Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: wiriya1144 ที่ มิถุนายน 16, 2019, 01:29:55
-
ตามหัวข้อเลยครับ ฟังผ่านๆมา รายการอะไรก็จำไม่ได้
มีคนบอกว่า อีก 5 -6 ปีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอาจขายไม่ออก
เพราะคนหันไปใช้รถไฟฟ้ากันหมด ปัจจุบันนี้แบรนด์ใหญ่ๆเริ่มทำรถ Ev (ไฟฟ้าล้วน)ออกมาแล้ว
แต่ราคาในไทยอยู่ที่ล้านกลางๆไปจนถึงล้านปลายๆ คาดว่าภายใน 5 ปี จะได้เห็นรถ Ev ราคาไม่เกินล้าน
ใช้เวลาชาร์จไม่เกิน 30 นาที แต่วิ่งได้ไม่ต่ำกว่า 400-500 กิโล
อาจเร็วกว่า 5 ปีด้วยซ้ำ ถ้ารัฐบาลสนับสนุนให้เกิดสถานีไฟฟ้าทั่วประเทศ (อย่างจริงจัง)
หรือเจ้าใหญ่อย่างโตโยต้านำเข้ามาขายและอำนวยศูนย์บริการให้มีการชาร์จไฟฟ้า
ทำให่ครบวงจรไปเลย
ปัญหามันอยู่ที่ว่า ถ้าสมมติมันเกิดขึ้นจริง คนที่ใช้รถน้ำมันตอนนี้
งานเข้าแน่นอนครับ เพราะราคาขายมือสองจะตกลงแน่นอน
สมมติจากที่เคยขายได้ 50% ของราคามือหนึ่ง อาจเหลือเพียง 20-40%
เพื่อนๆมีความคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ครับ
คิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่จะเป็นอย่างที่เขาวิเคราะห์
ถ้าเป็นไปได้ คิดว่ามันจะเกิดขึ้นในอีกกี่ปีครับ
ส่วนตัวของผมคิดว่าช้าเร็วยังไงก็ต้องเข้ายุครถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว
แต่ไม่คิดว่าจะภายใน 5 ปี อย่างเก่งอาจจะสัก 10 ปี
-
ความเห็นส่วนตัว
ไม่มีทางครับ!!ที่น้ำมันจะขายไม่ออก
ถึงรถไฟฟ้าเข้ามาภายใน 5ปี ส่วนใหญ่ก็ใช้แค่ในเมือง
ถ้าวิ่งออกต่างจังหวัดเมื่อไร หาสถานีชาจ์ตลำบากอยู่ดี
บ้านเรายังไม่พร้อมขนาดนั้น
ส่วนน้ำมันดีเซล บอกได้เลยว่า ไม่มีทางหายไปจากประเทศไทย
เพราะบ้านเราคือเมืองเกษตกร อุสาหกรรม
ยังไงต้องใช้น้ำมันดีเซลอยู่ดี สำหรับ รถกระบะ รถบรรทุก รถไถ รถแมคโค
-
ไม่มีทาง 😆😆 ให้ 15 ปีเลย
ค่ายรถไม่พร้อม=ทางการไม่พร้อม
-
ไม่มีทาง 😆😆 ให้ 15 ปีเลย
ค่ายรถไม่พร้อม=ทางการไม่พร้อม
ผมเติมให้อีก ลูกค้าก็ไม่พร้อมซื้อครับ อย่างน้อยผมก็คนนึงละที่ในชาตินี้ก็ไม่น่ามีรถไฟฟ้ากับเค้า
เพราะใกล้เกษียณแล้ว รถที่เล็ง ๆ ไว้หลังเกษียณ ก็คงซื้อ MX5 อีกคันแล้วก็ SUZUKI Jimny ไม่มีรถไฟฟ้าในหัวสมองเลย
-
ฝันไปก่อน ตราบใดที่ภาครัฐยังไม่สนับสนุนรถไฟฟ้าแบบ 100% เพราะอะไร น่าจะรู้
-
ผมไม่เชื่อว่าคนไทยจะรวยเร็วพอใน 5-6 ปี ที่จะขยับไปใช้รถไฟฟ้ากันหมด
และยิ่งไม่เขื่อว่ารัฐบาลไทยมีความสามารถที่จะผลักดันให้รถไฟฟ้าให้ราคาถูกจนน่าใช้
-
บ้านเราอีกยาวไกลครับ
-
นึกภาพไม่ออกว่าจะไปต่อคิวขาร์ทไฟยังไงตั้ง 30 นาที
ปั๊มชาร์ทไฟคงต้องมีพิื้นที่เท่าเมืองทองธานี Bitec สนามราชมังคลา
ข้อจำกัดเยอะแยะ คนอยู่คอนโดไม่มีที่ชาร์ทก็เยอะ
-
อีกนานครับ บ้านเราไม่พร้อมซะอย่าง
-
ถ้าอีก 5 ปีมีรถไฟฟ้าจากเจ้าตลาด ชาร์จทีวิ่งได้พันกิโลในราคาเท่ารถน้ำมัน เมื่อนั้นรถใช้น้ำมันก็อาจจะขายได้น้อยลง
-
คงต้องรอให้ชาร์ตด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ได้มั้งครับ ;D ;D
-
อีก 5-6 ปี รถใช้น้ำมัน จะประหยัดน้ำมันขึ้นเรื่อยๆ
รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามเมืองใหญ่ (ขอนแก่นก็มาแล้ว)
ลองนึกภาพ รถทุกคัน สมรรถนะดีขึ้น ประหยัดน้ำมันขึ้น แถมยังมีคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น(นิดหน่อย)
ยังไม่นับพวกรถไฮบริดที่คนจะยอมรับมากขึ้น
แต่ถ้าจะสรุปฟันธงแบบว่า ขายไม่ออกเลย ขายไม่ได้เลย
