหตุ ผมไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ตั้งแต่ 7 ขวบอยู่กับป้า ลุง ย่า และลูกของลุงกับป้า ทุกครั้งที่กลับบ้านอยู่ป.4 ต้องกลับมาถูบ้านทุกครั้ง ห้ามกลับเกิน 5.30น.
ถ้ากลับเกินต้องมีเหตุผลเกี่ยวกับการเรียนเท่านั้น ป.5 หุ้งข้าว ล้างจาน ถูบ้าน ป.6 ซักผ้า หุงข้าว ม.1 หุงข้าว ล้างจาน ซักผ้า ถูบ้าน ขายของ
ต้องทำเป็นกิจวัตร และ ป้ากับลุงก็ให้ทำกับข้าวตอนม.2 กินได้ไม่ได้ไม่รู้แต่ต้องทำ และต้องทำให้คนอื่นกิน 

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เค้าไม่เคยตีเลยแม้จะทำผิด แต่จะให้ไปทำงานอย่างอื่นลงโทษและจะไม่ด่ารุนแรงกับผมเลย และทุกครั้งที่ทำผิดจะเรียกมาคุยว่าทำไมถึงทำ
แล้วคิดยังงัยเมื่อทำไปแล้ว

ป้ากับลุงสอนผมให้คิดอย่างเช่นว่า
ให้คิดแต่สิ่งที่ดี แล้วจะได้สิ่งที่ดีกลับมาเอง
อย่าอยากได้ของคนอื่น ถึงแม้วันนี้เราไม่มีแต่อนาคตเราก็มีได้เหมือนเค้า
ทำให้ทุกที่เหมือนบ้านของเราแล้วเราจะอยู่อย่างมีความสุข

ผมว่าเด็กไม่ต้องปรับ แต่ต้องปรับที่ผู้ใหญ่ ที่ต้องปรับเพราะผู้ใหญ่ไม่เคยคิดถึงอนาคตของเด็ก
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Disk™ ที่ สิงหาคม 06, 2010, 17:14:33
ผมรู้สึกเหมือนกันนะครับ

และอนาคตประเทศเรามีปัญหาแน่ๆ แต่ผมก็ไม่รู้จะแก้ยังไง ตอนนี้ก็ทำได้แค่ คือ ทำหน้าที่ของตัวเองไปก่อน คือ เรียน ครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Fly to dream ที่ สิงหาคม 06, 2010, 17:16:18
ผมเป็นคนนึงที่อ่านหนังสือในเรื่องที่สนใจมาก  ผมเห็นว่าประเทศไทยนั้นน่าเป็นห่วงจริงๆ

น่าเป็นห่วงมากๆ เด็กไทยตอนนี้ เห็นแล้วอนาคตจะมีซักกี่คนที่จะมาพัฒนาประเทศของเราได้

ก่อทั้งอาชญากรรม คดีไม่เว้นแต่ละวัน มีแต่ไวรุ่น หรือเด็กๆทั้งนั้น  คอยดูเถอะไทยก็จะเหลือ

อาชีพใช้เเรงงานมากกว่าใช้สมองเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น  แถมงานใช้สมองก็จะแบ่งชนชั้น

คนเก่งๆ กับคนโง่เป็นช่องว่างมากขึ้นจะก่อให้เกิดการโกงที่เลวร้ายกว่าในปัจจุบัน


ผมถึงจะโตขนาดนี้แล้วผมยังดูสารคดีในทีวีอยู่ทุกวัน ในขณะที่คนอื่นว่าผมไร้สาระ

ผมบ้ารถบ้าเครื่องบินขนาดหนัก  แต่เพื่อนก็จะถามใคร ก็ถามผมนี่แหละ  นี่ไงผลของการอ่าน ผลของการหาความรู้

สงสารประเทศที่จะก้าวไปสู่สังคมของการแบ่งชนชั้นอย่างสมบูรณ์ในอนาคต
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Prachsaphol_yjd ที่ สิงหาคม 06, 2010, 17:28:50
ผมมองว่าน่าห่วงมากเหมือนกัน.............ซึ่งปัญหาเริ่มมาจากครอบครัวเป็นอันดับแรก
สภาวะสังคมที่เจริญเติบโตขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการแก่งแย่ง แข่งขันกันสูง
ครอบครัวจะประคองอย่างไรให้อยู่รอดในสภาพแบบนี้ ที่เห็นกันอยู่คือมีลูกเยอะ (ขยัน....กันจัง) ไม่รู้จักวางแผนครอบครัวที่ดี
หรือมีแล้วไม่รู้จักวิธีการเลี้ยงไม่ถูุกวิธี ใช้เงินเลี้ยง แต่ไม่ให้ความอบอุ่นภายในครอบครัว ทำให้ครอบครัวไม่มีวัคซีนป้องกันที่ดีพอ
สุดท้ายครอบครัวแตกแยกกันคนละทิศละทาง เด็กที่เกิดมาขาดความอบอุ่นเป็นปัญหาสังคมไม่รู้จบ....

การศึกษาสอนให้มีความรู้ แต่ไม่ได้สอนให้คนที่เรียนเป็นคนดีของสังคม
หากสถาบันครอบครัวแข็งแรง สังคมก็จะสงบสุข ประเทศชาติก็ไม่มีความแตกแยกครับ
ต้องแก้ที่ครอบครัวก่อนครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: banch ที่ สิงหาคม 06, 2010, 18:00:21
กระทู้นี้คล้ายๆกับกระทู้ อนาคต(ที่ไม่มีอนาคต)ของประเทศไทยจะไปทางไหน ของห้องหว้ากอ

ถ้าคุยกันตามหัวข้อกระทู้ผมวกเข้าการเมืองแน่ๆ

งั้นคุยเรื่องใกล้ๆตัวผมล่ะกัน



ผมทำงานโรงงานเกาหลี

เกาหลีทีโรงงานผมเค้าเปรียบเทียบโรงงานที่ไทย กับที่ จีน

ก่อตั้งแผนก R&D ขึ้นพร้อมๆกัน

ทุกวันนี้ R&D ที่จีน สามารถ develope ผลิตภัณท์ใหม่ได้เองแล้ว โดยมีเกาหลีคนเดียวเป็นที่ปรึกษา

ในขณะที่ R&D ไทย ยังทำได้แค่เป็น Maker

รับ Drawing มาจากเกาหลี แล้วทำให้เป็นชิ้นงาน ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็ยังทำเองได้ไม่ 100% ต้องมีทีมเกาหลี support

เมื่อจบ project  ทีมเกาหลีกลับไปแล้ว

R&D ไทยมีหน้าที่แค่ ออกแบบ แก้ไข ปรับปรุง ชิ้นงานที่มีปัญหาระหว่างการผลิต

และ ทำการลดต้นทุน

ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณท์ตัวต่อไป

เมื่อมี New Model ก็เข้าอีหรอบเดิม

จนสุดท้ายทางบริษัทแม่ที่เกาหลีเห็นว่าไม่ไหว R&D ไทยก็ถูกยกเลิกไป

กลายเป็นแผนก Design Eng และ Product Eng

เกาหลีที่นี่บอกว่า

คนไทยใจไม่สู้

หากคนมีอำนาจกว่า จะบีบอะไรยังงัยก็ยอม แล้วคนที่มีอำนาจมากกว่าเค้าชอบเพราะ เชื่องยังกับ.... แต่เค้าไม่ได้ยอบรับนับถือ.

บางคนแย้ง ขัดขืน ก็อยู่ไม่ได้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ตามน้ำไปกับเกาหลีหมด

เค้ายังอ้างถึงกรณีอังกฤษกับฝรั่งเศษ ไทยก็ยอมยกดินแดนให้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่คิดจะต่อสู้

เค้าบอกว่ามันต่างกับการเสียเอกราชตรงไหน

ผมจี๊ดดดดดดดดดดดดดดเลย  

ไม่ได้โกรธเกาหลี

แต่รู้สึกว่า เออจริง ว่ะ

ทั้งๆที่ผมก็ไม่นิยมชมชอบเกาหลีมากนัก

เพราะเค้าค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร ยกเว้น ผู้บังคับบัญชา และ เป้าหมาย ของตัวเอง


อีก 20 ปีข้างหน้า

ประเทศเราจะกลายเป็นตลาดแรงงานราคาแพง คุณภาพงั้นๆ

และเมื่อทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตหนีเราก็จบ

เตรียมทางหนีทีไล่กันไว้หรือยังครับ



บ้านเราย่ำอยู่กับที่มานานมากๆ

นานจนคนไทยรู้สึกชิน และคิดว่ามันคือสิ่งที่ปรกติ

ประกอบกับการโฆษณาชวนเชื่อ ที่กรอกหู กรอกหัวประชาชนมาตลอดเวลาหลายสิบปี

ว่าบ้านเราดียังงั้น บ้านเราดียังงี้ สาระพัด ทั้งที่มันไม่จริง

จนเราเชื่อและคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็เชื่อแบบนั้นมาค่อนทางที่ชีวิตผมดำเนินมา


  -บ้านเราอุดมสมบูรณ์

ดูใน Google maps ซิ แล้วคุณจะเห็นว่าประเทศข้างๆเขียวกว่าบ้านเราเยอะ บ้านเราบุกรุกป่ากันขนาดไหน

50 ปีที่แล้วเราปลูกข้าวได้ไร่ละครึ่งเกวียน    50 ปีต่อมาก็ทำได้เท่าเดิม

แค่เปลี่ยนจากควายมาเป็นรถไถ เปลี่ยนจากปลูกปีละครั้งเป็นปีละ 3 ครั้ง บางที่มี 4 ครั้ง

บุกรุกป่า เพิ่มพื้นทีเพาะปลูก

เทคโนโลยีระบบชลประทานและวิทยาศาสตร์การเกษตร ไปไหน ทำอะไรอยู่

นี่คือความไม่พัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน  

แต่เราโกหกกันเองว่าเราพัฒนา ภูมิใจมากมายยอดขายข้าวอันดับ 1 ของโลก


 -บ้านเราแหล่งท่องเทียวมากมาย สวยงามที่สุด

เคยเห็นน้ำตกที่ลาวไหม เคยเห็นเกาะฝั่งอันดามันที่พม่าไหม เคยเห็นชายหาดที่เวียดนามไหม

ถ้าเห็นแล้วจะพูดไม่ออก

ที่ต่างชาติมาบ้านเราเยอะเพราะบ้านเราเปิดประตูอ้าไว้รอเค้าเลย


 - บ้านเราสงบสุข ร่มเย็น

คนค่อนประเทศเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

แต่

ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปรกครองปี 2475  มาจนวันนี้เป็นเวลา 77 ปี

ประเทศของเรา มีการปรกครองที่น่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้เลย

