Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Staples ที่ ธันวาคม 17, 2019, 00:59:00
-
(https://scontent.fbkk5-4.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/80595003_2795450227172681_8646393242775977984_o.jpg?_nc_cat=110&_nc_eui2=AeFTih92l4sTmM8yYDpKihMbp8dfcsvckWteOZ8QADCEKivip3ef1uJhcgIjszI1RJ91OfeNy5inalm4XWNCYrnn2fheZSdvGQMMItjV0vxNGg&_nc_oc=AQkBhr-578w9imLACJZdBb9EQtVzNa6XY2jYo5JQxwp4F6aUYNFFqfUnLBJC9a498fM&_nc_ht=scontent.fbkk5-4.fna&oh=485a52892664230e28264cc2337bdb4c&oe=5E782D7F)
-
มันจะพรางตัวไปทำไม ในเมื่อในตลาดโลกเขาขายกันจนใกล้จะMCแล้ว มันยังคิดว่าทุกวันนี้คนไทยรับข่าวสารจากวิทยุกับโทรทัศน์ อยู่หรือนี้ (สงสัยนิสสันไทย ลุงยังไม่ได้ไปแนะนำกูเกิ้ล) ทำตัวเป็นรัฐบาลไปได้
-
มันจะพรางตัวไปทำไม ในเมื่อในตลาดโลกเขาขายกันจนใกล้จะMCแล้ว มันยังคิดว่าทุกวันนี้คนไทยรับข่าวสารจากวิทยุกับโทรทัศน์ อยู่หรือนี้ (สงสัยนิสสันไทย ลุงยังไม่ได้ไปแนะนำกูเกิ้ล) ทำตัวเป็นรัฐบาลไปได้
ที่พรางตัว เพราะตัวที่ได้เป็นตัว Mc แล้วไงครับ
-
ถ้าเปิดตัวขายไทยช่วงปลายปี2020นี่เยี่ยมเลยคับ
-
วันนี้ดู ข่าวบางช่อง ในยูทุป บอกว่าจะเปิดตัวมีนา2020 และเป็นอี-เพาเว้อร์ด้วย ไม่รู้จริงเปล่านะครับ
-
วันนี้ดู ข่าวบางช่อง ในยูทุป บอกว่าจะเปิดตัวมีนา2020 และเป็นอี-เพาเว้อร์ด้วย ไม่รู้จริงเปล่านะครับ
แน่นอนครับ
-
มันจะพรางตัวไปทำไม ในเมื่อในตลาดโลกเขาขายกันจนใกล้จะMCแล้ว มันยังคิดว่าทุกวันนี้คนไทยรับข่าวสารจากวิทยุกับโทรทัศน์ อยู่หรือนี้ (สงสัยนิสสันไทย ลุงยังไม่ได้ไปแนะนำกูเกิ้ล) ทำตัวเป็นรัฐบาลไปได้
ที่พรางตัว เพราะตัวที่ได้เป็นตัว Mc แล้วไงครับ
ยืนยันว่า MC อีกคนครับ ของไทยมาช้าแต่ได้เป็นตัว MC เลย เผลอๆเปิดตัว world premiere kick mc ในไทยอีกต่างหาก
-
ถ้า Kick มากับทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียว คือ e-power ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตลาดจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดในรายการวิทยุ พอพูดถึงเครื่องอีพาวเวอร์คุณจิมมี่ออกอาการแบบว่าไม่ชอบอย่างแรง มันมีอะไรไม่ดีเหรอครับ ?
-
ผมว่ากระจังหน้าv motion ของ kickมันำม่สวยเลยทำให้รถหน้าตาโบราณไปอีก. ผมว่า qashqai สวยกว่า
-
ถ้า Kick มากับทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียว คือ e-power ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตลาดจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดในรายการวิทยุ พอพูดถึงเครื่องอีพาวเวอร์คุณจิมมี่ออกอาการแบบว่าไม่ชอบอย่างแรง มันมีอะไรไม่ดีเหรอครับ ?
