Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: nl2br ที่ ธันวาคม 12, 2019, 08:46:38

หัวข้อ: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: nl2br ที่ ธันวาคม 12, 2019, 08:46:38
กระทู้นี้แวะมาเล่าประสบการณ์ dpf พัง ของมาสด้า 2 ดีเซล ที่ทำให้ต้องตัดสินใจระเบิดมันทิ้ง

ปกติอาการมาสด้า 2 ดีเซลยอดฮิตก็คือเครื่องสั่นที่ความเร็วประมาณ 80 kmh ซึ่งรถผมเคยมีอาการนี้เมื่อช่วง 70km (ตอนนี้ไมล์รถ 100k)
แล้วมันก็หายไปไม่เป็นอีกเลย ช่วงที่มีอาการก็เปลี่ยนน้ำมันมาเติม พรีเมี่ยม ซึ่งก็หายจากอาการรถสั่น

จนกระทั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พาครอบครัวกลับจากต่างจังหวัด กำลังจะขึ้นทางด่วนตรงหลัง มธ.
ขณะนั้น มีรถสอนขับรถ คิดว่ากำลังสอนกันบนถนนจริง วิ่งอยู่เลนซ้ายช่วงขึ้นสะพาน
ผมก็กำลังเร่งแซง จังหวะนั้น รถกระตุก รุนแรงมาก พยายามกดคันเร่งให้ลึกมากยิ่งขึ้นก็ยิ่งกระชาก
มองความเร็ว 60kmh รอบเครื่องสวิง และมีรถคันหลังตามมาอีกเพียบ (ช่วงเวลา 18.00) จะหลบซ้ายก็ไม่ได้เพราะติดรถที่หัดขับอยู่
รถก็เร่งไม่ขึ้น คันหลังก็บีบแตรรัวๆ เลยต้องเปิดไฟฉุกเฉินผ่อนคันเร่งลง เพื่อลดอาการกระตุก

ผ่านพ้นช่วงวิกฤต หลังจากขึ้นทางด่วนมาก็ลองทำความเร็ว รถวิ่งได้ถึง 90kmh แต่มีอาการกระตุกเบา เหมือนรถที่ขับไปยกคันเร่งไป
จนทำให้คุณเมียถึงกับเมารถ

อาการที่ตามมาคือ รถซดน้ำมัน ที่ความเร็ว 80-90 ขึ้นอัตราบริโภค 10L/100km ใช่ฮะ 10กิโลลิตร เหมือนระบบพยายามฉีดน้ำมันเพื่อให้ DPF มันพยายามทำงานคืนให้ได้

ที่หน้าปัดไม่มีไฟเครื่องเตือนแต่อย่างใด เป็นแบบนี้จนถึงที่หมาย ... เมียบ่นซิครับ

วันถัดมา ผมยังไมไ่ด้เอารถไปเช็คอาการต่อ เพราะต้องเอาไป ตจว เพื่อส่งแม่ผมกลับบ้านที่ ตจว อีกรอบ
คราวนี้ รถยังพอวิ่งได้ แต่กดเร่งแซงไม่ได้ ต้องค่อย ๆ กดคันเร่งเพื่อให้สมูธที่สุด รถยังคงมีอาการเดิมคือบริโภคน้ำมัน 10kml ที่ความเร็วประมาณ 80km
หลังจากขับไปเกือบๆ 300 กว่าโล ไฟเครื่องก็โผล่มา พร้อมกับ สัญลักษณ์ DPF กระพริบ

รถกลับมาวิ่งได้ปกติ และอัตราบริโภคน้ำมันที่ดีขึ้นชัดเจน สามารถเร่ง ไปที่ความเร็ว 140 ได้ โดยที่อัตราบริโภคน้ำมันยังอยู่ในเลข 5.x/100km

เข้าใจว่าพอระบบมันเช็คว่า DPF ผิดปกติและปิดตัว DPF ออกไป ทำให้รถวิ่งดีขึ้นชัดเจน ไม่มีอากรสั่นแต่อย่างใด

ขากลับเข้า กทม วิ่งระยะทางเกือบๆ 500 km รถยังวิ่งดีเป็นปกติ

เลยต้องเบิกงบจากภรรยาว่า เมียจ๋า ถ้าไม่อยากเมารถก็เซนอนุมัติงบสัก 15000 มาซ่อมรถนะคะ

หลังจากถอด dpf และเปลี่ยนของเหลว น้ำมันเครื่อง เกียร์ กรองดีเซล รถวิ่งดีขึ้นชัดเจน คันเร่งเบา กดเป็นมา และกินน้ำมันน้อยลงมาก

ใจจริงผมก็อยากซ่อมเจ้า DPF แต่พอเช็คราคาซ่อมจากทาง 0 ราคา x2 ของการระเบิดมันทิ้ง เลยต้องยอมเป็นคนไม่รักษ์โลก ต้องขออภัยทุกท่านด้วยครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: StruckleP ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:01:35
ผมก็เคยครับตอนที่แฟนขับแล้วแฟนจะไปเขาค้อ เร่งแซงเกือบไม่รอดจนกลับมาคือแฟนขวัญผวามาก
ตอนนี้นางบอกว่าลาขาดรถญี่ปุ่น (ยกเว้น CHR)  แต่ผมยังไม่ตัดนะครับ

ตอนนี้คือในบ้านมีทั้งรถญี่ปุ่นและยุโรปแต่ตัวที่งอแงดันคือญี่ปุ่นโดยเฉพาะ Mazda 2 กับ CX5
จริงๆมี CX3 แต่ขายไปแล้วซ่อมไม่จบสักอย่างแล้วแคบมาก คอร์กี้อยู่ยังไม่อยากนั่งหลัง ทั้งๆที่คันอื่นนั่งได้หมด
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: apinui ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:02:13
จริงๆแล้ว บางทีถ้าพูดไปก็อาจจะไม่ดี แต่ใช้วิจารญาณแล้วกันนะครับ ..

คือเครืองดีเซลของ mazda เนี่ย สิ่งที่ผมแนะนำทุกคนที่ออกรถเลยคือ "อุด EGR "

ลูกค้าหลายคนที่เชื่อทำตามที่ผมแนะนำ ไม่ว่าจะ CX5 ร จนถึง M2 ไม่เคยมีใครมีปัญหาเรื่องนี้เลย ..

โดยเฉพาะ M2 ถ้าไม่อุด EGR คราบเขม่าเหนียวจะอัดแน่นอยู่ในท่อ ID ที่มี intercooler อยู่ สะสมไปนานๆจะตัน อากาศไม่สามารถไหลผ่อนได้ และอาจทำให้ Interฯ รั่วได้ในอนาคตด้วยครับ ....

ส่วน DPF นั่น ถ้าเราอุด EGR แล้ว เขม่าที่ออกจากเครื่องจะน้อยลงมากๆ เพราะเครื่องยนต์เผาไหม้ได้หมดจด DPF จึงแทบจะไม่ได้ทำงานเลยครับ ...

แต่ถ้าปิดระบบ DPF แต่ไม่ถอดท่อ DPF และไม่อุด EGR เขม่าควันจะไปตันในรังผึ่งของ DPF ในระยะยาวครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: StruckleP ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:19:54
จริงๆแล้ว บางทีถ้าพูดไปก็อาจจะไม่ดี แต่ใช้วิจารญาณแล้วกันนะครับ ..

คือเครืองดีเซลของ mazda เนี่ย สิ่งที่ผมแนะนำทุกคนที่ออกรถเลยคือ "อุด EGR "

ลูกค้าหลายคนที่เชื่อทำตามที่ผมแนะนำ ไม่ว่าจะ CX5 ร จนถึง M2 ไม่เคยมีใครมีปัญหาเรื่องนี้เลย ..

โดยเฉพาะ M2 ถ้าไม่อุด EGR คราบเขม่าเหนียวจะอัดแน่นอยู่ในท่อ ID ที่มี intercooler อยู่ สะสมไปนานๆจะตัน อากาศไม่สามารถไหลผ่อนได้ และอาจทำให้ Interฯ รั่วได้ในอนาคตด้วยครับ ....

ส่วน DPF นั่น ถ้าเราอุด EGR แล้ว เขม่าที่ออกจากเครื่องจะน้อยลงมากๆ เพราะเครื่องยนต์เผาไหม้ได้หมดจด DPF จึงแทบจะไม่ได้ทำงานเลยครับ ...

แต่ถ้าปิดระบบ DPF แต่ไม่ถอดท่อ DPF และไม่อุด EGR เขม่าควันจะไปตันในรังผึ่งของ DPF ในระยะยาวครับ

ผมเคยคิดเรื่องถอดออกครับ แต่ที่บ้านทำเคมีรู้ผลอันตรายของ pm2.5 มากแต่มันก็กลัวจะมีปัญหากับชีวิตคนใช้รถ เหมือนกัน
ปล.เวลาไม่ได้อุดแล้วสตาร์ทนี่ค่า ฝุ่นละออกขึ้นแบบโหดมากสงสารน้องหมาในบ้านมากๆครับ แต่ก็กลัวคนเอาไปขับมีปัญหาตามมา
สุดท้ายจอดไว้รอจะขายให้เพื่อนที่เป็นเต๊นมารับไป
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: apinui ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:25:27
จริงๆแล้ว บางทีถ้าพูดไปก็อาจจะไม่ดี แต่ใช้วิจารญาณแล้วกันนะครับ ..

คือเครืองดีเซลของ mazda เนี่ย สิ่งที่ผมแนะนำทุกคนที่ออกรถเลยคือ "อุด EGR "

ลูกค้าหลายคนที่เชื่อทำตามที่ผมแนะนำ ไม่ว่าจะ CX5 ร จนถึง M2 ไม่เคยมีใครมีปัญหาเรื่องนี้เลย ..

โดยเฉพาะ M2 ถ้าไม่อุด EGR คราบเขม่าเหนียวจะอัดแน่นอยู่ในท่อ ID ที่มี intercooler อยู่ สะสมไปนานๆจะตัน อากาศไม่สามารถไหลผ่อนได้ และอาจทำให้ Interฯ รั่วได้ในอนาคตด้วยครับ ....

