Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: The Mechanics of Emotions ที่ มกราคม 15, 2020, 10:26:07
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
-
แล้วแต่คน แล้วแต่สถานะทางการเงิน
รถยุโรปดีกว่าอยู่แล้ว. แต่เดี๋ยวนี้ ไม่ได้ห่างกันมากเหมือนเมื่อก่อน
-
ไม่จริงครับ ต่างคนต่างมีข้อเสียของตัวมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกให้น้ำหนักอันไหนมากกว่า
สำหรับผมไม่เคยใช้ญี่ปุ่นเลย ผ่านมาหมดทั้ง Benz Audi VW BMW จนได้ลองญี่ปุ่น PPV Suv Dseg เอาตรงๆเลยไม่อยากกลับใช้ยุโรปแล้วครับ ติดใจในความเรียบง่าย ทนถึก ศูนย์บริการดีกว่ายุโรปเยอะ คุ้มค่าทุกบาทที่จ่าย ถ้าจะติตอนนี้เหลือแค่ภายในไม่หรู กับเก็บเสียงห่วย แค่นั้นแหละครับ ถ้าบอกว่ายุโรปดีกว่าทุกด้านไม่จริงแน่นอนครับ
-
ทำไมถึงใช้ไม่ได้เหรอ. พอไปขับแล้วมันคันเหรอ รึยังไง 55
-
ตอนรถชน จะเห็นความแตกต่างได้เยอะสุด
-
ไม่จริงครับ ก่อนหน้านี้ผมใช้แต่รถยุโรป W201 W202 Saab 9000cse E30 E36 XC70 .. ตอนใช้มันก็โอเค แต่พอได้ลองรถญี่ปุ่น มันก็มีความ"ง่าย"ในการดูแล ความ"ทนถึก" ในการใช้งานที่มากกว่า "ฟีลลิ่ง" ที่เดิมๆสู้ไม่ได้ ถ้าเลือกรถที่พื้นฐานดีๆ มันก็พอปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อยู่
-
ทำไมถึงใช้ไม่ได้เหรอ. พอไปขับแล้วมันคันเหรอ รึยังไง 55
ความหมายประมาณว่ารถยุโรปดีกว่าจนไม่อยากไปใช้รถญี่ปุ่นเลย แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยนะ รถญี่ปุ่นก็ดีกว่าคนละด้านครับ
-
ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าไม่นับ lexus
โดยรวมอาจจะหมายถึง ไปใช้รถ premium แล้วไม่กลับไปใช้รถตลาดมากกว่า
ผมมองว่าการเงินของเราพอจับยุโรปได้แล้ว ก็มันไม่ค่อยจะลดลง นอกจากชอตจิงๆ เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปใช้รถ eco อะครับ
ผมจับยุโรปมาก่อน หลังๆมาจบที่ lexus แต่จริงๆแล้ว camry/accord ผมก็ว่าได้อยู่นะ แค่ไม่ชอบที่มันโหลๆหน่อย
แต่เทียบแบบข้าม 10ปีไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารถตลาดมันก็ต้องเพิ่มออปชั่น เพิ่มความสะดวกสบายตามยุคสมัย บอกจับยุโรปเมื่อ 20ปีก่อนแล้วมาจับรถ compact บ้านๆ ปัจจุบันมันก็อาจจะใกล้เคียงอะคับ เทคโนโลยีคนละยุคสมัยเลย
ถ้าจะเทียบ เทียบรถยุคเดียวกัน ส่วนใหญ่ด้วยค่าตัวมันจะใส่ของเล่นกับความสะดวกสบายมาให้เยอะกว่า มันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ถ้าใช้ยุโรปจะกลับไปใช้ญีปุ่่นมันเป็นวลีปลอบใจเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อะไรเทือกนั้น
จะเทียบ cx5 ต้องไปหารถที่มีคาแรคเตอร์คล้ายๆกันแบบ xc60 inscription 'ตัวปัจจุบัน' มาเทียบมากกว่าครับ เอารถคนละประเภท แบบเก่าเป็น 10ปีมาบอกว่ามันไม่ได้ดีกว่าผมว่าไม่ใช่
ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบนุ่มเงียบกว้างสบาย ผมก็บอกสิว่า lexus es ดีกว่า แต่คนชอบแบบสปอร์ตเทโค้ง ก็อาจจะบอก z4 สิดีกว่า
แต่ส่วนตัวผมชอบการขับขี่แบบรถญี่ปุ่นมากกว่านะ แต่ไม่ชอบ interface กับความสะดวกสบายเท่าไหร่ แบบ g20 เดินไปใกล้ๆก็ปลดล็อคแล้วไรงี้ ดีเทลหยุมหยิมอะคับมันทำให้ประทับใจว่าเออคิดมาดีนะ
-
แบ่งแยกทวีปรถกันอีกแล้ว ได้ยินคนโน้นว่าคนนี้ว่า ก็ไม่ใช่ว่าต้องเชื่อจนต้องเก็บมาคิดไปซะทุกอย่าง อย่างแบร์น Lexus นี่ก็รถญี่ปุ่น ประกอบดีกว่า นั่งสบายกว่ารถยุโรปในระดับเดียวกันอีก
เอาราคาเป็นตัวตั้งสิครับ อย่างใช้ซี่รี่ย์3 แล้วไม่อยากไปขับอัลติสมันก็ถูกแล้วจริงมั้ย ไม่ใช่ว่าขับ c class แล้วไม่อยากไปขับซุปปร้า มันก็ไม่ใช่
-
ผมคิดว่าคงหมายถึงสมรรถนะ และฟิลลิ่งครับ
ซึ่งถ้าเป็น7-10ปีก่อน รถตลาดๆหรือรถญี่ปุ่นที่เราใช้
ยังไม่เทียบเท่าทุกวันนี้ บางรุ่นยังพวงมาลัยโหวง
ช่วงล่างลอยๆ ทำให้เกิดความห่างในสมรรถนะ
แต่ทุกวันนี้ช่องว่างนั้นน้อยลงมากแล้วครับ
แต่รถยุโรปก็ขยับหนีด้านอื่นแทน55555
-
ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าไม่นับ lexus
โดยรวมอาจจะหมายถึง ไปใช้รถ premium แล้วไม่กลับไปใช้รถตลาดมากกว่า
ผมมองว่าการเงินของเราพอจับยุโรปได้แล้ว ก็มันไม่ค่อยจะลดลง นอกจากชอตจิงๆ เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปใช้รถ eco อะครับ
ผมจับยุโรปมาก่อน หลังๆมาจบที่ lexus แต่จริงๆแล้ว camry/accord ผมก็ว่าได้อยู่นะ แค่ไม่ชอบที่มันโหลๆหน่อย
แต่เทียบแบบข้าม 10ปีไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารถตลาดมันก็ต้องเพิ่มออปชั่น เพิ่มความสะดวกสบายตามยุคสมัย บอกจับยุโรปเมื่อ 20ปีก่อนแล้วมาจับรถ compact บ้านๆ ปัจจุบันมันก็อาจจะใกล้เคียงอะคับ เทคโนโลยีคนละยุคสมัยเลย
ถ้าจะเทียบ เทียบรถยุคเดียวกัน ส่วนใหญ่ด้วยค่าตัวมันจะใส่ของเล่นกับความสะดวกสบายมาให้เยอะกว่า มันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ถ้าใช้ยุโรปจะกลับไปใช้ญีปุ่่นมันเป็นวลีปลอบใจเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อะไรเทือกนั้น
จะเทียบ cx5 ต้องไปหารถที่มีคาแรคเตอร์คล้ายๆกันแบบ xc60 inscription 'ตัวปัจจุบัน' มาเทียบมากกว่าครับ เอารถคนละประเภท แบบเก่าเป็น 10ปีมาบอกว่ามันไม่ได้ดีกว่าผมว่าไม่ใช่
ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบนุ่มเงียบกว้างสบาย ผมก็บอกสิว่า lexus es ดีกว่า แต่คนชอบแบบสปอร์ตเทโค้ง ก็อาจจะบอก z4 สิดีกว่า
แต่ส่วนตัวผมชอบการขับขี่แบบรถญี่ปุ่นมากกว่านะ แต่ไม่ชอบ interface กับความสะดวกสบายเท่าไหร่ แบบ g20 เดินไปใกล้ๆก็ปลดล็อคแล้วไรงี้ ดีเทลหยุมหยิมอะคับมันทำให้ประทับใจว่าเออคิดมาดีนะ