ด้วยนายกรัฐมนตรี 27 คน

กับรัฐบาล 59 สมัย

และปฏิวัติรัฐประหาร/กบฏ ที่มากถึง 24 ครั้ง

นี่แหละปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทย
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: nicsjerry ที่ สิงหาคม 06, 2010, 18:07:49
บ้านเมืองทะเลาะกันอย่างนี้ เหนื่อย อยากให้รัก  ไม่แบ่งแยก แต่ดูแล้ว คงอีกนาน
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: devilpharynx ที่ สิงหาคม 06, 2010, 18:51:27
เป็นความคิดที่ดีครับ....คิดได้แต่ทำยาก........แต่ถ้าไม่เริ่มคิด+ทำตั้งแต่วินาทีนี้ ก็ช้าไปละ....
คิดถูกแล้งครับที่เริ่มจากคนใกล้ตัวก่อนคือ ลูก  ถ้าทำอย่างนี้ หลาย ๆ ครอบครัว คนไทยยุคต่อไปก็คงแข็งเกร่งขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: gauygeng ที่ สิงหาคม 06, 2010, 18:55:03
มีแต่คน เห็นปัญหา แต่จะมีซักกี่คนที่ทำ  ^ ^
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: udis ที่ สิงหาคม 06, 2010, 19:17:49
เห็นพูดถึง Gundam เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สนุกมากๆครับ
แต่ผมว่าหลายคนดูแล้วไม่รู้เรื่องครับ
ผมว่าถ้าหลายๆคนได้ดูก็ไม่น่าเป็นห่วงครับ ;D ;D ;D

Season 1
หนังการ์ตูนเรื่องนี้เริ่มต้นโดยมีฉากเบื้องหลังคือโลกในปี A.D. (คริสต์ศักราช) ที่ 2307 มนุษย์ได้คิดค้นสร้างลิฟท์ขึ้นสู่วงโคจรนอกอวกาศและระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์นอกชั้นบรรยากาศโลกและเริ่มใช้จริงเพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนพลังงานน้ำมันที่ถูกขุดขึ้นมาใช้จนเกือบหมด แต่ในการก่อสร้างระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์นี้จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนก่อสร้างอย่างมหาศาล ซึ่งผู้ที่ถือครองกรรมสิทธิ์และได้รับผลประโยชน์นั้น มีเพียง 3 ขั้วมหาอำนาจเท่านั้น ได้แก่ Union ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา แคนาดา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สัมพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปมนุษย์ที่นำโดยจีน รัสเซีย อินเดีย และ AEU หรือสหภาพยุโรป ซึ่งขั้วมหาอำนาจทั้งสามถึงแม้จะไม่ก่อสงครามต่อกันถึงขั้นแตกหักต่อกันก่อตาม ต่างฝ่ายต่างก็แข่งขันกันคิดค้นพัฒนายุทโธปกรณ์ทางการทหารกันอย่างไม่ยั้งมือ เกิดเป็นสงครามเย็นที่ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยไม่มีวันจบ ส่วนประเทศขนาดเล็กที่ไม่ได้เข้าร่วมขึ้นอยู่กับขั้วมหาอำนาจใดเลย ต้องตกอยู่ในสภาวะยากไร้ขาดแคลน มีการต่อสู้แย่งชิงและเกิดสงครามภายในประเทศขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในยุคแห่งความวุ่นวายสับสนเช่นนี้ องค์กรลับนาม เซเลสเชียลบีอิงก์ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายเพื่อการต่อต้านและหยุดยั้งสงครามทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในโลก โดยใช้อาวุธที่ใช้เตาพลังงานแสงอาทิตย์ GNไดรฟ์ นาม "กันดั้ม" ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่าอาวุธในปัจจุบันเพื่อการดำเนินแผนการณ์ตามอุดมการณ์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด


โคโลนี่ "กรุงเทพ" (ญี่ปุ่นクルンテープ Krung Thep ?)
ปรากฏขึ้นในไซส์สตอรี่ 00F และฉบับนิยาย 00P เป็นโคโลนี่แห่งแรกของโลกซึ่งสัณนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อประมาณ 15 ปีก่อน รักษาระดับการลอยที่อยู่ในเขตสมดุลแรงโน้มถ่วง L3 โดยมีลักษณะเป็นดาวเคราะห์น้อยรัศมีประมาณ 500 เมตร สร้างเป็นพื้นที่ขุดเข้าไปภายในตัวดาวเคราะห์น้อย เป็นสถานที่พัฒนาวิจัยเทคโนโลยีแห่งแรกๆ ของ เซเลสเชียลบีอิงก์ โดยชื่อนำมาจาก "กรุงเทพมหานคร" เมืองหลวงของประเทศไทย ซึ่งมีความหมายว่า "เมืองแห่งเทวดา"

ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/
(http://www.darkmirage.com/blog/wp-content/uploads/2008/02/10_gundam00_ep18t.jpg)
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Satanic za' ที่ สิงหาคม 06, 2010, 19:19:35
กระทู้นี้คล้ายๆกับกระทู้ อนาคต(ที่ไม่มีอนาคต)ของประเทศไทยจะไปทางไหน ของห้องหว้ากอ

ถ้าคุยกันตามหัวข้อกระทู้ผมวกเข้าการเมืองแน่ๆ

งั้นคุยเรื่องใกล้ๆตัวผมล่ะกัน



ผมทำงานโรงงานเกาหลี

เกาหลีทีโรงงานผมเค้าเปรียบเทียบโรงงานที่ไทย กับที่ จีน

ก่อตั้งแผนก R&D ขึ้นพร้อมๆกัน

ทุกวันนี้ R&D ที่จีน สามารถ develope ผลิตภัณท์ใหม่ได้เองแล้ว โดยมีเกาหลีคนเดียวเป็นที่ปรึกษา

ในขณะที่ R&D ไทย ยังทำได้แค่เป็น Maker

รับ Drawing มาจากเกาหลี แล้วทำให้เป็นชิ้นงาน ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็ยังทำเองได้ไม่ 100% ต้องมีทีมเกาหลี support

เมื่อจบ project  ทีมเกาหลีกลับไปแล้ว

R&D ไทยมีหน้าที่แค่ ออกแบบ แก้ไข ปรับปรุง ชิ้นงานที่มีปัญหาระหว่างการผลิต

และ ทำการลดต้นทุน

ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลวิจัย เพื่อพัฒนาผลิตภัณท์ตัวต่อไป

เมื่อมี New Model ก็เข้าอีหรอบเดิม

จนสุดท้ายทางบริษัทแม่ที่เกาหลีเห็นว่าไม่ไหว R&D ไทยก็ถูกยกเลิกไป

กลายเป็นแผนก Design Eng และ Product Eng

เกาหลีที่นี่บอกว่า

คนไทยใจไม่สู้

หากคนมีอำนาจกว่า จะบีบอะไรยังงัยก็ยอม แล้วคนที่มีอำนาจมากกว่าเค้าชอบเพราะ เชื่องยังกับ.... แต่เค้าไม่ได้ยอบรับนับถือ.

บางคนแย้ง ขัดขืน ก็อยู่ไม่ได้เพราะคนไทยส่วนใหญ่ ตามน้ำไปกับเกาหลีหมด

เค้ายังอ้างถึงกรณีอังกฤษกับฝรั่งเศษ ไทยก็ยอมยกดินแดนให้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่คิดจะต่อสู้

เค้าบอกว่ามันต่างกับการเสียเอกราชตรงไหน

ผมจี๊ดดดดดดดดดดดดดดเลย  

ไม่ได้โกรธเกาหลี

แต่รู้สึกว่า เออจริง ว่ะ

ทั้งๆที่ผมก็ไม่นิยมชมชอบเกาหลีมากนัก

เพราะเค้าค่อนข้างเห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร ยกเว้น ผู้บังคับบัญชา และ เป้าหมาย ของตัวเอง


อีก 20 ปีข้างหน้า

ประเทศเราจะกลายเป็นตลาดแรงงานราคาแพง คุณภาพงั้นๆ

และเมื่อทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตหนีเราก็จบ

เตรียมทางหนีทีไล่กันไว้หรือยังครับ



บ้านเราย่ำอยู่กับที่มานานมากๆ

นานจนคนไทยรู้สึกชิน และคิดว่ามันคือสิ่งที่ปรกติ

ประกอบกับการโฆษณาชวนเชื่อ ที่กรอกหู กรอกหัวประชาชนมาตลอดเวลาหลายสิบปี

ว่าบ้านเราดียังงั้น บ้านเราดียังงี้ สาระพัด ทั้งที่มันไม่จริง

จนเราเชื่อและคิดว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็เชื่อแบบนั้นมาค่อนทางที่ชีวิตผมดำเนินมา


  -บ้านเราอุดมสมบูรณ์

ดูใน Google maps ซิ แล้วคุณจะเห็นว่าประเทศข้างๆเขียวกว่าบ้านเราเยอะ บ้านเราบุกรุกป่ากันขนาดไหน

50 ปีที่แล้วเราปลูกข้าวได้ไร่ละครึ่งเกวียน    50 ปีต่อมาก็ทำได้เท่าเดิม

แค่เปลี่ยนจากควายมาเป็นรถไถ เปลี่ยนจากปลูกปีละครั้งเป็นปีละ 3 ครั้ง บางที่มี 4 ครั้ง

บุกรุกป่า เพิ่มพื้นทีเพาะปลูก

เทคโนโลยีระบบชลประทานและวิทยาศาสตร์การเกษตร ไปไหน ทำอะไรอยู่

นี่คือความไม่พัฒนาที่เห็นได้ชัดเจน  

แต่เราโกหกกันเองว่าเราพัฒนา ภูมิใจมากมายยอดขายข้าวอันดับ 1 ของโลก


 -บ้านเราแหล่งท่องเทียวมากมาย สวยงามที่สุด

เคยเห็นน้ำตกที่ลาวไหม เคยเห็นเกาะฝั่งอันดามันที่พม่าไหม เคยเห็นชายหาดที่เวียดนามไหม

ถ้าเห็นแล้วจะพูดไม่ออก

ที่ต่างชาติมาบ้านเราเยอะเพราะบ้านเราเปิดประตูอ้าไว้รอเค้าเลย


 - บ้านเราสงบสุข ร่มเย็น

คนค่อนประเทศเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น

แต่

ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปรกครองปี 2475  มาจนวันนี้เป็นเวลา 77 ปี

ประเทศของเรา มีการปรกครองที่น่าจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกได้เลย

ด้วยนายกรัฐมนตรี 27 คน

กับรัฐบาล 59 สมัย

และปฏิวัติรัฐประหาร/กบฏ ที่มากถึง 24 ครั้ง

นี่แหละปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทย


คนไทยไม่ขี้ไก่นะคร้าบ ฮิๆ

เฉพาะปีนี้ ผมลด cost ให้บริษัทได้อย่างนี้เป็นสิบล้าน และทำให้ บ ไม่ต้องซื้อเครื่องจักรเพื่อลงทุนเพิ่มอีก 15 ล้านเป็นอย่างน้อย
( order nissan เยอะมากๆครับ ช่วงนี้ อ่อ จะบอกเพื่อนๆว่า โรงงานผมได้รับ order ของ honda eco car แล้วนะครับ อิอิ)

