Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: kosynnex ที่ มิถุนายน 04, 2019, 12:05:17
-
ออยเกียร์ แบบระบายความร้อนด้วยอากาศมันดีกว่าตัวที่ติดมากับรถใช่มั้ยครับ
ปล. ขออนุญาตเจ้าของภาพด้วยครับ
-
ระบบระบายความร้อนเกียร์จากโรงงานที่ผมเจอมี2แบบครับ 1.จากเกียร์วนผ่านหม้อน้ำกลับไปเกียร์ 2.จากเกียร์ผ่านแผงออยล์เกียร์ไปหม้อน้ำกลับไปเกียร์
แบบ1.เหมาะกับใช้งานรถไม่หนัก อากาศภายนอกไม่ร้อนมาก หม้อน้ำระบายความร้อนดี เพราะน้ำมันเกียร์ย่านใช้งานที่ 70-80"c.
แบบ2.รถใช้งานหนักหน่อย อากาศภายนอกเปลี่ยนบ่อยเช่น ลุยน้ำ ฝ่ารถติดบ่อย เมื่อเจอน้ำปะทะแผงออยล์น้ำมันเย็นลง จะผ่านไปอุ่นให้เหมาะที่หม้อน้ำกลับไปเกียร์ ถ้าอากาศร้อนแผงออยล์ช่วยระบายความร้อนได้ดี ลดภาระการระบายความร้อนที่หม้อน้ำได้
ถูกผิดขออภัย
-
ต้องถามว่า รถอะไร รุ่นไหน ?
รถบางรุ่น สเปคขายบ้านใกล้เรือนเคียง มี oil cooler (ผลิตจากไทย) แต่พอขายในไทย ดันไม่มี แล้วก็มีประเด็นเรื่องเกียร์พังกัน อันนี้สมควรติด แต่ถ้ารถที่ไม่ใช่ CVT แล้วไม่มีประเด็นเรื่องเกียร์พัง ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันหรอก ขยันถ่ายน้ำมันเกียร์บ่อยๆพอละ
อีกอย่าง Oil cooler ไม่ใช่ของวิเศษ ที่ ติดแล้วเกียร์จะไม่พัง
หลักการของมันคือ ลดอุณหภูมิน้ำมันเกียร์ ไม่ให้ร้อนจัด จนเดือด จนไหม้ และ หมดสภาพการหล่อลื่นครับ
น้ำมันเกียร์ไม่ร้อน แต่ออกตัวกระทืบคันเร่งออก ชอบ kick down รอบสูงๆประจำ แบบนี้ยังไงก็พังนะครับ oil cooler ไม่ได้ช่วยอะไรครับ
-
แบบที่ จขกท พูดถึงน่าจะหมายถึง "ออยล์เกียร์แยก" รึเปล่าครับ จากคอมเมนต์ข้างบน แบบที่1 คือที่ติดรถทั่วๆไป ส่วนแบบที่2 จะติดรถมาบางรุ่น ลองมองที่หน้าหม้อน้ำด้านล่าง ถ้าเห็นแผงเล็กๆอีกแผง อาจเป็นออยล์แยกที่พูดถึงกันครับ แต่ถ้ารถเป็นแบบที่1 อยู่แล้วอยากติดแบบที่2 ก็ได้นะครับ จะช่วยลดอุณภูมิน้ำมันได้ดียิ่งขึ้นนะครับ
-
ปกติน้ำมันเกียร์ชอบอุณหภูมิประมาณ80-90 องศา เขาจึงออกแบบให้ผ่านหม้อน้ำ
แต่มาใช้บ้านเรา ความร้อนน้ำมันเกียร์มักจะสูงกว่าเมืองหนาว อุณหภูมิน้ำมันเกียร์บ้านเราก็สูงตาม
และที่สำคัญ ท่อที่ไหลผ่านเพื่อควบคุมอุณหภูมิน้ำมันเกียร์มันชอบรั่ว แล้วน้ำเข้าเกียร์ แล้วเจ๊ง...หลาย ๆท่านแก้ด้วยวิธีนี้ อุณหภูมิน้ำมันเกียร์ก็ไม่สูง และไม่มีโอกาศได้ชานมเย็นในน้ำมันเกียร์ด้วยครับ
-
ผมว่ามีทั้งดีและเสีย
เดิมติดรถส่วนใหญ่จะระบายความร้อนน้ำมันเกียร์ด้วยน้ำยาหม้อน้ำผ่าน oil warmer
