Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: mamaman ที่ ธันวาคม 08, 2019, 08:40:03
-
ไม่มีใครขับรถรอบ 4,000 + ตลอดเวลา
ผู้ใช้รถทั่วไป สามารถรับรู้ พละกำลังรถ ตั้งแต่ ออกตัว ไม่เกิน 3,000 รอบ
2.0 NA ทั้วไป
HP 15X / 6,X00 RPM
Max Torque 19X / 4,X00 RPM
Torque 17X / 3,X00 RPM
1.0T ค่ายนึง
HP 122 / 5,500 RPM
Max Torque 173/ 2,000-4,500 RPM
หากมองตามนี้ เครื่อง 1.0 ตัวนี้แรงกว่า 1.8 ในย่านใช้งานจริงถึง 4,500 รอบ แรงจึกตก
สำหรับ คนชอบ รถ พุ่งๆ คงไม่ต้องคิดอะไรมาก แรง และ ประหยัด ถุกใจ วัยรุ่น สร้างตัว
รวมถึงผมเช่นกัน ที่เริ่มเบื่อ รถเก่งขนาด กลาง เพระามันไม่คล่องตัว หากจะหาสายมุด สักคัน คงไม่พ้น เครื่องตัวนี้
-
อืมม จริงด้วยคับ
-
เอาแบบใช้งานในเมืองคล่องตัวกว่าแน่ๆ ช่วงความเร็วกลางๆขึ้นทางด่วนสบายๆ ของAlmera ก็ด้วยแรงบิดพอๆกับซิลฟี่ 1.6 ถ้าไม่จูนเพิ่ม ขับสบายประหยัดกว่าแน่ๆ อนาคตอยากได้เครื่องเทอร์โบมาลองใช้สักคัน
-
ถ้าโจทย์สายมุด ก็คง c-seg ช่วงล่างดีกว่า แค่กว้างฐานล้อก็ต่างแล้ว เครื่องมันทำแรงได้ตอนหลัง
-
ในการใช้งานจริง เราไม่ได้มองแค่อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง เท่านั้นนะครับ
ความสบายของเบาะ การเก็บเสียง การทรงตัว ระบบเบรค พวกนี้มักจะไปตามราคาของรถครับ ในเมืองรถเล็กคล่องตัวจริง แต่เดินทางไกลยังไงรถใหญ่ก็สบายกว่า เพลียน้อยกว่าครับ
-
ช่วงล่างคือคำตอบ ต่อให้ใส่สตรัทสู้แบบอิสระไม่ได้
-
ถ้าโจทย์สายมุด ก็คง c-seg ช่วงล่างดีกว่า แค่กว้างฐานล้อก็ต่างแล้ว เครื่องมันทำแรงได้ตอนหลัง
+1 ครับ เครื่องได้ แต่ฐานล้อต่างกันก็หนักอยู่ ส่วนตัวผมว่าขนาด C-Segment มุดสนุกสุดครับ
-
เอาพอหอมปากหอมคอได้อยู่ครับ
แต่ถ้าซิ่งประจำไม่ดีแน่ ยังไงก็ไม่ปลอดภัยครับ
เพราะช่วงล่าง การทรงตัว ระบบเบรค
มันไม่ได้ถูกเซ็ทมาให้เป็นรถซิ่งครับ
-
ช่วงล่างคือคำตอบ ต่อให้ใส่สตรัทสู้แบบอิสระไม่ได้
สาวกMazda ก็เคยพูดแบบนั้น ตอนนี้เป็นไงละครับ new mazda3 ออกมาใช้คานบิด แต่เซ็ทมาดีกว่าอิสระเดิม แสดงว่ามันก็มีทางของมันละ แต่ผมก็เชื่อว่าไม่เท่าอิสระเหมือนกัน
-
ช่วงล่างคือคำตอบ ต่อให้ใส่สตรัทสู้แบบอิสระไม่ได้
ช่างล่างแบบ อิสระให้ความสบายครับ
หากเซ้ทรถแข่ง เค้าจะเซ้ทแข็งๆ ครับ สปริง โช้ค เปลี่ยนหมด ไม่ค่อยได้ใช้ระยะ ยุบมากเท่าไหร่
ประเด็นผมคือไม่ได้ จะไปแข็งครับ แค่ มุดๆ โยก ๆ ในเมือง รถ ยิ่งเล้ก ฐานล้อสั้่น เบา ยิ่งมุดสบายกว่าครับ
-
ในการใช้งานจริง เราไม่ได้มองแค่อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง เท่านั้นนะครับ