แต่ที่ บ ผมดีอย่างนึง ญี่ปุ่นเค้าให้โอกาสเต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำเลย อยากได้งบเท่าไหร่ขอให้บอก ใน บ ผมคนไทยค่อนข้างมีอิสระครับ อิอิ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: TDCI ที่ สิงหาคม 06, 2010, 19:29:57
มีประเด็นน่าสนใจคือ สังคมไทย เป็นสังคมที่ชอบออกความเห็น

แต่หากให้ลงมือทำ คนที่ออกความเห็น 90% จะโบกมือลา

เคยสังเกตกันมั๊ยว่า สังคมไทย มักจะมีคำถามว่า

 "แล้วจะให้ทำอย่างไร"

"แล้วจะเริ่มตรงไหน"

"แล้วใครจะเป็นคนเริ่มต้น"


สิ่งเหล่านี้ ประเทศเกาหลีใต้ ก้าวข้ามมาแล้ว

เขาทุ่มงบประมาณ ในการสร้างคน

30 ปีที่ผ่านมา เขาสร้างคนที่มีคุณภาพ มา30 รุ่น

คนอายุ 30 ต้นๆของเกาหลีใต้วันนี้คือ กำลังหลักในการพัฒนาประเทศ

พวกเราคงได้เห็นแล้วว่า รถยนต์แบรนด์เกาหลี  นับวันก้าวกระโดด

หายใจรดต้นคอญี่ปุ่นแบบไม่ห่าง

การคาดหวังว่านักการเมืองไทย จะเข้ามาแก้ปัญหาคงลำบาก

เพราะเมื่อพูดคำว่า "อนาคต"  เรายังมองอนาคตการเมืองไทยไม่ออกเลย

ก็กลับมาที่เดิมว่า

  "แล้วจะให้ทำอย่างไร"

"แล้วจะเริ่มตรงไหน"

"แล้วใครจะเป็นคนเริ่มต้น"

สมัยผมเรียนประถมที่บ้านนอก ครูสอนนักสอนหนาว่า ต้องทิ้งขยะลงถัง

แต่พอมาเรียนมัธยมที่กรุงเทพฯ ทำไมถังขยะมันหายากจัง!!!

แต่ทุกวันนี้ ก็ยังให้ความสำคัญกับการทิ้งขยะลงถังอยู่

นั่นเพราะโรงเรียนคือที่สร้างคน

บางคนอาจคาดหวังมากกว่า โรงเรียนจะต้องสร้างเด็กให้ป็นอนาคตที่ดีของบชาติให้ได้

สร้างให้คนมีคุณธรรม

สร้างให้คนดีเลิศ

จริงๆแล้วการสร้างคนเน้นไปที่สร้างวินัยก็เพียงพอแล้ว

มี 2 เรื่องไม่ว่าโรงเรียนไหนก็ทำได้เลย ไม่ต้องไปรอนักการเมืองคือ

1 สอนให้เด็กรู้จักการเข้าแถว (ไม่ใช่เรียงคิว)
2 สอนให้เด็กทิ้งขยะให้ลงถัง

เพราะหากเด็กมีลักษณะนิสัยนี้อยู่ในตัว จะสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่เรื่องอื่นๆโดยอัตโนมัติ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: prai ที่ สิงหาคม 06, 2010, 19:41:51
นึกว่าคุณจิมมี่พูดเล่น คุณจิมมี่เอาจริง  :)
งั้นผมขอก็อปปี้จากที่ได้แสดงความเห็นไว้ใน ทอกปิกอันก่อนนะครับ
และได้เพิ่มเติมบางส่วนลงไป ในส่วนของชีวิตในโรงเรียนเอกชนของเด็กสมัยนี้

คุณปรู๋ มีแนวความคิดที่เยี่ยมมากผมขอชื่นชม
ผมคิดแบบคุณเลยว่าการศึกษาในโรงเรียนมันไม่มีคุณภาพ
วันๆ ไปโรงเรียน ก็นอน ฟังเพลง กินหนม คุย เล่น กินข้าว
เปิดโปรเจกเตอร์ดูหนัง นั่งห้องแอร์เล่นไปวันๆ
เด็กผู้หญิงบ้างคนแค่อายุ 14-15 ก็สูบบุหรี่แล้วก็ดิ๊ง แล้วทำกันเป็นกลุ่มแต่ไม่ได้ทำในโรงเรียนนะครับ
บางคนก็มีอะไรกันตั้งแต่ยังไม่จบช่วงชั้นที่ 3 เลยครับ มันอาจจะเป็นส่วนน้อยแต่มันก็เป็นเรื่องใหญ่นะครับ
วันไหนอยากหยุดก็หยุด วันไหนอยากไปก็ไป พอ มส. ก็เสียเงินแล้วก็ได้สอบ
ถามว่าครูสอนไหม? เขาก็สอนนะครับ แต่เด็กมันไม่เอากันเองเขาจะทำอะไรได้
ถ้าตี ก็โดนหักเงินเดือน ครูก็เลยปล่อยว่าง
ไม่บอกชื่อโรงเรียนนะครับ แต่เป็นโรงเรียนที่สวยมาก
ผมเลยไม่เรียนมันเลย ออกมาดูแลครอบครัว และธุรกิจของที่บ้าน เพราะพวกเขาก็อายุมากแล้ว เป็นห่วงด้วย
และหาความรู้จากอินเตอร์เน็ตเองดีกว่า

ผมเห็นด้วยนะครับ ว่าประเทศไทยควรพัฒนาให้ได้มากกว่านี้
แต่การพัฒนาแบบก้าวกระโดดนั้น ผมเป็นห่วงเรื่องนี้มาก
เพราะการศึกษาและประสบการณ์ของคนไทยส่วนใหญ่ในภาพรวมทั้งประเทศประมาณ 63 ล้านคน มันไม่ได้สูงมากนัก
การพัฒนาประเทศไทยในภาพรวมนั้น เราควรพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
เราควรกระจายความเจริญจากเมืองให้ออกไปสู่ชนบทมากขึ้น เพื่อความเท่าเทียมกันของสังคม
แล้วชาวชนบทหรือต่างจังหวัด ก็จะค่อยๆ เรียนรู้วิถีชีวิต วิชาการ สังคม เองไปเลื่อยๆ
คนไทยน่ะมีนิสัยที่ไม่ดีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ มีขี้เกลียด ขี้โม้ ขี้โอ้ขี้อวด และก็ขี้อิจฉา
ถ้าแก้นิสัยพวกนี้ได้ประเทศไทยเราจะเจริญมากครับ
และผมอยากให้นักการเมืองทุกวันนี้ไม่ใช่นักการเมืองครับ ผมอยากให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้นำมากกว่าการเป็นนักการเมือง

และผมมองว่า ไม่ใช่แค่ยารักษาโรคอย่างเดียวที่อีกหน่อยประชากรโลกจะต้องการ
แต่มีอีกสิ่งที่ประกรโลกต้องการ นั่นคือ ?อาหาร?
ประเทศเราเหมาะมากในการทำพืชผลทางการเกษตร แค่เราจัดทำชลประทานให้ดี ไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง
และให้รัฐบาลสร้างห้องแลปวิจัย การเพิ่มผลผลิต การทนทานต่อศัตรูพืช และฤดูกาล เน้นให้เป็นของรัฐที่ไม่ให้เอกชนแทรงแซง
เพียงเท่านี้ประเทศเราก็ไม่อดตายแล้วครับ แล้วส่วนที่เหลือก็ส่งออกนอกประเทศเพื่อทำกำไร
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอีกหน่อยอาหารคงต้องแพงมากแน่ๆ

หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: tokyo ที่ สิงหาคม 06, 2010, 19:56:58
ประวัติของพี่ท่านนี้สุดยอดดีอะ ชอบตรงซ่อมรถเอง
เพราะผมก็ทำแบบนั้นเหมือนกันถึงแม้ตอนนี้อยู่ม.6มันทำได้แค่มอไซค์ก็เถอะ
แต่ฝันลึกๆก็อยากมีอู่ทำรถตัวเองในบ้าน แบบ วินดีเซล ใน the fast

ส่วนกันดัมผมว่าสำหรับตัวผมดูแล้วมันงงๆ หรือไม่ได้ตั้งใจดูก็ไม่รู้ ประมาณว่าเปิดทีวีเจอเลยดู สักพักก็เปลี่ยนช่อง เพราะไม่รู้เรื่อง

เรื่องอ่านหนังสือผมเห็นด้วยครับ เพราะตัวเองผมเองก็ขี้เกียจ ยกเว้นว่าจะได้อ่านอะไรที่ตัวเองสนใจจริงๆ
ซึ่งแน่นอนมันก็เรื่องพวกรถเนี่ยแหละ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Arado_kung ที่ สิงหาคม 06, 2010, 20:54:41
Gundam แนะนำให้ดูของจักรวาล UC ครับ เนื้อเรื่องต่อเนื่องยาวมากแถม side story บานตะเกียง List ตามนี้เลย เท่าที่ผมพอนึกออกนะ

- UC 0079 First Gundam TV series 39 ตอน Movie 3 ตอน (Movie ในไทยมีลิขสิทธิ์โดย DEX)
- UC 0079 Side Story 08 MS Team OVA กี่ตอนก็ไม่รู้ลืม Lc By Dex
- UC 0079 Side Story MS Igloo OVA หาซับไทยได้ทั่วไป No LC
- UC 0079 Side Story Blue Destiny นิยาย รายละเอียดเนื้อเรื่องไปเล่นเอาในเกมส์ G-Gen ได้
- UC 0080 Side Story War In Pocket  OVA เรื่องนี้แนะนำให้ดูอย่างแรง เป็นการ์ตูนต่อต้านสงครามได้ดีทีเดียว No LC
- UC 0080-UC 0087 Side Story Char Delete Affair Manga LC By SLC ตอนนี้ออกมา 11 เล่มแล้วครับ
- UC 0083 Gundam Stardust Memory OVA 6 ตอน Movie 1 ตอน LC By Dex
- UC 0087 Z Gundam TV Series 52 ตอน Movie 3 ตอน Movie LC By Dex
- UC 0087 Side Story โรงเรียนนายร้อยจากฟากฟ้า LC By SLC เล่ม 12 ดองมาเป็นปีแล้วมั้ง
- UC 0088 Side Story Gundam Sentinel นิยาย มีเนื้อเรื่องในเกมส์ G-Gen เช่นกัน นิยายมีคนแปลไทยอยู่ในบอร์ด thaigundam
- UC 0088 ZZ Gundam TV Series 52 ตอน No LC
- UC 0093 Char counter attack Movie 1 ตอน LC By Dex
- UC 0097 Gundam Unicorn นิยาย OVA 4 ตอน ตอนนี้ OVA พึ่งออกแค่ตอนเดียวเอง
- UC 0105 Hazaway Flash นิยาย เนื้อเรื่องไปหาในเกมส์ G-Gen
- UC 0120 Gundam F90 Manga ในไทยเคยมีของไพเรทวางขาย
- UC 0123 Gundam F91 Movies 1 ตอน NO LC
- UC 0133 Crossbone Gundam ภาคต่อจาก F91 manga ในไทยเป็นของไพเรทเหมือนกัน มี2เจ้า อันนึง3เล่มจบ อีกอันนึงกี่เล่มจบก็ไม่รู้จำไม่ได้
- UC 0150 Victory Gundam ภาคส่งท้ายของจักรวาล UC TV Series 52 ตอน No LC