ขออภัยครับ ผมเทียบรถที่เคยผ่านมือมาน่ะครับ ผมอาจจะเทียบไม่ถูกที่ไปเอารถเก่ามาเทียบกับรถใหม่ แต่อย่างที่บอกครับว่าผมเคยผ่านรถมาไม่มาก จึงเทียบเท่าที่เคยสัมผัสมาครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเล่นๆ ครับ
-
ไม่ยากหรอกที่จะกลับมาใช้รถญี่ปุ่น แต่ส่วนตัวผมมองว่า "อาจจะเลือกมากขึ้น" อาจจะไม่ใช่ญี่ปุ่นคันไหนก็ดีพอๆ กัน แต่เลือกรถที่มีสมรรถนะและคุณภาพกว่าเดิม
แต่ก็ไม่เห็นด้วยนะกับการเทียบ CX-5 vs E90 คือมันต่างยุคต่างปีกันเกินไปหน่อย เกิดเป็น CX-5 2.5L vs E90 2.0d ผลมันก็คงไม่ใช่แบบนั้น หรือจะเป็น CX-5 2.0L vs E90 3.0 V6 มันก็แตกต่างคนละเรื่อง การกำหนดเงื่อนไขของการตัดสินใจต้องอยู่ขอบเขตใกล้เคียงกันถึงจะวัดผลได้ชัดเจนกว่า
-
ส่วนใหญ่ได้ยินจากปากคนแก่ๆ นะครับ .....ประมาณคนที่อายุ60ขึ้นในตอนนี้หนะครับ
-
ถ้าเงินเหลือจริง มีเงินซื้อรถป้ายแดงหลายคัน เปลี่ยนรถบ่อยก่อนที่จะพัง เขาก็ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะลดเกรดลงมา
แต่ถ้าเงินไม่ได้มากขนาดนั้น เจอค่าซ่อม เจอความจุกจิกเข้าไป เห็นถอยกลับมาใช้ญี่ปุ่นก็มีครับ
-
รถพรีเมี่ยมมันก็ดีกว่าในหลายๆด้านจริงๆ อัตราเร่งดี ช่วงล่างแน่น ความปลอดภัยสูงกว่า แต่ก็แลกด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า และแนวโน้มว่าจะจุกจิกกว่า ต้องการการดูแลมากกว่า
พอเป็นรถตลาดๆ อัตราเร่ง ช่วงล่าง ความปลอดภัย ก็ทำได้ดี แต่แค่ไม่ได้ดีเท่า กลุ่มรถพรีเมี่ยม แต่โดยรวมแล้วมันทนกว่า ใช้ไปเถอะไม่ค่อยพัง ถึงเสียก็ไม่ได้แพงจนน่าตกใจแบบยุโปรพรีเมี่ยม
ผมเองเห็นกลับกันนะ รู้สึกว่า คนที่เคยใช้ยุโรปพรีเมี่ยม หลายๆคน เริ่มกลับมาใช้ รถญี่ปุ่นตัวท๊อป แทน
-
ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าไม่นับ lexus
โดยรวมอาจจะหมายถึง ไปใช้รถ premium แล้วไม่กลับไปใช้รถตลาดมากกว่า
ผมมองว่าการเงินของเราพอจับยุโรปได้แล้ว ก็มันไม่ค่อยจะลดลง นอกจากชอตจิงๆ เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปใช้รถ eco อะครับ
ผมจับยุโรปมาก่อน หลังๆมาจบที่ lexus แต่จริงๆแล้ว camry/accord ผมก็ว่าได้อยู่นะ แค่ไม่ชอบที่มันโหลๆหน่อย
แต่เทียบแบบข้าม 10ปีไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารถตลาดมันก็ต้องเพิ่มออปชั่น เพิ่มความสะดวกสบายตามยุคสมัย บอกจับยุโรปเมื่อ 20ปีก่อนแล้วมาจับรถ compact บ้านๆ ปัจจุบันมันก็อาจจะใกล้เคียงอะคับ เทคโนโลยีคนละยุคสมัยเลย
ถ้าจะเทียบ เทียบรถยุคเดียวกัน ส่วนใหญ่ด้วยค่าตัวมันจะใส่ของเล่นกับความสะดวกสบายมาให้เยอะกว่า มันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ถ้าใช้ยุโรปจะกลับไปใช้ญีปุ่่นมันเป็นวลีปลอบใจเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อะไรเทือกนั้น
จะเทียบ cx5 ต้องไปหารถที่มีคาแรคเตอร์คล้ายๆกันแบบ xc60 inscription 'ตัวปัจจุบัน' มาเทียบมากกว่าครับ เอารถคนละประเภท แบบเก่าเป็น 10ปีมาบอกว่ามันไม่ได้ดีกว่าผมว่าไม่ใช่
ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบนุ่มเงียบกว้างสบาย ผมก็บอกสิว่า lexus es ดีกว่า แต่คนชอบแบบสปอร์ตเทโค้ง ก็อาจจะบอก z4 สิดีกว่า
แต่ส่วนตัวผมชอบการขับขี่แบบรถญี่ปุ่นมากกว่านะ แต่ไม่ชอบ interface กับความสะดวกสบายเท่าไหร่ แบบ g20 เดินไปใกล้ๆก็ปลดล็อคแล้วไรงี้ ดีเทลหยุมหยิมอะคับมันทำให้ประทับใจว่าเออคิดมาดีนะ
ผมก็เทียบนะตัวปัจจุบันด้วยกัน 2ปีก่อนตอนก่อนตัดสินใจออกXC60 ผมไปลอง CX5 ดีเซลครั้งนึง เบนซินครั้งนึง ตอนนั้นยังไม่มีข่าวฉาวเลยกำลังจะออก CX5 แล้วมันก็โด่งดังขึ้นมาพอดี เลยได้ไปลอง XC60 ก็จองหลังลองรถเลยครับ หลังจากนั้นเลยติดใจรถ PHEV เลย (ก่อนหน้าใช้แคมรี่ Hybrid คันนึงแต่ยกให้น้องไป)
การขับขี่มันไม่ได้ต่างกันมากหรอก แต่ออพชั่นเครื่องเสียง การตกแต่งความปลอดภัยมันต่างกันมากอยู่ ยอมรับว่ามาสด้าให้ออพชั่นมาเยอะจริงๆสมัยนั้น เทียบกันตัวต่อตัวอาจกินกันไม่ลงด้วยซ้ำ แต่พอได้ขับจริงๆ ยังไงเรื่องความปลอดภัยก็ให้วอลโว่ครับ ล่าสุดโดนมอเตอร์ไซด์แซงปาดหน้าด้านซ้าย รถผมหักพวงมาลัยขวาหลบให้เอง (ผมกำลังตั้งท่าและเริ่มหักพวงมาลัยไปทางซ้าย เพื่อเปลี่ยนเข้าเลนส์ซ้าย) ระบบรถหมุนพวงมาลัยเอาชนะแรงผมครับ
(https://uppic.cc/d/6w9M) (https://uppic.cc/v/6w9M)
ถ้าไม่ได้ระบบรถช่วย มอเตอร์ไซด์คันนั้นคงไปอยู่ใต้ล้อผมละ
ถ้าจะให้เลือก ผมเลือกตามการใช้งานดีกว่าครับ ใช้งานประจำวัน อะไรก็ได้ ญี่ปุ่น ยุโรป
หากใช้ขับเล่น ผมไปยุโรปดีกว่าครับ
ปล ผมเปิดไฟเลี้ยวซ้ายแล้วนะ มาแซงปาดแบบนี้คืออะไร >:(
-
รถแพงกว่าย่อมดีกว่า แต่ถ้าดูเป็นคันๆไป เทียบกันดูแต่ละรุ่นก็จะชัดเจนขึ้นครับ
ตอนนี้ผมมีความคิดจะเปลี่ยน C220d เป็นรถรุ่นอื่น เทียบกับคันอื่นๆในบ้าน ขับไปขับมาไม่สบายนัก
กำลังเล็ง S60 หรือ XC60 หรือ ES hybrids แต่ถ้าประหยัดเงิน อาจไป Accord hybrid ก็ได้ครับ
-
ผมไม่ได้มีประสบการณ์ตรงคับ แต่มีน้าที่รู้จักกันวันหนึ่งแกมาเยี่ยมที่บ้านแล้วเห็น XV จอดอยู่
แกก็เลยเล่าให้ฟังว่าหลายปีก่อนช่วงนึงขับ Benz C220 โฉมที่รูปร่างเหลี่ยมๆหน่อยอยู่พักนึง
แล้วก็ขายไปแล้วมาออก Subaru legacy B4 แทน แล้วก็ใช้มาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปจับรถยุโรปอีก ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้มีรายได้เยอะเหมือนเมื่อก่อน
ให้เทียบกันแกบอกว่า Legacy วิ่งดีกว่า C220 พอสมควร โดยเฉพาะช่วงฝนตกถนนลื่นๆนี่วิ่งฉิว แทบไม่มีใครตามได้
-
ถ้าสมัย 20 - 30 ปีก่อน อาจจะจริง เพราะความต่างด้าน performance ของญี่ปุ่น กับ ยุโรป มันต่างกันค่อนข้างเยอะครับ
ยุคนั้น บ้านผมก็ใช้แต่รถยุโรป .. รถญี่ปุ่นเหรอ ? เอาไว้ให้เซลล์ใช้ วิ่งใกล้ๆ มันบอบบาง มันไม่เกาะถนน ..