ความสบายของเบาะ การเก็บเสียง การทรงตัว ระบบเบรค พวกนี้มักจะไปตามราคาของรถครับ ในเมืองรถเล็กคล่องตัวจริง แต่เดินทางไกลยังไงรถใหญ่ก็สบายกว่า เพลียน้อยกว่าครับ
อันนี้ก็น่าคิดครับ ไม่ได้ ขับ B car ช่วงล่างคานบิด มา 10 กว่าปีแล้ว
-
เอาพอหอมปากหอมคอได้อยู่ครับ
แต่ถ้าซิ่งประจำไม่ดีแน่ ยังไงก็ไม่ปลอดภัยครับ
เพราะช่วงล่าง การทรงตัว ระบบเบรค
มันไม่ได้ถูกเซ็ทมาให้เป็นรถซิ่งครับ
ไม่ได้จะเอามาซิ่งครับ 55 แค่อยาก ออกตัว ปรูดปราด เพราะ C -D segemnt ผมมองว่า รถหนัก ฐานล้อกว้าง ทำให้ วงเลี้ยวกว้างตาม เทอะทะ
แค่ ใช้งาน ประจำวัน มุดๆ ในคงวามเร็วไม่สูง
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
อันนี้ ผม รอ ดู รีวิว ทดลองขับ เลยครับ
-
ส่วนใหญ่คนจะมองแค่ว่า รถแรง=รถดี จริงๆ
ส่วนตัวใช้ C Seg ช่วงล่างหัวแถวรถยุ่น และ สลับมาใช้เก๋งเล็กเทอร์โบอีกคัน ถึงแม้ว่าอันหลังจะคล่องตัวกว่า แต่ยอมรับว่าขับทางไกลไม่กล้าขับโหดๆเลย คิดถึงรถใหญ่ขึ้นมาทันที การบังคับ, การควบคุม ความมั่นใจที่ความเร็วสูงก็คนล่ะเรื่อง ต่อให้บอกว่ารถเล็กเอาไปทำช่วงล่างเพิ่มก็จบ ฟังแล้วโคตรสงสารวิศวะกรยานยนต์เลย 555
-
ผมนี่ไม่อยากจะคิดเลยครับว่าเหล่าวัยรุ่นสายซิ่งที่ออก City 1.0T มาเนี่ย จะขับกันท้านรกขนาดไหน
-
แรงพอตัวเลย แต่ city วัสดุดู lookcheap ก้องแก๊งมาก เหมาะกับคนงบไม่มาก เน้นพลังเครื่องยนต์ คุ้มๆครับ
-
ถ้าเอามาใช้ในชีวิตประจำวันทั่วๆไปไม่ได้เอาไปแข่งกับใคร
วัดแค่ความรู้สึกความคล่องตัว b seg turboน่าจะขับดีกว่าc naนะครับ ในกทมviosเห็บหมายังรู้สึกคล่องกว่าcamry2.4เลย
แต่ถ้าเอาไปขับทางไกล ความนั่งสบายรถใหญ่กว่าได้เปรียบอยู่ดี
-
ในอนาคต รถไฟฟ้าที่แรงบิดมาตั้งแต่ต้นคงมุดกันนรกแตกแน่ๆ :'(
-
นิยามวัยรุ่นสร้างตัว รถต้องแรงไว้ก่อน
ขับในเมืองรถมีโบ รถเล็กยังไงก็คล่องกว่า
ขับไกล segment สบายกว่าเห็นได้ชัด
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
อันนี้ ผม รอ ดู รีวิว ทดลองขับ เลยครับ
หลายคนอาจจะคิดว่า 122 แรงม้านั้น มันคงแรงมากๆจนใกล้เคียงหรือมากกว่า C-segment เครื่อง 2.0
แต่เรามาวิเคราะตามหลักความจริงครับ ด้วยกรอบของ Ecocar เฟส2 ที่กำหนดไว้ว่า
1.ประหยัดน้ำมันไม่ต่ำกว่า 23.25 km/l
2.ต้องปล่อย CO2 ไม่เกิน 100g/km
ขนาด Civic turbo ยังปล่อยไอเสียที่ 134g/km เลย ส่วน CX3 ปล่อยไอเสียที่ 145g/km
แล้วมันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ กับรถที่ต้องประหยัดเบอร์นี้และปล่อยไอเสียไม่เกิน 100g ....