ส่วน DPF นั่น ถ้าเราอุด EGR แล้ว เขม่าที่ออกจากเครื่องจะน้อยลงมากๆ เพราะเครื่องยนต์เผาไหม้ได้หมดจด DPF จึงแทบจะไม่ได้ทำงานเลยครับ ...

แต่ถ้าปิดระบบ DPF แต่ไม่ถอดท่อ DPF และไม่อุด EGR เขม่าควันจะไปตันในรังผึ่งของ DPF ในระยะยาวครับ

ผมเคยคิดเรื่องถอดออกครับ แต่ที่บ้านทำเคมีรู้ผลอันตรายของ pm2.5 มากแต่มันก็กลัวจะมีปัญหากับชีวิตคนใช้รถ เหมือนกัน
ปล.เวลาไม่ได้อุดแล้วสตาร์ทนี่ค่า ฝุ่นละออกขึ้นแบบโหดมากสงสารน้องหมาในบ้านมากๆครับ แต่ก็กลัวคนเอาไปขับมีปัญหาตามมา
สุดท้ายจอดไว้รอจะขายให้เพื่อนที่เป็นเต๊นมารับไป

ถ้าไม่อยากให้มีควัน ให้อุด EGR ครับควันหายแน่นอน ... ส่วน DPF ถ้าอุด EGR แล้วไม่ต้องถอดครับ ...
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: ภูมิใจไหม? ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:25:51
ผมให้ความเห็นเรื่อง DPF ไม่ได้

แต่อยากให้พวกเราที่เข้ามาอ่าน หากเจอรถเสีย ผิดปกติอยู่ข้างหน้า

อย่าบีบแตรไล่เขาครับ

รถผมเคยติดไฟแดง แล้วมีอาการเข้าเกียร์ไม่ได้ เลยเปิดไฟฉุกเฉิน

พยายามจะเข็นรถ มีหลายคันที่บีบแตรไล่ผม

ทำให้ผมแค้นมาก ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: blitzpao ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:26:48
บอกลาเครื่องดีเซล Mazda ได้เลย  ผมว่าคนที่มีปัญหาควรรวมตัวกันฟ้องเหมือนตอน Ford แล้วละครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: blitzpao ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:39:22
ผมให้ความเห็นเรื่อง DPF ไม่ได้

แต่อยากให้พวกเราที่เข้ามาอ่าน หากเจอรถเสีย ผิดปกติอยู่ข้างหน้า

อย่าบีบแตรไล่เขาครับ

รถผมเคยติดไฟแดง แล้วมีอาการเข้าเกียร์ไม่ได้ เลยเปิดไฟฉุกเฉิน

พยายามจะเข็นรถ มีหลายคันที่บีบแตรไล่ผม

ทำให้ผมแค้นมาก ๆ ครับ

ผมว่ามารยาทขับรถคนไทยทรามขึ้นทุกวันเมือเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลย์ผมเคยลืมซื้อบัตรเข้า Motor Way เค้าเลยต้องจอดอยู่หน้าด่านไม่มีใครบีบแตรผมสักคัน
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: nl2br ที่ ธันวาคม 12, 2019, 09:40:42
บอกลาเครื่องดีเซล Mazda ได้เลย  ผมว่าคนที่มีปัญหาควรรวมตัวกันฟ้องเหมือนตอน Ford แล้วละครับ

คิดว่าอยู่ในขั้นตอนของศาลครับ เค้ารวมตัวจนฟ้องกันแล้วครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Arnan_td ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:02:01
กี่รอบกี่คนกี่ครั้ง โดนกระทืบกลับจากคนขาย ยังไม่เข็ดกันอีกหรอครับ ผมก็เคยเป็นหนึ่งในลูกค้า
รอบเดียว ไม่มีครั้งสองแล้ว รถเขาเหมือนผู้หญิงทำสวยมาแต่ ......
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Tom sawyer ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:07:37
บอกลาเครื่องดีเซล Mazda ได้เลย  ผมว่าคนที่มีปัญหาควรรวมตัวกันฟ้องเหมือนตอน Ford แล้วละครับ

คิดว่าอยู่ในขั้นตอนของศาลครับ เค้ารวมตัวจนฟ้องกันแล้วครับ
ระวังโดนฟ้องกลับกันเสียละ บริษัทนี้เค้าชอบเซอร์ไพรซ์ลูกค้าแปลกๆ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: NS ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:20:00
ผมเคยคิดที่จะออก CX5 2019 ดีเซล เพราะรถสวยอ็อพชัั่นเจ๋งและขับดีครับ  แต่่อ่านข้อมูลมาแค่มีปัญหากันพอสมควร พอบอกภรรยาว่ามีคนแนะนำให้อุด egr ภรรยาก็บอกว่าไม่เอา ไม่ชอบดัดแปลง กลัวสร้างมลพิษ แล้วถ้าศูนย์ตรวจพบประกันขาดด้วย เลยจำใจต้องลาจากด้วยความสียดาย
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: tongtom ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:22:17
ผมให้ความเห็นเรื่อง DPF ไม่ได้

แต่อยากให้พวกเราที่เข้ามาอ่าน หากเจอรถเสีย ผิดปกติอยู่ข้างหน้า

อย่าบีบแตรไล่เขาครับ

รถผมเคยติดไฟแดง แล้วมีอาการเข้าเกียร์ไม่ได้ เลยเปิดไฟฉุกเฉิน

พยายามจะเข็นรถ มีหลายคันที่บีบแตรไล่ผม

ทำให้ผมแค้นมาก ๆ ครับ


-*-*-*-* ใช่เลยครับ พี่งเจอวันหยุด ที่ผ่านมา ....โคโรน่า ST191 มั๊ง ตูดใหญ่ๆ เขาเปิดไฟผ่าหมาก ขับช้าๆ ชิดซ้ายก็ไม่ได้   ไอ้คนขับที่ไปด้วย ก็ด่าละ "ทำห่...อะไรของมัน " แล้วกระพริบไฟ(ไล่) เลยบอกมันไป รถเสียมั๊ง   พอกำลังกดแซงขึ้นไป เป็นลุงแก่ๆ กับ ป้า ขับอยู่แกก็ โบกมือผ่านกระจก มาให้แซง  ............. เลยสอนมันไปว่า "ไม่กลัวว่า  ไม่นึกว่า สักวัน เป็นพ่อแม่แก แล้วรถเสีย ก็มีไอ้พวกใจร้อน ไม่ดูไฟฯ ไม่สนใจบีบแตรไล่ เปิดไฟไล่บ้างหรอวะ "   มันก็หัวเราะ ...เออๆๆ




*******************ส่วนเรื่อง มาสด้า ดีเซล *********

ในหมู่บ้านมีคันนึง (ข้าราชการเกษียณเน้นเที่ยว) ที่รีแมพ แล้วบอกว่า ปิดEGR ปิดDPF  เรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุการณ์ กระตุกตอนไปอีสาน ช่วงลำตะคองที่สร้างทางอยู่ปีก่อน รถก็ติดๆ แกแก้ด้วยการ ใส่เกียร์ต่ำ แล้วลากรอบไปเลย  ประมาณ 2กิโลฯ หายไปตลอดทริป    แต่แกไม่วางใจแล้ว บอกว่า มันนึกจะมามันก็มา ... เพราะกลับมาเอาไปขึ้นลานจอดรถห้าง กระตุกๆ (อีกแล้ว) ทั้งๆ ที่ส่วนมาก ถ้าวิ่งทางยาวๆ แกจะพยายามให้เผาเขม่า ด้วยการลากเกียร์ (บ้าง) รอบสูงๆ บ้าง  รถไม่เคยมีปัญหาอะไร เชียร์ให้ผมซื้อ ตอนนี้แกเลย รีแมพ ปิดหมดเลย (แกเข้าใจว่ามันปิด ) ซึ่งผมไม่รู้ว่า ปิดได้จริงๆ ไหม
ผ่านมา 4หมื่นโล ได้แล้ว ยังไม่มีอะไร รถวิ่ง 1.7-1.8แสนแล้ว ส่วนมากออกต่างจังหวัด ...
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:28:44
มันไม่ใช่แค่ของค่ายนี้หรอกครับ ดูจากค่ายอื่นทั่วโลกก็มีปัญหากัน เนื่องจากเป็นระบบใหม่ที่เพิ่งมีเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหา เทคโนโลยีหลายอย่างกว่าจะแก้ไขจนนิ่งคงอีกนาน
เมืองนอกเค้าถึงได้ยกเลิกเครื่องดีเซลกันไง ส่วนบ้านเราถ้าลูกค้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้วก็จะหายไปจากตลาดเช่นเดียวกัน
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: 2k ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:30:45
ผมให้ความเห็นเรื่อง DPF ไม่ได้

แต่อยากให้พวกเราที่เข้ามาอ่าน หากเจอรถเสีย ผิดปกติอยู่ข้างหน้า

อย่าบีบแตรไล่เขาครับ

รถผมเคยติดไฟแดง แล้วมีอาการเข้าเกียร์ไม่ได้ เลยเปิดไฟฉุกเฉิน

พยายามจะเข็นรถ มีหลายคันที่บีบแตรไล่ผม

ทำให้ผมแค้นมาก ๆ ครับ

ผมว่ามารยาทขับรถคนไทยทรามขึ้นทุกวันเมือเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างมาเลย์ผมเคยลืมซื้อบัตรเข้า Motor Way เค้าเลยต้องจอดอยู่หน้าด่านไม่มีใครบีบแตรผมสักคัน

นิสัยคนไทยเรื่องขับรถทรามสมกับที่ได้ตำแหน่งสถิติอุบัติเหตุอันดับ1ของโลกจริงๆครับ เห็นชัดเจนว่ารถเสียยังบีบด่าน่าถอดร้องเท้าขว้างใส่รถมันจริงๆ  >:( แต่คนพวกนี้เก่งแค่ในรถเท่านั้นแหละให้ลงมาเจอหน้ากันจริงๆหงอไม่กล้าแม้สบตา  8)
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Sacrifice ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:57:05
ผมเคยจะเชียร์ พี่ ซื้อ Mazda 2 ดีเซล เพราะแรงเชียร์จากคนในเน็ต + ความเชื่อทีว่าเครื่อง Diesel ทนกว่า Benzine

โชคดีที่พี่ไม่เชื่อ ออก cx3 benzine ไป ก็ happy ดี
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: CHANOM ที่ ธันวาคม 12, 2019, 10:57:35
อ่านแล้วกลัวแทนเลยค่ะ ลองนึกภาพเลยว่า ถ้าเป็นตัวเอง เราคงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
.
.