พี่จิมมี่เขาไม่ชอบรถไฟฟ้าครับ เขาบอกมันไม่ได้ฟีล
-
ถ้าตามแผน ก็มาปีหน้าแน่นอน ในรูปแบบ e-Power
แต่น่าจะเหนื่อยหน่อยสำหรับรุ่นนี้ ในด้านรูปทรง อาจจะ ไม่ค่อยถูกใจผู้บริโภค
ในเรื่องความปลอดภัย อันนี้ขอข้ามไม่พูดถึง เพราะไม่มีข้อมูล
อัลมีร่าเป็นตัวทำยอดได้ในระดับนึง แต่อาจพังเพราะเซลล์อีกเหมือนกัน
ถ้าโปรยังเป็นแบบนี้อยู่ ไม่เคลียร์ ไม่ชัดเจน (ในคลับ/ในเพจ) ลองหาอ่านกันดู
Kicks น่าจะเป็นตัวฉุดมากกว่ากู้สถานการณ์แน่ๆ
-
เจอเหมือนกัน รูปทรงเห็นผ่านตา รู้สึกไม่ชอบเท่าไหร่ ทีแรกยังนึกว่า mg
เหลี่ยมๆตู้ๆ ขาดๆเกินๆ ยังไงไม่รู้ แต่มาทรงนี้น่าจะเน้นใช้งานครบเครื่องนะ
น่าเป็นห่วงจริงๆ ยิ่งปีหน้า cx30 เอย อะไรเอย
-
รู้สึกว่า ไม่ได้เอามาเพื่อขายแข่งกับ CH-R , HR-V
มาช้าจนมันหมดความน่าสนใจตามเคย
-
ผมว่ามันไม่สวยเล้ย เชยๆล้าสมัยถึงแม้จะ MC แล้ว ส่วนตัวว่าดับอีกรุ่นของนิสสัน :-X
ทำไมไม่เอา New Juke มา หรือว่าตัวนี้ภายในมันกว้างกว่า Juke
-
ถ้า Kick มากับทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียว คือ e-power ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตลาดจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดในรายการวิทยุ พอพูดถึงเครื่องอีพาวเวอร์คุณจิมมี่ออกอาการแบบว่าไม่ชอบอย่างแรง มันมีอะไรไม่ดีเหรอครับ ?
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด e-power คือรถไฟฟ้า ที่พลังงานจากแบตเตอรี่มาจากการใช้เครื่องยนต์มาปั่นไฟเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แทนการชาร์ตจากแท่นชาร์ต หรือ การเอาไฟฟ้ามาจากโรงไฟฟ้า
คำว่ารถไฟฟ้าของผมคือ รถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ก็จะนึกถึงรถบังคับวิทยุ ไม่รู้จริงๆการผลิต e-power จะเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่
สมมติถ้าใช่นะ ผมจะชอบมากๆ เพราะผมรักโลกและสิ่งแวดล้อม และเป็นพวกจะขับรถรักษาความเร็วค่อนข้างคงที่และขับไม่ค่อยเร็วมากก็จะสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือสิ้นเปลืองพลังงานที่ค่อนข้างต่ำได้
และส่วนใหญ่ผมก็ขับรถความเร็วไม่เกิน 110-130 km/h (ช่วงเร่งแซง) จะใช้ความเร็วสูงแค่ช่วงเร่งแซง
การใช้ความเร็วไม่คงที่ ถ้าเป็นระบบรถสันดาป จะเป็นการช่วงที่เกิดการสักหรอ และใช้พลังงานและเกิดการสุญเสียมากกว่าปกติ และเกิดการเผาสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างสูงเพราะต้องเร่งรอบเครื่องยนต์
แต่ถ้าเป็นโมเดลอย่าง REEV ที่เหมาะสมที่ผมคิด คือ การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ถ้าพลังงานในแบตเตอรี่เหลือลงมาต่ำกว่า 30-40% เราก็ให้เครื่องเดินรอบเพื่อชาร์ตแบตจนถึง 80-90% แล้วค่อยหยุดเดินรอบเครื่องยนต์อีกครั้ง เพียงแต่ขนาดแบตเตอรี่ไม่ควรจะเล็กเกินไปนัก นั้นคือควรจะสามารถเดินทางแบบไม่รถติดมากนะ ได้ระยะทางราวๆ 30-40 km เป็นอย่างน้อย ขนาดแบตเตอรี่ควรจะใหญ่พอประมาณคือ 6-10 kWh ขึ้นกับขนาดรถยนต์ด้วยนะครับ
และการจะเดินรอบเครื่องยนต์ก็จะพยายามเดินรอบเครื่องยนต์ช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อจะชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ให้ถึงระดับ 80-90% แบบนี้มันก็จะทำให้การทำงานเครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีกว่า และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่า แต่สมมติฐานที่ผมว่าไว้นี้ขนาดแบตเตอรี ซึ่งตามที่ผมประเมิน เครื่องยนต์ไม่ต้องปั่นเดินเครื่องเพื่อปั่นไฟตลอดเวลา แต่จะปั่นไฟเป็นช่วงเช่น20 นาทีเดินเครื่องและอีก 20 นาทีหยุดพักแบบนี้เป้นระยะ แต่ข้อดีคือแบตเตอรีจะมีช่วงการจ่ายไฟอย่างเดียว และมีบางช่วงจ่ายไฟพร้อมกับชาร์ตไฟเข้าระบบ ซึ่งอาจจะทำให้แบตเตอรี่ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไปด้วย