ผมกลัวแต่ว่า 122แรงม้า จะเป็นเพียงตัวเลขการตลาด ที่เวลาวิ่งจริงมันอาจจะไม่มากมายอย่างที่ใครคิดก็ได้นะ ...
โดยรวม city อาจจะมีกำลังเครื่องมากที่สุดในกลุ่ม แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดใกล้เคียง civic 1.8 หรือแม้แต่ CX3 แน่ๆครับ
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
อันนี้ ผม รอ ดู รีวิว ทดลองขับ เลยครับ
หลายคนอาจจะคิดว่า 122 แรงม้านั้น มันคงแรงมากๆจนใกล้เคียงหรือมากกว่า C-segment เครื่อง 2.0
แต่เรามาวิเคราะตามหลักความจริงครับ ด้วยกรอบของ Ecocar เฟส2 ที่กำหนดไว้ว่า
1.ประหยัดน้ำมันไม่ต่ำกว่า 23.25 km/l
2.ต้องปล่อย CO2 ไม่เกิน 100g/km
ขนาด Civic turbo ยังปล่อยไอเสียที่ 134g/km เลย ส่วน CX3 ปล่อยไอเสียที่ 145g/km
แล้วมันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ กับรถที่ต้องประหยัดเบอร์นี้และปล่อยไอเสียไม่เกิน 100g ....
ผมกลัวแต่ว่า 122แรงม้า จะเป็นเพียงตัวเลขการตลาด ที่เวลาวิ่งจริงมันอาจจะไม่มากมายอย่างที่ใครคิดก็ได้นะ ...
โดยรวม city อาจจะมีกำลังเครื่องมากที่สุดในกลุ่ม แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดใกล้เคียง civic 1.8 หรือแม้แต่ CX3 แน่ๆครับ
คนกลุ่มที่เน้นแรง มุด พวกนี้ไม่นึกถึงเรื่องกฎหมายอะไรหรอก
ได้รถมาก็ใส่กล่อง รีแฟลช กัน
รถเทอร์โบทำแล้วไม่กลัวพัง ไม่กลัวตาย ยังไงก็แรงกว่า
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
อันนี้ ผม รอ ดู รีวิว ทดลองขับ เลยครับ
หลายคนอาจจะคิดว่า 122 แรงม้านั้น มันคงแรงมากๆจนใกล้เคียงหรือมากกว่า C-segment เครื่อง 2.0
แต่เรามาวิเคราะตามหลักความจริงครับ ด้วยกรอบของ Ecocar เฟส2 ที่กำหนดไว้ว่า
1.ประหยัดน้ำมันไม่ต่ำกว่า 23.25 km/l
2.ต้องปล่อย CO2 ไม่เกิน 100g/km
ขนาด Civic turbo ยังปล่อยไอเสียที่ 134g/km เลย ส่วน CX3 ปล่อยไอเสียที่ 145g/km
แล้วมันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ กับรถที่ต้องประหยัดเบอร์นี้และปล่อยไอเสียไม่เกิน 100g ....
ผมกลัวแต่ว่า 122แรงม้า จะเป็นเพียงตัวเลขการตลาด ที่เวลาวิ่งจริงมันอาจจะไม่มากมายอย่างที่ใครคิดก็ได้นะ ...