อีก 10-15 ปี ผมว่ายังยากเลยครับ น้ำมันยังคงขายได้อยู่
และเทรนส่วนใหญ่มาจากภาคขนส่ง ซึ่งรถพลังไฟฟ้ายังไม่ตอบโจทย์
-
เมื่อไหร่ที่แบตพัฒนาไปมากกว่านี้ และมีแบตที่สามารถถอดเข้าออกสลับกะนชาร์จได้
หรือมีแบบเพาเวอร์แบงค์ พกไว้ในรถหลายๆก้อนได้ในราคาก้อนละไม่แพง
เมื่อนั้นรถไฟฟ้าถึงจะเกิดครับ อีก 5 ปีข้างหน้า ยังไงรถรุ่นใหม่ๆที่ออกมาก็มีแต่รถใช้น้ำมันเกิน 90%
-
ง่าย ๆ ครับ ขนาด NGV ที่รัฐสนับสนุน ยังหาเติมยากตาม ตจว เลยครับ รถไฟฟ้าไม่ต้องพูดถึง
-
ชาตินี้เราจะได้เห็นรึเปล่ายังไม่รู้เลยครับ
เราแค่เลี่ยงปัญหาหนึ่ง ไปสู่อีกปัญหาหนึ่ง
ไฟฟ้าล้วนแล้วเราจะเอาไฟฟ้ามาจากไหนครับ
เมืองที่มีแสงแดดคงไม่ใช่ปัญหา แต่แถบยุโรป
หนาว ฝน เกือบทั้งปี
-
มากกว่า 50% ของแร่ lithium ในโลกนี้มีอยู่ที่จีนครับ
-
อีก 5-6 ปี รถEVจะขายได้ถึง 5% ของยอดขายหรือเปล่าเถอะ
-
เป็นไปไม่ได้ครับ แต่จะมีรุ่นที่น่าสนใจมากขึ้น พอซื้อหามาใช้ได้
-
ดีเหมือนกันแฮ่ะ ;D ;D ;D ;D ;D น้ำมันทุกขนิดจะได้ลงราคาไปเหลือลิตรละไม่ถึงสิบบาท........แต่ก็ยากอ่ะน่ะ
-
เป็นไปได้ แต่ไม่น่าใช่ที่ไทย
นอกจากตัวรถเองแล้ว ยังต้องมี infrastructure รองรับอีก
แล้วพฤติกรรมการใช้รถบ้านเราอีก ใช้กันเกิน 5 ปี ช่างอู่นอกมีความพร้อมขนาดไหน
สำคัญสุด แบตที่เสื่อมสภาพแล้ว จะกำจัดทิ้งกันอย่างไร
-
5 ปีบอกได้เลยว่าเป็นความฝันครับ
Infra เรายังไม่มีอะไรเลย สถานีชาร์ตแบตตามแต่ละจังหวัดสำหรับรถขับข้ามจังหวัดตอนนีี้ไม่พร้อมเลยครับ
เทคโนโลยีตอนนี้ก็ยังไม่ดีพอที่จะมาทำ commercial เ่นพวกขนส่ง ค้าขาย แทกซี่ เพราะระยะทางที่ขับได้ต่อการชาร์จยังน้อยเกินไป
รัฐจะมาออกกฎหมายให้บริษัทเอกชนต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ก็มีแต่เสียหายครับ เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เค้าพร้อมมั้ย? บีบคั้นมากเกินไปเค้าก็บาย...ย้ายฐานผลิต ทีนี้เรามีแต่เสียและเสียครับ
แต่ถ้ามองยาวๆ 50 ปีก็ไม่แน่ครับ
-
หมายถึงในประเทศไทย. ไม่น่าเป็นไปได้
-
5 ปีบอกได้เลยว่าเป็นความฝันครับ
Infra เรายังไม่มีอะไรเลย สถานีชาร์ตแบตตามแต่ละจังหวัดสำหรับรถขับข้ามจังหวัดตอนนีี้ไม่พร้อมเลยครับ
เทคโนโลยีตอนนี้ก็ยังไม่ดีพอที่จะมาทำ commercial เ่นพวกขนส่ง ค้าขาย แทกซี่ เพราะระยะทางที่ขับได้ต่อการชาร์จยังน้อยเกินไป
รัฐจะมาออกกฎหมายให้บริษัทเอกชนต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน ก็มีแต่เสียหายครับ เพราะบริษัทผู้ผลิตรถยนต์เค้าพร้อมมั้ย? บีบคั้นมากเกินไปเค้าก็บาย...ย้ายฐานผลิต ทีนี้เรามีแต่เสียและเสียครับ
แต่ถ้ามองยาวๆ 50 ปีก็ไม่แน่ครับ
ต้นทุนการตั้งสถานีชาร์ตไฟฟ้าถูกกว่าการสร้างปั๊มน้ำมันมาก ถ้ารถไฟฟ้ามีเยอะเมื่อไร สถานีชาร์ตไฟฟ้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแน่ๆ ปัญหาเรื่องสถานีชาร์ตไฟฟ้าจึงไม่ต้องห่วง
ถ้ารัฐบาลส่งเสริมรถไฟฟ้าบริษัทรถยนต์คงจะไม่ย้ายฐานการผลิตครับ เพราะประเทศอื่นๆก็ส่งเสริมรถไฟฟ้าเหมือนๆกัน
-
เป็นไปได้ แต่ไม่น่าใช่ที่ไทย
นอกจากตัวรถเองแล้ว ยังต้องมี infrastructure รองรับอีก
แล้วพฤติกรรมการใช้รถบ้านเราอีก ใช้กันเกิน 5 ปี ช่างอู่นอกมีความพร้อมขนาดไหน
สำคัญสุด แบตที่เสื่อมสภาพแล้ว จะกำจัดทิ้งกันอย่างไร
รถไฟฟ้ามีการซ่อมบำรุงต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เยอะครับ ตัวขับเคลื่อนอย่างมอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่ถ้าเสียคงไม่ต้องซ่อม เปลี่ยนอย่างเดียว ส่วนช่วงล่างก็ซ่อมเหมือนรถทั่วๆไป อีกอย่างรถที่ออกใหม่ช่วง 5 ปีแรกไม่ค่อยมีชิ้นส่วนอะไหล่เสียอยู่แล้ว