แต่รถแบบ REEV นี้คงไม่เหมาะคนที่ขับรถเร็วๆ หรือชอบจะเร่งรถแบบสุดๆบ่อยๆตลอดเวลา เพราะจะเครื่องยนต์อาจต้องทำงานเกือบตลอดเวลาและอาจต้องมีการเริ่มรอบที่สูงๆ เพื่อจะทำให้มีกำลังเพียงพอที่จะผลืตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอ ให้เข้าแบตเตอรี่เพื่อจะได้มีกำลังพอไปส่งกำลังตามการขับของผู้ขับขี่ แถม จะมีการใช้และชาร์ตไฟพร้อมกันเกือบตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น
ถ้าผมเข้าใจผิดก็บอกด้วยนะ
ขอต่อ ซึ่งผมมองว่ารถไฟฟ้าแบบนี้เหมาะกับคนที่ขับรถเรื่อยๆไม่เร่งรีบมากเกือบตลอดเวลา
รถไฟฟ้าแบบนี้จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่สูงกว่า รถระบบ ICE
และ เป็นรถไฟฟ้าแบบที่ไม่ต้องเป็นภาระกับระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าส่วนกลาง ที่บ้านเราอาจจะยังไม่พร้อม
และเป็นการเน้นให้มีพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงระบบที่ใช้ในรถไฟฟ้า คือมอเตอร์และการดูแลจัดการแบตเตอรี่ ในอนาคต
และในฐานะผู้บริโภค ต้นทุนการผลิตคือรถไฟฟ้าแบบนี้อาจจะออกแบบให้ต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงด้วยเพราะ รถแบบนี้ไม่จะเป็นต้องใช้แบตเตอรีขนาดใหญ่แบบรถไฟฟ้าล้วนแบบเสียบปลั๊ก เพราะรถไฟฟ้าแบบ REEV
ถ้าจะใช้แบตเตอรี่ที่ใช้ขนาดไม่ใหญ่ ก็น่ามีขนาดของแบตเตอรี่ไม่เกิน 6-10 kWh ราคาตอนนี้นะปี 2019 นี้น่าต้นทุนราวๆ 150$/kWh นั้นคือระหว่าง 900-1500$ คิดเป็นเงินไทยคือ 30,000-45,000 บาท และมีส่วนที่เพิ่มขึ้น ระบบแปลงไฟอีกสัก 30,000-45,000 บาท เช่นกันที่เพิ่มขึ้นมา แต่ตัดระบบเกียร์ระบบส่งกำลังออกไป แต่ยังมีเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องมีศักยภาพสูงในทุกๆความเร็วรอบและไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มาก นั้นคือราคาเครื่องยนต์ไม่ต้องราคาสูงมาก ดังนั้นราคาแบบนี้ ต้นทุนระบบไม่น่าสูงกว่าระบบของ Ecocar เท่าไรนัก ถ้าขนาดรถนี้มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดเรื่องภาษีด้วยก็อาจจะราคาที่ต่ำกว่าด้วยซ้ำไป
ส่วนตัวถ้ารัฐสนับสนุนรถแบบนี้ และสื่อสารว่าผู้ใช้รถคือคนที่ใช้งานแบบไม่เร่งไม่รีบขับเรื่อยๆ นะ ก็น่าจะดีเพราะช่วยรัฐส่งเสริมรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ แรงงานบุคลากรในสาขานี้ และประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่ารถ ICE
-
มันจะเป็นตัวฉุดอีกตัวไหมนะ ยิ่งแต่มีแค่ e-Power เข้ามาอีก (e-Power ก็ตระกูล HYBRID อีกชนิดนึง) โดยไม่มีเครื่องสันดาปปกติให้ผู้บริโภคเลือก ก็คงขายได้อยู่หรอก ขนาด TOYOTA ยังมีให้เลือกก็ยังจะขายไม่ค่อยจะได้ เพราะคนทั่วไปยังกลัว HYBRID และ EV อยู่ น้อยคนนักที่จะยอมรับมัน
-
ถ้า Kick มากับทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียว คือ e-power ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตลาดจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดในรายการวิทยุ พอพูดถึงเครื่องอีพาวเวอร์คุณจิมมี่ออกอาการแบบว่าไม่ชอบอย่างแรง มันมีอะไรไม่ดีเหรอครับ ?