โดยรวม city อาจจะมีกำลังเครื่องมากที่สุดในกลุ่ม แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดใกล้เคียง civic 1.8 หรือแม้แต่ CX3 แน่ๆครับ
จริงๆ ผมไม่ได้ มองที่แรงม้านะครับ
ผมมองที่แรงบิด ที่จะแบกน้ำหนักทะยานไปข้างหน้า น้ำหนักรวม ความสูง
ลอง สังเกตุ อัตราเร่ง มันมี ปัจจัยหลายอย่าง b-segment หลายคัน อัตราเร่งดีกว่า C และ D Segment นะครับ
ผมไม่ได้ คาดหวังว่ามันจะแรงเท่า 2.0 ตัว Top หรอก ผมแค่เปรีบเปรยเฉยๆ ผมคงไม่คิดไปวัด กันที่ 200 Km แต่
ลองไป ดู รถ แข่งเซอรกิจ นะครับ พวกนี้ เค้าใช้ รถเบาๆ มาแข่ง แทบไม่มี C - D Segment ขนาดรถสมัยนี้เลย
แต่ผมว่า จาก แรงบิด ขนาดล้อ city 2020 มันใกล้เคียงกับ Civic 1.8 หรือแม้แต่ CX3 แน่นอนครับ ในระยะ สั้นๆ นะ ปลายไม่มีทางได้เท่าเครือ่งใหญ่แน่นอน
-
อย่าสบประมาทตัวเลขแรงม้าของเครื่อง 1.0 turbo นะคับ
ม้า 122 ตัวกับการต้องปล่อย CO ไม่เกินค่ากำหนด อาจจะคิดว่ามันคงวิ่งได้ไม่เท่าไหร่
กับความเร็วสูงสุดอาจจะไม่มาก แต่ Flat torque ที่มาช่วงรอบต้น มันจะเป็นรถที่เร่งไปหาช่วง high speed ได้ค่อนข้างไวโดยที่ไม่ต้องเลี้ยงไปที่รอบสูง
บวกกับตัวรถที่ค่อนข้างเบาด้วย รถ NA เครื่อง 1.8-2.0 อาจจะมีเสียวได้
-
ผมใช้ cx3 อยู่ แต่เมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้ว รถเกิดอุบัติเหตุเสียหายหนัก อาจจะต้องได้ซื้อรถใหม่ ผมก็กำลังมอง New city กับ new Almera อยู่ ไม่รู้ว่ากำลังเครื่อง 1.0T จะตอบสนองได้ดีกว่ามั้ย ด้วยน้ำหนักตัวที่เบากว่า
-
ผมระเบิด dpf รอละครับ ไม่ได้เอามาหวดแข่งกับซิทิหรืออัลเมร่านะครับ dpf ตัน เครื่องสั่น...
โดยส่วนตัวผมว่าน่าจะเจอนักซิ่งอีโค่คาร์เยอะขึ้นแน่นอน เครื่องเทอร์โบ มันทำต่อง่าย แฟลช ปลดล๊อก ม้าเพิ่ม 30-50 ตัว
แต่ๆๆ อย่าลืมว่า cvt จะรอดูว่าทนไม้ทนมือแค่ไหนครับ
-
จำนวนม้าสู้เครื่อง 1.8 2.0 ไม่ได้ แต่น้ำหนักก็เบากว่ารถรุ่นใหญ่สัก 200 กก. + flat torque ตั้งแต่รอบต่ำ ผมว่าวิ่งบนถนนจริงๆ อาจจะสูสีได้นะครับ
-
Spec1.0T พอเทียบได้กับ เฟียตต้า 1.0 รึเปล่า ตัวนั้น ผมเคยขับ ทั้งแรง ประหยัด แล้วช่วงล่างถือว่าดีเลยนะ อาจมีรอรอบนิดนึง ถ้าไม่ได้แข่งกับใคร พวก1.0T สมัยใหม่ น่าจะ คล่องตัวกันหมด รวมๆ B segment น่าจะยกระดับจุดเด่นขึ้นอีกหน่อย :)
-
ยอมรับว่ากลถ่มb-segmentขับมุดง่ายกว่าจริงๆครับ
เคยของขับjazzกับmazda2มุดง่ายกว่ารถใหญ่ที่บ้านมาก แต่พอถนนใหญ่ก็ไม่กล้าขับเร็วเกิน110ครับ ความมั่นใจมันต่างกัน
แต่ภ้าเรื่องมุดผมว่า1.0tนี่น่าเป็นรถที่ขับในเมืองค่อยตัวกว่ากลุ่มc-segmentจริงๆครับ
อย่าเพิ่งออกทะเลยจนกลายเป็นตีกันเลยคนับ รถแต่ละsegmentเค้ามีข้อเด่นข้อด้อยของเค้าในตัวครับ
ส่วนใหญ่b-segmentที่ไปแต่งซิ่งเห็นเค้าไปทำต่อเยอะเลย ไอ้เราก็ไม่เคยซื้อมาแต่งกับเค้าไม่รู้ทำแล้วมันดีขนาดไหน มีรถแรงก็ของให้ขับเท่าที่มันปลอดภัยครับ
อิอิ
-
ถ้าตัวเลขตามด้านบน ผมไม่แน่ใจว่า ตัวเลขของเครื่อง 2.0 เอามาจาก CX3 หรือเปล่า ...
แต่ถ้าใช่ CX3 ถ้าวัดกันทั้งทางตรงและทางโค้ง ยังไง city ใหม่ก็สู้ไม่ได้ครับ โดนตั้งแต่ต้นยันปลายบอกเลย ...