-
แนวโน้มมันก็น่าจะเป็นแบบนั้นแต่ระยะเวลาคงอีกหลายสิบปีครับ
-
วิธีการทำลายแบตเตอรี่ นี่แหละคือปัญหาของโลกอยู่ บริษัทไหนคิดค้นเทคโนโลยีทำลายแบตเตอรี่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมได้ นี่รวยเละ
-
มองภาพรวมๆ คงไม่ใช่อนาคตอันใกล้หลัก 5 ปี แต่ถ้ามองไกลกว่านั้นก้อาจจะเป็นไปได้ครับ ผลกระทบระยะสั้นที่ชัดเจนมากๆมีอยู่ 2-3 เรื่อง
1. ขีดความสามารถในการผลิตไฟฟ้าและต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่ตอนนี้ยังไม่ได้ตอบโจทย์ขนาดนั้นรวมถึงสถานีชาร์ตต่างๆ ในเมืองอ่ะใช่เดินทางระยะสั้นแต่ถ้าขยับออกไปนอกเมืองอันนี้ปัญหาแน่นอน
2. แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพในราคาที่ไม่สูงเหมือนในปัจจุบัน ความจริงเทคโนโลยีพร้อมแล้วเหลือแต่ทำให้มัน make sense ในเชิงธุรกิจ
3. สำคัญที่สุดของไทยคือตอนนี้ภาคการผลิตรถยนต์มีขนาดใหญ่มาก ถ้ารวมทั้ง OEM tier 1,2,3 และ aftermarket ด้วยมีการจ้างงานหลักแสนแน่ๆ แล้วถ้าการมาของรถไฟฟ้ากำลังทำให้การจ้างงานเหล่านี้หายไปภาครัฐจะรับมือยังงัย รายใหญ่อย่างพี่โต พี่ซู นี่ลงทุนไปเยอะกับฐานการผลิตคงไม่ยอมง่ายๆ 555
-
เมื่อ รถไฟฟ้ามากขึ้น การใช้น้ำมันน้อยลง เป็นเหตุผลที่รถน้ำมันยิ่งอยู่ยาวไป ครับ
-
อันนี้ใครบอกหรอ?
-
ดีๆ รถใช้น้ำมันถูกลงมากๆ ผมชอบเลย
-
5555 เป็นเรื่องตลกที่สุดแล้วที่ได้ยินมา
ราคารถคือคำตอบด่านแรกเลย ตราบใดก็ตามที่มันยังเป็นแบบปัจจุบันมันคงเกิดขึ้นไม่ได้ในประเทศไทย
รถไฟฟ้าขนาด b segmentธรรมดาๆ แต่ราคาเท่ากับหรือแพงกว่า ppv suv d segment มันไม่มีทางขายดีหรอก
-
อันนี้ใครบอกหรอ?
ยอดผลิตรถยนต์ ไฟฟ้า จะเป็น 50% ภายใน 5 ปี
http://community.headlightmag.com/index.php?topic=70989.0 (http://community.headlightmag.com/index.php?topic=70989.0)
-
แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุดคือในอีก 5-6 ปีข้างหน้า ยอดขายรถยนต์ในต่างประเทศจะมีรถไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ส่วนในประเทศไทยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจะสูงขึ้นมาใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ ผู้ที่ซื้อรถยนต์ในช่วงนั้นจะเสี่ยงต่อการตกยุคเพราะซื้อรถที่ใช้เครื่องยนต์มาแล้วใช้ไปสัก 7-8 ปี พอจะขายต่อจะหาคนซื้อยาก เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่ จข.กท.กล่าวถึงน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสิบกว่าปีข้างหน้า ไม่ใช่ 5-6 ปีข้างหน้า
-
วันที่ lpg ถูก คนก็หันไปใข้ จนราคาขึ้น
อีกหน่อยคงจะมี
วันที่ ราคาค่าไฟบ้าน ส่งใบเรียกเก็บมา แล้วมีหน้ามืดกันบ้าง
ปล ข้อจำกัด ของ รถไฟฟ้าคือ การชาร์ทแบตเตอรี่
เอาแค่ชาร์ทปรกติ คิดถึงจังหว่ะชาร์ท
คันนึง หม้อคงอุ่นๆ แต่ถ้าสองคันพร้อมกัน หม้อคงระเบิด อ่ะนะ
ปล2 ที่เค้าชาร์ทเร็วๆ เพราะเค้ามีความสามารถในการจ่ายไฟ หรือ ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ จากเครื่องขาร์ท (มีแบตอีกชุด ในที่ชาร์ท) ถึงจะทำชาร์ทเร็วพอไหว ค่าที่ชาร์ทเร็ว ราคาคงไม่หนี กับซื้อรถธรรมดาได้อีกคัน
ปล3 ไม่ต้องห่วงเจ้าตลาด เพราะ เค้าทำรถ hybrid ยากกว่าเยอะ