นี้คือหนึ่งในสาเหตุที่เราตัดสินใจขาย Mazda 2 ของเราไปเหมือนกันค่ะ ทั้งๆที่เราเองก็อุด EGR ไปแล้ว
เราไม่มีความรู้ และ ไม่มีความสามารถมากพอ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องนี้ ^^"
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Newhang ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:16:34
โชคดีที่ผมไม่ซื้อดีเซล

ผมไม่เคยเชื่อว่าอาการมันจะหาย เจอกันตัวเจ็บแน่นอน
ตอนแรกในเว็บบอกเพราะน้ำมัน ผมบอกเลยว่าผมไม่เชื่อ
พอหลังๆ คนบอกเพราะ egr ผมก็ไม่เชื่อเช่นกัน
ตอนนี้คนบอก dpf ผมก็ไม่รู้นะ
แต่ไม่ซื้อน่ะดีแล้ว
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Stp ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:19:47
แน่ใจเหรอว่ายี่ห้ออื่นเขาก็เป็นกัน เป็นถึงขั้นเครื่องพังเนี่ยนะ DPF ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานรถติดๆ เขม่าก็อุดจนตัน เขามีน้ำยาชะล้างเพื่อให้กลับมาทำงานได้ปกติ ไม่ใช่เครื่องพังพินาศแบบนี้

เอาแค่ประเทศไทยก็มีรถยนต์ที่ติดตั้ง DPF มากว่า 10+ ปีแล้วนะครับ ถ้าเทียบรถญี่ปุ่นด้วยกัน Honda CR-V 1.6d ทำไมเขาไม่ป่วยจนเครื่องพัง

มันไม่ใช่แค่ของค่ายนี้หรอกครับ ดูจากค่ายอื่นทั่วโลกก็มีปัญหากัน เนื่องจากเป็นระบบใหม่ที่เพิ่งมีเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหา เทคโนโลยีหลายอย่างกว่าจะแก้ไขจนนิ่งคงอีกนาน
เมืองนอกเค้าถึงได้ยกเลิกเครื่องดีเซลกันไง ส่วนบ้านเราถ้าลูกค้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้วก็จะหายไปจากตลาดเช่นเดียวกัน
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: DriveOnly ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:23:49
cx3 ดีเซลผมจะเอาไงดีครับเนี่ย อายุ 3 ปีครึ่ง วิ่ง 4 หมื่นนิดๆ หลังจากเคลมกระจกข้างพับกางไม่ได้ (เหรื่อยมากๆ กว่าจะได้เคลม) ตอนนี้ เหมือนแอร์จะมีปัญหา เย็นฝั่งเดียว เดียวเย็นเดียวร้อน ยิ่งเจอรถติดนานๆ นี่ลมเย็นหายไปเลย

ขอถามละกันครับ cx3 ดีเซล ขายตอนนี้ได้เท่าไหร่  :'(
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:49:31
แน่ใจเหรอว่ายี่ห้ออื่นเขาก็เป็นกัน เป็นถึงขั้นเครื่องพังเนี่ยนะ DPF ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานรถติดๆ เขม่าก็อุดจนตัน เขามีน้ำยาชะล้างเพื่อให้กลับมาทำงานได้ปกติ ไม่ใช่เครื่องพังพินาศแบบนี้

เอาแค่ประเทศไทยก็มีรถยนต์ที่ติดตั้ง DPF มากว่า 10+ ปีแล้วนะครับ ถ้าเทียบรถญี่ปุ่นด้วยกัน Honda CR-V 1.6d ทำไมเขาไม่ป่วยจนเครื่องพัง

มันไม่ใช่แค่ของค่ายนี้หรอกครับ ดูจากค่ายอื่นทั่วโลกก็มีปัญหากัน เนื่องจากเป็นระบบใหม่ที่เพิ่งมีเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหา เทคโนโลยีหลายอย่างกว่าจะแก้ไขจนนิ่งคงอีกนาน
เมืองนอกเค้าถึงได้ยกเลิกเครื่องดีเซลกันไง ส่วนบ้านเราถ้าลูกค้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้วก็จะหายไปจากตลาดเช่นเดียวกัน
https://www.google.com/url?sa=t&source=web&rct=j&url=https://www.hypermiler.co.uk/dpf-diesel-particulate-filter/which-cars-have-the-most-dpf-problems&ved=2ahUKEwi1lPbjpa_mAhVrzjgGHRoJBJYQi5YDMBp6BAgPEA0&usg=AOvVaw1Dz6AlZdTKy8BPtzrix9Qy&cshid=1576126492811
https://www.jlmdpfdoctor.com/problems/
ของ crv ก็ลอง search ดูครับ ของเวบต้องห้าม
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Symphonic ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:53:57
จริงๆ อยากบอกว่า ถ้าต้องให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยการตัดอุปกรณ์ลดมลพิษออก
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉาวที่โกงค่ามลพิษเพื่ออัตราภาษีถูก แล้วขายถูกลง
จรรยาบรรณในการทำธุรกิจคืออะไรครับ

ขอถามลูกค้าในมุมกลับด้วยว่า ถ้าตัด EGR ตัด DPF ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
รถวิ่งดีไม่มีปัญหา แต่มลพิษสูง ภาษีสูง ตัวรถขายแพงขึ้นไปที่ 8-9 แสน
จะยังซื้อกันมั้ยครับ

แบบนี้เหมือนมันโกงสังคมยังไงไม่รู้สิครับ
เพราะพวกที่ต้องจูนลดกำลังลง เพื่อให้มลพิษผ่านแบบแน่นอน
กลับถูกลูกค้ามองว่าเครื่องไม่แรง ขับไม่สนุก
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: madboy ที่ ธันวาคม 12, 2019, 11:54:54
เรื่องรถเสียผมก็เคยเจอมาครับ จอดเสียอยู่เลนซ้าย เปิดฝากระโปรงหลังด้วยนะ ไฟฉุกเฉินก็เปิดอยู่ ก็ยังมีผู้มาต่อท้าย และบีบแตรไล่ นับสิบคัน ตลอดช่วงเวลาที่จอดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ ซึ่งมัน....ไม่โอเคจริงๆครับ  >:(
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: basterias ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:06:05
จริงๆ อยากบอกว่า ถ้าต้องให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยการตัดอุปกรณ์ลดมลพิษออก
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉาวที่โกงค่ามลพิษเพื่ออัตราภาษีถูก แล้วขายถูกลง
จรรยาบรรณในการทำธุรกิจคืออะไรครับ

ขอถามลูกค้าในมุมกลับด้วยว่า ถ้าตัด EGR ตัด DPF ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
รถวิ่งดีไม่มีปัญหา แต่มลพิษสูง ภาษีสูง ตัวรถขายแพงขึ้นไปที่ 8-9 แสน
จะยังซื้อกันมั้ยครับ

แบบนี้เหมือนมันโกงสังคมยังไงไม่รู้สิครับ
เพราะพวกที่ต้องจูนลดกำลังลง เพื่อให้มลพิษผ่านแบบแน่นอน
กลับถูกลูกค้ามองว่าเครื่องไม่แรง ขับไม่สนุก

+1
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: r0u0g0e0k ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:11:22
ปัญหาคือ  หลายคันอาการมาตั้งเเต่รถยังอยู่ในประกัน

ทีนี้ ใครจะกล้าไปดัดเเปลงตัดนุ่นอุดนี้ ก่อนรถหมดประกัน เพราะจะเป็นข้ออ้างในการไม่รับผิดชอบในปัญหาตัวรถ ใดๆทั้งสิ้น 

เพราะถึงไปดัดเเปลง ตัดนู่นอุดนี้เเล้ว ก็ยังไม่มีอะไรคอนเฟิม ว่าจะหมดปัญหา อย่างเช่น เรื่องน้ำดัน

ทีนี้ ถ้าไปดัดเเปลงเเล้ว รถเกิดมีปัญหาอะไรขึ้นมา หมดสิทเรียกร้องใดๆทั้งสิ้น
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bossa26 ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:12:34
จริงๆ อยากบอกว่า ถ้าต้องให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยการตัดอุปกรณ์ลดมลพิษออก
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉาวที่โกงค่ามลพิษเพื่ออัตราภาษีถูก แล้วขายถูกลง
จรรยาบรรณในการทำธุรกิจคืออะไรครับ

ขอถามลูกค้าในมุมกลับด้วยว่า ถ้าตัด EGR ตัด DPF ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
รถวิ่งดีไม่มีปัญหา แต่มลพิษสูง ภาษีสูง ตัวรถขายแพงขึ้นไปที่ 8-9 แสน
จะยังซื้อกันมั้ยครับ

แบบนี้เหมือนมันโกงสังคมยังไงไม่รู้สิครับ
เพราะพวกที่ต้องจูนลดกำลังลง เพื่อให้มลพิษผ่านแบบแน่นอน
กลับถูกลูกค้ามองว่าเครื่องไม่แรง ขับไม่สนุก
+100
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: tvm ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:26:42
ใจเย็นมากครับ รถมีปัญหาขนาดนั้น ผมไม่คิดจะเอาไป ตจว.ในวันถัดไปแน่ๆ
และวิธีแก้แบบเอาง่ายและประหยัดก็คงไปห้ามไม่ได้ แต่ถ้าประเทศทีมีการตรวจสภาพ การแก้ปัญหาง่ายๆ แบบนี้ก็ไม่น่าจะได้
โชคดีที่อยู่ในไทยครับ รอบหน้าใช้รถเบนซินละกันครับ จะได้หมดปัญหานี้ครับ