EE90 นี่ ออกมาได้ปีเดียว ขายทิ้ง บอกรับไม่ได้ ช่วงล่างห่วยมาก
405 GR รถเยี่ยม เกาะถนนเทพ แต่จุกจิกสุด .. ตอนที่ขายมันไป ระหว่างรถรถใหม่ ตาเสียกระทันหัน ต้องไปบุรีรัมย์ พ่อยืม ST171 ของอา (ใหม่เอี่ยม ณ ตอนนั้น) มาใช้ ... จำได้แม่นว่า พ่อบ่นตลอดทางว่า รถบ้าอะไร เกาะถนนไม่ได้เรื่องร่อน รวมถึง ตัวผมเองก็จำได้ว่า เบาะมันนั่งไม่สบาย สู้ 405GR ไม่ได้เลย
................
จุดเปลี่ยนจริงๆ ของที่บ้าน จะเป็นตอนที่ใช้ 960 2.4 อยู่ แล้วเจอเรื่องเศรษฐกิจ ทำให้ต้องปล่อยยึดรถคันนั้นไป จากนั้นก็จะกลายเป็นญี่ปุ่น ซึ่งคันที่ยอมรับมันได้ ก็จะเป็น CR-V G2 2.0E นี่แหละ ที่พ่อขับแล้วบอกว่า เออ แม้มันจะไม่เท่า 960 หรือ W124 นะ แต่มันก็ดีขึ้นกว่ายุคก่อนนั้นมากมาย สามารถขับทางไกลร่วมพันกม. ได้แบบไม่ล้า เหมือนขับญี่ปุ่นคันอื่นละ แถมด้วยข้อดีคือ ทนทาน ไม่จุกจิก
อันเป็นที่มาของ ตระกูล CR-V กันทั้งบ้าน ไล่กันทุก Gen ตั้งแต่ G1 / G2 / G3 /G4 ครับ
................
สรุปว่า คำพูดนั้น น่าจะหมายถึง ยุค 30 ปีก่อน แต่มายุคปัจจุบันญี่ปุ่นดีขึ้นเยอะมาก ความต่างเรื่องการขับขี่ อาจจะไม่มากมายเท่า ยิ่งถ้ามองในแง่การดูแล การซ่อมบำรุง ยังไงญี่ปุ่นก็ได้เปรียบแหละ
แต่ถามว่า ผมอยากได้ยุโรปไหม ? คำตอบก็คือ อยาก ชีวิตนึง ขอเป็นเจ้าของสักครั้งละกัน
-
ขออภัยที่เทียบรถอาจไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะเทียบรถเก่ากับรถใหม่และราคามือ 1 ก็ต่างกันมากอยู่ เข้าใจครับว่ารถแต่ละคันก็มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันไป ผมเองก็ได้ยินมาจากคนรอบตัวหลายๆ คนที่บอกแบบนี้ ผมก็อยากรู้ว่าในมุมมองของท่านสมาชิกเห็นด้วยไหมกับคำพูดนี้ เพราะผมได้รถมาก็ยอมรับแล้วว่าค่าดูแลมันไม่ได้ถูกแบบรถญี่ปุ่นและระบบหลายๆ อย่างซับซ้อนกว่าญี่ปุ่นมากและไม่ทนด้วย ไม่ดราม่ากันนะครับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพลินๆ ครับ
-
ไม่จริงหรอกครับ เรื่องนี้มีเหตุผลประกอบ แต่พี่ผมก็ไม่กลับมาซื้อรถญี่ปุ่นเลยนะครับ เหตุผลเริ่มจากภาพลักษณ์ของงาน และรายได้พอรายต่าย
-
ใช้คำว่าเทียบระหว่างรถทั่วๆไปกับรถเกรดพรีเมียมน่าจะชัดกว่านะครับ แน่นอนว่าเกรดพรีเมียมย่อมต้องเหนือกว่าชัดเจนในหลายๆด้าน แต่แลกมาด้วยค่าตัว ค่าดูแล และความจุกจิกมากขึ้นด้วย ถ้าสามารถ afford ได้ไม่ลำบาก ก็เชื่อว่าแต่ละคนมีเกณฑ์พิจารณาของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเองในรอบเกือบสามสิบปีมานี้ก็ใช้รถใหญ่ขึ้นและแพงขึ้นเรื่อยๆจนนึกไม่ถึงว่าตัวเองเปลี่ยนแนวคิดไปมากขนาดนี้ ที่สำคัญคือต้องไม่เดือดร้อนการเงิน ยอมรับว่าจะให้กลับไปใช้รถเกรดด้อยลงคงยากครับ
-
ต้องดูเป็นคันๆไปครับ
ปัจจุบันผมใช้ XC60 Inscription ผมก้อรุ้สึกได้ได้ถึงการไม่อยากไปขับรถญี่ปุ่นครับ
ปกติครับ. รถยุโรปใหม่ๆช่วงหลังๆค่อนข้างดีกว่าตามราคา
-
แล้วแต่ความพร้อมทางการเงินและรสนิยมมากกว่าครับ คันแรกของผมก็ยุโรปมือสอง คันที่สองเป็นมือหนึ่งยุ่นรถเล็ก แรกๆก็รู้เลย สมรรถนะ ความปลอดภัย การควบคุมการทรงตัว มันผิดกันจริงๆ พอคันที่ 3 ยังเป็นมือ 1 แต่เลือกเป็น C Segment ที่ใหญ่ขึ้น เออ มันก็ดีขึ้นจริงๆแหละ แต่ถ้ามีเงินก็อยากได้ยุโรปอีกสักคันครับ หลักๆคงเรื่องความปลอดภัยมากกว่า สมรรถนะเดี๋ยวนี้รถญี่ปุ่นก็ดีขึ้นมากสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแล้วครับ
แต่ถ้าเรื่องเปลี่ยนจากยี่ห้อนี้ แล้วไม่มองยี่ห้อนึงอีกเลย อันนี้ผมเป็นครับ เพราะเซลด้วยส่วนหนึ่ง คุณภาพรถก็อีกส่วนนึง :-X
-
หมดยุคแล้วครับตอนนี้รถญี่ปุ่นสมรรถนะไม่ได้ห่างชั้นรถยุโรปเหมือนเมื่อก่อนแล้วแต่เรื่องความสบายใจยังไงญี่ปุ่นก็เหนือกว่าอยู่ดี
-
ไม่จริงครับ แต่เคยได้ยินจากปากบางคนที่จริงๆไม่ได้เน้นสมรรถนะรถหรอกครับ เน้นโชว์คนรอบข้างมากกว่าขึ้น
แล้วลงไม่ได้ สังคมเอเชียยังมีเรื่องหน้าตาในสังคมเป็นสิ่งสำคัญมากๆๆๆๆๆๆ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตเพื่อได้โชว์ ได้
อิจฉาเลยก้ว่าได้ ไม่ใช่ว่า EU & US จะไม่มีนะครับคนลักษณะนี้มีเหมือนกันแต่น้อยกว่า ผมนี่ล่ะครับคนนึงที่
ชอบ BMW ตั้งแต่เด็กถึงขั้นทำlogo ไว้ในห้องนอนพอโตมาที่บ้านก้ใช้แต่รถญี่ปุ่นมาตลอดมีแม่ใช้ volvo
สมัยผมยังอยู่มัธยมแค่นั้น ตอนสมัยเรียนมหาลัยผมก้ใช้รถญี่ปุ่น พอจบเลยลองซื้อ F10 525d มาด้วยความ