ถ้ารถไฟฟ้า ขายดี เค้าเสกได้แป็บเดียว มาเป็นฝูง (ถ้าหาแบตได้มากพอ) แต่ที่ไม่ทำตอนนี้ เพราะเค้าอาจจะกลัว เจ้งอ่ะนะ
เพื่อนนิสสัน ออกโน๊ตมานานมากกกก ยังไม่รุ่ง แลัวค่ายอื่นจะรีบทำไม
-
ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นครับ ;D
บางท่านสงสัยว่าผมไปฟังมาจากไหน
ผมเองก็จำไม่ได้นะครับ เปิดวิทยุในรถแล้วได้ยินผ่านๆ
แต่พอมีข้อมูลสนับสนุนให้น่าเชื่อถือว่าเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
คือโตโยต้าเองซึ่งเป็นเจ้าตลาด พยายามผลักดันเรื่องนี้
และต้องการให้รถครึ่งหนึ่งที่ขาย เป็นพวกไฮบริดและไฟฟ้าภายในปี 2025
อ้างอิงจาก
https://www.autodeft.com/deftreport/toyota-plan-to-launch-small-ev-car-in-2020
โตโยต้า คาดการณ์ล่วงหน้าว่า ในช่วงปี 2025 จะสามารถสร้างยอดขายรวมทั้งโลกเป็นรถยนต์ไฟฟ้าครึ่งหนึ่ง แบ่งเป็นแบบ Hybrid และ Plug-in Hybrid ราว 4.5 ล้านคัน และเป็นแบบ Electric Car และ Fuel-Cell (FCEV) อีกราว 1 ล้านคัน
แต่จากที่หาข้อมูลเพิ่มเติมจากความเห็นหลายท่าน
และความเห็นของพี่ๆในบอร์ดแห่งนี้
สรุปแล้วทุกฝ่ายยังคงเชื่อว่าภายใน 5 ปี
รถไฟฟ้าจะมีคนใช้"มากขึ้น" แต่ไม่ถึงกับ"ครองเมือง"
และเป็นไปไม่ได้ที่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นหลักจะสูญพันธุ์
ต่อให้มีการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มที่
และมีการตั้งสถานีไฟฟ้าขึ้นทั่วประเทศ
ก็เป็นเพียง"ทางเลือก"ให้ใช้รถไฟฟ้ามากขึ้นเท่านั้น
แต่ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ยังทำให้น้ำมันยังคงต้องถูกใช้ต่อไป
ขอบพระคุณที่มาช่วยกันวิเคราะห์นะครับ
-
จากที่จขกทบอกออกมา ถ้าผลักให้รถไฮบริด ไปอยู่กลุ่มรถไฟฟ้า
ตัวเลขก็อาจจะเป็นไปได้อย่างที่จขกทบอกมาครับ :o
เพราะไฮบริดจะเริ่มลงมารถล่างขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ mild hybrid ไปจน plug-in hybrid
คือแทนที่จะใช้ turbo เพื่อดาวน์ไซซิ่งเครื่อง ก็มาใช้ hybrid แทน
ไม่ใช่เพราะกระแส แต่เพราะกฏหมายทางยุโรปที่เข้มงวดไล่หลังไปเรื่อยๆ
อีกทั้งรถน้ำมันล้วนไม่ได้กำไรจากส่วนต่างภาษีเท่ากับพวกไฮบริดครับ
ส่วนหลายท่านที่มองคำว่ารถไฟฟ้า คือรถไฟฟ้าล้วนก็ถูกครับ ยังอีกนาน ::)
-
15 ปียังไวไปเลย
-
ลีฟ.. คับไม่ใช่โน้ท
-
น่าจะเป็นของเล่นคนรวยไปอีก 20 ปี ตอนนี้ ค่ายใหญ่ ยังไม่เริ่มเลย
ขนาด Hybrid ยังเป็นของเล่นคนรวยมา 10 กว่าปีตอนนี้ยังทำ ราคา 6-7 แสนไม่ได้เลย
-
ในไทย ก็ไม่แน่ครับ นโยบายเปลี่ยนแปลงได้ทุกปี ถ้าวิ่งเต้นดีๆอาจเกิดได้ไว
แต่ในต่างประเทศก็มีหลายๆประเทศออกนโยบายเกี่ยวกับรถไฟฟ้าออกมาแล้ว
ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ก็มีเทคโนโลยีรถไฟฟ้าอยู่ในมือแล้ว แค่รอเวลานำมาขาย
-
นโยบายจากภาครัฐยังไม่คลอดเลย :-\
ส่วนตัวก็อยากให้มาถึงวันนั้นซะทีครับ แต่ยังไงก็ยังมองไม่เห็นว่าจะเป็นเร็วๆนี้
ผมคิดว่าเมื่อถึงเวลามันก็มาครับ เมื่อไรก็เมื่อนั้น ไม่เดาอนาคต ปัจจุบันมีอย่างไรใช้อย่างนั้น ผู้บริโภคเป็นคนปรับตัวตามยุคตามสมัยครับไม่ใช่ผู้นำ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่คิดจะลงทุนและแข่งขันในธุรกิจนี้ ก็อีกเรื่องนึง
-
เป็นไปไม่ได้ คนอยู่ในคอนโดกี่ล้านคน รถกี่ล้านคัน
คอนโด แค่ล้างรถยังเป็นไปไม่ได้เลย แล้วจะชาร์ตไฟยังไง
-
เป็นไปได้ แต่ไม่น่าใช่ที่ไทย
นอกจากตัวรถเองแล้ว ยังต้องมี infrastructure รองรับอีก
แล้วพฤติกรรมการใช้รถบ้านเราอีก ใช้กันเกิน 5 ปี ช่างอู่นอกมีความพร้อมขนาดไหน