ว่าแต่ ในไทย ต้องตรวจสภาพและไอเสียรถไหมนะครับ ปกติเห็นหลักๆ แค่ขูดเลข
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Devil13 ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:33:23
จริงๆผมโทษ มาสด้านะ ไม่โทษDPF
กระบะดีเซล ใช้กันจนลูกบวช ไม่เห็นจะพังกันง่ายๆแบบนี้เลย  >:(
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Stp ที่ ธันวาคม 12, 2019, 12:55:33
เอาข่าวที่โมเดลจบตั้งแต่ปี 2012-2013 มาโพสต์เนี่ยนะ แถมเว็บที่บอกปัญหาเขาก็บอกวิธีแก้ปัญหาในการล้างระบบให้ว่าควรทำยังไง

เทียบกับข่าวฟ้องยี่ห้อนึงที่ DPF ทำเครื่องพังกันในหลายๆ ประเทศนี่คนละเรื่องเลย ไหนจะข่าวเรียกตรวจสอบชิ้นส่วนแต่ไทยเงียบอีก เคสยี่ห้ออื่นเขาไม่พังกันยกแผงขนาดนี้นะครับ

แน่ใจเหรอว่ายี่ห้ออื่นเขาก็เป็นกัน เป็นถึงขั้นเครื่องพังเนี่ยนะ DPF ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานรถติดๆ เขม่าก็อุดจนตัน เขามีน้ำยาชะล้างเพื่อให้กลับมาทำงานได้ปกติ ไม่ใช่เครื่องพังพินาศแบบนี้

เอาแค่ประเทศไทยก็มีรถยนต์ที่ติดตั้ง DPF มากว่า 10+ ปีแล้วนะครับ ถ้าเทียบรถญี่ปุ่นด้วยกัน Honda CR-V 1.6d ทำไมเขาไม่ป่วยจนเครื่องพัง

มันไม่ใช่แค่ของค่ายนี้หรอกครับ ดูจากค่ายอื่นทั่วโลกก็มีปัญหากัน เนื่องจากเป็นระบบใหม่ที่เพิ่งมีเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหา เทคโนโลยีหลายอย่างกว่าจะแก้ไขจนนิ่งคงอีกนาน
เมืองนอกเค้าถึงได้ยกเลิกเครื่องดีเซลกันไง ส่วนบ้านเราถ้าลูกค้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้วก็จะหายไปจากตลาดเช่นเดียวกัน
https://www.google.com/url?sa=t&source=web&rct=j&url=https://www.hypermiler.co.uk/dpf-diesel-particulate-filter/which-cars-have-the-most-dpf-problems&ved=2ahUKEwi1lPbjpa_mAhVrzjgGHRoJBJYQi5YDMBp6BAgPEA0&usg=AOvVaw1Dz6AlZdTKy8BPtzrix9Qy&cshid=1576126492811
https://www.jlmdpfdoctor.com/problems/
ของ crv ก็ลอง search ดูครับ ของเวบต้องห้าม
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kollove ที่ ธันวาคม 12, 2019, 13:08:21
ผมใช้อยู่ ดีเซล ปี15 ตอนแรกอุด egr ผ่านไป2ปี 150000 โลมีอาการกระตุกและเครื่องดับ ไปเข้าอู่นอกเช็คดูปรากฎว่า ใบเทอโบพังครับ ถามช่างบอกว่าน่าจะเพราะสาเหตุความร้อนแรงดันมันสะสมในระบบแคท เลยมีปัญหาย้อนไปที่เทอร์โบทำให้มันพังซึ่งอันตรายมากๆรถจะดับกลางอากาศได้ตลอด ผมเลยตัดสินใจให้ช่างตัดระบบแคทออกทั้งหมด ผลคือรถเร่งดีโล่งไม่มีปัญหาแต่ตอนสตาร์ทรถนี่มีควันอยู่บ้างแต่ไม่มากอยู่ที่ฝีมือช่างจูนระบบแต่เหม็นไอเสียมากครับไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อมแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจำยอมเพื่อให้รถใช้งานได้ต่อไป
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: punn ที่ ธันวาคม 12, 2019, 13:09:14
จริงๆ อยากบอกว่า ถ้าต้องให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยการตัดอุปกรณ์ลดมลพิษออก
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉาวที่โกงค่ามลพิษเพื่ออัตราภาษีถูก แล้วขายถูกลง
จรรยาบรรณในการทำธุรกิจคืออะไรครับ

ขอถามลูกค้าในมุมกลับด้วยว่า ถ้าตัด EGR ตัด DPF ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
รถวิ่งดีไม่มีปัญหา แต่มลพิษสูง ภาษีสูง ตัวรถขายแพงขึ้นไปที่ 8-9 แสน
จะยังซื้อกันมั้ยครับ

แบบนี้เหมือนมันโกงสังคมยังไงไม่รู้สิครับ
เพราะพวกที่ต้องจูนลดกำลังลง เพื่อให้มลพิษผ่านแบบแน่นอน
กลับถูกลูกค้ามองว่าเครื่องไม่แรง ขับไม่สนุก
+100

^100

จริงครับ สำหรับคนที่หลวมตัวซื้อมาแล้วแก้ให้พอใช้ได้
ก็ระวังสุขภาพร่างกายตัวเองดีๆ อันนี้ถ้าเสียแล้ว"ซ่อมแพง"กว่าเยอะครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: rotaryman ที่ ธันวาคม 12, 2019, 13:57:18
จริงๆ อยากบอกว่า ถ้าต้องให้ลูกค้าแก้ปัญหาด้วยการตัดอุปกรณ์ลดมลพิษออก
มันก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัทฉาวที่โกงค่ามลพิษเพื่ออัตราภาษีถูก แล้วขายถูกลง
จรรยาบรรณในการทำธุรกิจคืออะไรครับ

ขอถามลูกค้าในมุมกลับด้วยว่า ถ้าตัด EGR ตัด DPF ตั้งแต่ออกจากโรงงาน
รถวิ่งดีไม่มีปัญหา แต่มลพิษสูง ภาษีสูง ตัวรถขายแพงขึ้นไปที่ 8-9 แสน
จะยังซื้อกันมั้ยครับ

แบบนี้เหมือนมันโกงสังคมยังไงไม่รู้สิครับ
เพราะพวกที่ต้องจูนลดกำลังลง เพื่อให้มลพิษผ่านแบบแน่นอน
กลับถูกลูกค้ามองว่าเครื่องไม่แรง ขับไม่สนุก
อ่านแล้วมีเหตุผลดครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Left lane driver ที่ ธันวาคม 12, 2019, 14:10:39
อ่านแล้วปวดหัวแทนจริงๆ ทั้ง 2 และ CX5 เลย

จริงๆผมโทษ มาสด้านะ ไม่โทษDPF
กระบะดีเซล ใช้กันจนลูกบวช ไม่เห็นจะพังกันง่ายๆแบบนี้เลย  >:(

กระบะดีเซลที่ขายอยู่ตอนนี้เป็น Euro4 ครับ มีแค่ EGR
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: bungy ที่ ธันวาคม 12, 2019, 15:17:55
รถ เยอรมัน เป็นไหมครับ เห็นใช้ คอมเมนเรล เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nismo De Alpina ที่ ธันวาคม 12, 2019, 15:41:04
มาสด้าเป็นยี่ห้อที่ผมงงมากๆ ยิ่งโดนด่ายิ่งขายดี อืม...ผมทึ่งเลยนะ 
เพื่อนสนิทผมก็เพิ่งจัด Diesel ป้ายแดงมา 2 คัน เห็นมันก็มีความสุขดี
แต่อนาคตผมไม่รู้นะ ก็ได้แต่บอกไปแต่มันก็ไม่ได้แคร์อะไร บอกยอมเพราะรถสวย  ::)
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: V221 ที่ ธันวาคม 12, 2019, 15:54:24
รถ เยอรมัน เป็นไหมครับ เห็นใช้ คอมเมนเรล เหมือนกัน
เคยใช้S320CDI W221 วิ่งไปแสนกว่าโล เติมน้ำมันV Power Diesel ไม่เคยมีปัญหาเครื่องยนต์ยกเว้นขาเปิดปิดอากาศเสียครั้งเดียวก็ซ่อมจบ ส่วนVito 120CDI Euro5 ตัวที่แล้ววิ่งไป2แสนกว่าโล เติม V Power เหมือนกัน เจอปัญหาDPFตันทำให้น้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้นจากน้ำมันดีเซลที่ผสมลงไปครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Volta ที่ ธันวาคม 12, 2019, 16:34:53
กลุ่มคนใช้ Suv ดีเซล gen.1 เขารวมตัวกันฟ้องค่ายรถจนได้การรับประกันมา 1.8 แสนโล
ตอนนี้กำลังฟ้องรอบใหม่เพราะหลัง 1.8 แสนโลมันก็ดันอีก คือต้องการให้ขยายการรับประกันเพิ่มมากกว่านี้

แทนที่จะรวมตัวกันฟ้องค่ายรถ เพราะสินค้ามันบกพร่องและมีปัญหา
หลายๆคนยอมที่จะอุด ถอด ปิดระบบแทน
ถามว่าไอเสียที่ไม่ได้ผ่านการบำบัด มันจะส่งผลถึงใครมากที่สุด

ก็เจ้าของรถเองนั่นล่ะครับ ไม่ต้องไปห่วงคนอื่นหรอก
เช้ามาติดเครื่องยนต์ คนในบ้านก็ดมไอเสีย
จอดรถลงไปเอาของท้ายรถ เจ้าของรถก็ดมไอเสียกันไป
ใช้รถ 5 ปี ดมทุกวัน อนาคตไม่เป็นะเร็งก็ให้มันรู้ไป