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด e-power คือรถไฟฟ้า ที่พลังงานจากแบตเตอรี่มาจากการใช้เครื่องยนต์มาปั่นไฟเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แทนการชาร์ตจากแท่นชาร์ต หรือ การเอาไฟฟ้ามาจากโรงไฟฟ้า
คำว่ารถไฟฟ้าของผมคือ รถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ก็จะนึกถึงรถบังคับวิทยุ ไม่รู้จริงๆการผลิต e-power จะเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่
สมมติถ้าใช่นะ ผมจะชอบมากๆ เพราะผมรักโลกและสิ่งแวดล้อม และเป็นพวกจะขับรถรักษาความเร็วค่อนข้างคงที่และขับไม่ค่อยเร็วมากก็จะสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือสิ้นเปลืองพลังงานที่ค่อนข้างต่ำได้
และส่วนใหญ่ผมก็ขับรถความเร็วไม่เกิน 110-130 km/h (ช่วงเร่งแซง) จะใช้ความเร็วสูงแค่ช่วงเร่งแซง
การใช้ความเร็วไม่คงที่ ถ้าเป็นระบบรถสันดาป จะเป็นการช่วงที่เกิดการสักหรอ และใช้พลังงานและเกิดการสุญเสียมากกว่าปกติ และเกิดการเผาสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างสูงเพราะต้องเร่งรอบเครื่องยนต์
แต่ถ้าเป็นโมเดลอย่าง REEV ที่เหมาะสมที่ผมคิด คือ การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ถ้าพลังงานในแบตเตอรี่เหลือลงมาต่ำกว่า 30-40% เราก็ให้เครื่องเดินรอบเพื่อชาร์ตแบตจนถึง 80-90% แล้วค่อยหยุดเดินรอบเครื่องยนต์อีกครั้ง เพียงแต่ขนาดแบตเตอรี่ไม่ควรจะเล็กเกินไปนัก นั้นคือควรจะสามารถเดินทางแบบไม่รถติดมากนะ ได้ระยะทางราวๆ 30-40 km เป็นอย่างน้อย ขนาดแบตเตอรี่ควรจะใหญ่พอประมาณคือ 6-10 kWh ขึ้นกับขนาดรถยนต์ด้วยนะครับ
และการจะเดินรอบเครื่องยนต์ก็จะพยายามเดินรอบเครื่องยนต์ช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อจะชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ให้ถึงระดับ 80-90% แบบนี้มันก็จะทำให้การทำงานเครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีกว่า และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่า แต่สมมติฐานที่ผมว่าไว้นี้ขนาดแบตเตอรี ซึ่งตามที่ผมประเมิน เครื่องยนต์ไม่ต้องปั่นเดินเครื่องเพื่อปั่นไฟตลอดเวลา แต่จะปั่นไฟเป็นช่วงเช่น20 นาทีเดินเครื่องและอีก 20 นาทีหยุดพักแบบนี้เป้นระยะ แต่ข้อดีคือแบตเตอรีจะมีช่วงการจ่ายไฟอย่างเดียว และมีบางช่วงจ่ายไฟพร้อมกับชาร์ตไฟเข้าระบบ ซึ่งอาจจะทำให้แบตเตอรี่ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไปด้วย
แต่รถแบบ REEV นี้คงไม่เหมาะคนที่ขับรถเร็วๆ หรือชอบจะเร่งรถแบบสุดๆบ่อยๆตลอดเวลา เพราะจะเครื่องยนต์อาจต้องทำงานเกือบตลอดเวลาและอาจต้องมีการเริ่มรอบที่สูงๆ เพื่อจะทำให้มีกำลังเพียงพอที่จะผลืตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอ ให้เข้าแบตเตอรี่เพื่อจะได้มีกำลังพอไปส่งกำลังตามการขับของผู้ขับขี่ แถม จะมีการใช้และชาร์ตไฟพร้อมกันเกือบตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น