สำคัญสุด แบตที่เสื่อมสภาพแล้ว จะกำจัดทิ้งกันอย่างไร
ฟังจากกูรูยานยนต์คนนึง บริษัทกำจัดอยู่ที่ยุโรปเพียงแห่งเดียวไม่แน่ใจ เบลเยี่ยม ฮอลแลนด์ โซนแถวนั้นละ
-
วิธีคิดง่าย ๆ คุณบอม ให้ดูว่า ในญี่ปุ่นเกิดรถไฟฟ้ามาก่อนเราเป็น 10 ปี ปัจจุบันมีรถไฟฟ้าเป็นจำนวนเท่าไหร่
แล้วสถานีชาร์จไม่ต้องไปมองคนอื่น มองที่ตัวเองพร้อมไหมดีกว่า นั่นละคือคำตอบว่ารถไฟฟ้าจะเกิดในกี่ปี
-
+20=25-26 ปี และไม่ใช่ 100%
เพราะความคลาสสิคของรถ มันทำให้เราทวิลหาอดีต
-
5 ปีเป็นไปไม่ได้ครับ ไทยยิ่งไม่ต้องพูดถึง
-
ลองดูปั้ม NGV ขาออกต่างจังหวัด ช่วงเทศกาลครับ นี่แค่เติมคันนึงราว 5-10 นาที ยังรอจนรถติดออกมานอกปั้ม
รถไฟฟ้ายังไงก็เติมนานกว่านั้น นอกจากเทคโนโลยี super charger มันจะราคาถูกมากๆ จนพอที่จะลงทุนนู่นแหละครับ
เอางี้ครับ ประเทศพัฒนาแล้วที่มีเงินเยอะมาก ราคารถ ถูกมากเทียบกับค่าครองชีพ มันยังไม่ค่อยบูมเลย
บ้านเรารถราคาแพง ยังไงก็อีกนานครับ
สำหรับผมดีซะอีกคนหันไปเล่นรถไฟฟ้ากัน น้ำมันไม่มีใครต้องการก็ต้องลดราคา อยากเติมลิตรละ 5 บาท เหมือนกันครับ
-
ลองดูปั้ม NGV ขาออกต่างจังหวัด ช่วงเทศกาลครับ นี่แค่เติมคันนึงราว 5-10 นาที ยังรอจนรถติดออกมานอกปั้ม
รถไฟฟ้ายังไงก็เติมนานกว่านั้น นอกจากเทคโนโลยี super charger มันจะราคาถูกมากๆ จนพอที่จะลงทุนนู่นแหละครับ
เอางี้ครับ ประเทศพัฒนาแล้วที่มีเงินเยอะมาก ราคารถ ถูกมากเทียบกับค่าครองชีพ มันยังไม่ค่อยบูมเลย
บ้านเรารถราคาแพง ยังไงก็อีกนานครับ
สำหรับผมดีซะอีกคนหันไปเล่นรถไฟฟ้ากัน น้ำมันไม่มีใครต้องการก็ต้องลดราคา อยากเติมลิตรละ 5 บาท เหมือนกันครับ
ประเทศที่เขาส่งเสริมรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าผลิตไม่ทันขายนะครับ ต้องจองประมาณปีกว่าถึงสองปีกว่าจะได้รถ
-
5-6 ปี ประเทศไทยไม่มีทางครับ เดียว MG ลองขายดูครับในราคาจับต้องได้
-
ในต่างประเทศมันเป็นอย่างนั้นไปแล้วครับ
-นอร์เวย์ ยอดขายรถไฟฟ้ามากกว่ารถใหม่ไปแล้ว
-อเมริกา ยอดขาย เทสล่า มากกว่า ซีรี่ยส์3 c class
-เสิ่นเจิ้น รถไฟฟ้าขายดีมาก
-สเปน มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า วิ่งกันเยอะมาก
ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะ
- เป็นที่ต้องการของประชาชน เพราะรถไฟฟ้า ทนกว่า ราคาขายต่อดีกว่า อัพเกรดได้เรื่อยๆ ประหยัดกว่า ดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อมมากกว่า แรงกว่า ถูกกว่า(ในระยะยาว) ประสิทธิภาพดีกว่า (Efficiency)
- รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ เช่น
- ที่จีนรัฐสนับสนุนให้มีที่ชาร์จกระจายตามจุดต่างๆในเมือง นอกจากนี้รัฐยังช่วยออกเวลาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
- ที่อเมริกา super charge ปัจจุบันเป็น V 3 สามารถหาได้ง่าย เพราะ tesla ลงทุนเรื่องนี้ไว้มาก แถมชาร์จฟรีอีกต่างหาก
- ที่นอร์เวย์ รถไฟฟ้าได้สิทธิ์ เยอะมาก เช่น ขึ้นทางด่วนฟรี จอดบางที่ที่เป็นจุดชาร์จได้ฟรี ภาษีก็ถูกจนถูกกว่ารถน้ำมัน ที่ชาร์จกระจายตามที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง
พอรัฐสนับสนุนเต็มที่อย่างนี้ก็เลยมีผลถึงภาคเอกชน เช่น
- รัฐบาลบางประเทศฟ้องบริษัทรถยนต์ ว่าพยายามเตะถ่วง ไม่ผลิตรถไฟฟ้าเสียที
- ภาคเอกชน เช่น บริษัทใหญ่ๆมีนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ เช่น เบนซ์ เลิกผลิตรเครื่องยนต์ปี 2030, วอลโว่ก็ดันโครงการรถไฟฟ้าเต็มที่ โตโยต้าที่เคยเมิน รถ bev ก็กลับมาผลิตจนตั้งเป้าไว้สูงตามลิ้งค์ข้อความข้างบน