คนที่เขาเดือดร้อนที่เขารวมตัวกันฟ้อง พวกเขาก็อยากจะถอด จะปิดระบบกัน
แต่ในเมื่อมันมีทางออกที่ดีกว่า ทำใมไม่ต่อสู้เพื่อให้ค่ายรถมันออกมารับผิดชอบแทนล่ะครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: alpha14 ที่ ธันวาคม 12, 2019, 16:41:22
มาสด้าเป็นยี่ห้อที่ผมงงมากๆ ยิ่งโดนด่ายิ่งขายดี อืม...ผมทึ่งเลยนะ 
เพื่อนสนิทผมก็เพิ่งจัด Diesel ป้ายแดงมา 2 คัน เห็นมันก็มีความสุขดี
แต่อนาคตผมไม่รู้นะ ก็ได้แต่บอกไปแต่มันก็ไม่ได้แคร์อะไร บอกยอมเพราะรถสวย  ::)
นั่นสินะยอดขายก็ยังไปเรื่อยๆ คนก็หลวมตัวเพราะมันสวยนี่แหละ ผมเห็นก็ยังชอบ บางคนไม่ได้ศึกษาให้ดีก่อนซื้อก็ซวยไปครับ ออกตจว.ขึ้นเขานี่น่ากลัวตายกลางทาง
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: PorrMacKenna ที่ ธันวาคม 12, 2019, 16:47:38
เครื่องดีเซลเค้าควบคุม NOx (nitrogen oxide) กับ Particulate Matter (ฝุ่น)
ถ้าเผาไหม้อุณหภูมิสูง PM จะต่ำ NOx จะสูง
ถ้าเผาไหม้อุณหภูมิต่ำ PM จะสูง NOx จะต่ำ

บริษัทรถยนต์ก็เลยเลือกว่า เอางี้ละกัน ทำให้ NOx มันต่ำๆ แล้วไปจัดการ PM ด้วย DPF
แล้ว NOx ต่ำๆ ทำไง ทางนึงคือใช้ EGR เอาไปเสียมาเผาไหม้อีกรอบ ให้ไอเสียตัวอื่นมันดีก่อน

DPF มันทำหน้าที่กักฝุ่นเอาไว้ พักนึงค่อยเผาทิ้งเป็นรอบๆ ไป ระบบนี้อยู่รอดจนถึง Euro 5

พอ Euro 6 มันคุมทั้งปริมาณ และขนาดฝุ่นด้วย เลยต้องมี SCR มาจัดการ NOx ที่จะอยู่รอดมาจากเครื่องยนต์
รถยนต์ที่ต้องเติมยูเรีย (AdBlue) คือกรณีนี้ทั้งหมด

แน่นอน อุด EGR ถอด DPF เครื่องทำงานง่ายกว่าแน่นอน แต่ NOx กับ PM จะไม่ถูกจัดการ และส่งออกมาในสิ่งแวดล้อมเต็มๆ

ถ้าไม่อยากดูแล EGR กับ DPF แนะนำว่าอย่าใช้รถดีเซลครับ คุณกำลังทำร้ายเพื่อนร่วมโลกคุณอยู่
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Fly to dream ที่ ธันวาคม 12, 2019, 16:51:26
หรือต้องมี adblue​ มาช่วยแบบรถ​ยุโรป​ถึงจะไม่​เป็น?
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: GOBBS ที่ ธันวาคม 12, 2019, 17:49:02
ผมตาม จขกท. อยู่เพราะเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน (รอลุ้น 2 เหมือนกัน)
จำได้ว่า จขกท. เติม B10/20 ด้วยรึเปล่าครับ บางทีผมว่าอาจจะเป็นตรงนั้นก็ได้นะ
ผมเล่าเคสผมให้ฟังละกัน รถผมเข้าศูนย์ตลอด ปกติเติมบางจาก euro5 วิ่งมาแสนสอง ไม่เจออะไรเลย(ลุ้นตลอด แต่ผมวิ่งแต่ทางไกล ไม่ค่อยวิ่ง กทม.)
ปลายเดือน 10 วิ่งลงไปพังงา น้ำมันหมดต้องไปเติมแถวนั้น ไม่ PTT/ก็บางจากนั่นละ ตัวธรรมดา(ไม่แน่ใจว่าน้ำมันภาคใต้ผสมน้ำมันปาล์มมากกว่าปกติรึเปล่านะ) วิ่งกลับมาสักประจวบ เป็นเรื่องเลย ไฟเตือนขึ้น เครื่องสั่นเล็กๆ แต่ประคองตัวกลับมา กทม.ได้ จอดบ้านขับต่อก็ยังได้แต่ไฟเตือนยังขึ้นอยู่
เข้าศูนย์ ศูนย์จัดการล้างพอร์ทข้างใน เช็คล้างระบบ EGR DPF จบด้วยราคา 800บาท(ตามค่าแรงชม.ละ800สุดโหด)...ขับปกติ แต่ก็คิดๆเรื่องจะเปลื่ยนรถแล้วละนะ
........................................
จริงๆถ้าเข้าศูนย์ตลอด จะมีบางรอบที่มีโปรแกรมเช็คและล้าง DPF เพิ่มมาให้จากเช็คปกตินะครับ ไม่แน่ใจว่าบางศูนย์หรือทุกที่ทำให้นะ แต่ตอนเรื่องมาเยอะๆเนี่ย มีทำให้หนนึงนะ
ปล.ผมโลกสวย  ;D
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Aleister TJ ที่ ธันวาคม 12, 2019, 18:27:48
2​ ดีเซลคันเล็กในบ้านผม​ 42,000​ โลล่ะ​ ยังปกติชิวๆ​ เดี๋ยวแคปกระทู้นี้ให้เมียอ่านดีกว่า​ หาเรื่องเปลี่ยนรถ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ ธันวาคม 12, 2019, 18:45:54
เอาข่าวที่โมเดลจบตั้งแต่ปี 2012-2013 มาโพสต์เนี่ยนะ แถมเว็บที่บอกปัญหาเขาก็บอกวิธีแก้ปัญหาในการล้างระบบให้ว่าควรทำยังไง

เทียบกับข่าวฟ้องยี่ห้อนึงที่ DPF ทำเครื่องพังกันในหลายๆ ประเทศนี่คนละเรื่องเลย ไหนจะข่าวเรียกตรวจสอบชิ้นส่วนแต่ไทยเงียบอีก เคสยี่ห้ออื่นเขาไม่พังกันยกแผงขนาดนี้นะครับ

แน่ใจเหรอว่ายี่ห้ออื่นเขาก็เป็นกัน เป็นถึงขั้นเครื่องพังเนี่ยนะ DPF ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานรถติดๆ เขม่าก็อุดจนตัน เขามีน้ำยาชะล้างเพื่อให้กลับมาทำงานได้ปกติ ไม่ใช่เครื่องพังพินาศแบบนี้

เอาแค่ประเทศไทยก็มีรถยนต์ที่ติดตั้ง DPF มากว่า 10+ ปีแล้วนะครับ ถ้าเทียบรถญี่ปุ่นด้วยกัน Honda CR-V 1.6d ทำไมเขาไม่ป่วยจนเครื่องพัง

มันไม่ใช่แค่ของค่ายนี้หรอกครับ ดูจากค่ายอื่นทั่วโลกก็มีปัญหากัน เนื่องจากเป็นระบบใหม่ที่เพิ่งมีเป็นธรรมดาที่จะต้องเจอปัญหา เทคโนโลยีหลายอย่างกว่าจะแก้ไขจนนิ่งคงอีกนาน
เมืองนอกเค้าถึงได้ยกเลิกเครื่องดีเซลกันไง ส่วนบ้านเราถ้าลูกค้าไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีการพัฒนาต่อ แล้วก็จะหายไปจากตลาดเช่นเดียวกัน
https://www.google.com/url?sa=t&source=web&rct=j&url=https://www.hypermiler.co.uk/dpf-diesel-particulate-filter/which-cars-have-the-most-dpf-problems&ved=2ahUKEwi1lPbjpa_mAhVrzjgGHRoJBJYQi5YDMBp6BAgPEA0&usg=AOvVaw1Dz6AlZdTKy8BPtzrix9Qy&cshid=1576126492811
https://www.jlmdpfdoctor.com/problems/
ของ crv ก็ลอง search ดูครับ ของเวบต้องห้าม
ผมแค่ยกตัวอย่างมาให้ดูครับ อย่างคลิปนี้เค้าก็ยังต้องเอา dpf ออกเลย (แต่ก็งงอยู่นะ บ้านเราไม่ค่อยพูดถึงยี่ห้ออื่นกันเพราะอะไร ทั้งที่ผมไม่เห็นว่ายี่ห้ออื่นเค้าจะมีระบบพิเศษอะไรเพิ่มมาเลย แต่จริงๆปัญหามักจะเกิดขึ้นที่แสนโล อาจเป็นเพราะมาสด้าเกิดง่ายกว่าชาวบ้าน ยังไม่ถึงแสนโลก็เจอปัญหาแล้ว)
https://www.youtube.com/watch?v=JSun5zpaCA4
เรื่องการล้าง dpf ให้ลูกค้า ผมก็ไม่รู้ว่ามาสด้าเค้าทำมั้ยเพราะผมไม่ได้ใช้มาสด้า ถ้าไม่มีก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะดูจากลิงค์นี้ได้
https://www.rac.co.uk/drive/advice/emissions/diesel-particulate-filters/
แค่ active regen จากตัวรถ(ระบบฉีดน้ำมันเพิ่ม) หรือ passive regen (ขับที่ความเร็วมากกว่า 40 mph 30 นาที) ก็ยังมีโอกาสอุดตัน ที่สำคัญพวกรถ city car เค้าไม่นิยมใช้เครื่องดีเซลกันเพราะความเสี่ยงที่จะอุดตันมันสูงเนื่องจากไม่ได้ใช้ความเร็วในการขับ