ที่ช่วงนั้นดีเซลกำลังมา ดูแรงกว่าเบนซิน ขับ 6 เดือนแรกชอบมากครับแบบรถคันอื่นในบ้านนี่ไม่ขับเลย(แต่ไม่
ชอบพวงมาลัยนะครับ นิ่งแต่อุ้ยอ้ายมาก) ขับทางไกลนิ่งดี 230km/h ก้ชิว แต่เวลาเปลี่ยนเราก้เปลี่ยน5555
ไม่นานรถเบนซินเทอร์โบมา หรือรถเครื่องna อัตราเร่งพอได้มา ผมเบื่อ F10 มากไม่ขับเลยตอนนั้นถ้าซื้อ
528i อาจจะเบื่อน้อยกว่านี้ (เพื่อนผมบอกเตือนแล้วไม่ฟัง) กลายเป็นรถน่าเบื่อเลยครับขับนิ่งๆก้ง่วง อัตราเร่ง
ดีแต่เหยียบครึ่งคันเร่งกับกดเต็มไม่ได้ให้ความรู้สึกดึงต่างกันเท่าไหร่เลย ขายไปตอน 3 ปีกว่าๆ แต่ราคาพอได้
อยู่ครับหลังจากนั้นผมกลับมาใช้รถญี่ปุ่นและทุกคันในบ้าน ในมุมมองผมรถจาก eu ที่ไม่ใช่พวกsupercar ถือ
ว่าดีครับแต่สำหรับผมมันยังไม่คุ้มค่าพอกับราคาที่ห่างกับรถญี่ปุ่น 1 เท่ากว่าๆ ที่ค้องเพิ่มเงินไปสำหรับรถขนาด
เดียวกัน ประมาณนี้ครับถามว่าอนาคตจะกลับไปใช้รถยุโรปอีกมั้ย ไม่แน่แต่ไม่ใช่5 ปีจากนี้แน่ๆ อีกอย่างค่า
บำรุงรักษาเรื่องแพงอันนั้นไม่ต้องลุ้น ที่สำคัญคือราคาอะไรหลายๆอย่างมาแบบงงๆ ผมไม่เชื่อระยะที่bsi
หรือยี่ห้อจะเรียกแบบอื่น ตามระยะที่ยี่ห้อกำหนดในไทยครับ ไทยร้อน ฝุ่น ชื้นมาก ขับตามระยะที่ศูนย์บอก
แล้วใช้รถตลอดพังก่อนแหงๆไม่ว่าจะรถชาติไหน
-
ผมใช้คู่กันอยู่ครับ ทั้งเก๋งยุโรป(หลายคัน BMW รหัส F ทั้งหลาย) และ Fortuner
แต่ละอย่างก็มีข้อดีของมันทั้งนั้น
วิ่งไปจ่ายตลาด ไปธุระหรือทางที่ไม่คุ้นเคย ไปค่ายตลาดญีุ่่ปุ่น ขับไปเรื่อยๆ จอดรถไม่ต้องกังวลมาก ดูแลมันบ้างไม่ดูแลมันบ้าง มันก็ไม่เกเร เป็นรถที่ไว้ใจได้เสมอ
แต่กับการจะไปเที่ยว ขับรถเล่น ไปอตจว. แบบไม่ต้องกลัวรถเสีย ก็ไปรถยุโรป แต่ก็จะรู้สึกหวงรถเป็นพิเศษเพราะมันซ่อมแพง ซ่อมนาน แต่ตอนอยู่บนรถอยู่บนถนน คือขับแล้วมีแต่ความมั่นใจ ความสุข แต่พอลงจากรถแล้ว ก็จะแอบภาวนะว่าอย่ามีอะไรรวนนะ คันอื่นอย่ามาข่วนนะ เพราะเจอมาหลายรอบแล้วที่จอดอยู่ดีๆ พอกลับไปสตาร์ทรถ ไฟโน่นนี่รวนเฉยเลย ทั้งระบบเบรค แบตเตอรี่ กระจกข้าง รวนพวกนี้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
รถทั้งสองแบบของผม ไม่มีปัญหาและไว้ใจได้ทั้งคู่คือจะขับ มันก็สตาร์ทไปได้แน่ๆ แต่ BMW จะชอบไฟโชว์เกี่ยวกับระบบไฟฟ้าที่ไม่เกี่ยวกับการขับเคลื่อน
แต่ถ้าให้ผมเลือกคันเดียว ใช้งานทุกอย่างเลย ผมขอเลือก Toyota ครับ มันรวนน้อยกว่า BMW ที่ซื้อมาทีหลังพอสมควรเลย ขับ Toyota ก็ขับได้ 140 ได้แบบไม่เสียวนัก แต่มันไม่นุ่มหนึบแบบ BMW แน่ๆ คนละโลกเลยก็ว่าได้
แต่ถึง BMW จะนิ่งกว่า นิ่งจนความเร็ว 190 ก็ยังไม่เสียวเท่าไร มันดีจริงแต่มันมีข้อจุกจิก ซ่อมแพง วัสดุละลาย(เวลาจอดตากแดด) พวกนี้ เลยขอจอดที่โรงรถ ที่มีหลังคาร่มๆ ไม่พาไปจอดข้างถนนหรือตามห้างตามปั๊ม ให้กังวลกลัวมีรอยลักยิ้มครับ
-
ขึ้นอยู่กับ ฐานะการเงิน และ ทัศนคติน่ะ
เพื่อนบ้านผม แต่ล่ะหลังอยู่กันมา 20-30 ปี
เห็นเค้าใช้แต่รถยุโรป ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปไหน
วนเวียนไปมา ไม่ว่า Benz Bmw Maserati Aston Martin Bentley Jaguar Land Rover Porsche Volvo Volkswagen
อย่างข้างบ้าน คุณตาที่ซี้กันมาก อยากได้ Peugeot 5008
ผมบอกเอา brand ญี่ปุ่น พวก CRV ศูนย์น่าจะดีกว่า รถน่าจะ Reliable กว่า
คุณตาตอบมาว่า Brand ในดวงใจในชีวิตคือ Peugeot กับ Citroen
Peugeot กลับมาทำตลาดในไทยทั้งที จะไม่เลือกก็กระไรอยู่
ผมก็ยิ้มในใจ
Brand ในดวงใจผม คือ Alfa Romeo กับ Saab หากมีโอกาสก้อยากจะครอบครองเหมือนตาแหละ
-
ส่วนตัวแล้ว เลือกรถตามที่ตัวเองชอบมาโดยตลอด เลยมีโอกาสใช้ทั้งค่ายรถยุโรปและญี่ปุ่นสลับๆกันไปนะคะ
ส่วนสาวๆในบ้าน ให้นั่งรถค่ายญี่ปุ่นเป็นครั้งคราว นั่งได้ แต่ถ้าให้กลับไปใช้อีก ไม่ยอมกลับไปใช้สักคน
ให้เหตุผลหลักๆมาเป็นเรื่องความแข็งแรงของตัวถังค่ะ คนที่บ้านยังไว้ใจรถค่ายยุโรปมากกว่า
ในยุคสมัยที่ Benz/BMW ป้ายแดงเต็มเมืองแบบนี้ เรื่องภาพลักษณ์ที่มากับรถนั้นเป็นเรื่องรองไปแล้วค่ะ ^^
-
คุณภาพแปรตามราคาครับ จขกท. ยกตัวอย่างมันเทียบไม่ได้ เพราะเอารถญี่ปุ่นปีปัจจุบันมาเทียบกับรถยุโรปอายุเกือบ 10 ปี
อายุรถเป็นตัวแปรสำคัญ รถใหม่กับรถที่ใช้มาเกือบ 10 ปี อุปกรณ์หลายตัวเสื่อม แย่กับทรง ไม่มีทางดีเหมือนของใหม่หรอกครับ
ต้องเอาปีปัจจุบันไปเทียบถึงจะสรุปได้ว่าจริงอย่างที่ว่าหรือเปล่า
ปล. คหสต. ถ้าเลือกได้ แม้ว่า LEXUS จะมีคุณภาพไม่ต่างจากรถยุโรป แต่เพราะพลังแบรนด์ ที่มองว่ารถยุโรปดีกว่า