ผมเองก็ไม่แปลกใจเลยถ้าดูจากสถิติการเติบโตของรถไฟฟ้า แล้ว อีกหน่อยประเทศต่างๆเหล่านี้อีกหน่อยรถน้้ำมันจะไม่มีคนซื้อ เพราะอาจจะโดนเก็บภาษีมลพิษมากขึ้น บางที่อย่างอังกฤษ ไม่อนุญาตให้เข้าเมือง หรือ จะเก็บเงินเพิ่มถ้ารถปล่อย CO2 เยอะ ร่วมกับการที่คนสนใจรถไฟฟ้ามากขึ้นจน รถน้ำมันขายไม่ออก อะไหล่ก็ไม่มี จนต้องเลิกผลิตไปเอง
....กลับมาดูที่ประเทศไทย ก็รู้สึกหมดหวัง
ทุกวันนี้รัฐไม่ได้สนับสนุนจริงจัง ลำพังแค่แบตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถที่เหมาะกับการทำรถไฟฟ้ามากสุด เพราะสามารถถอดแบตไปชาร์จได้ ชาร์จได้ไม่นาน ยังเก็บภาษีแบตเตอรี่ตั้ง60% ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นภาษีนำเข้าเลยแพงแต่ถ้าผลิตในประเทศจะถูกกว่านี้หรือเปล่า
ตอนนี้รถไฟฟ้าในประเทศไทย อนาคตน่าจะมีสองทางซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลเป็นหลัก
1. รัฐไม่สนับสนุนรถไฟฟ้าเลย อนาคตเมืองไทยก็ยังจะมีปัญหามลพิษอยู่ ประชาชนจะป่วยเป็นโรคหายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวรอหน้าหนาวไม่่มีลม PM 2. ก็กลับมา แต่คนที่ได้ประโยชน์คือ บริษัทปริโตรเลี่ยม ตั้งแต่โรงกลั่นยันปั๊ม บริษัทผลิตรถยนต์ที่ต้องการจะใช้เทคโนโลยีเก่าๆ ให้คุ้มเพราะลงทุนวิจัยมาเยอะก็จะเห็นเมืองไทยเป็นเป้าในการนำเครื่องยนต์เหล่านี้มาใช้ บริษัทผลิตอุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์ เช่น เกียร์ เครื่องยนต์ ก็จะไม่ปรับตัวเพราะ order ยังมีอยู่ แต่ถ้าสักวันนึงทั้งโลก ใช้รถไฟฟ้ากันหมด บริษํทเหล่านี้จะลำบากมากๆ และคนที่ลำบากที่สุดน่าจะเป็นประชาชนที่สุขภาพย่ำแย่ลง
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ลดภาษี สนับสนุนที่ชาร์จตามที่ต่างๆ เช่นปั๊มน้ำมัน คอนโด ให้สิทธิ์พิเศษบางอย่าง ทำราคาราคาให้ถูกกว่ารถน้ำมัน หรือใกล้เคียง(เพราะเป็นไปได้ยากที่ รถไฟฟ้าที่มีลิมิตด้านระยะการวิ่งขายแพงกว่าแล้วคนมาซื้อจนทำตลาดได้) ผมว่าคนอยากใช้มีเยอะ จนจำนวนค่อยๆเพิ่มไปเอง อาจจะถึง 3-5% ใน5 ปี ยิ่งภายใน 3 ปี จะมีแบตเตอรี่ solid stage ขึ้นมา การชาร์จจะทำได้เร็วขึ้นไปอีก จะทำให้ใช้รถไฟฟ้าได้สะดวกขึ้น เยอะครับ
-
ถ้าติดแม่เหล็กที่ล้อ ขดลวดตรงซุ้มล้อ ต้นทุนจะเพิ่มอีกเท่าไหร่เหรอครับ จะได้วิ่งไปชาร์จไป ตอนนี้มีแต่ชาร์จตอนเบรค
-
ไม่มีทางครับ 5 ปีก่อนก็มีคนพูดว่าไม่เกิน 10 ปีรถไฟฟ้าวิ่งเกลื่อน
ผมว่าสนับสนุนมอเตอร์ไซด์ไฟฟ้าก่อนดีกว่า เข้าถึงได้ทุกครัวเรื่อนแล้วก็ส่วนใหญ่เอาไว้ขับไกล้ๆจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องชาร์จมากนัก
-
คนไทยนี่ขี้กังวลจังแฮะ พวกรัฐบาลยุโรปเค้าบังคับแต่คนที่นั่นยังไม่เดือดร้อน นี่รัฐบาลเราไม่ได้บังคับอะไรเลยทำไมตื่นตูมกันจัง ห่วงแม้กระทั่งลิเธียมจะหมดโลก แต่น้ำมันหมดโลกไม่ห่วง 8)
-
ผมก็ได้แต่หวังว่าถ้ามันยาวถึง 15-20 ปีจริงๆ ตอนนั้นบ้านเราจะมีขนส่งสาธารณะที่ดีขึ้นจนไม่ต้องพึ่งรถยนต์ส่วนตัวมากเท่าวันนี้ ;D
-
ฝรั่งเค้าไม่ได้พึ่งขนส่งสาธารณะอย่างเดียวครับ เค้าเดิน ปั่นจักรยานกันเยอะเลย(ว่ายน้ำไปทำงานยังมี) แต่คนไทยเมืองร้อนมั้งเลยใช้รถส่วนตัวกันตลอด
อยากให้ลดการพึ่งพิงรัฐ โทษแต่รัฐ แล้วช่วยกันคนละไม้คนละมือ ลดการใช้พลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อม เลิกพฤติกรรมมักง่ายกันบ้าง (คงได้แค่ฝัน)