และถ้าสุ้กันแบบสายมุด City ยังไงก็ไม่ทันครับ ถ้าคนขับ CX3 เล่นเกียร์เองจับจังหวะเข้าออกได้ถูกต้อง ซึ่ง CVT มันทำไม่ได้ .....
อันนี้ ผม รอ ดู รีวิว ทดลองขับ เลยครับ
หลายคนอาจจะคิดว่า 122 แรงม้านั้น มันคงแรงมากๆจนใกล้เคียงหรือมากกว่า C-segment เครื่อง 2.0
แต่เรามาวิเคราะตามหลักความจริงครับ ด้วยกรอบของ Ecocar เฟส2 ที่กำหนดไว้ว่า
1.ประหยัดน้ำมันไม่ต่ำกว่า 23.25 km/l
2.ต้องปล่อย CO2 ไม่เกิน 100g/km
ขนาด Civic turbo ยังปล่อยไอเสียที่ 134g/km เลย ส่วน CX3 ปล่อยไอเสียที่ 145g/km
แล้วมันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนครับ กับรถที่ต้องประหยัดเบอร์นี้และปล่อยไอเสียไม่เกิน 100g ....
ผมกลัวแต่ว่า 122แรงม้า จะเป็นเพียงตัวเลขการตลาด ที่เวลาวิ่งจริงมันอาจจะไม่มากมายอย่างที่ใครคิดก็ได้นะ ...
โดยรวม city อาจจะมีกำลังเครื่องมากที่สุดในกลุ่ม แต่ผมว่ามันคงไม่ถึงขนาดใกล้เคียง civic 1.8 หรือแม้แต่ CX3 แน่ๆครับ
ขี้เกียจพิมพ์ เอาของเก่ามาแปะละกัน
- City G4/G5 และ Civic FC 1.8 ใช้อัตราทดเพืองท้าย 4.992 เท่ากัน
- City SV+ G4 หนัก 1,102 kg City RS G5 หนัก 1,165 kg Civic 1.8 EL FC หนัก 1,237 kg
- แรงบิด City G4 146 N.m@4,700 rpm City G5 173 N.m@2,000-4,500 rpm Civic 1.8 FC 174 N.m@4,300 rpm
จากข้อมูลดังกล่าว ผมขอเดาว่าอัตราเร่งไม่เป็นรอง Civic FC 1.8 แน่นอน แต่ CX3 นี่ผมคิดว่า CX3 ยังเหนือกว่านิดๆ แต่ถ้าเซ็ตมาแบบอมๆ เน้นประหยัด อาจแรงกว่า 1.5 เดิมแค่นิดหน่อยก็ได้ แต่แรงกว่าเดิมแน่นอน
-
แรงดีแน่นอน ดูแอคคอร์ด 1.5T บอดี้พอๆกัน รุ่นเดียวกัน แค่คนล่ะ Gen
ขึ้นไปงัดกับ 2.4 ลิตร Gen ก่อนได้แล้ว
เครื่อง 1.8 น่าจะโดน 1.0T ดันยาวๆ จนถึงตีนปลายถึงจะเอาคืนได้
ยิ่งคนทั่วๆไปกดคันเร่งกัน 30-40% จะรู้สึกว่ามันทันอกทันใจ
เหมือนพวกขับฟอร์จูนเนอร์แล้วชอบชมว่าแรงดี เพราะแรงบิดมากองตั้งแต่ต้น (โบเล็ก รอบมาไว)
แต่พอกดเต็มๆแล้วเหี่ยว สู้โบใหญ่ไม่ได้
แต่ยังไงก็ตาม การเก็บเสียง ช่วงล่าง น้ำหนักตัว ความนุ่มนวล C-Seg น่าใช้กว่าอยู่ดี
-
ในการใช้งานจริง เราไม่ได้มองแค่อัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง เท่านั้นนะครับ
ความสบายของเบาะ การเก็บเสียง การทรงตัว ระบบเบรค พวกนี้มักจะไปตามราคาของรถครับ ในเมืองรถเล็กคล่องตัวจริง แต่เดินทางไกลยังไงรถใหญ่ก็สบายกว่า เพลียน้อยกว่าครับ
ใช่ครับ วิ่งทางยาวๆรถใหญ่ได้เปรียบกว่าเยอะ ไม่เหนื่อยครับ
-
ขับในเมือง 1.0T คงปรุ๊ดปร๊าดกว่า เป็นธรรมดา บูสมาไว แถมน้ำหนักเบา รถคันเล็กคล่องคตัวกว่าอีกต่างหาก