ถ้ามีงบก็อยากใช้ยุโรปมากกว่าครับ
-
มีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้รถยุโรปแล้วอยากกลับไปใช้รถญี่ปุ่นครับ
-
มันก็มีทั้งจริงและไม่จริง
- จริง!! ถ้ามองในแง่ รถเป็นวัตถุ การที่คนเรามีความสามารถขึ้นเรื่อยๆ มีเงินมีทองมากขึ้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องอยากได้ ของที่มีราคาขึ้นเรื่อยๆ ไม่จำเป็นแต่รถยนต์ โทรศัพท์ นาฬิกา เสื้อผ้า ของเล่น ต่างๆนานา ถ้าเรามีกำลังพอที่จะจ่ายให้ของราคาแพงขึ้น เราก็ยินดี และเมื่อใช้ของที่แพงขึ้น คุณภาพต่างๆก็ตามมา มันไม่ใช่ว่าเรากลับไปใช้ของที่ถูกกว่าไม่ได้ แต่เรามีพอที่จะจ่ายได้กับของที่ราคาสูงกว่า ดังนั้นคนๆนึงอาจเริ่มที่ Vios > Altis > Camry > C class
> E Class แล้วเขาไม่กลับไปใช้ Accord อีก ไม่ได้แปลว่า E class มันดักว่าทุกอย่างเหนือ Accord แต่เพราะคนเราเติบโตขึ้น มีฐานะมากขึ้น พอใช้ E class แล้วยังมีมากไปอีก ก็อยากหารถที่ราคามันพอๆ หรือสูงกว่าไปตามฐานะ เช่นอาจย้ายค่ายไป Series7 หรือไป Porche ไปโน่นเลย
- ไม่จริง!! ถ้ามองในแง่คุณภาพรถ ณ ปัจจุบัน เทียบราคา จริงๆรถญี่ปุ่นดีกว่าเดิมมากๆ ใกล้เคียงยุโรปมากๆแล้ว แต่ความถึก ทน ดูแลง่ย ไม่จุกจิก ศ.เยอะ ก็ยังยกให้รถญ่ปุ่นอยู่ดี ตรงนี้ คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า คนใช้ยุโรปหลายคนอลากกลับมาญี่ปุ่น แต่มันติดที่ข้อแรกไงครับ หรือง่ายๆคือมีบางคนที่ จมไม่ลง หรือไม่อยากให้คนอื่นมองว่า คิดผิด ที่ไปใช้รถยุโรป เห็นไหมบอกแล้ว มีเงินอย่างเดัวไม่ได้นะ บลาๆๆๆ
-
...ง่ายๆคือมีบางคนที่ จมไม่ลง หรือไม่อยากให้คนอื่นมองว่า คิดผิด ที่ไปใช้รถยุโรป เห็นไหมบอกแล้ว มีเงินอย่างเดัวไม่ได้นะ บลาๆๆๆ
ทนรวยครับ :P
-
เคยใช้ตราดาวและใบพัด ตอนนี้มาใช้ญี่ปุ่นเล็กซัสละครับ
ฟอร์จูนเนอร์ก็ดี ใช้ทน ลุยน้ำได้ ขนของสบาย ในแบบที่ยุโรปให้ไม่ได้
-
ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก
ถ้าเคยขับรถยุโรปที่ขับดีมาก่อน ต่อมาเปลี่ยนไปใช้รถญี่ปุ่นขับแล้วธรรมดาๆ
คงมีใจคิดถึงฟีลลิ่งการขับขี่ที่ดีมากกว่า
-
ผมเบื่อความไม่ทนและจุกจิก เลยทำให้ขยาดรถยุโรป ตอนนี้ขับรถญี่ปุ่น สบายใจเฉิบ......ไปไหนไปกัน ไม่ต้องกลัวกินข้าวลิงกลางทาง
-
อยู่ที่สภาพเศรษฐกิจของแต่ละคนมากกว่า
ถ้าเงินถึง รถยุโรปมีความหลากหลาย น่าเล่นกว่าเยอะ
-
จากที่ผ่าน X3 2015/W212 bluetech/w207 ดีเซล6สูบ / เบนซ์ตากลม /E90 320i
คันที่ใช้อยู่ตอนนี้คือ RX300 2019 ครับ
ผมอยู่ ตจว ซึ่งเวลาต้อง service รถยุโรปเดี๋ยวนี้มันไม่สะดวกเอาเสียเลย แถม walk in เข้าไปก็ยาก ต้องจองคิวล่วงหน้ากันทั้งนั้น
ก่อนจะออก RX จริงๆแล้วจะซื้อ camry top hb แต่ว่าพนักพิงดันกบาล นั่งไม่สบาย ปวดคอไปหมด เลยต้องไปจบที่ RX ครับ
-
มองในด้านการขับขี่ ช่วงล่าง เกียร์ การประหยัดน้ำมัน
ยุโรปชนะ
มองด้านขนาด ราคา ค่าซ่อมบำรุง ญี่ปุ่นชนะ
อยู่ที่ว่าคนๆนั้น ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง กลับกัน ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง อารมณ์ ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้ แสดงว่ามีเงินเหลือๆ เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล
-
เงินครับ เงินที่ซื้อ + เงินซ่อมบำรุงตามรอบ + ประกันภัยภาคสมัครใจ(ที่จะราคาระดับหนึ่ง) ครับ สุดท้ายแล้วแต่ ภรรเมียแต่ละท่าน จะเห็นชอบหรือไม่ แค่นั้นเอง
-
คำตอบมันอยู่ที่ว่าเอาคำถามนี้ไปถามใคร
ถ้าถามคนที่งบประมาณมีจำกัด มีรถได้แค่คันเดียวต้องรองรับทุกกิจกรรมในครอบครัว ---> คำคอบก็คงเป็นว่าไม่จริงครับ รถญี่ปุ่นมันถูกกว่าตั้งแต่ค่าค่าตัวตอนซื้อ ตามมาด้วยค่าดูแลบำรุงรักษา ซึ่งรถญี่ปุ่นมันถูกกว่าทุกอย่าง
แต่ถ้าถามคนที่มีฐานะทางการเงินสูงกว่านั้น หรืองบประมาณไม่ใช่ปัญหา ในครอบครัวมีรถหลายคัน สลับคันใช้ไปมา ---> ผมว่าค่อนข้างจริงนะ รถยุโรป(ส่วนใหญ่) เหนือกว่ารถญี่ปุ่น (ส่วนใหญ่) ในแทบทุกด้าน ทั้งในด้านภาพลักษณ์ สมรรถนะ ช่วงล่าง ส่วนข้อเสียหลักของมันคือ "แพง" ซึ่งข้อเสียคำว่า "แพง" เพียงข้อเดียวอันนี้ก็กระทบกับผู้บริโภคเกินกว่า 8-90% ของประชากรในประเทศนี้แล้วครับ
คำว่า "แพง" หรือ "งบประมาณไม่พอ" คำนี้เอง ที่ทำให้มนุษย์รู้จักปรับตัว สามารถยอมรับในสิ่งที่ด้อยกว่าได้ เพื่อประหยัดเงินเพื่อเอาไว้ใช้จ่ายอย่างอื่นหรือสะสมเป็นสินทรัพย์เพื่อความมั่นคงของครอบครัว
-