จริงๆแล้วมันมีมากกว่านี้จม แต่อย่างที่คุณ Traveler ว่าได้เลยครับ Gundam มันแฝงการเมืองเยอะมาก จักรวาล UC เนี่ยมันแฝงการเมืองเยอะที่สุดแล้ว รองลงมาก็ OO เนี่ยแหละ   
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Eddy5659 ที่ สิงหาคม 06, 2010, 21:05:30
น่าเป็นห่วงจริงๆ ครับ

ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนตั้งแต่แพทย์ พยาบาล สาสุข จนถึงวิทยาศาสตร์การกีฬา

ถึงแม้ว่ามันสมองของ นศพ จะสูงกว่าวิทยาศาสตร์การกีฬาหลายขุม

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ความที่เป็นเด็ก ไม่มีภูมิคุ้มกัน ทนความเครียดหรือความผิดหวังไม่ได้ ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่คือเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด

ความเป็นเด็ก เกิดจากการที่ถูกเลี้ยงมาดี ไม่ต้องดิ้นรนมาก ไม่ได้คิดวิเคราะห์เพื่อหาทางให้ชีวิตดีขึ้น รอคำสั่ง หรือคำสอนอย่างเดี๋ยว
ถ้าถีบมันตกน้ำก็จะจมน้ำตาย ถ้าไม่บอกว่าจะต้องไหว้น้ำอย่างไร ขยับแขนแบบไหนขยับขาอย่างไร ถึงแม้ว่าทั้งหมดนั้นเขาจะเคยได้ยินมาแล้วก็ตาม

ไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็เหมือนที่หลายๆท่าน แสดงความคิดเห็นแหละครับ เด็กๆทุกวันนี้ไม่รู้จักกลัวบาป ทำอะไรตามกัน ตามสมัยนิยม รับทุกสิ่งเข้าสู่ตัว
ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายแค่ไหน หรือสิ่งนั้นจะไร้สาระแค่ไหน ทุกวันเด็กหลายคนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ BB มาครอบครอง ทั้งๆที่เอามาแล้ว
เกือบ 70% เพื่อโทรออก รับสาย ซึ่งโทรศัพท์ราคา 650 บาทก็ทำได้

ทนความเครียดทนความผิดหวังไม่ได้ นี่น่าเป็นห่วงที่สุด หากวิจารณ์เขาหรือแนะข้อผิดพลาดของเขาเกือบ 75% ตอบสนองกลับมาในแง่ลบ
ไม่เสียใจ ก็โกรธ หาว่าเราแกล้ง ทั้งๆที่เมื่อจบออกไป ไปทำงานเขาต้องโดนการตรวจสอบและการประเมิณจากผู้บังคับบัญชาหรือสังคมอย่างหนัก

พูดไปผมก็อ่อนใจ เพราะเรื่องนี้ผมเพิ่งอบรมณ์ นศ.เภสัช ไปตอนบ่ายวันนี้ นี่เอง
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Ajnonny ที่ สิงหาคม 06, 2010, 21:33:43
เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา?
ประเทศชาติจะรุ่งเรื่องและเฟื่องฟุ้ง                      น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา                                        เป็นประชาจนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน                              ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดังทินกร                                        องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส                                  แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน                                          เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง                                 ขุนนางเขื่องกังฉินกันทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา                                       ประดุจปลวกกินฝานั่นประไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม                              สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป                                        โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว                                ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี                                            เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ                                 มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน                                    พายุลั่นน้ำถล่มแผ่นดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก                 เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระส่าย
เกิดการปราบจราจลชนล้มตาย                                     เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนาย นายเป็นข้า น่าสมเพช                      ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล                                           จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ                              ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม                                            ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว                                        ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง                                     สายน้ำหลั่งกรากหวาดเสียวหัวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม                                   หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป                                              เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น                             แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤตด้วยศรัทธา                                ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

(ผมไม่ได้งมงายนะครับ)

เผื่อจะทำให้ทุกคนมีกำลังใจ ในการช่วยกันพัฒนา ประเทศมากขึ้น
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: mann ที่ สิงหาคม 06, 2010, 22:04:17
เข้ามาอ่านแล้วก็ เออ หว่ะ  ตามไปด้วยครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: MyName ที่ สิงหาคม 06, 2010, 22:30:33
เราก็เป็นเยาวชนคนหนึ่ง ก็จะน้อมรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ไว้แล้วกันคับ
บางอย่างที่คุยกันในกระทู้ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยแม้แต่น้อยแหะ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: 6162002 ที่ สิงหาคม 06, 2010, 23:10:11
อะไรๆ เมื่อมันเลวร้ายถึงที่สุดแล้ว มันก็จะดีขึ้นอีกครั้งครับ >_<
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: FyGI ที่ สิงหาคม 06, 2010, 23:17:00
หลายๆ ความเห็นในนี้ โดนใจพอสมควร

และมันเป็นเรื่องจริง ของสังคมไทย

ขณะที่อ่าน หัวผมความคิดก็วิ่งเพียบเลย

แต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นตัวอักษรได้



ผมเคยคิดว่า เยาวชนเราเก่งๆ เยอะ

ได้รางวัลเหรียญทอง เงิน วิทย์ คณิต ชีวะ ทั้งหลาย

ได้มาทุกปี ชนะกี่สิบประเทศ

แต่ทำไมบ้านเรายังย่ำอยู่ที่เดิม

เ็ด็กที่ได้รับรางวัลมา มันสมองเค้าไปอยู่ที่ไหนหมด

ได้ข่าวแต่นักเรียนตีกัน เผาโรงเรียน ฯลฯ



เมื่อตอนผมอายุ 16-17 ผมได้ทราบว่าเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา ก็รู้สึกดีใจเล็กๆ

ตอนนี้ผมอายุ 29 ย่าง 30 ผมก็ยังได้ยินคำๆ เดิม

เมื่อไหร่เราจะได้ถือว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วสักที
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: jobbabys ที่ สิงหาคม 06, 2010, 23:38:30
เห็นด้วยอย่างยิ่ง กับ หลายๆความคิดเห็น และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับบางความส่วน ของบางความคิดเห็น

เรื่องการ design หรือ R&D จริงๆ ตอนนี้ มีครับ มีอยู๋ที่นึงเท่าที่ผมรู้

เพราะเคยทำงานที่นี่มาก่อน รู้จักไหมครับ SONY Mobile ครับ (เครื่องเสียงติดรถยนต์ครับ) มีแผนก engineer design

ถึงแม้ว่าฝ่ายของวิศวกรรมเครื่องกล ในเรื่องของทำ part จะยังคงพึ่งพาทางญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

แต่ทางวิศวกรรมไฟฟ้าแล้ว  ที่นี่ ญี่ปุ่นยอมรับมากพอสมควรครับ  ให้คิดวงจรเอง ทำเองครับ

แต่พอถึงเวลาแต่ละช่วง ก่อนขายจริง ซึ่ง จะมี 4 ช่วง 2 ช่วงท้าย ญี่ปุ่นจะมาเช็คครับ ว่ามาตรฐานทุกอย่างผ่านหรือไม่

ถึงวิศวกรออกแบบที่นี่ จะไม่ได้เป็นเหมือน R&D ของเกาหลี เช่น LG หรือ Samsung ครับ
เพราะ R&D แบบนี้จะเป็นอย่างความเห็นก่อนหน้าที่พูดนั้นจริงๆ แต่แก้ไขปัญหาเล็กน้อย ติดตามเรื่อง part คุยกับ vender เรื่อง part
แก้ปัญหาไป จนออกขาย

แต่กับโซนี่ ไม่ครับ ออกแบบเอง แก้ปัญหาเอง แล้วค่อยรายงานให้ทางญี่ปุ่นรับทราบเท่านั้นครับ

( ป.ล. โซนี่รุ่นแรกที่ อ่าน USB ได้ ที่เป็นรุ่น filp down เปิดได้ทั้งหน้ากาก ผมก็อยู่ในส่วนทีมนั้น และช่วยกันออกแบบวงจรครับ )

ผมยังเห็นอนาคตในทางที่ดีได้ ถ้าคนไทยช่วยกัน

แต่ในความหวังนั้นดูริบหรี่เหลือเกินครับ

ุทั้งวัยรุ่นสมัยนี้ แต่สติของคนสมัยนี้ ไปไหนหมดครับ  สติ

อย่างบางความเห็นที่ยกเรื่อง นายกกี่คน รัฐประหารกี่ครั้ง เลือกตั้งกี่ครั้ง  ไม่ต้องโทษระบบครับ

โทษตัวเราเองทั้งนั้น  คนไทย ทำตัวเอง ทั้งนั้น

ไม่ว่าจะคุณ หรือผม ผิดทั้งนั้น

บางที ผมเริ่มมีความคิดบางอย่างเหมือนกันนะ

คือ ผมเพิ่งได้ไปเที่ยวพม่ามา  ก็จะมีเรื่องพิพาทที่ว่า พม่าเผาทองของเราไป

ตอนนี้ผมเริ่มคิดว่า ไม่ใช่แล้วละ

อาจจะเป็นคนไทยเองนี่ละ  ที่เผาทองเอาไปเอง แล้วไปว่าพม่า

เพราะกี่ยุค กี่ สมัย คนไทย จะมีคนขายชาติเสมอ

ความเจริญ ไม่ต้องเรียกหาครับ

ถ้านิสัยคนไทย ยังห่วยแบบนี้อยู่

ช่วยกันเถอะครับ

จับมือกัน

ไม่ว่าสีใด มีสติ  อยู่ในหลักพุทธศาสนา

อย่ามัวแต่เอาผลประโยชน์ส่วนตน

แค่นี้ ไทยแลนด์ จะสู้ได้ครับ

คนไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกครับ (หวังว่านะ)
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: ฮิ ฮิ้วววว!!~~~ ที่ สิงหาคม 06, 2010, 23:45:31

เราควรกระจายความเจริญจากเมืองให้ออกไปสู่ชนบทมากขึ้น เพื่อความเท่าเทียมกันของสังคม
แล้วชาวชนบทหรือต่างจังหวัด ก็จะค่อยๆ เรียนรู้วิถีชีวิต วิชาการ สังคม เองไปเลื่อยๆ
คนไทยน่ะมีนิสัยที่ไม่ดีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับ มีขี้เกลียด ขี้โม้ ขี้โอ้ขี้อวด และก็ขี้อิจฉา
ถ้าแก้นิสัยพวกนี้ได้ประเทศไทยเราจะเจริญมากครับ
และผมอยากให้นักการเมืองทุกวันนี้ไม่ใช่นักการเมืองครับ ผมอยากให้พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้นำมากกว่าการเป็นนักการเมือง