บางประเทศเค้ามีกฎห้ามทำลาย dpf เพราะจะโดนปรับแต่เราไม่มี แล้วร้านไหนรับล้าง dpf บ้างผมก็ไม่เคยได้ยิน ทำให้ลูกค้าต้องมาแก้ด้วยการระเบิดกัน ซึ่งมันก็มีผลต่อสิ่งแวดล้อมอีก แต่ก็เข้าใจได้เพราะมันไม่มีทางออก ไม่งั้นก็ต้องแก้โดยเลิกใช้เครื่องดีเซล หรือเรียกร้องให้มีการล้างระบบเมื่อเช็คระยะทุกกี่โลก็ว่ากันไป หรืออู่นอกก็ควรมีบริการล้าง dpf ไม่ใช่มีแค่บริการระเบิด dpf (แต่เจ้าของรถอาจขี้เกียจล้างด้วยรึป่าว มองว่าเป้นภาระ เลยระเบิดเอาง่ายกว่า)
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: wa330 ที่ ธันวาคม 12, 2019, 18:56:08
ต้นกำเนิดพวก อุดegr ทะลวงแคท ถ้าผมจำไม่ผิดก็คนเยอรมันนี้ละ
รถvolk TDI เกือบยี่สิบปีได้แล้ว พวกฝรั่งตัวดีเลยเรื่องdiy
ไอ้กันรถเบนซิลมันยังอุดegr ดีเซลไม่ต้องพูดถึงเรื่องควันดำมันที่1ของโลก
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ ธันวาคม 12, 2019, 19:07:33
เพิ่งเห็นว่าเคยคุยเรื่องล้าง dpf กันแล้ว ตกลงว่าล้างแล้วยังมีปัญหากันเหรอครับ แสดงว่าปัญหาเครื่องพังเป็นจากอย่างอื่นรึป่าว
https://community.headlightmag.com/index.php?topic=64560.0
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: nl2br ที่ ธันวาคม 12, 2019, 20:34:09
ผมตาม จขกท. อยู่เพราะเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน (รอลุ้น 2 เหมือนกัน)
จำได้ว่า จขกท. เติม B10/20 ด้วยรึเปล่าครับ บางทีผมว่าอาจจะเป็นตรงนั้นก็ได้นะ
ผมเล่าเคสผมให้ฟังละกัน รถผมเข้าศูนย์ตลอด ปกติเติมบางจาก euro5 วิ่งมาแสนสอง ไม่เจออะไรเลย(ลุ้นตลอด แต่ผมวิ่งแต่ทางไกล ไม่ค่อยวิ่ง กทม.)
ปลายเดือน 10 วิ่งลงไปพังงา น้ำมันหมดต้องไปเติมแถวนั้น ไม่ PTT/ก็บางจากนั่นละ ตัวธรรมดา(ไม่แน่ใจว่าน้ำมันภาคใต้ผสมน้ำมันปาล์มมากกว่าปกติรึเปล่านะ) วิ่งกลับมาสักประจวบ เป็นเรื่องเลย ไฟเตือนขึ้น เครื่องสั่นเล็กๆ แต่ประคองตัวกลับมา กทม.ได้ จอดบ้านขับต่อก็ยังได้แต่ไฟเตือนยังขึ้นอยู่
เข้าศูนย์ ศูนย์จัดการล้างพอร์ทข้างใน เช็คล้างระบบ EGR DPF จบด้วยราคา 800บาท(ตามค่าแรงชม.ละ800สุดโหด)...ขับปกติ แต่ก็คิดๆเรื่องจะเปลื่ยนรถแล้วละนะ
........................................
จริงๆถ้าเข้าศูนย์ตลอด จะมีบางรอบที่มีโปรแกรมเช็คและล้าง DPF เพิ่มมาให้จากเช็คปกตินะครับ ไม่แน่ใจว่าบางศูนย์หรือทุกที่ทำให้นะ แต่ตอนเรื่องมาเยอะๆเนี่ย มีทำให้หนนึงนะ
ปล.ผมโลกสวย  ;D
b20 ไม่ได้ทำให้ dpf ตันไวครับ เพราะเขม่าน้อยกว่าดีเซลb7 ซะอีก แต่จะมีผลกับกรองดีเซลที่อาจจะตันไว้ขึ้นครับ
อย่างที่บอกไปว่ารถผมมีอาการตั้งแต่ 7 หมื่นโลแล้ว แค่มันหายไปช่วงหนึ่ง ผมเผื่อใจว่าต้องเจอสักวัน
ครั้นจะเข้า 0 ไปล้างระบบ ก็คิดว่าไม่จบ ไม่อยากเสี่ยงกับมันอีกแล้วครับ

ผมมีเพื่อนที่ใช้มาสด้า 2 ดีเซลปีเดียวกัน แต่มันใช้ตัวท๊อป วิ่งไป แสนห้าหมื่นก็ยังปกติดี เพียงแต่มันใช้ที่ตจว ไม่ได้ใช้ในกทม แบบผม

ส่วนที่บางท่านติงเรื่องมลพิษที่เพิ่มขึ้น ผมก็คิดแค่ว่าผมเปลี่ยนจากรถที่รักโลกมาขับกระบะปกติ เหมือนชาวบ้านทั่วไปแค่นั้นครับ
อัตราส่วนมาสด้า 2 ที่ถอด dpf ผมคิดว่าน้อยมากจนแทบไม่มีผลกับมลพิษตอนนี้แน่ๆ แค่รถเมลควันดำวิ่งในกทม 1 วันก็น่าจะเยอะกว่ารถของผมที่ใช้ขับเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งปีแน่นอน
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Nonlamer ที่ ธันวาคม 12, 2019, 21:11:01
เห็นหัวข้อ นึกในใจก่อนกดเข้ามาอ่านว่ายี่ห้อ M แหงๆ แล้วก็ใช่ด้วย ;D

ส่วนตัวก่อนซื้อรถจะศึกษาข้อมูลก่อน ถ้ารต้องมาทำให้เครื่องเพิ่มมลพิษเพื่อใช้งานได้นี่ ผมไม่ซื้อตั้งแต่แรกครับ ตัดออกจากตัวเลือก
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: MyName ที่ ธันวาคม 12, 2019, 22:52:43
อ่านแล้วก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ครับ ไม่เจอกับตัวไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยี่ห้อนี้ แท้จริงแล้วเน่าเฟะแค่ไหน กับภาพที่สร้างแต่ความพรี่เมี่ยมสวยหรูแต่เปลือกไปวันๆ แต่คุณภาพจริงย่ำแย่และตกต่ำลงทุกวัน

DPF EGR นี่จริงๆ แล้วถ้าผู้ผลิตแสดงความชัดเจนที่เกิดขึ้นของปัญหาได้ ทำให้ลูกค้าสบายใจว่าจะไม่เกิดปัญหา​ ใช้งานได้ปกติ มีแนวทางการบำรุงรักษา​ที่ชัดเจน พร้อมข้อควรปฏิบัติที่ลูกค้าสามารถทำได้ในชีวิตประจําวันโดยไม่เดือดร้อนจนเกินไป ในราคาที่เพิ่มมาตามสัดส่วนช่วงราคารถอย่างเหมาะสม เป็นใครก็อยากให้ใส่มาครับ ใส่มาแล้วทำมลพิษ​ผ่านเกณฑ์​ภาษีถูก กดราคาได้ ลูกค้าได้ประโยชน์ จ่ายค่าบำรุงรักษา​แพงขึ้นมาอีกนิด (ตอนนี้ 2 1.5D ก็เฉลี่ยแล้วแพงกว่า 1.3G อยู่หลักร้อยต่อรอบเช็ค แต่ไม่มีการกล่างถึงการบำรุงรักษา 2 พี่น้องรักษ์โลกนี้แต่อย่างใด)​ รุ่นอื่นยี่ห้ออื่นใส่มาก่อนหน้าในไทยก็ยังไม่เคยมีเจ้าไหนที่ทำมาแล้วพังกันในจำนวนที่เทียบยอดขายแล้วเยอะขนาดนี้

นี่อะไร... ลูกค้าเจอปัญหา แก้ปัญหา​แบบขอไปที ดีลเลอร์​ศูนย์นอกจากจะไม่เก่งในการแก้ปัญหากับรถแล้ว (อันนี้ไม่ว่ากัน ยี่ห้อไหนก็มีโอกาสเจอ)​ แต่นี่ยังไม่แสดงถึงความพยายามอยากจะแก้ปัญหาให้ลูกค้าเห็นเลยแม้แต่น้อย บริษัท​แม่ก็เงียบ บอกแต่ไม่ใช่ปัญหา​จากผลิตภัณฑ์​ มี Recall มาแต่ละทีก็ไม่มีแนวทางทำให้ชัดเจนจนลูกค้ามั่นใจ แถมเรียกด้วยการส่งจดหมาย!! แล้วออกแต่นโยบายที่แบบ... เช่นขึ้นค่าแรง 700 บาท/ชม. โดยเฉลี่ย ไม่ให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ (คงกลัวลูกค้าจ่ายแพง)

ครับ ไม่แปลกใจเลยทำไมหลายท่านถึงเลือกอุด EGR ตัด DPF แทนที่จะรับการดูแลรักษาหรือบรรเทาปัญหา​จากศูนย์บริการ บอกเลยว่ากินบุญจาก Product ล้วนๆ ครับ ผมนี่อยากให้มาซื้อใช้เยอะๆ เลยนะ จะได้รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าไม่ปิดหูปิดตาจนเกินไป

ส่วนผมในฐานะที่เจอมาทั้งเทอร์โบพังตั้งแต่ 6 เดือนแรก 13,xxx km กับเครื่องสั่นเร่งไม่ขึ้นมา 4 ครั้งโดยที่ศูนย์​ทำให้แค่อัพเดต​ซอฟแวร์ในทุกครั้งและยังไม่ได้เปลี่ยนอะไหล่อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอัน! และไม่มีเงินก้อนไปอุดตัดอย่างใครเขา คงต้องก้มหน้าเข้า 0 กันไปก่อนเพื่อรักษา goodwill แม้หมดประกัน​ไปแล้ว (แต่อะไรที่ทำเองได้ก็ทำ อย่างเปลี่ยนผ้าเบรกงี้)