ส่วนตัวตั้งแต่หัดขับรถมาจนถึงปัจจุบัน 15 ปีแล้ว ก็ใช้รถยุโรปมาตลอด แต่มีช่วงหนึ่งพ่อผมคิดยังไงไม่ทราบ ไปออก LS430 มาใช้ ตั้งแต่นั้นก็ติดใจ พอ LS460 ออก ท่านก็เปลี่ยนตาม แล้วก็ใช้มาจนท่านเสียไป จากที่ผมก็ได้ขับรถพ่ออยู่บ้าง ยอมรับในคุณภาพครับ ว่าไม่แพ้รถยุโรปเลย หลายอย่างเหนือกว่าด้วยซ้ำ อย่าง mark levinson ใน LS ผมว่าเสียงดีกว่า burmester ใน panamera อีก การเก็บเสียงก็ดีกว่า แต่ถ้าส่วนตัวจะให้ซื้อ lexus ใช้เองคงไม่ครับ เพราะไม่ชอบ interface เหมือนที่บางท่านกล่าว และรู้สึกว่าราคาขายในบ้านเราแพงไร้เหตุผลเกินไป
แต่ถ้าพูดถึงรถญี่ปุ่นที่ไม่ใช่พรีเมี่ยม ก็ไม่มีเหตุผลให้เปลี่ยนไปใช้ครับ เพราะทุกวันนี้ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่าย ส่วนความจุกจิกก็แทบไม่เจอ เพราะเข้าศูนย์ตามกำหนดทุกครั้ง และเปลี่ยนรถทุก 4-6 ปีอยู่แล้ว
เท่าที่เห็น คนที่ใช้รถยุโรปมาตลอด แล้วไม่ได้เดือดร้อนเรื่องงบประมาณ เวลาจะเปลี่ยนรถคันใหม่ แทบไม่มีใครมองรถญี่ปุ่นหรอกครับ ส่วนใหญ่มองแบรนด์ที่ตัวเองใช้อยู่ก่อน แล้วตามด้วยแบรนด์คู่แข่งระดับเดียวกันหรือสูงกว่าทั้งนั้น
ผมว่ามันคล้ายๆ กับครีมทาหน้าอ่ะครับ ถ้าปกติใช้เคาน์เตอร์แบรนด์อยู่แล้ว โอเคกับผลที่ได้ ไม่เดือดร้อนเวลาซื้อหา แล้วจะไปใช้ครีมที่วางขายในซุปเปอร์มาเก็ตทำไม ทั้งๆ ที่ผลลัพธ์ อาจจะด้อยกว่าแค่นิดหน่อย แต่ราคาต่างกันตั้งหลายเท่า
-
ผมเบื่อความไม่ทนและจุกจิก เลยทำให้ขยาดรถยุโรป ตอนนี้ขับรถญี่ปุ่น สบายใจเฉิบ......ไปไหนไปกัน ไม่ต้องกลัวกินข้าวลิงกลางทาง
ยุคนี้มีรถสไลด์ครับ 55
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง กลับกัน ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง อารมณ์ ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้ แสดงว่ามีเงินเหลือๆ เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล
เข้าใจครับว่ารถต่างกันเกือบ 10 ปี ถ้าในเรื่องของความนิ่งผมว่าไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเรื่องดีไซน์ วัสดุ ความหรูหรา การเก็บเสียง อัตราเร่งที่ต่างกันชัดเจน ที่ผมจะสื่อคือเรื่องช่วงล่างมันไม่ได้ต่างกันแบบที่รู้สึกได้ เช่น altis หน้าหมู -> CX-5 อันนี้คือต่างกันแบบรู้สึกได้ชัดเจน แต่ CX-5 -> E90 รู้สึกคือนิ่งเหมือนกัน แต่บีเอ็มสะเทือนกว่ากันเยอะมาก ช่วงล่างแน่นแต่เข็ง (แก้มเตี้ย+ช่วงล่างสปอร์ต) แต่ที่รู้สึกชัดๆ คือว่ารถเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีอะไรที่เป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆ เช่น ไฟส่องที่มือจับประตู ไฟ cornering light กระจกก้มลงเมื่อเข้า R ไฟส่องเท้า ม่านหลัง ไฟหน้าเลี้ยวตาม welcome light และอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมประทับใจว่า เห้ย รถ 10 ปีที่แล้วยังมีขนาดนี้ ถ้าป้ายแดงไม่ต้องพูดถึง เล่นกันไม่หมดแน่ๆ
ถามว่าต่างไหม มันต่างกันเยอะอยู่แหละครับ แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ
-
คำพูดนั้นอาจหมายถึงหน้าตาในสังคมมั้งครับ
-
ผมใช้ 520i F10 สลับกับ innova crysta เลยครับ
แต่สำหรับคนที่เงินไม่ใช่ตัวแปรในการซื้อรถก็อาจจะจริงนะครับ (คือมีเงินเยอะอะ ก็จะซื้อแต่รถพรีเมี่ยม ถ้าหมดประกันหรือซ่อมบ่อยจุกจิกก็ขายซื้อคันใหม่ ไรเงี้ย)
-
แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ
อ้างแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ คุณเรียกรถญี่ปุ่นทุกคันว่าช่วงล่างดีไม่ได้ เพราะ Toyota, Nissan, Honda ส่วนมากก็ไม่ได้ช่วงล่างดีแบบ Mazda CX5 ที่คุณใช้
กล่าวแบบนี้มันเหวี่ยงแหไปหน่อยครับ
ช่วงล่าง BMW ประมาณ E90 นั่นคือค่อนข้าง peak ของการเกาะถนนแล้วครับ ต่อมา F30 ก็เน้นนุ่มขึ้น เกาะลดลงนิดนึง การที่คุณเทียบซีรี่3 กับ CX5 มันคือเทียบรถ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่ารถยุโรปหรือรถญี่ปุ่นเลย แล้วยิ่งเอา premium brand ไปเทียบกับค่ารถบ้าน มันไม่ค่อยถูก
แต่เรื่องเทคโนโลยี Mazda, Toyota หรือใครๆ ก็ทำให้รถเกาะเป็นตุ๊กแกได้ครับ Supra, GTR, NSX พวกนี้ เกาะถนนแน่ๆ แบบนี้ไม่บอกว่า Toyota, Honda, Nissan เกาะกว่ารถยุโรปเลยหรือ (หากไปเทียบกับ X1, GLA)
-