ถ้าผมเข้าใจผิดก็บอกด้วยนะ
ขอต่อ ซึ่งผมมองว่ารถไฟฟ้าแบบนี้เหมาะกับคนที่ขับรถเรื่อยๆไม่เร่งรีบมากเกือบตลอดเวลา
รถไฟฟ้าแบบนี้จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่สูงกว่า รถระบบ ICE
และ เป็นรถไฟฟ้าแบบที่ไม่ต้องเป็นภาระกับระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าส่วนกลาง ที่บ้านเราอาจจะยังไม่พร้อม
และเป็นการเน้นให้มีพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงระบบที่ใช้ในรถไฟฟ้า คือมอเตอร์และการดูแลจัดการแบตเตอรี่ ในอนาคต
และในฐานะผู้บริโภค ต้นทุนการผลิตคือรถไฟฟ้าแบบนี้อาจจะออกแบบให้ต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงด้วยเพราะ รถแบบนี้ไม่จะเป็นต้องใช้แบตเตอรีขนาดใหญ่แบบรถไฟฟ้าล้วนแบบเสียบปลั๊ก เพราะรถไฟฟ้าแบบ REEV
ถ้าจะใช้แบตเตอรี่ที่ใช้ขนาดไม่ใหญ่ ก็น่ามีขนาดของแบตเตอรี่ไม่เกิน 6-10 kWh ราคาตอนนี้นะปี 2019 นี้น่าต้นทุนราวๆ 150$/kWh นั้นคือระหว่าง 900-1500$ คิดเป็นเงินไทยคือ 30,000-45,000 บาท และมีส่วนที่เพิ่มขึ้น ระบบแปลงไฟอีกสัก 30,000-45,000 บาท เช่นกันที่เพิ่มขึ้นมา แต่ตัดระบบเกียร์ระบบส่งกำลังออกไป แต่ยังมีเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องมีศักยภาพสูงในทุกๆความเร็วรอบและไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มาก นั้นคือราคาเครื่องยนต์ไม่ต้องราคาสูงมาก ดังนั้นราคาแบบนี้ ต้นทุนระบบไม่น่าสูงกว่าระบบของ Ecocar เท่าไรนัก ถ้าขนาดรถนี้มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดเรื่องภาษีด้วยก็อาจจะราคาที่ต่ำกว่าด้วยซ้ำไป
ส่วนตัวถ้ารัฐสนับสนุนรถแบบนี้ และสื่อสารว่าผู้ใช้รถคือคนที่ใช้งานแบบไม่เร่งไม่รีบขับเรื่องๆ นะ ก็น่าจะดีเพราะช่วยรัฐส่งเสริมรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ แรงงานบุคลากรในสาขานี้ และประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่ารถ ICE
เยี่ยมมากครับ ชัดเจน
-
ถ้า Kick มากับทางเลือกเครื่องยนต์แบบเดียว คือ e-power ก็ต้องมาลุ้นกันว่าตลาดจะยอมรับมากน้อยแค่ไหน
ล่าสุดในรายการวิทยุ พอพูดถึงเครื่องอีพาวเวอร์คุณจิมมี่ออกอาการแบบว่าไม่ชอบอย่างแรง มันมีอะไรไม่ดีเหรอครับ ?
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด e-power คือรถไฟฟ้า ที่พลังงานจากแบตเตอรี่มาจากการใช้เครื่องยนต์มาปั่นไฟเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แทนการชาร์ตจากแท่นชาร์ต หรือ การเอาไฟฟ้ามาจากโรงไฟฟ้า
คำว่ารถไฟฟ้าของผมคือ รถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ ก็จะนึกถึงรถบังคับวิทยุ ไม่รู้จริงๆการผลิต e-power จะเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่
สมมติถ้าใช่นะ ผมจะชอบมากๆ เพราะผมรักโลกและสิ่งแวดล้อม และเป็นพวกจะขับรถรักษาความเร็วค่อนข้างคงที่และขับไม่ค่อยเร็วมากก็จะสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบค่อยเป็นค่อยไปซึ่งจะเป็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือสิ้นเปลืองพลังงานที่ค่อนข้างต่ำได้