ข้อดีคือน้ำมันเกียร์อุ่นเร็ว ถึงอุณหภูมิทำงานเร็วลดการสึกหรอได้เร็ว
แต่ข้อเสียคือเมื่อร้อนแล้วระบายความร้อนไม่ออก 90-100องศาขึ้นไปตลอดๆ น้ำมันเกียร์เสื่อมเร็ว ครัชต์ไหม้หลุดติดกรองหล่อลื่นลำบาก ซีลบวมไว
พอตัด oil warmer เพื่อต่อสายไปติดตั้งออยเกียร์
น้ำมันเกียร์ก็ถึงอุณหภูมิทำงานได้ช้ามาก เพราะไม่สามารถร้อนได้เองเหมือนเครื่องยนต์ เกิดการสึกหรอ
แต่ข้อดีคือรถติดๆหรือขับอัดๆอุณหภูมิก็ไม่ค้างที่ 90-100องศา(สวยๆคือ 80องศา) และเวลา oil warmer มันเก่าน้ำมันเกียร์และหม้อน้ำจะรั่วใส่กันก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะตัดมันไปแล้ว
ปล.NP300 Navara มีทั้งออยเกียร์ และออยพาวเวอร์ มาจากโรงงานเรียบร้อย
-
ดีมากกว่าเสีย
-
น้ำมันเกียร์ CVT ต้องการอุณหภูมิใช้งานที่ 80 องศานั่นละครับ
ด้วยระบบง่ายๆ ที่ออกแบบมาสำหรับ CVT ใช้งานเบาคือ
มีแผง Warmer เล็กที่ตัวเกียร์ เอาน้ำมันเกียร์มาไหลผ่าน แล้วไอแผงวอร์มเมอร์นี่ จะระบายคววามร้อนด้วน้ำจากหม้อน้ำครับ
ดังนั้น อุณภูมิที่มนจะเจอในขณะเดินเบาคือ อุณภูมิจากน้ำหม้อน้ำนั่นเอง
ทีนี้ พอเราอัดหนักๆ จน หม้อน้ำร้อน เป็น 90 + น้ำมันเกีร์ก็จะระบายความร้อนได้ต่ำ ทำให้น้ำมันเกีร์เดือดไป
ดังนั้น บางรุ่นเมืองนอก จึงมีการต่อ ออยเกียร์ออกมาเพิ่มจากระบบเดิม โดยไม่ตัดระบบเก่าที่มีน้ำหม้อน้ำมาไหลวนระบายความร้อนนะครับ
แต่เป็นการเพิ่มช่องน้ำมัน ให้วิ่งมาที่แผงออย หน้ารถตามรูป เพิ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการระบบายความร้อน กรณี ขับโหดๆ ลากรอบสูง วิ่งเร็วนานๆ
แต่สิ่งที่ผมพบคือ หากเรามาต่อเพิ่ม ช่างส่วนใหญ่จะตัดระบบ เดิมออกคือ ไม่มีน้ำหม้อน้ำ ใช้แค่แผงออยเกียน์เลย
ปัญหา มีแน่ ตอนรถเริ่มเย็น เดินเบา น้ำมันเกียร์จะไม่ได้ อุณภูมิ ที่อุ่นครับ คิดต่อเอง
-
เกียร์ดีๆ คงไม่จำเป็นต้องติดเพิ่ม
-
เหตุผลหลักที่ผมติดเพิ่มคือเพื่อป้องกันออยเกียร์ในหม้อน้ำรั่วและทำให้น้ำเข้าเกียร์
ซึ่งพบเจอกันได้บ่อยในรถยุโรปเก่าๆครับ ไม่แน่ใจว่ารถรุ่นใหม่ๆจะยังมีปัญหานี้ไหม
-
ทั่วไป ออยเกียร์ ทำงานได้ดีที่อุณหภูมิประมาณ 80 องศา ถ้าขับปกติอุณหภูมิมันก็แกว่งไปมาแถวนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าซัดหนักอุณหภูมิสูงเกินจุดทำงานอันนั้นน่าติด ดีอย่างนั้นทำไมไม่ติดออยเกียร์เพิ่ม ก็อย่างที่บอกถ้าเราติดเพิ่มโดยไม่ขับซัด
อุณหภูมิออยมันก็จะมีค่าต่ำ การทำงานก็ไม่ได้ประสิทธิภาพเสียมากกว่าได้ นอกจากนี้การติดตั้งช่างก็ต้องเป็น รั่วขึ้นมาได้ไม่คุ้มเสีย