และผมมองว่า ไม่ใช่แค่ยารักษาโรคอย่างเดียวที่อีกหน่อยประชากรโลกจะต้องการ
แต่มีอีกสิ่งที่ประกรโลกต้องการ นั่นคือ “อาหาร”
ประเทศเราเหมาะมากในการทำพืชผลทางการเกษตร แค่เราจัดทำชลประทานให้ดี ไม่ให้เกิดความแห้งแล้ง
และให้รัฐบาลสร้างห้องแลปวิจัย การเพิ่มผลผลิต การทนทานต่อศัตรูพืช และฤดูกาล เน้นให้เป็นของรัฐที่ไม่ให้เอกชนแทรงแซง
เพียงเท่านี้ประเทศเราก็ไม่อดตายแล้วครับ แล้วส่วนที่เหลือก็ส่งออกนอกประเทศเพื่อทำกำไร
โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าอีกหน่อยอาหารคงต้องแพงมากแน่ๆ




หากมองจริงๆในเรื่องตามที่คุณ prai ได้พูดเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องอาหาร และการเกษตร
จริงๆแล้วประเทศเราเนี่ย มีศักยภาพที่ทำได้นะครับ และก็สามารถทำได้อย่างดีด้วย จากพื้นฐานของเราที่เป็นประเทศเกษตรกรรม
มีแหล่งน้ำ มีผืนดิน มีอากาศที่ค่อนข้างเหมาะสม และอื่นๆอีกมากมาย
แต่สิ่งที่ขาดของประเทศเราจริงๆก็คือเรื่องของความมุ่งมั่น สม่ำเสมอ และจริงใจ

นโยบายที่ออกมาจากภาครัฐ ที่ออกจากคนที่อยู่แต่ในห้องแอร์ แล้วก็เขียนนโยบายออกมาโดยที่ไม่ได้ดูความต้องการว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร
นึกอยากจะให้ส่งเสริมเลี้ยงอะไรก็ทำกันไป หรือให้ปลูกอะไรโดยที่ไม่ศึกษาให้ดีและขาดความถี่ถ้วน แล้วก็ส่งเสริมกันไป
พอรัฐบาลเปลี่ยนใหม่ พอเจ้ากระทรวงเปลี่ยนใหม่ นโยบายเก่าที่เคยตั้งไว้กลับกลายเป็นล้มไม่เป็นท่า ขาดการสานต่อที่จริงจัง
วันดีคืนดี อยากส่งเสริมโครงการ "วัวล้านตัว" ก็ส่งเสริมกันไป ไปๆมาๆก็มีปัญหาโกงกินกัน ล้มกันไม่เป็นท่า เกิดพับโครงการมา ขาดการสานต่อ
เกษตรกรเตรียมตัวดี เกษตรกรเริ่มเลี้ยง พอถึงเวลาที่จะขายได้ ก็กลับกลายเป็นว่า แล้วนี่ (gu) จะไปขายใคร??


พูดไปพูดมาก็เวิ่นเว้อ มาเข้าประเด็นกันดีกว่า
สิ่งที่อยากจะพูดจริงๆก็คือ "ช่วยกันกำหนดและส่งเสริมอะไรที่แน่นอนกันจริงๆจังๆ และมาแก้ปัญหากันให้ตรงจุดดีกว่าครับ"
ไม่ใช่ว่า ไข่ไก่แพง ก็ตรึงราคาไข่ไม่ให้ขึ้น ทั้งที่จริงแล้วส่วนต่างทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้แพง ก็คือ "พ่อค้าคนกลาง"
เกษตรกรผู้เลี้ยง กว่าจะได้ลืมตาอ้าปากมาได้ กว่าจะผ่านทั้งวิกฤตไข้หวัดนก ต้องลงทุนเลี้ยงกันใหม่ในระบบโรงเรือนปิด
พอเริ่มเลี้ยงได้ก็มาเจอวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่มีการขึ้นราคา แต่กลับต้องมาเจอกับระยะไข่ถูกๆ
พอถึงจังหวะที่พอจะลืมตาอ้าปากได้ ก็โดนกดราคา เนื่องจากรัฐบาลควบคุมราคาไว้ พ่อค้าคนกลางก็มากดกับฟาร์มอีกที
"เกาไม่ถูกที่คัน" แล้วมันจะหายได้อย่างไร

แล้วเมื่อไหร่บ้านเมืองจะได้เดินไปกันต่อสักที...
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: jobbabys ที่ สิงหาคม 07, 2010, 00:05:37
ฝากนิดนึง

ผมเห็นด้วยกับเรื่องอาหาร และ การปลูกข้าวนะครับ

คือจริงๆแล้ว การปลูกข้าวเรา ไม่เคยพัฒนาเลยนะครับ

แพ้ชาติอื่นอย่างมโหฬาร เช่น ปีนึง เราปลูกได้ สาม ครั้ง

ประเทศอื่นปลูกได้มากกว่า

ในพื่นที่ 1 ไร่ ของไทย จะได้จำนวนข้าวน้อยกว่าประมาณ 3-4 เท่าตัวไปแล้ว

แล้วทำไม ถึงไม่มีวิจัยให้มันมีการพํฒนาที่ดีขึ้นนะ  ทั้งๆที่ ทุกอย่างเอื้ออำนวย

ความคิดในการพัฒนาการปลูกข้าว มี แต่ไร้การสนับสนุนจาก นักการเมือง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

มัวแต่ดีใจว่าไทยปลูกข้าวได้มากที่สุดในโลก ขอโทษเถอะ ใช้พื่นที่ในการเพาะปลูกเยอะที่สุดในโลกเช่นกัน

ทรัพยากรเมืองไทย ก็แทบไม่เหลืออะไรแล้ว พอคนไทยไม่มีที่ทำมาหากิน

ก็บุกรุกป่า  พอบุกรุกป่า ก็ครองกรรมสิทธิ์

พอครองกรรมสิทธิ์  ก็ได้โฉนด

พอได้โฉนด  ก็ขาย

พอขาย  ก็ใช้เงิน

พอเงินหมด  ก็มาทางป่าใหม่

ไร้ซึ่งความคิด

แล้วเรื่องมาตรฐานไม่เท่าเทียมกัน ไม่ต้องโทษใครหรอกครับ

โทษตัวเราเองนี่ละ ที่ทำ 2 มาตรฐานกันเอง

แค่ง่ายๆ ขับรถเก่าๆไป ไปจอดรถที่ดีๆ ข้างล่างพารากอน คงไม่ได้ ยามขับไล่

พอรถหรู ยามที่แทบจะเชิญมาจอด

แต่งตัวเสื้อเก่าๆ เน่าๆไปเดินห้าง ยามตามแจ

แต่งตัวดีๆ ไปเดินห้าง บริการ ใส่ใจอย่างดี

ตัวเราเองทั้งนั้น สังคมเราเองทั้งนั้น ที่สร้าง 2 มาตรฐาน ไม่ต้องโทษนักการเมืองหรอกที่สร้างมันขึ้นมา

ตัวเองทั้งนั้น

แล้ว ยังไง ก็แก้ไม่ได้หรอก ให้มันไม่มี 2 มาตรฐาน

ให้คนจน ได้มีรายได้ พอมีพอกิน ไม่ติดหนี้ หรือรวยขึ้นมา
แต่สิ่งที่หลายคนทำก็คือ

ขี้เกียจ

ติดการพนัน

กินเหล้า

ติดยาเสพติด

ติดบุหรี่

ติดการเสพสุข

แล้วเราจะรวยเหมือนคนอื่นได้อย่างไร

แต่ถ้าขยัน

ไม่ยุ่งเรื่องการพนัน

ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

อยากได้อะไร ไม่มีเงิน ก็ไม่ต้องเอา

ไม่เป็นหนี้

เราก็รวยได้แล้ว

ไม่ต้องไปง้อนักการเมือง

ไม่ต้องไปชุมนุม เรียกร้อง 

เพราะบางคน อยากรวย โดยไม่ต้องทำอะไร (คิดกันได้ไง)

ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยพ่อหลวง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ส่วนเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม ยังมีอยู่จริง เมื่อไร จะหายซํกที

เพราะคนจนบางคน  คนธรรมดา บางคน  ก็โดนคนมีอำนาจ ใช้วิธีบังคับ ขู่เข็ญต่างๆนาๆ

อันนี้ ผมเห็นใจ และเห็นด้วย  ให้คนใช้กฏหมาย ควรทำหน้าที่อย่างจริงจังซํกทีครับ

กฏหมายอะศักดิ์ แต่คนถือกฏหมายมาใช้ มันไม่ศักดิ์สิทธิ์เองมากกว่าครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: BBOnLY ที่ สิงหาคม 07, 2010, 00:47:29
ผมอ่านแล้ว เห็นด้วยทุกความเห็นครับ

ในฐานะที่ผมยืนมองในฐานะที่เด็กมหาลัยที่ยังเรียนไม่จบนะครับ ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้สิ่งที่ผมเห็นคือเด็กเก่งๆหลายคนโดนกดจากระบบการศึกษาที่พอมีเด็กถาม เด็กสงสัย มักโดนสิ่งมีชิวิตที่เรียกว่า "อาจารย์" ตอกกลับไปทุกครั้งทั้งๆที่บางเรื่องเค้าเองอาจจะสอนผิดก็ได้ เพราะบางอย่างมันขัดกับตำราที่เด็กๆอ่านมาด้วยซ้ำ

ในสังคมที่เด็กเรียนเก่ง เรียนปานกลาง หรือเรียนน้อยก็ตามพอเค้าถาม เค้าซักค้าน หรือตั้งข้อสงสัยต่อสิ่งที่อาจารย์สอน สิ่งที่เด็กเหล่านี้โดนกลับมาคืดโดนด่าหรือไม่ก็แถครับ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับระบบขอต่างประเทศอย่างมหาศาล ด้วยเรื่องของ "อำนาจนิยม" และ "เคารพผู้ใหญ่(แบบที่เคารพทุกคนไว้ก่อน)"

เรื่องเคารพผู้ใหญ่ผมไม่เคยเถียงว่าเป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่เรื่องแบบนี้กลับกำลังถูก "ผู้ใหญ่" หลายๆคนยกมาอ้างเพื่อที่จะได้ "ปิดปาก" เด็กๆที่กำลังเสนอความเห็นที่ผู้ใหญ่เหล่านั้น "รับไม่ได้"

อย่าว่าแต่เรื่องเด็กผู้ใหญ่เลยครับ ผู้ใหญ่กันเองเดี๋ยวนี้แทบจะไม่ฟังอะไรกันแล้ว แค่พูดความเห็นที่ไม่เข้าหูกันแทบจะฆ่ากันตาย