และส่วนใหญ่ผมก็ขับรถความเร็วไม่เกิน 110-130 km/h (ช่วงเร่งแซง) จะใช้ความเร็วสูงแค่ช่วงเร่งแซง
การใช้ความเร็วไม่คงที่ ถ้าเป็นระบบรถสันดาป จะเป็นการช่วงที่เกิดการสักหรอ และใช้พลังงานและเกิดการสุญเสียมากกว่าปกติ และเกิดการเผาสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างสูงเพราะต้องเร่งรอบเครื่องยนต์
แต่ถ้าเป็นโมเดลอย่าง REEV ที่เหมาะสมที่ผมคิด คือ การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ถ้าพลังงานในแบตเตอรี่เหลือลงมาต่ำกว่า 30-40% เราก็ให้เครื่องเดินรอบเพื่อชาร์ตแบตจนถึง 80-90% แล้วค่อยหยุดเดินรอบเครื่องยนต์อีกครั้ง เพียงแต่ขนาดแบตเตอรี่ไม่ควรจะเล็กเกินไปนัก นั้นคือควรจะสามารถเดินทางแบบไม่รถติดมากนะ ได้ระยะทางราวๆ 30-40 km เป็นอย่างน้อย ขนาดแบตเตอรี่ควรจะใหญ่พอประมาณคือ 6-10 kWh ขึ้นกับขนาดรถยนต์ด้วยนะครับ
และการจะเดินรอบเครื่องยนต์ก็จะพยายามเดินรอบเครื่องยนต์ช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อจะชาร์ตไฟเข้าแบตเตอรี่ให้ถึงระดับ 80-90% แบบนี้มันก็จะทำให้การทำงานเครื่องยนต์มีการเผาไหม้ที่ดีกว่า และมีการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีกว่า แต่สมมติฐานที่ผมว่าไว้นี้ขนาดแบตเตอรี ซึ่งตามที่ผมประเมิน เครื่องยนต์ไม่ต้องปั่นเดินเครื่องเพื่อปั่นไฟตลอดเวลา แต่จะปั่นไฟเป็นช่วงเช่น20 นาทีเดินเครื่องและอีก 20 นาทีหยุดพักแบบนี้เป้นระยะ แต่ข้อดีคือแบตเตอรีจะมีช่วงการจ่ายไฟอย่างเดียว และมีบางช่วงจ่ายไฟพร้อมกับชาร์ตไฟเข้าระบบ ซึ่งอาจจะทำให้แบตเตอรี่ไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไปด้วย
แต่รถแบบ REEV นี้คงไม่เหมาะคนที่ขับรถเร็วๆ หรือชอบจะเร่งรถแบบสุดๆบ่อยๆตลอดเวลา เพราะจะเครื่องยนต์อาจต้องทำงานเกือบตลอดเวลาและอาจต้องมีการเริ่มรอบที่สูงๆ เพื่อจะทำให้มีกำลังเพียงพอที่จะผลืตกระแสไฟฟ้าให้เพียงพอ ให้เข้าแบตเตอรี่เพื่อจะได้มีกำลังพอไปส่งกำลังตามการขับของผู้ขับขี่ แถม จะมีการใช้และชาร์ตไฟพร้อมกันเกือบตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น
ถ้าผมเข้าใจผิดก็บอกด้วยนะ
ขอต่อ ซึ่งผมมองว่ารถไฟฟ้าแบบนี้เหมาะกับคนที่ขับรถเรื่อยๆไม่เร่งรีบมากเกือบตลอดเวลา
รถไฟฟ้าแบบนี้จะมีการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่สูงกว่า รถระบบ ICE
และ เป็นรถไฟฟ้าแบบที่ไม่ต้องเป็นภาระกับระบบจ่ายกำลังไฟฟ้าส่วนกลาง ที่บ้านเราอาจจะยังไม่พร้อม
และเป็นการเน้นให้มีพัฒนาบุคลากรเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงระบบที่ใช้ในรถไฟฟ้า คือมอเตอร์และการดูแลจัดการแบตเตอรี่ ในอนาคต
และในฐานะผู้บริโภค ต้นทุนการผลิตคือรถไฟฟ้าแบบนี้อาจจะออกแบบให้ต้นทุนการผลิตที่ไม่สูงด้วยเพราะ รถแบบนี้ไม่จะเป็นต้องใช้แบตเตอรีขนาดใหญ่แบบรถไฟฟ้าล้วนแบบเสียบปลั๊ก เพราะรถไฟฟ้าแบบ REEV