แต่ถ้าขับ ตจว แบบผม คันใหญ่ ได้เปรียบเรื่องการโดยสาร ความสบายในการขับ รวมถึงความเครียดตอนขับยาวๆด้วยครับ
-
ถ้าใช้งานคนเดียว ในเมือง ผมก็คงใช้รถเล็กๆ เหมือนกันครับ ยิ่งมี turbo ยิ่งดี ช่วยเวลาออกตัว
-
ขอตอบในฐานะที่ใช้รถ 2 seg นะครับ b seg ข้อดีในเรื่อง ขนาดความกว้างตัวถังเล็กกว่าทำให้ซอกแซกง่าย เปลี่ยนเลนไว ที่สำคัญประหยัดน้ำมัน
ส่วน c seg ข้อดี เรื่องความมั่นคงในความเร้วสูง การเก็บเสียง การซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน
ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้ เนื่องมาจาก หน้ายาง ขนาดรถ น้ำหนักรถ ช่วงล่าง ที่แตกต่างกัน
ปล. สุดท้ายยังงัยให้ผมเลือกรถ 2 seg ผมก็ยังคงเลือก c seg เพราะ การซับแรงสะเทือนที่ดีกว่าเป็นหลัก เพราะถนนที่ใช้ไม่ใช่ทางลาดยางทั้งหมด
ถนนเส้นเดียวกัน พอเปลี่ยนคัน อารมย์เปลี่ยนเลย คือ มันสบายกว่า มั่นคงกว่า ชัดเจน ส่วนต่าง 2-3 แสนที่เพิ่มขึ้นมา คุ้มค่าพอตัว
ซึ่งหากอนาคต มี b seg ตัวไหนที่แก้โจทย์นี้ได้ ผมก็จะเลือก เพราะความประหยัดน้ำมันก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยเหมือนกัน
ุ
-
ผมมองมองแบบนี้
เอาเฉพาะ Honda เลย ไม่ต้องอ้างอิงหรือ reference ใคร
เครื่อง 1.0T มาทีหลัง ดังนั้น ไปเทียบกับ 1.8 (R18) ก็คงไม่แฟร์ เท่าไหร่
ส่วน 1.0T แรงจริง แรงบิดมาไว ประหยัดจริง และ กระฉับกระเฉง เวลาใช้งาน
ส่วน 1.5T ใน Civic จากแรงม้า แรงบิด มันแทบจะเท่ากับ 2.4 (K24) ตัวก่อนเลย ซึ่งปกติแล้ว Civic ตัวท๊อป แต่ไหนแต่ไหรมา ได้เครื่องยนต์ที่ output พอๆ กับ ตัวเครื่องยนต์ 2.0 ไม่ใช่ 2.4 แต่ตัวนี้มาแรงมาก
เช่นเดียวกับ City 1.0T แรงม้าแรงบิดพอๆ 1.8 เลย(แรงม้าน้อยกว่าเล็กน้อย แต่แรงบิดนี่ซิไม่ธรรมดา) ที่ถือว่าแรงมาก
ดังนั้น ผมมองว่า ณ ปัจจุบัน รถแต่ละ seg ของ Honda แรงขึ้นแบบ อีก step นึงเลย ไม่ใช่เฉพาะ เครื่อง downsize แค่ cc เท่านั้น
-
ผมว่า B-Seg ได้แค่ความคล่องตัว ขับในเมืองผมยังมองว่า C-Seg ขับสบายกว่านะเพราะ กทม ถนนห่วย ขับ B-Seg ตึงตังกว่าชัดเจน
-
C-Seg แบบ Civic ยังไงก็ขับสบาย มั่นคงกว่า นุ่มนวลกว่า City ครับ
แต่เรื่องมุดดีนั่น ผมว่าเป็นข้ออ้างมากกว่า เพื่อที่จะหาข้อดีของรถเล็กมาคุยได้ งั้นผมก็ช่วยคิดได้ครับ นอกจากมุดดีกว่า คือ
- ประหยัดน้ำมันกว่า
- เบากว่า เข็นง่ายกว่า (พวกมาจอดซ้อน)
- ขับในเมืองง่ายกว่า ไม่ต้องกลัวหูช้างเกี่ยวกัน
- ล้างรถง่ายกว่า เหนื่อยน้อยกว่า ค่าล้างถูกกว่า