-
เกิด ไม่เกิด ต้องอยู่ที่ tuning point ครับ คอขวดตอนนี้คือ battery เมื่อไหร่ที่มันเบา ความจุสูง ราคาถูก ชาร์จไว เมื่อนั้นก็เป็นไปตามที่ จขกท. ว่ามา
แต่ต้องไม่ลืมว่า battery คือ หัวใจของพลังงาน ความต้องการมันสูงมาก ดังนั้นใครจ่ายไหวจะได้ใช้ก่อนเพื่อน ทำให้เราคนไทยอาจได้ใช้มันช้ากว่า ประเทศที่เงินเยอะกว่า
ต้นทุนหลักของรถไฟฟ้ามี 4 ส่วน ตัวถัง มอเตอร์ไฟฟ้า battery และชุดควบคุม จริงๆ ถ้าไม่นับ battery ต้นทุน 3 ส่วนที่เหลือค่อนข้างต่ำ
ดังนั้นถ้า battery มาเมื่อไหร่ ราคารถไฟฟ้าก้จะต่ำลงมาจนเราอยากได้ และใช้กันเยอะอย่างที่ จขกท. ว่ามาแน่นอน
-
ผมว่าอนาคตอาจไม่ใช่แค่เรื่องมีรถไฟฟ้าหรือไม่ ขนส่งมวลชนพัฒนามั้ย มันยังมีหลายประเด็นที่แก้ปัญหาได้ สมัยนี้ delivery เยอะแยะ คนสั่งของจากบ้านได้แทบไม่ต้องไปไหน teleconference ก็มี ยุค 5g ก็จะมา มันลดการใชรถยนต์ส่วนบุคคลได้เยอะแล้ว
ลองหันมาพัฒนาระบบเหล่านี้บ้างก็ได้นะ
-
ต่างประเทศครับ พอจะเป็นไปได้
-
อยู่ที่ประเด็นความคุ้มทุนอย่างเดียวเลยครับ(economy of scale)...ลองถ้าพร้อมใจทำกันทุกค่ายมันก็พลิกได้ง่ายๆเหมือนกัน แต่ถ้าให้เดาคงเป็น 10 ปีแทนที่จะเป็น 5 ปี ความจริงเกิดได้ไม่ยากอย่างที่หลายคนคิด (เห็นยังมีความเข้าใจผิดๆค่อนข้างเยอะ) ค่ายรถอย่างวอลโว่เลิกออกรุ่นใหม่ที่เป็นดีเซล...และจะไม่ออกรุ่นใหม่ที่ไม่รองรับ EV อีกต่อไป หลายค่ายก็มีโรดแมพคล้ายๆแบบนี้ ส่วนตัวผมรถคันต่อไปคงเป็นรถไฟฟ้าแน่นอนครับ.
-
ก็ต้องฟังข่าวให้ชัดๆว่ารถไฟฟ้า รวมอะไรไม่รวมอะไร รถยุโรปตอนนี้จายเสียบปลั๊กเยอะรุ่นแล้ว รถญี่ปุ่น hybrid มี camry accord เป็นหลักถ้ามันขยายลงมาที่ altis civic แล้วลงมาต่อที่ vios city ถึงวันนั้นนับ hybrid เป็นไฟฟ้า
ก็จะเรียกได้ว่ารถส่วนมากเป็นรถไฟฟ้า
-
โรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเลียม ยังคงอยู่ไปอีกนานแสนนานครับ
แล้วรถไฟฟ้าที่พูดๆกัน มันก็แค่ Passenger Car กลุ่มเดียว
ยังมียาพาหนะอีกหลายกลุ่มที่ต้องใช้น้ำมันต่อไป เพราะคุณไม่สามารถไปตั้ง Power Station ที่พื้นที่เกษตรกรรม
แล้วหวังว่าจะให้รถคอก รถบรรทุก รถส่งของ มาจอดชาร์จไฟ
ดีไม่ดี แท็กซี่สหกรณ์ก็ไม่เอาด้วย ถ้าค่าบำรุงรักษา แล้ว Downtime ของรถมันสูงกว่าการเติมแก๊ส+ล้างรถ
-
ในต่างประเทศมันเป็นอย่างนั้นไปแล้วครับ
-นอร์เวย์ ยอดขายรถไฟฟ้ามากกว่ารถใหม่ไปแล้ว
-อเมริกา ยอดขาย เทสล่า มากกว่า ซีรี่ยส์3 c class
-เสิ่นเจิ้น รถไฟฟ้าขายดีมาก
-สเปน มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า วิ่งกันเยอะมาก
ที่เป็นแบบนี้ได้เพราะ
- เป็นที่ต้องการของประชาชน เพราะรถไฟฟ้า ทนกว่า ราคาขายต่อดีกว่า อัพเกรดได้เรื่อยๆ ประหยัดกว่า ดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อมมากกว่า แรงกว่า ถูกกว่า(ในระยะยาว) ประสิทธิภาพดีกว่า (Efficiency)
- รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่ เช่น
- ที่จีนรัฐสนับสนุนให้มีที่ชาร์จกระจายตามจุดต่างๆในเมือง นอกจากนี้รัฐยังช่วยออกเวลาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
- ที่อเมริกา super charge ปัจจุบันเป็น V 3 สามารถหาได้ง่าย เพราะ tesla ลงทุนเรื่องนี้ไว้มาก แถมชาร์จฟรีอีกต่างหาก
- ที่นอร์เวย์ รถไฟฟ้าได้สิทธิ์ เยอะมาก เช่น ขึ้นทางด่วนฟรี จอดบางที่ที่เป็นจุดชาร์จได้ฟรี ภาษีก็ถูกจนถูกกว่ารถน้ำมัน ที่ชาร์จกระจายตามที่ต่างๆ อย่างทั่วถึง