ถ้าจะใช้แบตเตอรี่ที่ใช้ขนาดไม่ใหญ่ ก็น่ามีขนาดของแบตเตอรี่ไม่เกิน 6-10 kWh ราคาตอนนี้นะปี 2019 นี้น่าต้นทุนราวๆ 150$/kWh นั้นคือระหว่าง 900-1500$ คิดเป็นเงินไทยคือ 30,000-45,000 บาท และมีส่วนที่เพิ่มขึ้น ระบบแปลงไฟอีกสัก 30,000-45,000 บาท เช่นกันที่เพิ่มขึ้นมา แต่ตัดระบบเกียร์ระบบส่งกำลังออกไป แต่ยังมีเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องมีศักยภาพสูงในทุกๆความเร็วรอบและไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่มาก นั้นคือราคาเครื่องยนต์ไม่ต้องราคาสูงมาก ดังนั้นราคาแบบนี้ ต้นทุนระบบไม่น่าสูงกว่าระบบของ Ecocar เท่าไรนัก ถ้าขนาดรถนี้มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดเรื่องภาษีด้วยก็อาจจะราคาที่ต่ำกว่าด้วยซ้ำไป
ส่วนตัวถ้ารัฐสนับสนุนรถแบบนี้ และสื่อสารว่าผู้ใช้รถคือคนที่ใช้งานแบบไม่เร่งไม่รีบขับเรื่องๆ นะ ก็น่าจะดีเพราะช่วยรัฐส่งเสริมรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ แรงงานบุคลากรในสาขานี้ และประหยัดพลังงานมากขึ้นกว่ารถ ICE
e-power ที่พี่พูดถึง มันเป็นรถไฮบริดครับ ยังต้องมีอินเวอร์เตอร์ มีแบตเตอรี่ มีระบบแอร์ เบรค อื่น ๆ ที่เป็นไฟฟ้าอยู่
แต่ก็ว่าแหละ ปัจจุบันรถในกลุ่ม ไฮบริด หรือรถไฟฟ้า มันจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันหมด ตามบทความที่พี่แพนเคยเขียนเอาไว้
ถ้าใช้แบตเตอรี่อย่างเดียว ต้องชาร์จไฟ ตามที่เราเข้าใจว่านี่เท่านั้นที่เป็นรถไฟฟ้า อันนี้อยู่ในหมวด BEV
แต่ถ้ามีเครื่องยนต์มาทำงานด้วยเป็นระบบเดียวกัน กลุ่มนี้เรียกว่าไฮบริด HEV
แต่ถ้ากลุ่มที่มีเครื่องยนต์ร่วมด้วย แต่ชาร์จไฟจากข้างนอกได้ จะเป็น ปลั๊กอินไฮบริด PHEV
ทีนี้ระบบของ e-power มันเป็นไฮบริดแบบอนุกรม หรือ Serial Hybrid
ซึ่งระบบนี้ไม่ใช่ของใหม่ ที่เราเห็นกันอยู่คือหัวจักร ดีเซล-ไฟฟ้า ของ รฟท. ครับ
กับอีกคันที่ใช้ระบบเดียวกัน ต่างแค่ที่ความเร็วสูงขึ้น เขาย้ายเครื่องยนต์จากปั่นไฟจ่ายมอเตอร์ มาเป็นขับตรงลงล้อเลย
นั่นก็คือ I-MMD ไฮบริดของฮอนด้า ใน Accord ครับ
ทีนี้ e-power ในชีวิตจริงจะต่างจากที่พี่จินตนาการตรงที่ เครื่องยนต์ไม่ได้หมุนรอบเดินเบาชิว ๆ ปั่นไฟนิดหน่อย
ก็ได้ไฟมาก ๆ มาป้อนมอเตอร์ให้ลากรถวิ่งฉิวปลิวลมกันแล้ว
แต่ในชีวิตจริงคือ การที่มอเตอร์จะฉุดตัวรถให้วิ่งไปได้ มันกินกระแสไฟมากโขอยู่ เจ้าเครื่องยนต์ที่ทำหน้าที่ปั่นไฟก็ต้องปั่นยิก
เหนื่อยหน่อย ยิ่งเราขับรถเร็วขึ้น มอเตอร์ก็ต้องการไฟมากขึ้น พี่นึกภาพตอนเปิดพัดลมไฟฟ้าที่บ้านพี่ออกมั้ยครับ
- ถ้าพี่เปิดเบอร์แรง ต้องการให้พัดลมหมุนเร็ว ๆ จ่ายลมแรง ๆ มอเตอร์ก็กินไฟมากขึ้น
- ถ้าใบพัดลมพี่มีหลายใบ กินลมมากขึ้น หรือใบเป็นเหล็กไม่ใช่พลาดติก มันคือโหลดมอเตอร์มาก ก็กินไฟมากขึ้น
เครื่องยนต์ที่ต้องปั่นไฟให้มอเตอร์ก็เช่นกันครับ ถ้าต้องปั่นไฟเยอะ ก็ทำงานหนัก กินน้ำมันเยอะเช่นกัน
เว้นแต่ว่าระบบนั้นใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่มีแรงบิดสูงมาก ๆ แค่รอบเดินเบาก็สามารถลากไดนาโมหนืด ๆ ปั่นไฟได้มากมายแล้ว