- จะไม่ค่อยโดนใบสั่งขับเร็วเกิน 120 เพราะ City แทบทุกโฉมขับ 120 ขึ้นไป แล้วหวิวมาก ต้องใจกล้าถึงจะขับเร็วๆ กว่า 120 แต่ Civic เหมือนจะนิ่งๆ ไปจนถึง 140
เรื่องความแรง 1.0 turbo กับ Civic 1.8 ผมว่าไม่ต่างกัน ไม่ขอเทียบว่าใครแรงกว่าใคร เพราะมีแต่คนมโนเท่านั้นแหละกับตัวเลข แรงม้า แรงบิด น้ำหนัก อัตราทด ไม่ดูขนาดยาง, ค่า Cd เทียบกันไปด้วยเลยหละ
ไม่ได้เป็นติ่ง Civic หรือ C-segment ครับ เพราะผมเองก็ใช้ทั้ง b, c-segment แต่ไม่น่าเอามาเทียบกันเลย
อยากแรงนิดๆ เล็ก คล่อง ประหยัด แต่เบาหวิวและปลิวๆ City
อยากสบายกว่า ปลอดภัยกว่า ขับทางไกลมั่นกว่าแบบชัดเจน Civic
-
C-Seg แบบ Civic ยังไงก็ขับสบาย มั่นคงกว่า นุ่มนวลกว่า City ครับ
แต่เรื่องมุดดีนั่น ผมว่าเป็นข้ออ้างมากกว่า เพื่อที่จะหาข้อดีของรถเล็กมาคุยได้ งั้นผมก็ช่วยคิดได้ครับ นอกจากมุดดีกว่า คือ
- ประหยัดน้ำมันกว่า
- เบากว่า เข็นง่ายกว่า (พวกมาจอดซ้อน)
- ขับในเมืองง่ายกว่า ไม่ต้องกลัวหูช้างเกี่ยวกัน
- ล้างรถง่ายกว่า เหนื่อยน้อยกว่า ค่าล้างถูกกว่า
- จะไม่ค่อยโดนใบสั่งขับเร็วเกิน 120 เพราะ City แทบทุกโฉมขับ 120 ขึ้นไป แล้วหวิวมาก ต้องใจกล้าถึงจะขับเร็วๆ กว่า 120 แต่ Civic เหมือนจะนิ่งๆ ไปจนถึง 140
เรื่องความแรง 1.0 turbo กับ Civic 1.8 ผมว่าไม่ต่างกัน ไม่ขอเทียบว่าใครแรงกว่าใคร เพราะมีแต่คนมโนเท่านั้นแหละกับตัวเลข แรงม้า แรงบิด น้ำหนัก อัตราทด ไม่ดูขนาดยาง, ค่า Cd เทียบกันไปด้วยเลยหละ
ไม่ได้เป็นติ่ง Civic หรือ C-segment ครับ เพราะผมเองก็ใช้ทั้ง b, c-segment แต่ไม่น่าเอามาเทียบกันเลย
อยากแรงนิดๆ เล็ก คล่อง ประหยัด แต่เบาหวิวและปลิวๆ City
อยากสบายกว่า ปลอดภัยกว่า ขับทางไกลมั่นกว่าแบบชัดเจน Civic
แค่เลย 90 ก็หวิวแล้ว
-
มีใครได้ขับ city 1.0T ยังครับ ...
0-100 จับเวลากันได้เท่าไรอะ ที่ว่าแรงๆเนี่ย ...
-
มีใครได้ขับ city 1.0T ยังครับ ...
0-100 จับเวลากันได้เท่าไรอะ ที่ว่าแรงๆเนี่ย ...
เครื่องตัวนี้ หากไม่ถูกลดกำลัง เพื่อบ้านเรา
มันก็ 1.8 ดีๆ นี่เองครับ แรงกว่าอีก
รอดู ผลทดสอบ แต่ดูจากแรงบิด และ น้ำหนักรถ บอกเลย แรงกว่า ซิตี้ตัวเดิมแน่นอน
-
อนาคตจะไม่มีการแบ่งแยกเซ็กเมนต์เป็น B และ Eco Car อีกแล้วเพราะ City ใหม่กินรวบทั้งสองกลุ่ม และอาจสะเทือนไปถึง C Segment รุ่นที่มีขนาดบอดี้ใกล้เคียงกัน
-
1.0 บล็อคนี้ก็วางอยู่ในcivic ตัวนอกนะ จูนแค่สเตจ1 ได้150แรงม้าสบายๆ แรงบิด220-250 ถ้า1.5-1.8naต้องทำขนาดไหนถึงได้ม้าขนาดนี้ ยิ่ง1.0ของฟอร์ด เมืองนอกจูนกันได้170ม้า ยิ่งอัพเทอร์โบ อินเตอร์ ท่อ ได้200กว่าม้า
-
มีใครได้ขับ city 1.0T ยังครับ ...