ปล. 10 ปีก่อน ด่า Mitsubishi เรื่องศูนย์ไว้เยอะมาก วันนี้มาใช้ยี่ห้อนี้ รู้สึกคิดถึง Mitsu ขึ้นมาเลย อาจจะไม่ได้ดีกว่ากันแต่ก็ยังเห็นความพยายามที่จะช่วยเหลือดูแลแก้ปัญหามากกว่านี้มากจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Jacob ที่ ธันวาคม 13, 2019, 09:54:18
พอดีเจอคลิปนึงเค้าใช้น้ำยาล้าง ไม่รู้ดีแค่ไหน ใช้กับมาสด้าได้รึป่าว แต่ก็ถือเป็นทางออกอีกทางละกันนะครับ
https://www.google.com/url?sa=t&source=web&rct=j&url=https://m.facebook.com/XGearGarage/videos/1166236690185983/&ved=2ahUKEwjy9a6UzbHmAhW97XMBHQP9CiIQo7QBMAd6BAgAEBA&usg=AOvVaw26x6Mtd0q6Mj52H1nu325e
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Alcatraz ที่ ธันวาคม 13, 2019, 10:08:03
เป็นคนเท้าเบารึป่าวครับ คิดจะใช้มาสด้า 2 ดีเซล ถ้าคิดว่าตัวเองเท้าเบาไปเล่นรุ่นอื่นเลย เพราะที่รอดๆไม่มีปัญหากันคือพวกเท้าหนัก ลากรอบบ่อย มันเผาเขม่าแยอะไม่อุดตัน เหตุผลอาจจะแปลกๆ แต่เชื่อแถอะครับ พวกที่มีปัญหากันคือพวกขับช้า ขับประหยัดเอาโล่ ขับแบบรถติดๆในเมือง
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Newhang ที่ ธันวาคม 13, 2019, 10:57:46
อ่านแล้วก็ได้แต่เป็นกำลังใจให้ครับ ไม่เจอกับตัวไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยี่ห้อนี้ แท้จริงแล้วเน่าเฟะแค่ไหน กับภาพที่สร้างแต่ความพรี่เมี่ยมสวยหรูแต่เปลือกไปวันๆ แต่คุณภาพจริงย่ำแย่และตกต่ำลงทุกวัน

DPF EGR นี่จริงๆ แล้วถ้าผู้ผลิตแสดงความชัดเจนที่เกิดขึ้นของปัญหาได้ ทำให้ลูกค้าสบายใจว่าจะไม่เกิดปัญหา​ ใช้งานได้ปกติ มีแนวทางการบำรุงรักษา​ที่ชัดเจน พร้อมข้อควรปฏิบัติที่ลูกค้าสามารถทำได้ในชีวิตประจําวันโดยไม่เดือดร้อนจนเกินไป ในราคาที่เพิ่มมาตามสัดส่วนช่วงราคารถอย่างเหมาะสม เป็นใครก็อยากให้ใส่มาครับ ใส่มาแล้วทำมลพิษ​ผ่านเกณฑ์​ภาษีถูก กดราคาได้ ลูกค้าได้ประโยชน์ จ่ายค่าบำรุงรักษา​แพงขึ้นมาอีกนิด (ตอนนี้ 2 1.5D ก็เฉลี่ยแล้วแพงกว่า 1.3G อยู่หลักร้อยต่อรอบเช็ค แต่ไม่มีการกล่างถึงการบำรุงรักษา 2 พี่น้องรักษ์โลกนี้แต่อย่างใด)​ รุ่นอื่นยี่ห้ออื่นใส่มาก่อนหน้าในไทยก็ยังไม่เคยมีเจ้าไหนที่ทำมาแล้วพังกันในจำนวนที่เทียบยอดขายแล้วเยอะขนาดนี้

นี่อะไร... ลูกค้าเจอปัญหา แก้ปัญหา​แบบขอไปที ดีลเลอร์​ศูนย์นอกจากจะไม่เก่งในการแก้ปัญหากับรถแล้ว (อันนี้ไม่ว่ากัน ยี่ห้อไหนก็มีโอกาสเจอ)​ แต่นี่ยังไม่แสดงถึงความพยายามอยากจะแก้ปัญหาให้ลูกค้าเห็นเลยแม้แต่น้อย บริษัท​แม่ก็เงียบ บอกแต่ไม่ใช่ปัญหา​จากผลิตภัณฑ์​ มี Recall มาแต่ละทีก็ไม่มีแนวทางทำให้ชัดเจนจนลูกค้ามั่นใจ แถมเรียกด้วยการส่งจดหมาย!! แล้วออกแต่นโยบายที่แบบ... เช่นขึ้นค่าแรง 700 บาท/ชม. โดยเฉลี่ย ไม่ให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ (คงกลัวลูกค้าจ่ายแพง)

ครับ ไม่แปลกใจเลยทำไมหลายท่านถึงเลือกอุด EGR ตัด DPF แทนที่จะรับการดูแลรักษาหรือบรรเทาปัญหา​จากศูนย์บริการ บอกเลยว่ากินบุญจาก Product ล้วนๆ ครับ ผมนี่อยากให้มาซื้อใช้เยอะๆ เลยนะ จะได้รู้แจ้งเห็นจริง ถ้าไม่ปิดหูปิดตาจนเกินไป

ส่วนผมในฐานะที่เจอมาทั้งเทอร์โบพังตั้งแต่ 6 เดือนแรก 13,xxx km กับเครื่องสั่นเร่งไม่ขึ้นมา 4 ครั้งโดยที่ศูนย์​ทำให้แค่อัพเดต​ซอฟแวร์ในทุกครั้งและยังไม่ได้เปลี่ยนอะไหล่อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอัน! และไม่มีเงินก้อนไปอุดตัดอย่างใครเขา คงต้องก้มหน้าเข้า 0 กันไปก่อนเพื่อรักษา goodwill แม้หมดประกัน​ไปแล้ว (แต่อะไรที่ทำเองได้ก็ทำ อย่างเปลี่ยนผ้าเบรกงี้)

ปล. 10 ปีก่อน ด่า Mitsubishi เรื่องศูนย์ไว้เยอะมาก วันนี้มาใช้ยี่ห้อนี้ รู้สึกคิดถึง Mitsu ขึ้นมาเลย อาจจะไม่ได้ดีกว่ากันแต่ก็ยังเห็นความพยายามที่จะช่วยเหลือดูแลแก้ปัญหามากกว่านี้มากจริงๆ ครับ

ผมบอกได้เลยว่า การเป็นเจ้าตลาดไม่ใช่ได้มาง่ายๆ ส่วนการเป็นค่ายรองก็เช่นกัน จริงๆค่ายญี่ปุ่นก็เริ่มจากยอดขายพอๆกันในสมัยก่อน บางยี่ห้อเคยเป็ยเจ้าตลาดมาก่อนด้วยซ้ำ

บอกเลยว่ายอดขายมันก็สะท้อนงานบริการส่วนนึง ไม่อยากผิดหวังซ้ำแนะนำเลือกเจ้าตลาดครับ Isuzu Toyota honda ซื้อรถแบบคนแก่ คือคนแก่ก็ผ่านมาเยอะ มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาน แค่ลูกหลานไม่เชื่อต้องไปลองเจอกับตัวเอง
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: BOBBY_7 ที่ ธันวาคม 13, 2019, 11:51:17
ยอดขายรถก็เยอะนะ  ตรงๆกำไรมากโข
แต่ความรับชอบ ดูไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่ จี้เขามาก งัดกันมาก ก็จะฟ้องกลับลูกค้าเอา

เคสที่เอารถเข้าซ่อมศูนย์ แล้วรถหายย  ผมว่าถ้าเป็นค่ายใหญ่ น่าจะเยียวยากันทันที
รถมันหายในศูนย์คุณ? > ความไว้เนื้อเชื่อใช่ ผมไม่มีให้อีกเลย

ตัวผมซื้อเพราะอยากลอง ให้โอกาส เปิดใจ ... แล้วก็ต้องจากไป อย่างไม่ประทับใจ

เหมือนขายอย่างเดียว เอาแต่กำไร ไม่เคยจะยอมขาดทุนกำไร :(
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ ธันวาคม 13, 2019, 21:15:00
อ่านหัวมู้รู้เลยยี่ห้อไหน

มาสด้าดีเซล หนีได้หนีเลยดีกว่าโดยเฉพาะCX-5
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: GOBBS ที่ ธันวาคม 14, 2019, 16:20:22
ผมตาม จขกท. อยู่เพราะเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน (รอลุ้น 2 เหมือนกัน)
จำได้ว่า จขกท. เติม B10/20 ด้วยรึเปล่าครับ บางทีผมว่าอาจจะเป็นตรงนั้นก็ได้นะ
ผมเล่าเคสผมให้ฟังละกัน รถผมเข้าศูนย์ตลอด ปกติเติมบางจาก euro5 วิ่งมาแสนสอง ไม่เจออะไรเลย(ลุ้นตลอด แต่ผมวิ่งแต่ทางไกล ไม่ค่อยวิ่ง กทม.)
ปลายเดือน 10 วิ่งลงไปพังงา น้ำมันหมดต้องไปเติมแถวนั้น ไม่ PTT/ก็บางจากนั่นละ ตัวธรรมดา(ไม่แน่ใจว่าน้ำมันภาคใต้ผสมน้ำมันปาล์มมากกว่าปกติรึเปล่านะ) วิ่งกลับมาสักประจวบ เป็นเรื่องเลย ไฟเตือนขึ้น เครื่องสั่นเล็กๆ แต่ประคองตัวกลับมา กทม.ได้ จอดบ้านขับต่อก็ยังได้แต่ไฟเตือนยังขึ้นอยู่
เข้าศูนย์ ศูนย์จัดการล้างพอร์ทข้างใน เช็คล้างระบบ EGR DPF จบด้วยราคา 800บาท(ตามค่าแรงชม.ละ800สุดโหด)...ขับปกติ แต่ก็คิดๆเรื่องจะเปลื่ยนรถแล้วละนะ
........................................
จริงๆถ้าเข้าศูนย์ตลอด จะมีบางรอบที่มีโปรแกรมเช็คและล้าง DPF เพิ่มมาให้จากเช็คปกตินะครับ ไม่แน่ใจว่าบางศูนย์หรือทุกที่ทำให้นะ แต่ตอนเรื่องมาเยอะๆเนี่ย มีทำให้หนนึงนะ
ปล.ผมโลกสวย  ;D
b20 ไม่ได้ทำให้ dpf ตันไวครับ เพราะเขม่าน้อยกว่าดีเซลb7 ซะอีก แต่จะมีผลกับกรองดีเซลที่อาจจะตันไว้ขึ้นครับ
อย่างที่บอกไปว่ารถผมมีอาการตั้งแต่ 7 หมื่นโลแล้ว แค่มันหายไปช่วงหนึ่ง ผมเผื่อใจว่าต้องเจอสักวัน
ครั้นจะเข้า 0 ไปล้างระบบ ก็คิดว่าไม่จบ ไม่อยากเสี่ยงกับมันอีกแล้วครับ