ระเบียบวินัยของผู้ใหญ่บางคนผมว่ายัง "แย่" กว่าเด็กๆหลายๆคนที่เค้าถูกสอนให้เคารพด้วยซ้ำไป!!!!!
เอาง่ายๆเร่องระเบียบวินัยจราจรเนี่ยมันก็สะท้อนอะไรหลายๆอย่างแล้วนะ

ทุกครั้งที่ผมนั่งรถ BRT จากสถานีที่ท่าพระ สิ่งที่ผมเจอทุกครั้งคืออะไรรู้มั๊ยครับ รถส่วนตัวเฮโลกันกลับรถตรงสี่แยกถนนราชพฤกษ์ตัดกับถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระตรงช่วงที่รถ BRT กำลังเลี้ยวออกมาเพื่อวิ่งเข้าชิดขอบกลางถนน ซึ่งบางทีเลี้ยวปาดหน้ารถ BRT กันจนต้องรถ BRT ต้องเบรกตัวโก่งมาแล้ว(ผมก็อยู่ในรถคันนั้นแหละ) นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมแย่ๆที่รถบางคันเข้าไปใช้เลน BRT ที่เค้าลงทุนกั้นให้เฉพาะรถ BRT วิ่ง อาจจะด้วยความคิดที่ว่าเค้าคงไปเร็วกว่าละมั๊ง

เรื่องแบบนี้นอกจากสะท้อนเรื่องระเบียบวินัยแล้วยังสะท้อนถึงว่าสังคมไทยไม่เคยมีความคิอเรื่อง "จิตสาธารณะ" ทำอะไรเพื่อสังคม ประเทศชาติทั้งนั้น
แค่เรื่องง่ายๆว่าหลีกทางให้รถเมล์-รถฉุกเฉินยังไม่มีเลย นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆในสังคมละครับ

ทุกวันนี้เองผมก็อยากทำอะไรให้สังคมเหมือนกันนะครับ แต่ใจผมอีกด้าน ผมก็ล้ากับสิ่งรอบๆตัวเหลือเกิน ผมยังรู้สึกกับตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ 

สังคมเด็กมหาลัยทุกวันนี้ก็แย่ลงทุกวันๆ การทำกิจกรรมต่างๆก็ถูก "ผู้ใหญ่" มาตีกรอบเพื่อให้เป็นไปตามที่เค้าต้องการ ท้ั้งๆที่หลายๆกิจกรรมที่มีมามันถูกออกแบบมาเพื่อให้นักศึกษาได้เข้าใจโลกอย่างที่ควรจะเป็นมากขึ้นด้วยซ้ำ แต่กลับตัดออกหมด แถมไม่สนับสนุนงานที่ประเมินเแล้ว "ไม่เข้าเป้า" ที่พวกเค้าต้องการด้วย ยิ่งเรื่องงบประมาณไม่ต้องสงสัย ไม่มีการตรวจสอบด้วยซ้ำ ถ้าเด็กๆที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้โดนเรื่องที่ "ผู้ใหญ่" ขอมา ก็ไม่มีใครที่จะลุกขึ้นค้านเลยด้วยซ้ำ

ขืนค้านสิครับจะโดนปลดออกจากตำแหน่งกันง่ายๆเลย ฟังดูคุ้นๆกับวิธีการบริหารคนในระบบราชการดีมั๊ยละครับ?

ทำไมละครับ วัฒนธรรม "การรับฟัง" ผู้น้อยหรือ "ความคิดต่าง" เป็นสิ่งต้องห้ามของสังคมนี้ไปแล้วหรอครับ

ทุกอย่างต้องถูก "บงการ" "สั่งการ" จากคนไม่กี่คนที่ตั้งตนแล้วบอกว่าตัวเองมี "อำนาจชอบธรรม" ตามสิ่งที่กระดาษที่พิมพ์ "กฎและข้อบังคับ" มันพิมพ์ไว้หรอครับ?

แล้วคนพวกนั้นเรามั่นใจหรือครับว่าคนพวกนั้นมี "วุฒิภาวะ" ที่ดีพอแล้ว


บางอย่าง "อายุ" มันก็ไม่ได้บอกนะครับว่าสิ่งที่คนๆนั้นทำมัน "ถูกต้องโดยสมบูรณ์"
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Chariot ที่ สิงหาคม 07, 2010, 00:50:29

ผมไม่มีโปรไฟล์หรูหรา ไม่มีการศึกษาดีเยี่ยม ผมก็คงได้แค่เป็นน็อตตัวนึงที่ยึดเรือไม่ให้รั่วเท่านั้น คงไม่มีปัญญาจะทำอะไรได้

เป็นห่วงประเทศชาติ แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ อยากจะพิมพ์บ่นให้ยืดยาวแต่ก็กลัวไม่มีใครอ่าน และเห็นว่าไม่ได้ช่วยให้ประเทศชาติเจริญขึ้นแต่อย่างใด

บางครั้งก็เหนื่อยนะ เวลาเห็นคนอื่นๆ เอาประโยชน์ใส่ตัว ไม่สนใจว่าเรือมันเป็นยังไง...

หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: boyce ที่ สิงหาคม 07, 2010, 01:21:33
... ต้องรู้จัก "ปรับตัว" ครับ ปรับตัวช้า หรือ ไม่ปรับตัว ก็จะค่อย ๆ "สิ้นชาติ" ไปเองแหละครับ ผมว่า...

ที่เรายังพออยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เนื่องด้วยมีส่วนน้อย น้อยจริง ๆ ปรับตัวพอได้แล้ว อย่างหลาย ๆ ท่านในที่นี้ครับ

ขอบคุณมาก ๆ ครับสำหรับสาระและข้อคิดที่ดีมาก ๆ อย่างนี้.
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: car mood ที่ สิงหาคม 07, 2010, 03:14:03
บางทีผมก็คิดๆ แล้วก้เครียด  มันรู้สึกท้อ เหมือนหมดหนทาง  อนาคตเมืองไทยมองไม่ค่อยเห็นว่ามันจะก้าวไปยังไง  ในเมื่อมัันมีวงจรอุบาทว์ที่ยากมากๆต่อการแก้ไข  มีกันทุกส่วน ทุกระดับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: iKrit ที่ สิงหาคม 07, 2010, 03:31:08
ก็แค่ทำสิ่งนึงที่ดีที่สุดให้กับสังคมโดยไม่สนว่ามุมมองด้านลบจะเป็นอย่างไร

เปรียบดังน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรก็พอครับ หากรวมกันหลายล้านหยดก็กลายเป็นบ่อน้ำใหญ่ๆ บ่อนึงที่คอยหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ล่ะครับ ^^a

ผมยึดมั่นและทำสิ่งนี้อยู่เสมอครับ แม้ว่าคนข้างกายบางคนจะชอบพูดแง่ลบใส่ก็ตาม ^^"

ยกตัวอย่างเช่น......

ผม: "น่าทำระบบฐานข้อมูลของ lab ไว้ให้รุ่นน้องรุ่นต่อไปใช้เนอะ"
คนข้างกาย: "ทำให้ลำบากไปทำไม เดี๋ยวก็ถึงเวลา รุ่นน้องก็ทำเองแหล่ะ"
ผม: "อ้าว ไม่ดีเหรอ อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มทำฐานให้รุ่นน้องได้สานต่อให้มันดีขึ้นน่ะ?"

แล้วก็ยาว.........แต่แล้วก็ทำส่วนนึงของระบบจนสำเร็จ จนทุกวันนี้รุ่นน้องก็ยังใช้ฐานข้อมูล และระบบบางส่วนอยู่ แถมยังสานต่องานให้สมบูรณ์ขึ้นอีกด้วย ^^
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: boykung ที่ สิงหาคม 07, 2010, 10:02:07
เห็นด้วยนะครับว่า อนาคต ของเด็กไทยน่าเป็นห่วงมากๆ

เด็กสมัยนี้ รักสบาย ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว ไม่ค่อยรู้จักคำว่า กตัญญูต่อพ่อแม่สักเท่าไหร

ไหว้พ่อแม่ไม่เป็น แต่ไหว้รุ่นพี่เก่งนักแหละ พ่อแม่บอกอะไรไม่ทำ รุ่นพี่บอกอะไร ทำถวายหัวให้เลย

ผมมีญาติโง่ๆคนหนึ่งขอยกตัวอย่าง รุ่นพี่โดนทำร้าย ต้องการแก้แค้นให้ ทำระเบิดปิงปองเอง ตอนกำลังจะขว้างใส่อริ ก็ระเบิดคามือซะงั้น ตอนนี้ก็เลยตาสว่างเมื่อสายไปแล้ว เป็นได้แค่คนพิการ

สังคม กลุ่มเพื่อนมีผลมาก เด็กดีๆเสียเพราะกลุ่มเพื่อนไม่ดีก็มีเยอะ
มันส่อให้เห็นถึงหลายๆอย่างว่าเด็กคิดไม่เป็น ลำดับความสำคัญยิ่งไม่เป็นใหญ่

ทุกปัญหาเราเห็น แต่บางอย่างเป็นสันดานฝังรากลึกเข้าไปในตัวเด็กเรียบร้อยแล้ว พูดตรงๆว่ายากที่จะแก้

ถ้าจะเริ่มต้องเริ่มที่เด็กรุ่นใหม่ ที่แบบ 2-3ขวบจริงๆ แล้วพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่าง เพราะจะให้เด็กคิดเองยากครับ

ผมกำลังคิดจะมีลูก ผมยังคิดมากเลยครับ ใจนะอยากมี แต่กลัวสังคมปัจจุบันนี้
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: tsmart ที่ สิงหาคม 07, 2010, 10:42:37
ผมเห็นด้วยนะที่ว่าน่าเป็นห่วง แต่การตามแบบตะวันตก การเน้นการศึกษา(วิชาการ)
ลูกเดียวมันอาจไม่เหมาะกับบ้านเราก็ได้   :(
จริงๆประเทศเรา ชาวพุธ ก็มีหลายๆอย่าที่ดีในตัวเองแต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ อย่งเรื่องวิธีชีวิต การคิดต่างๆ  สุดท้ายคนที่เห็นคุณค่ากลายเป็นพวกฝรั่ง หรือไม่ก็ต้องรอให้แก่ตัวกันก่อนถึงเริ่มสนใจ  ถ้าอีกหน่อยผมมีลูก คงจะไม่เน้นให้ต้องเข้ารร.ดังๆ เอ็นคณะดีๆ ตังใจว่าจะหา รร.ทางเลือก ที่เน้นการเรียนรู้ กระบวนการคิด ใช้ชีวิตในสังคมให้มีความสุขได้ มากกว่าวิชาการทั้งหลาย :P

หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: POPROCK ที่ สิงหาคม 07, 2010, 12:15:11
อยากบอกว่า
"ขี้เกียจอ่าน" ตาลาย