0-100 จับเวลากันได้เท่าไรอะ ที่ว่าแรงๆเนี่ย ...
อาทิตย์หน้ารู้กันครับ มีคนไปขับแน่ๆ ผมเดาว่า 10.5 วินาที
ไม่คุณก็ผมนี่แหละ ที่หน้าแหกแน่ๆ 55
-
1.0 บล็อคนี้ก็วางอยู่ในcivic ตัวนอกนะ จูนแค่สเตจ1 ได้150แรงม้าสบายๆ แรงบิด220-250 ถ้า1.5-1.8naต้องทำขนาดไหนถึงได้ม้าขนาดนี้ ยิ่ง1.0ของฟอร์ด เมืองนอกจูนกันได้170ม้า ยิ่งอัพเทอร์โบ อินเตอร์ ท่อ ได้200กว่าม้า
อยากรู้จังว่าเกียร์ cvt ตัวนี้รับได้เท่าไร ใครเห็นสเปคเกียร์ แล้วบ้างครับเนี่ย
-
ใครใช้ 1.8 NA อยู่แล้วถูกเจ้า 1.0T มารั้งท้าย ก็มาเล่นแรงทางลัดด้วยเทอร์โบไฟฟ้าได้ครับ
ในคลิปนี่แค่ step ไฟ24V เดี่ยวมีเวอร์ชั่นไฟ 48V ออกมาบู๊ช 3-4 psi ได้ ที่เหลือก็พ่วงกล่อง หรือ รีแมพต่ออีกนิด แค่นี้ก็แรงบิดเพิ่ม มีดึงยาวๆแล้วครับ
https://youtu.be/ZwclBM_OLik
-
มีใครได้ขับ city 1.0T ยังครับ ...
0-100 จับเวลากันได้เท่าไรอะ ที่ว่าแรงๆเนี่ย ...
อาทิตย์หน้ารู้กันครับ มีคนไปขับแน่ๆ ผมเดาว่า 10.5 วินาที
ไม่คุณก็ผมนี่แหละ ที่หน้าแหกแน่ๆ 55
เดา ว่า < 10.0 วินาที
80-120 < 7.5 วิ
-
อยากเห็นว่า 1.0 โบ ที่ 120 รอบเครื่องจะอยู่ปามานที่เท่าไหร่
1.5-1.6 บีเซกเมนท์ อยู่ที่ราวๆ 3000 รอบ
ถ้า1.0 โบ รอบใช้แค่2500 นั่นก็แสดงว่าแรงยังเหลืออีกเยอะเลย
-
แค่ jazz GE MT ผมก็ว่ามันก็ไล่ C-seg มันส์แล้วนะ
รถมันเล็ก มันให้ความรุ้สึกคล่อง ความสะเทือน เสียงเครื่อง เสียงถนน ยิ่งทำให้ดูเร็วขึ้น 5 5 5 (แต่ถ้าวัดเป็นตัวเลข อาจจะไม่เร็วเท่าไหร่ )
ps. โบมัน set flat torque....จะเหยียบไป 6000 รอบ ก็ไม่ได้แรงขึ้นแต่อย่างไร
-
มีใครได้ขับ city 1.0T ยังครับ ...
0-100 จับเวลากันได้เท่าไรอะ ที่ว่าแรงๆเนี่ย ...
อาทิตย์หน้ารู้กันครับ มีคนไปขับแน่ๆ ผมเดาว่า 10.5 วินาที
ไม่คุณก็ผมนี่แหละ ที่หน้าแหกแน่ๆ 55
คำตอบออกมาแล้วนะคับ สรุปว่าคุณนั่นแหละ ที่หน้าแหก 55
-
ใครหว่า เดาแม่นมาก
นี่เค้าทดสอบ คร่าวๆ
ถ้า HLM เอาตัวรองซึ่งเบากส่านี้ มาทดสอบ เหมือนเดิม
ผมว่าต่ำกว่า 10.5 แน่นอน
เอาไป reflash
9.X วิ แน่นอน