ประเด็นนี้น่าสนใจ อ่านความเห็นเพื่อนๆ ก็ได้มุมมองที่หลากหลายดี ผมขอแสดงความเห็นอย่างนี้แล้วกันครับว่า รถแต่ละคันมันมีบุคลิกเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ถ้าบุคลิกนั้นถูกจริตและตรงกับวิถีชีวิตเรา เราก็จะมองว่ารถคันนั้นดีนะ มันเป็นเหตุผลของความรู้สึกล้วนๆ แต่หลักๆคือ คุณภาพมันก็ตามเงินที่จ่ายไปตอนซื้อรถใหม่นั่นแหละครับ เป็นธรรมดา
สมัยก่อนผมเคยใช้ BMW E36 และยังมี Nissan Presea รถนำเข้าทรงสปอร์ทซีดานเครื่อง SR20 จากโรงงานอีกคัน
E36 ขับดีกว่า Presea มากๆ ในทุกเรื่อง จน Presea กลายเป็นรถสำรองไปเวลา E36 ป่วย ก็อาจจะตอบคำถามของเจ้าของกระทู้ได้ว่า รถยุโรปในยุคก่อนดีกว่ารถญี่ปุ่นในเรื่อง Performance จริง และมั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า เหล็กแข็งกว่า
อันที่จริงผมใช้แต่รถยุโรปมาตลอด แล้วก็เจ็บตัวกับมันมาตลอด ฮ่าๆ แต่ช่วงหลังผมได้ซื้อ Accord G8 ต่อจากเพื่อน ซึ่งเป็นรถญี่ปุ่นคันเดียวในบ้าน นอกนั้นเป็นยุโรป (Peugeot 406 และ 407) ผมว่า ยังไง 406 407 ก็ขับดีกว่า หนักแน่น นั่งสบายกว่า แม้ว่ารถจะเก่ากว่าและคันเล็กกว่า G8 นิดๆก็ตาม แต่ G8 มันก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถญี่ปุ่นในสายตาผมไปพอสมควร การขับขี่ performance มันดีขึ้นมากแล้ว ในขณะที่ reliability ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนตัวผมให้สอบผ่าน และเป็นตัวอย่างได้ดีว่า เดี๋ยวนี้รถญี่ปุ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่แล้วนะ เผลอๆ อนาคตน่าจะทำมาสูสีกันด้วยซ้ำ
ป.ล. รถเกาหลีล่ะ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย.......
-
แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ
อ้างแบบนี้ก็ไม่ถูกนะครับ คุณเรียกรถญี่ปุ่นทุกคันว่าช่วงล่างดีไม่ได้ เพราะ Toyota, Nissan, Honda ส่วนมากก็ไม่ได้ช่วงล่างดีแบบ Mazda CX5 ที่คุณใช้
กล่าวแบบนี้มันเหวี่ยงแหไปหน่อยครับ
ช่วงล่าง BMW ประมาณ E90 นั่นคือค่อนข้าง peak ของการเกาะถนนแล้วครับ ต่อมา F30 ก็เน้นนุ่มขึ้น เกาะลดลงนิดนึง การที่คุณเทียบซีรี่3 กับ CX5 มันคือเทียบรถ แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับคำว่ารถยุโรปหรือรถญี่ปุ่นเลย แล้วยิ่งเอา premium brand ไปเทียบกับค่ารถบ้าน มันไม่ค่อยถูก
แต่เรื่องเทคโนโลยี Mazda, Toyota หรือใครๆ ก็ทำให้รถเกาะเป็นตุ๊กแกได้ครับ Supra, GTR, NSX พวกนี้ เกาะถนนแน่ๆ แบบนี้ไม่บอกว่า Toyota, Honda, Nissan เกาะกว่ารถยุโรปเลยหรือ (หากไปเทียบกับ X1, GLA)
ขออภัยครับท่าน ผมอาจพิมพ์สื่อความไม่ชัดเจน กลายเป็นเหมารวม ในที่นี้ผมเปรียบเทียบคันที่ผมได้สัมผัสมาน่ะครับ ผมเข้าใจที่คุณอธิบายมานะ และผมเปรียบเทียบได้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ไม่ได้อยู่ใน segment เดียวกัน และต่างปีกันเยอะครับ แค่จะสื่อว่าความนิ่งของช่วงล่าง CX-5 ที่เป็น suv ญี่ปุ่น ไม่ได้ต่างกันเยอะกับ e90 ครับผม แต่อย่างอื่นต่างกันพอสมควรครับ
-
ประเด็นนี้น่าสนใจ อ่านความเห็นเพื่อนๆ ก็ได้มุมมองที่หลากหลายดี ผมขอแสดงความเห็นอย่างนี้แล้วกันครับว่า รถแต่ละคันมันมีบุคลิกเฉพาะตัวแตกต่างกันไป ถ้าบุคลิกนั้นถูกจริตและตรงกับวิถีชีวิตเรา เราก็จะมองว่ารถคันนั้นดีนะ มันเป็นเหตุผลของความรู้สึกล้วนๆ แต่หลักๆคือ คุณภาพมันก็ตามเงินที่จ่ายไปตอนซื้อรถใหม่นั่นแหละครับ เป็นธรรมดา
สมัยก่อนผมเคยใช้ BMW E36 และยังมี Nissan Presea รถนำเข้าทรงสปอร์ทซีดานเครื่อง SR20 จากโรงงานอีกคัน
E36 ขับดีกว่า Presea มากๆ ในทุกเรื่อง จน Presea กลายเป็นรถสำรองไปเวลา E36 ป่วย ก็อาจจะตอบคำถามของเจ้าของกระทู้ได้ว่า รถยุโรปในยุคก่อนดีกว่ารถญี่ปุ่นในเรื่อง Performance จริง และมั่นใจในความปลอดภัยมากกว่า เหล็กแข็งกว่า
อันที่จริงผมใช้แต่รถยุโรปมาตลอด แล้วก็เจ็บตัวกับมันมาตลอด ฮ่าๆ แต่ช่วงหลังผมได้ซื้อ Accord G8 ต่อจากเพื่อน ซึ่งเป็นรถญี่ปุ่นคันเดียวในบ้าน นอกนั้นเป็นยุโรป (Peugeot 406 และ 407) ผมว่า ยังไง 406 407 ก็ขับดีกว่า หนักแน่น นั่งสบายกว่า แม้ว่ารถจะเก่ากว่าและคันเล็กกว่า G8 นิดๆก็ตาม แต่ G8 มันก็เปลี่ยนภาพลักษณ์ของรถญี่ปุ่นในสายตาผมไปพอสมควร การขับขี่ performance มันดีขึ้นมากแล้ว ในขณะที่ reliability ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง ส่วนตัวผมให้สอบผ่าน และเป็นตัวอย่างได้ดีว่า เดี๋ยวนี้รถญี่ปุ่นก็ไม่ได้ขี้เหร่แล้วนะ เผลอๆ อนาคตน่าจะทำมาสูสีกันด้วยซ้ำ
ป.ล. รถเกาหลีล่ะ ไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย.......