แต่ ทุกความเห็นก็ดีนะครับ
ช่วยกันพัฒนาประเทศ ---> โดยเริ่มจากตัวเราเอง
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: tokyo ที่ สิงหาคม 07, 2010, 13:16:32
กลุ่มเพื่อนก็จริงครับผมเห็นด้วย อยู่บ้านยังไม่เคยได้ยินคำว่า กู มึง จากพ่อกับแม่เลย
แต่พวกเราก็รู้จักกับคำพวกนนี้ได้จากเพื่อน
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: XL_SiZe ที่ สิงหาคม 07, 2010, 16:59:08
ดัชนีชี้วัดความเป็นไปของประเทศ
หลายคนบอกอยู่ที่ความเก่งของเด็ก ความเจริญด้านการปลูกข้าว ทำโน้นทำนี่

แต่ ผมกลับมองว่า สิ่งที่สำคัญกว่าความเก่ง ความฉลาด ความเจริญทั้งหลาย คือ

ความดี ในตัวคนครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Pasakorndvm ที่ สิงหาคม 07, 2010, 20:29:43
เมื่ออ่านกระทู้นี้ครั้งแรก ผมคิดว่าตัวผมเองยังไม่น่าจะที่แสดงความคิดเห็นอะไรเพราะมีภูมิรู้ไม่มากพอ แต่พอดีมีประเด็น
ของ คุณปรู๋ ในเรื่อง การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ และ คุณฮิฮิ้ว.. ที่กล่าวถึงเรื่อง เกษตรอุตสาหกรรม
ซึ่งผมก็ทำงานที่เกี่ยวข้องในทั้ง 2 ส่วน เลยขออนุญาตแบ่งปันความคิดเห็นที่ค่อนข้างยาว ถ้าใครขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปอ่านตอนท้ายดีกว่า

การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ      
      จริงๆ  แล้วประเทศไทยมีนักผลิต นักวิชาการ นักขายและการตลาดที่เก่งมาก ๆ
แต่การส่งเสริมจากภาครัฐ หรือเอกชนไทยด้วยกันเอง ยังไม่เต็มที่เท่าที่ควร แม้ว่ายังมีงานวิจัยที่นำไปผลิตสินค้าได้จริง
และมีนักขายและการตลาดที่เก่งมาก ๆ รอที่จะขาย
      ส่วนในกรณีของ Pfizer นั้นปัจจุบันเป็นบริษัทเวชภัณฑ์อันดับ 1 แต่กำลังจะแพ้บริษัท Merck ที่ควบรวมกับอีกหลาย ๆบริษัท
 ความสำคัญของประเด็นนี้คือ ตลาดสินค้าที่นำเคมีภัณฑ์มาผลิตเป็นยา หรือ สารออกฤทธิ์ต่าง ๆ จะถดถอยลง
แต่สินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ประเทศไทยมีองค์ความรู้มากมายอยู่แล้วกลับไม่ได้รับการส่งเสริม เช่น จดทะเบียนยาก
ไม่มีสถาบันของรัฐรับรองสินค้า เอกชนต้องลงทุนพัฒนาเองทั้งหมด

ประเด็นเกษตรอุตสาหกรรม
     ถ้าทางผลิตสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ประเทศไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกแน่นอน มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน
แต่ในประเด็นเรื่องราคาสินค้าเหล่านี้กลับเป็นปัญหา เนื่องจากรัฐ ไม่เข้าใจกลไกตลาดของสินค้า และนโยบายรัฐ
บางประเด็นเอื้อให้พ่อค้าคนกลางได้เปรียบ และ NGO บางกลุ่มกลับนำประเด็นไปโจมตีเอกชนรายใหญ่ แต่ในความเป็นจริง
ปัญหาอยู่ที่ต้นน้ำ คือ พืชอาหารสัตว์ ที่ไม่เพียงพอกับการใช้เป็นอาหารสัตว์ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ที่เรา
ไปควบคุมราคามันไม่ได้ (โครงสร้างราคาไข่ จากอาหารสัตว์ และผู้เลี้ยงสัตว์ จนถึงล้งไข่ สามารถถามผมได้ส่วนตัว)


แต่ประเด็นที่จะกล่าวถึงที่สำคัญกว่า 2 ตัวอย่างข้างต้นคือ เรื่องทุนมนุษย์ ที่ประเทศเราอ่อนด้อยมาก ๆ
ซึ่งต้นน้ำของทุนมนุษย์ คือ เรื่องสถาบันครอบครัว ที่ปัจจุบันเลี้ยงเด็กรุ่นใหม่ได้น่าเป็นห่วงมาก ๆ
เน้นความสำคัญในเรื่องเงิน และ บริโภคนิยม การแก่งแย่งแข่งขัน ใช้เงินเลี้ยงแทนความอบอุ่นเอาใจใส่
เน้นส่วนตน มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของชาติ ศาสน์ กษัตริย์  แม้ปากจะบอกลูกหลานแบบนั้น แต่ตอนตัวเองปฏิบัติ
ส่วนใหญ่กลับกระทำอีกอย่าง

ประเทศไทยคนเก่งคนดี มีมากมายแต่พวกเขาไม่สามารถมีอำนาจ เข้ามาในส่วนการบริหารประเทศไม่ได้
หรือเข้ามาแล้ว อยู่กับคนอยู่ก่อนไม่ได้ และผมไม่อยากจะกล่าวความจริงจากเพื่อนผมที่เป็นญาติของรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง
ที่ประเทศเขาโครงสร้างไม่ได้ดีเท่าเรา แต่ก็ส่งเสริมไปไกลระดับโลก กล่าว่า "นักการเมืองประเทศคุณ ไม่ส่งเสริมการศึกษา และ
การพัฒนา เนื่องจาก เมื่อคนในชาติพัฒนาเค้าจะหลอกคนเหล่านี้ไม่ได้อีก จะเอาอะไรมาขายก็ขายยาก "

    สรุปสุดท้าย ขอยกตัวอย่างการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเรา เหมือนใน Ad ของพระมหาวุฒิชัย เรื่อง "เปลี่ยนประเทศไทย"
และทุกคนน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่อง "การทำหน้าที่ของตน" และ "ความสามัคคี"
มาปฏิบัติ โดยไม่ใช้บรรทัดฐานจากความพอใจของตน แต่มองถึงประโยชน์ส่วนรวม ก็จะทำให้ประเทศพัฒนา
ทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ เป็นประเทศพัฒนาแล้วจริง ๆ ได้สักที
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: CRO ที่ สิงหาคม 07, 2010, 21:00:41
อ่านไปอ่านมาชักตาลายเหมือนกัน แต่มีเรื่องที่เหมือนกันคืือ

จริยธรรม และ ศีลธรรม 

2 ตัวนี้ค่อยๆหายไปจากเด็กรุ่นใหม่พอสมควร แต่ที่ผมสังเกตได้คือ คนดี ก็จะดีไปเลย คนแบบกลางๆนี่แล้วแต่สภาวะแวดล้อมชักจูงไป พวกล่างลงไปกว่านั้น พูดไป 2 ไพ่เบี่ย -_-

จริยธรรม < ใครเป็นคนถอดออกจากหลักสูตรการศึกษาอยากทราบไปค้นเอาเอง อุอุ
ศีลธรรม < หาได้ในจิตใจทุกคน ทำความดีละความชั่ว ก็มีศีลธรรม แต่ปัจจุบัน อะไรดีอะไรชั่วเด็กมันมั่วไปหมดแม้แต่ผุ้ใหญ่เองเตอะ เหมือนกัน

เรื่องประเทศฃาติจะไปได้อย่างไรนั้น ผมไม่ทราบแต่ มีรุ่งเรื่องก็มี เสื่อม
กรุงรัตนโกสิน เรารุ่งเรื่องมากที่สุดสมัย ร.5 ตอนนี้ โรยราและคิดว่ายังไม่ต่ำสุด

อย่าไปคิดมากอย่าไปเครียดเลยครับ อะไรจะเป็นไปก็ให้เป็นไป ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเป็นพอ อะไรที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่นและตนเอง กลับบ้านสามารถนอนหลับได้สบายใจ ก็ทำไปเถอะครับ :>
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: CaVoK ที่ สิงหาคม 07, 2010, 21:34:03
เป็นกระทู้ที่ดีกระทู้หนึ่งครับ
แต่ด้วยความรู้ที่ยังไม่ตกผลึกพอ จึงไม่กล้าออกความเห็นครับ
แต่ดีใจที่มีคนคิดได้กันมากขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: DENTE ที่ สิงหาคม 09, 2010, 15:41:02
ผมขอให้ยึดหลักของศาสนาพุทธในการสั่งสอนลูกหลานครับ

โอวาท 3  การทำความดี ไม่ทำความชั่ว  ทำใจให้ผ่องใส

ชักนำให้เด็กรักการอ่าน  และยึดหลักพอเพียงครับ
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: Sacrifice ที่ สิงหาคม 10, 2010, 02:36:41
คุณ jobbabys ครับ

เรื่องข้าว วิทยาการเราก้าวหน้า มากครับ

ผมทำงานที่องค์กรนี้อยู่ http://dna.kps.ku.ac.th/ แต่ไม่ได้รู้เรื่องการวิจัย
และพัฒนา ข้าวของเขามากนัก แต่ก็ทำงาน support เขา ครับ

ที่เราไม่ทำอย่างประเทศอื่นให้ปลูกข้าวได้เยอะๆ เพราะว่า  มันไม่คุ้มครับ

เรามีที่ดิน มากมาย มีน้ำอุดมสมบูรณ์  ค่าแรงก็ถูก(ต่างจังหวัด) 
เราจึงไม่ใช้เทคโนโลยี ด้านที่คุณว่ามากนัก

แต่ไปพัฒนาพวก ข้าว ต้านทานโรคไหม้(Blast) ต้านภัยแล้ง(drought)
ตอนนี้เกษตรกรเรา มีปัญหาเรื่อง เพลี้ยกระโดด  มากๆ
กำลังพัฒนาโดยใช้ เทคนิค MAS แทน GMO กันอยู่


___________

เรื่องอนาคตเด็กไทย ผมว่ามันก็มีทั้งเด็กที่ดีและไม่ดีปะปนกันไปแหละครับ

สุดแท้แต่เส้นทางชีวิตของแต่ละคนครับว่าจะ ถึงจุดหมายแบบไหน
เด็กมันไม่ชอบอ่านหนังสือแต่มันชอบ เล่นดนตรี วันนึง มันอาจเป็นนักดนตรีระดับโลกก็ได้
หรือ หลายคนที่ผมเห็น ก็เรียน ไม่จบ แต่ชอบค้า ขาย ก็สามารถสร้างธุรกิจใหญ่โตได้
อู่ เก่งๆ หลายอู่ ไปถามเจ้าของสิครับ จบ  วิศวไหม? นั่งอ่าน text เครื่องยนตร์ไหม?
แต่ซ่อม รถ นี่อย่างเทพเลย ส่งศูนย์ ช่างจบ ปวส. ซ่อมไม่ได้  อู่เฮียแค่บอกอาการ รู้เลยเสียตรงไหน?