ผมมีเพื่อนที่ใช้มาสด้า 2 ดีเซลปีเดียวกัน แต่มันใช้ตัวท๊อป วิ่งไป แสนห้าหมื่นก็ยังปกติดี เพียงแต่มันใช้ที่ตจว ไม่ได้ใช้ในกทม แบบผม

ส่วนที่บางท่านติงเรื่องมลพิษที่เพิ่มขึ้น ผมก็คิดแค่ว่าผมเปลี่ยนจากรถที่รักโลกมาขับกระบะปกติ เหมือนชาวบ้านทั่วไปแค่นั้นครับ
อัตราส่วนมาสด้า 2 ที่ถอด dpf ผมคิดว่าน้อยมากจนแทบไม่มีผลกับมลพิษตอนนี้แน่ๆ แค่รถเมลควันดำวิ่งในกทม 1 วันก็น่าจะเยอะกว่ารถของผมที่ใช้ขับเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งปีแน่นอน
...เกลียดตรรกะที่คนอื่นไม่ดี แล้วเป็นข้ออ้างทำไม่ดีของตัวเองจริงๆ
รู้ไหมครับ รถเมล์ควันดำ อีก 2ปีก็หมดแล้ว เพราะรถใหม่กำลังเข้ามาแทน และรถส่วนมากราวๆ ร้อยละ70เป็นรถ CNG แล้ว
อีกอย่าง รถเมล์ 1วัน บริการคนหลักพันคน เฉลี่ยค่ามลพิษต่อคนน้อยกว่า "คุณ" แน่นอนครับ
........................
และที่บอกว่า B20 สะอาดกว่า จริง แต่น้อยมากครับ เพราะพื้นฐาน B10-20 มาจาก Euro4 เติมไบโอมากขึ้น เติมเข้าไปก็เหมือนรถคุณเติม euro4 ในเครื่อง euro5 นั่นละ เขม่าตันเร็วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมถึงทักไง ต้องรอบางจาก B20 euro5 ที่กำลังจะออกมานั่นละ อาจจะใช้แทนได้
ผมไม่ได้บอกว่า มาสด้ามันไม่ผิดนะ แต่ผมมองว่า คุณตั้งกระทู้มาหาข้ออ้างปกป้องตัวเองจากการตัด DPF นั่นละครับ
ถ้าเป็นผม ถ้ามันสุดทนจริงๆ ผมจะทำแบบคุณ CHANOM คือ ขายมันทิ้งไปหาคันใหม่ดีกว่านะ(ซึ่งตอนนี้ก็มองๆอยู่)
หัวข้อ: Re: เกือบตายเพราะ DPF พัง!!!
เริ่มหัวข้อโดย: nl2br ที่ ธันวาคม 14, 2019, 19:26:18
ผมตาม จขกท. อยู่เพราะเป็นเพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน (รอลุ้น 2 เหมือนกัน)
จำได้ว่า จขกท. เติม B10/20 ด้วยรึเปล่าครับ บางทีผมว่าอาจจะเป็นตรงนั้นก็ได้นะ
ผมเล่าเคสผมให้ฟังละกัน รถผมเข้าศูนย์ตลอด ปกติเติมบางจาก euro5 วิ่งมาแสนสอง ไม่เจออะไรเลย(ลุ้นตลอด แต่ผมวิ่งแต่ทางไกล ไม่ค่อยวิ่ง กทม.)
ปลายเดือน 10 วิ่งลงไปพังงา น้ำมันหมดต้องไปเติมแถวนั้น ไม่ PTT/ก็บางจากนั่นละ ตัวธรรมดา(ไม่แน่ใจว่าน้ำมันภาคใต้ผสมน้ำมันปาล์มมากกว่าปกติรึเปล่านะ) วิ่งกลับมาสักประจวบ เป็นเรื่องเลย ไฟเตือนขึ้น เครื่องสั่นเล็กๆ แต่ประคองตัวกลับมา กทม.ได้ จอดบ้านขับต่อก็ยังได้แต่ไฟเตือนยังขึ้นอยู่
เข้าศูนย์ ศูนย์จัดการล้างพอร์ทข้างใน เช็คล้างระบบ EGR DPF จบด้วยราคา 800บาท(ตามค่าแรงชม.ละ800สุดโหด)...ขับปกติ แต่ก็คิดๆเรื่องจะเปลื่ยนรถแล้วละนะ
........................................
จริงๆถ้าเข้าศูนย์ตลอด จะมีบางรอบที่มีโปรแกรมเช็คและล้าง DPF เพิ่มมาให้จากเช็คปกตินะครับ ไม่แน่ใจว่าบางศูนย์หรือทุกที่ทำให้นะ แต่ตอนเรื่องมาเยอะๆเนี่ย มีทำให้หนนึงนะ
ปล.ผมโลกสวย  ;D
b20 ไม่ได้ทำให้ dpf ตันไวครับ เพราะเขม่าน้อยกว่าดีเซลb7 ซะอีก แต่จะมีผลกับกรองดีเซลที่อาจจะตันไว้ขึ้นครับ
อย่างที่บอกไปว่ารถผมมีอาการตั้งแต่ 7 หมื่นโลแล้ว แค่มันหายไปช่วงหนึ่ง ผมเผื่อใจว่าต้องเจอสักวัน
ครั้นจะเข้า 0 ไปล้างระบบ ก็คิดว่าไม่จบ ไม่อยากเสี่ยงกับมันอีกแล้วครับ

ผมมีเพื่อนที่ใช้มาสด้า 2 ดีเซลปีเดียวกัน แต่มันใช้ตัวท๊อป วิ่งไป แสนห้าหมื่นก็ยังปกติดี เพียงแต่มันใช้ที่ตจว ไม่ได้ใช้ในกทม แบบผม

ส่วนที่บางท่านติงเรื่องมลพิษที่เพิ่มขึ้น ผมก็คิดแค่ว่าผมเปลี่ยนจากรถที่รักโลกมาขับกระบะปกติ เหมือนชาวบ้านทั่วไปแค่นั้นครับ
อัตราส่วนมาสด้า 2 ที่ถอด dpf ผมคิดว่าน้อยมากจนแทบไม่มีผลกับมลพิษตอนนี้แน่ๆ แค่รถเมลควันดำวิ่งในกทม 1 วันก็น่าจะเยอะกว่ารถของผมที่ใช้ขับเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งปีแน่นอน
...เกลียดตรรกะที่คนอื่นไม่ดี แล้วเป็นข้ออ้างทำไม่ดีของตัวเองจริงๆ
รู้ไหมครับ รถเมล์ควันดำ อีก 2ปีก็หมดแล้ว เพราะรถใหม่กำลังเข้ามาแทน และรถส่วนมากราวๆ ร้อยละ70เป็นรถ CNG แล้ว
อีกอย่าง รถเมล์ 1วัน บริการคนหลักพันคน เฉลี่ยค่ามลพิษต่อคนน้อยกว่า "คุณ" แน่นอนครับ
........................
และที่บอกว่า B20 สะอาดกว่า จริง แต่น้อยมากครับ เพราะพื้นฐาน B10-20 มาจาก Euro4 เติมไบโอมากขึ้น เติมเข้าไปก็เหมือนรถคุณเติม euro4 ในเครื่อง euro5 นั่นละ เขม่าตันเร็วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ผมถึงทักไง ต้องรอบางจาก B20 euro5 ที่กำลังจะออกมานั่นละ อาจจะใช้แทนได้
ผมไม่ได้บอกว่า มาสด้ามันไม่ผิดนะ แต่ผมมองว่า คุณตั้งกระทู้มาหาข้ออ้างปกป้องตัวเองจากการตัด DPF นั่นละครับ
ถ้าเป็นผม ถ้ามันสุดทนจริงๆ ผมจะทำแบบคุณ CHANOM คือ ขายมันทิ้งไปหาคันใหม่ดีกว่านะ(ซึ่งตอนนี้ก็มองๆอยู่)


ท่านครับ แล้วรถกระบะละครับ คิดว่าจะหมดในอีก 2 ปีมั๊ยครับ ถ้ารถกระบะหมด 2 ปี ผมก็พร้อมจะขายรถผมด้วยเช่นกันแหละ

แล้วที่บอกว่าให้ขายแบบคุณชานม ขายแล้ว ใครใช้ต่อ ใครรับภาระต่อละครับ เป็นตรรกะที่โคตรป่วย! อันนี้ไม่ได้ว่าคุณชานมนะครับ
ว่าเจ้าของความคิดที่ว่าพอของไม่ดีก็ขายต่อ

b20 อย่าเอามาเป็นประเด็นเลย มันพอๆกับพวกที่เติมโซฮอแล้วมีปัญหาแล้วมาโทษโซฮอลนั่นแหละ อย่ามาอ้างว่า b20 ทำให้มีปัญหาเลยครับ
b20 ผมเติมไปนับถังได้ก็ 3 ถัง เพระจะเติมเฉพาะของ pt วิ่งไป ตจว เจอ pt ที่มี b20 ไม่กี่ปั๊ม และผมก็เติมสลับกับพรีเมี่ยมครับ
แล้วตอนนี้ b7 ก็จะโดนแทนที่ด้วย b10 ละ ต่อไปจะเติมอะไรละครับ หรือจะให้เติมเฉพาะพรีเมียม ถ้าบอกว่ารถมันไม่รองรับ b20 จริงๆ

แล้วถ้าคิดว่าผมตัด dpf แล้วทำให้มลพิษเยอะ ก็ไปไล่ด่าพวกขับกระบะด้วยละกันนะครับ ในเว็บก็น่าจะมีหลายคน!