พอรัฐสนับสนุนเต็มที่อย่างนี้ก็เลยมีผลถึงภาคเอกชน เช่น
- รัฐบาลบางประเทศฟ้องบริษัทรถยนต์ ว่าพยายามเตะถ่วง ไม่ผลิตรถไฟฟ้าเสียที
- ภาคเอกชน เช่น บริษัทใหญ่ๆมีนโยบายสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ เช่น เบนซ์ เลิกผลิตรเครื่องยนต์ปี 2030, วอลโว่ก็ดันโครงการรถไฟฟ้าเต็มที่ โตโยต้าที่เคยเมิน รถ bev ก็กลับมาผลิตจนตั้งเป้าไว้สูงตามลิ้งค์ข้อความข้างบน
ผมเองก็ไม่แปลกใจเลยถ้าดูจากสถิติการเติบโตของรถไฟฟ้า แล้ว อีกหน่อยประเทศต่างๆเหล่านี้อีกหน่อยรถน้้ำมันจะไม่มีคนซื้อ เพราะอาจจะโดนเก็บภาษีมลพิษมากขึ้น บางที่อย่างอังกฤษ ไม่อนุญาตให้เข้าเมือง หรือ จะเก็บเงินเพิ่มถ้ารถปล่อย CO2 เยอะ ร่วมกับการที่คนสนใจรถไฟฟ้ามากขึ้นจน รถน้ำมันขายไม่ออก อะไหล่ก็ไม่มี จนต้องเลิกผลิตไปเอง
....กลับมาดูที่ประเทศไทย ก็รู้สึกหมดหวัง
ทุกวันนี้รัฐไม่ได้สนับสนุนจริงจัง ลำพังแค่แบตมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นรถที่เหมาะกับการทำรถไฟฟ้ามากสุด เพราะสามารถถอดแบตไปชาร์จได้ ชาร์จได้ไม่นาน ยังเก็บภาษีแบตเตอรี่ตั้ง60% ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นภาษีนำเข้าเลยแพงแต่ถ้าผลิตในประเทศจะถูกกว่านี้หรือเปล่า
ตอนนี้รถไฟฟ้าในประเทศไทย อนาคตน่าจะมีสองทางซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐบาลเป็นหลัก
1. รัฐไม่สนับสนุนรถไฟฟ้าเลย อนาคตเมืองไทยก็ยังจะมีปัญหามลพิษอยู่ ประชาชนจะป่วยเป็นโรคหายใจมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวรอหน้าหนาวไม่่มีลม PM 2. ก็กลับมา แต่คนที่ได้ประโยชน์คือ บริษัทปริโตรเลี่ยม ตั้งแต่โรงกลั่นยันปั๊ม บริษัทผลิตรถยนต์ที่ต้องการจะใช้เทคโนโลยีเก่าๆ ให้คุ้มเพราะลงทุนวิจัยมาเยอะก็จะเห็นเมืองไทยเป็นเป้าในการนำเครื่องยนต์เหล่านี้มาใช้ บริษัทผลิตอุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์ เช่น เกียร์ เครื่องยนต์ ก็จะไม่ปรับตัวเพราะ order ยังมีอยู่ แต่ถ้าสักวันนึงทั้งโลก ใช้รถไฟฟ้ากันหมด บริษํทเหล่านี้จะลำบากมากๆ และคนที่ลำบากที่สุดน่าจะเป็นประชาชนที่สุขภาพย่ำแย่ลง
2. รัฐสนับสนุนรถไฟฟ้าเต็มที่ ลดภาษี สนับสนุนที่ชาร์จตามที่ต่างๆ เช่นปั๊มน้ำมัน คอนโด ให้สิทธิ์พิเศษบางอย่าง ทำราคาราคาให้ถูกกว่ารถน้ำมัน หรือใกล้เคียง(เพราะเป็นไปได้ยากที่ รถไฟฟ้าที่มีลิมิตด้านระยะการวิ่งขายแพงกว่าแล้วคนมาซื้อจนทำตลาดได้) ผมว่าคนอยากใช้มีเยอะ จนจำนวนค่อยๆเพิ่มไปเอง อาจจะถึง 3-5% ใน5 ปี ยิ่งภายใน 3 ปี จะมีแบตเตอรี่ solid stage ขึ้นมา การชาร์จจะทำได้เร็วขึ้นไปอีก จะทำให้ใช้รถไฟฟ้าได้สะดวกขึ้น เยอะครับ
ขอบคุณครับ+++
-
โรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจปิโตรเลียม ยังคงอยู่ไปอีกนานแสนนานครับ
แล้วรถไฟฟ้าที่พูดๆกัน มันก็แค่ Passenger Car กลุ่มเดียว
ยังมียาพาหนะอีกหลายกลุ่มที่ต้องใช้น้ำมันต่อไป เพราะคุณไม่สามารถไปตั้ง Power Station ที่พื้นที่เกษตรกรรม
แล้วหวังว่าจะให้รถคอก รถบรรทุก รถส่งของ มาจอดชาร์จไฟ
ดีไม่ดี แท็กซี่สหกรณ์ก็ไม่เอาด้วย ถ้าค่าบำรุงรักษา แล้ว Downtime ของรถมันสูงกว่าการเติมแก๊ส+ล้างรถ
อันนี้ผม มองตรงข้ามเลยครับ แท็กซี่ รถบัส และรถที่ใช้ในพื้นที่การเกษต น่าจะเหมาะที่จะใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่ารถนั่งส่วนบุคคลเสียอีกนะครับ
-
Power Bank ขนาดจะใหญ่แต่ไหนนะ