บางคนฝันว่าต้องรวย มีธุรกิจใหญ่โต ส่ง ลูกเรียนนอกได้หมด

บางคนขอแค่ ให้ลูกเรียนจบ ป.ตรี หมด ก็ สำเร็จแล้ว(อย่างพ่อผม)

บางคน มีเงินมากมาย แต่ขอแค่คู่ชีวิตที่รักและจริงใจซักคน อายุ จะ 70 กว่าแล้วก็ยังไม่มี

แล้วหลายคนที่ผมเห็น เขาทำงานวิจัย เพื่อผลของงานไม่ใช่เงิน (จบโท เงินเดือนไม่ถึง 15k)
เข้างาน 8 โมง แต่บางทีต้องเก็บผล การทดลอง ทุกชั่วโมง เป็นเวลา 1 เดือน  ก็ต้องมา
ที่ LAB ตลอด  เก็บข้อมูลเสร็จต้องมาวิเคราะห์  เตรียม รายงาน พูดถึงก็ปวดหัวแล้ว
หัวข้อ: Re: // ประเทศไทย ในอนาคต น่าเป็นห่วง จริงหรือ? //
เริ่มหัวข้อโดย: traveller ที่ สิงหาคม 10, 2010, 09:00:10
ความคิดเห็นหลากหลายแบ่งบาน ข้อมูลด้านลึกจากหลายแห่ง ก็ถูกแพร่ออกมาให้คนภายนอกเห็น
เพื่อนหลายคนทำงานหลายที่ แลกข้อมูลกัน
เชื้อไวรัสด้านดีกำลังทำงานในเวปที่ดีแห่งนี้ครับ
ประเทศไทยมีอนาคตที่ดีแน่ครับ ถ้าสังคมเวปแลกข้อมูลด้านลึกกันบ่อยๆ

คนอ่าน รู้ข้อมูลหลายด้าน เขาก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตทีเขาชอบได้
เมื่อมีเป้าหมายชีวิตที่ชอบ ก็จะขยันเรียน ตั้งใจทำทุกวันให้ดี ไม่เขว ไม่ออกนอกทาง เป็นคนดีได้ง่ายๆ เพราะใจแข็ง ทนสิ่งยั่วสิ่งเย้ายวน ที่ผู้ใหญ่ปัจจุบันคิดมาหลอกล่อคนรุ่นใหม่

หลักแห่งความสำเร็จ คือ อิทธิบาท 4
ทำสิ่งที่ชอบ แล้วจะขยัน ใจจดจ่อมุ่งมั่น ตรวจสอบว่ากำลังเดินทางใกล้หรือห่างเป้าหมายอยู่เสมอ
พระพุทธเจ้ารับรองไว้ว่า ใช้หลักอิทธิบาท 4 แล้ว จะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายแน่นอน

แต่ ชีวิต จะดีได้ ต้องมีหลักอีกเรื่อง ที่ขาดไม่ได้ คือ
กัลยาณมิตร แปลว่า มิตรที่ดี หรือ เพื่อนที่ดี
เพื่อนดี หมายถึง คนที่ ติตำหนิตักเตือนเมื่อเพื่อนทำผิด และ ชื่นชมเมื่อเพื่อนทำถูก
เพื่อนดี จะชักชวนกันทำดี ไปหาคนดี บูชาคนดี และ ทำตามคำสอนของคนดี

คนดี คือ คนที่ชักชวนผุ้อื่นให้ทำดีตาม
คนดี ต้อง ตำหนิ คนชั่ว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
คนดี ต้อง ชื่นชม คนดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

สังคมไทยมีหลักธรรมขั้นสูงแฝงอยู่นานแล้ว
พระพุทธชินราช สร้างโดยพระมหากษัตริย์แหล่งกรุงสุโขทัย พระยาลิไท เมื่อปี พศ 1905
เมืองพิษณุโลก ถูกพม่าบุกยึดหลายครั้ง
แต่ พม่า ไม่เคยเผา ไม่เคยปล้น ไม่เคยลอกทองคำออกจากองค์พระพุทธชินราชเลย
เป็น เรื่องน่าคิด ที่ เพื่อนของเราในเวป ตั้งข้อสงสัยว่า บางที คนไทยอาจเผาอาจปล้นกรุงศรี กันเอง ก็ได้

กันดัม ที่ผมเสนอให้ลองดูแบบคิดลึก เพราะ หัวใจหลักของการอยู่รอดของชาติคือ เทคโนโลยี่พลังงานและการทหาร
ประเทศไทยไม่มีเทคโนโลยี่ด้านพลังงานและการทหารที่ทันยุคสมัยเลย
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นและกลาง ญี่ปุน จีน ต้องซื้อปืนใหญ่ จากไทย นะครับ
ชาติที่มีเทคโนโลยี่ทางทหารล้ำหน้า สามารถ ปล้นชิง อาหาร จาก ชาติผลิตอาหารได้ง่ายๆ
อาจจะไม่ได้ใช้วิธีส่งทหารมายึดแบบ มองโกล
แต่ ใช้วิธี ลดค่าเงินบาท ส่งคนมาคุมธนาคารชาติกระทรวงการคลัง คุมการใช้เงิน คุมการส่งออกอาหารในรูปแบบแฝง
เรื่องให้ต่างชาติ มาลงทุนทำนาในไทย ก็ เรื่องเริ่มต้นของเรื่องนี้ล่ะครับ

เด็กไทย อายุ 7 ขวบ ความฉลาดไม่ต่างจาก เด็กญี่ปุ่น จีน อเมริกา เยอรมัน ที่อายุไล่เลี่ยกันนะครับ
แต่ เรา เรียนหนังสือ ไม่เต็มหลักสุตร
ป1 สอนไม่จบเล่ม
ป2 สอนขาดอีกหลายบท
ป3 ยัง คูณ หาร ไม่คล่อง
ป4 เลย ทำ ครน หรม แยกตัวประกอบ ไม่ได้
ป5 เลยไม่รุ้จะเข้าสมการอย่างไร
ป6 มึนงง เรียนอะไรก็ไม่รู้เรื่อง
นับแต่นี้ไป เด็กไทย ก็ ถูก เด็กญี่ปุ่น จีน อเมริกา เยอรมัน ในโรงเรียนชั้นดีของเขา แซงไปหลายช่วงตัวแล้ว
แต่ ยังมี เด็กไทย ที่เก่งเอง เรียนพิเศษมาก ไปรวมตัวในโรงเรียนมัธยมชั้นดี แล้ว แข่งกัน จน ไปแข่ง ได้เหรียญทองวิชาการโอลิมปิก แล้ว เด็กเก่งพวกนี้ ก็ ไปเรียนเมืองนอก เรียนรวมกับ เด็กเก่งของชาติอื่น ใน มหาวิทยาลัยดี ของ ฝรั่ง หรือ ญี่ปุ่น
ทำงานวิจัยให้เขา เห็น เงินลงทุนที่ฝรั่งญี่ปุ่น ให้กับงานวิจัย
เห็นทีมงานวิจัยคุณภาพระดับนานาชาติ ต่างชาติ ต่างความเชื่อ ต่างสีผิว ต่างศาสนา ทำงานร่วมกันได้
เมื่อเด็กไทย กลับเมืองไทย ก็ จะพบกับ ความว่างเปล่า
งบประมาณส่วนใหญ่ ในหน่วยงานวิจัยไทย หมดไปกับการ สร้างตึก ดูงานต่างประเทศ จัดเลี้ยง จัดงานสัมมนา
หัวหน้าที่เคยเก่งสมัยอยู่ต่างประเทศ ทุกวันนี้ไม่ได้ทำงานวิจัยอะไรหนักๆ วันวัน เอาแต่ วิ่งตาม นักการเมือง หางบ หาตำแหน่ง
คนทำงานวิจัย คือหลักของวิชาการของประเทศ
ความมั่นคงของประเทศไทย มีพื้นฐานจากความรู้งานวิจัยของคนไทย

มีเหตุผลใด ที่กองทัพอากาศไทยเปลี่ยนการซื้อเครื่องบินขับไล่จากอเมริกาเป็นสวีเดน
ผมไม่ทราบด้านลึก แต่ ทหารไทยเขาบอกว่า สวีเดนให้โอกาสทหารไทยต่อยอดระบบรบของเครื่องบินเองได้
กองทัพอากาศไทยมีคนเก่งครับ ครั้งนี้ อาจจะได้แสดงฝีมือให้โลกได้เห็น ในการพัฒนาระบบรบของเครื่องบินสวีเดน
ไทยเป็นชาติแรกๆในโลก ที่สร้างเครื่องบินเอง
แหล่งถลุงเหล็กยุคแรกของมนุษย์ก็อยู่ในไทยด้วย
ดินแดนที่เราอยู่นี้ ไม่ใช่ ดินแดนของคนไม่มีเทคโนโลยี่ นะครับ
จึงเป็นหน้าที่ของ คนไทยทุกคน ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย ฐานะอะไร ที่ต้อง ช่วยกัน สร้างองค์ความรู้แลกกันให้มากที่สุด
ทำกันในเวปของคุณจิมมี่ นี่ก็เหมาะนะครับ

ที่สำคัญ คนที่มีอายุมาก ก็ ต้องทำตัวให้ดีด้วย
ลูกชายของผมบอกว่า ครู สั่งให้นักเรียนถอดรองเท้าก่อนขึ้นตึกเรียน ห้ามใส่รองเท้าในห้องเรียน
แต่ ตัวครู ไม่ต้องถอดรองเท้า
ครู สวมรองเท้าเดินบนตึก ในห้องเรียนได้
รองเท้าครู เลอะโคลน ทำพื้นสกปรก แต่ ได้ ถุงเท้านักเรียนที่เดินผ่านเช็ดให้สะอาดครับ
สังคมไทย ให้ข้อยกเว้น ไม่ต้องทำตามกฎ มากเกินไปครับ
ครู ไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างให้เด็ก
แล้วจะให้เด็กที่คิดเป็น เขาเคารพครูได้อย่างไรกัน

ไอน์สไตน์ ประสบความสำเร็จได้รางวัลโนเบิล ในช่วงอายุไม่เกิน 30 ปี
หลังจากนั้น เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกเลย
คนหนุ่ม ไฟแรง มักจะประสบความสำเร็จในเรื่องยากที่สุด ได้ดีกว่า คนมีอายุครับ
คนหนุ่มไทย ก็ เช่นกัน มีความคิด มีพลัง ก็ใช้ความขยันต่อเนื่อง มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน ต้อง สร้างสรรค์ประเทศไทยให้ดีกว่านี้ได้แน่ครับ

ผมก็รีบพิมพ์ก่อนหมดเวลา 60 นาที พยายามจะไม่ใช้เวลาในบอร์ดเกินนี้ เพราะจะเสียงานประจำไปครับ
ผิดพลาดประการใด แล้วจะกลับมาแก้ไขครับ