ในระบบ I-MMD ของ Honda Accord ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0L ปั่นไฟจ่ายให้มอเตอร์เพื่อเอาไปหมุนล้อ
เครื่องตัวนี้ก็ไม่ได้หมุนรอบเดินเบาแบบชิว ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงที่รถมีความเร็วลอยลำระดับเกินร้อย ขึ้นไป
ระบบยังตัดให้เครื่องยนต์ต่อตรงไปขับล้อแทน เพราะน่าจะอยู่ในช่วงที่ใช้ประสิทธิภาพจากนั้ำมันได้ดีกว่า
ตอนนี้ผมมองภาพอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าเปรียบเทียบ รถ 2 คัน เช่น Note 1.2 กับ Note 1.2 e-power
อิมเมจของประสิทธิ์ภาพการใช้น้ำมันน่าจะเป็นลักษณะคือ
ช่วงความเร็วต่ำ อาจจะซักระดับนึง หรือวิ่ง ๆ หยุด ๆ e-power น่าจะประหยัดกว่า
ช่วงความเร็วกลาง ๆ อาจจะซัก 70-100 ทั้งคู่น่าจะสูสี ขึ้นอยู่กับปัจจัยโหลดอื่น ๆ ด้วย
แต่ถ้าความเร็วสูง ซักประมาณเกินร้อยขี้นไป ตัว 1.2L น่าจะประหยัดกว่า e-power ด้วยซ้ำ
อันนี้ผมอนุมานเอานะครับ ถ้ามีรถเทียบกันแบบที่ว่าได้จะเห็นได้ชัดขึ้นครับ
อ้อ! เกือบลืม สำหรับ e-power FC / ผมไม่ได้หมายความว่าระบบมันไม่ดีนะครับ
ระบบมันมีข้อดี/ข้อเสีย ของมัน เพียงแต่มันไม่ได้ประสิทธิภาพสูงครอบคลุมทั่วถึงทุกสภาพการใช้งานของคนทั่วไป
แล้วระบบมันก็ไม่ได้ simple มีอุปกรณ์น้อยชิ้นขนาดนั้น มันยังคงมีอุปกรณ์ที่ระบบไฮบริดทั่วไปต้องมี พร้อมทั้ง
ระบบเครื่องยนต์ ICE ต้องมีอยู่ครบถ้วนครับ
-
หวังว่านิสสันไทย จะตั้งราคาตัวเริ่มต้น เอาไว้ต่ำๆ
-
เจอเหมือนกัน รูปทรงเห็นผ่านตา รู้สึกไม่ชอบเท่าไหร่ ทีแรกยังนึกว่า mg
เหลี่ยมๆตู้ๆ ขาดๆเกินๆ ยังไงไม่รู้ แต่มาทรงนี้น่าจะเน้นใช้งานครบเครื่องนะ
น่าเป็นห่วงจริงๆ ยิ่งปีหน้า cx30 เอย อะไรเอย
ผมว่า. MGสวยกว่าเยอะครับ. รถทรงกล่องเหลี่ยมหลายรุ่นมันก็ยังดูดี สวยกว่านี้นะครับ. อย่างเซเลริโอที่ว่าดูกระป๋องยังดูลงตัวกว่าเยอะเลย แต่งยังไงก็สวย หรือซูซูกิลาปินที่สวยน่ารัก... ส่วนคลิ้กน่าเตะไปไกลๆสมชื่อ. เหมือนทีมออกแบบจะเจาะจงตลาดอินเดียมากไป. หาความสวยไม่ได้ แทนที่จะเอาไมคร่าใหม่มาได้แล้วครับ
ผมว่ามันไม่สวยเล้ย เชยๆล้าสมัยถึงแม้จะ MC แล้ว ส่วนตัวว่าดับอีกรุ่นของนิสสัน :-X
ทำไมไม่เอา New Juke มา หรือว่าตัวนี้ภายในมันกว้างกว่า Juke
ผมว่าหน้าตาโคตรเชยโดยเฉพาะไฟเหลี่ยมๆกระจังหน้าวีโมชั่นทื่อๆยังกะฟันหนูยักษ์
-
ได้ตัว MC มา มุกเดิมๆ เพราะเปิดตัวช้า เลยต้องข้ามมาตัว MC เลย แต่ปัญหาคือ ขายไม่ทันไร ตลาดโลกเปิดตัว all new ใหม่ ความนี้ก็ลำบากเลย ตัวที่ขายในบ้านเรา
-
เปิดตัวช้าตามเคย
และเอาตัวที่เค้าไม่สนกันเข้ามาอยู่นั่น
ไอ้คันที่สวยถูกจริตวัยรุ่นหน่อยไม่เอาเข้ามา
เหมือนnoteกับmicraเลย รอดูกันไปครับท่าน555
-
เปิดตัวเป็น mc เลย
ซิลฟี่อย่าเปิดตัวช้าเป็น mc เลยนะ เดี๋ยวตลาดวายก่อน 8)
-
ดูจากภาพรถละ ไม่ได้มีอะไรจะไปเหนือกว่าคู่แข่งใน ตลาดเดียวกันได้เลย นอกจาก e-Power
ไม่น่าไปได้ไกล