ถูกต้องเลยครับ สำหรับผมพึ่งจะมีโอกาสได้สัมผัสรถยุโรปเป็นคันแรก บอกได้เลยว่า e90 ขับดีกว่า CX-5 แต่ไม่ได้ถึงขนาดว่าหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนั้น ในชีวิตประจำวันถ้าให้เลือกขับ 2 คันนี้ ผมขับ CX-5 แน่นอน ไม่ใช่ว่า e90 ขับไม่ดี แต่เพราะมันแข็งมากและกินน้ำมันมาก พวงมาลัยมันหนัก ไม่คล่องตัวเวลาขับในเมือง เจอถนนกทมแล้วจุก และรถมันเตี้ยครับ แต่ถ้าขับเล่นๆ ไป BMW แน่นอนครับ ขับมันส์กว่า เครื่องแรงกว่ากันเยอะ โคลงตัวน้อยกว่า เหมาะกับออกต่างจังหวัดยิงยาวๆ แบบนี้เหมาะมากครับ
รถแต่ละคันมันก็มีบุคลิกต่างกันอยู่แล้ว ผมเข้าใจตรงนี้ครับ แค่นำมาเล่าให้ฟังเล่นๆ ว่ามันเป็นยังไงครับผม
-
ไม่จริงล้านเปอร์ ข้อดีคนละด้านแบบเห็นชัดๆ ก็แล้วแต่คนจะเลือก
คิดง่ายๆ ถ้าคนมีทางเลือก เค้าจะมาปิดกั้นตัวเองเพียงแค่สัญชาติรถทำไม คือแค่คิดสักนิดก็ไม่น่าเชื่อตั้งแต่แรกแล้วไอ้คำที่ว่า หลายๆบ้านมีรถพรีเมี่ยมยุโรปเต็มบ้าน ก็ยังมีอัลพาร์ดจอดอยู่ด้วย :-\
ส่วนเรื่องสมรรถนะก็แล้วแต่ความพอใจ หลายๆคน(อาจเป็นส่วนใหญ่ซะด้วย)ที่ใช้รถยุโรปไม่ได้มองเรื่องสมรรถนะเป็นหลักด้วยซ้ำ
-
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ไม่ต้องพิมพ์เอง ขอบคุณครับ
ส่วนตัวผ่านรถญี่ปุ่น B C D และยุโรปคอมแพ็ก (ทั้งยุคเก่าและใหม่) มาแล้วครับ
ก็ไม่ขนาดนั้น ถ้าไม่นับ lexus
โดยรวมอาจจะหมายถึง ไปใช้รถ premium แล้วไม่กลับไปใช้รถตลาดมากกว่า
ผมมองว่าการเงินของเราพอจับยุโรปได้แล้ว ก็มันไม่ค่อยจะลดลง นอกจากชอตจิงๆ เลยไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกลับไปใช้รถ eco อะครับ
ผมจับยุโรปมาก่อน หลังๆมาจบที่ lexus แต่จริงๆแล้ว camry/accord ผมก็ว่าได้อยู่นะ แค่ไม่ชอบที่มันโหลๆหน่อย
แต่เทียบแบบข้าม 10ปีไม่ได้ครับ เอาเป็นว่ารถตลาดมันก็ต้องเพิ่มออปชั่น เพิ่มความสะดวกสบายตามยุคสมัย บอกจับยุโรปเมื่อ 20ปีก่อนแล้วมาจับรถ compact บ้านๆ ปัจจุบันมันก็อาจจะใกล้เคียงอะคับ เทคโนโลยีคนละยุคสมัยเลย
ถ้าจะเทียบ เทียบรถยุคเดียวกัน ส่วนใหญ่ด้วยค่าตัวมันจะใส่ของเล่นกับความสะดวกสบายมาให้เยอะกว่า มันก็ย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
ถ้าใช้ยุโรปจะกลับไปใช้ญีปุ่่นมันเป็นวลีปลอบใจเหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก อะไรเทือกนั้น
จะเทียบ cx5 ต้องไปหารถที่มีคาแรคเตอร์คล้ายๆกันแบบ xc60 inscription 'ตัวปัจจุบัน' มาเทียบมากกว่าครับ เอารถคนละประเภท แบบเก่าเป็น 10ปีมาบอกว่ามันไม่ได้ดีกว่าผมว่าไม่ใช่
ดีแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมชอบนุ่มเงียบกว้างสบาย ผมก็บอกสิว่า lexus es ดีกว่า แต่คนชอบแบบสปอร์ตเทโค้ง ก็อาจจะบอก z4 สิดีกว่า
แต่ส่วนตัวผมชอบการขับขี่แบบรถญี่ปุ่นมากกว่านะ แต่ไม่ชอบ interface กับความสะดวกสบายเท่าไหร่ แบบ g20 เดินไปใกล้ๆก็ปลดล็อคแล้วไรงี้ ดีเทลหยุมหยิมอะคับมันทำให้ประทับใจว่าเออคิดมาดีนะ
-
ลองเทียบที่ segmentเดียวกัน ปีใกล้ๆกันจะเห็นภาพชัดกว่าครับ
-
ผมว่าขึ้นกับกำลังเงินในกระเป๋าเป็นหลักครับ
คนส่วนใหญ่ก็จะปรับตัวเข้ากับฐานะได้เองครับ
-
ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา
ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ
-
ถ้าพูดถึงยุค E9x ผมว่าช่วงล่าง BMW ซีรี่ย์ 3 ตอนนั้นเรียกว่าแทบจะไม่มีคู่แข่งเทียบได้ครับ ฟีลลิ่งอาจจะไม่ถึงกับหนักแน่นมากแต่ถ้าได้ลองความเร็วสูงๆหรือโค้งเยอะๆจะรู้เลยว่ารถเซ็ทมาเยี่ยมเลยทุกอย่างทำงานสมานกันหมด E90 ถ้าช่วงล่างสมบูรณ์ขับทางตรงไกลๆอาจจะไม่แตกต่างจากรถใหม่ๆแต่ถ้าลองไปขับต่างจังหวัดเล่นโค้งเยอะๆจะรู้เลยครับว่ารถเซ็ทมาดีขนาดไหน ผมเคยมีคันนึงยังประทับใจอยู่เลยและชอบมากกว่า F30 328i ที่เคยมีหลังจากนั้น
-
ผมก็หนี Benz Volvo Bmw ไปหาLexus
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
แล้วถ้าผมบอกว่า ลองถ้าพี่ได้ขับมาสด้าแล้ว จะไม่กลับไปขับโตโยต้าอีก พี่คิดว่ายังไงอ่ะครับ
คืออารมณ์มันประมาณพี่เปลี่ยนจากอัลติสหน้าหมูมาเป็น CX-5 แล้วพี่แบบโห.. มันคนละโลกกันเลย
เพราะโตโยต้าในภาพจำของพี่มันคือแบบหน้าหมู
แต่ถ้าพี่ไปพูดกับคนอื่น เขาก็อาจจะบอกว่า เออ C-HR กับ CX-3 มันก็ไม่ถึงกับต่างกันคนละโลกนะ
อะไรแบบนี้อ่ะครับ
-
เห็นด้วยเลยครับ เคยดูคลิปรีวิวนึง ผญ ขับ Fortuner โดนถามว่าทำไมถึงเลือก คำตอบคือ เพราะชอบ คันเก่าก็ใช้ Fortuner ขับเยอะด้วยนะครับ 2 ปี แสนโลกว่า ๆ
ส่วนความเห็นผมง่าย ๆ ครับ ผมจะเลือกรถที่ขับทน (ใช้ได้นาน ๆ) มากกว่ารถที่ต้องทนขับ
ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา
ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ
-
ในความเห็นของผม ขึ้นกับคนขับแต่ละคนเลยว่า มีความคิดกับการใช้รถอย่างไร บางคนคิดแค่ว่ารถคือสิ่งที่นำเราจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้รถตลาด ที่ไม่จุกจิก ราคาไม่แพงมาก เพื่อลดความเสี่ยงด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพและความเชื่อถือได้ของตัวรถ คุณภาพศูนย์บริการ ค่าบำรุงรักษา ราคาขายต่อ เน้นแค่ว่าการใช้รถอย่ามาทำให้เขาปวดหัวก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนี้สามารถกลับไปใช้รถตลาดได้อย่างไม่มีปัญหา
ในทางกลับกัน คนขับที่มองว่ารถเป็นยิ่งกว่ายานพาหนะ คนกลุ่มนี้มักคิดว่าการขับรถคือความสุข ความสนุก fun to drive หรือคิดว่ารถคือบ้านบนถนน แค่ขับชิลๆฟังเพลงเพราะๆก็มีความสุขคลายเครียดสมองปลอดโปร่ง คนกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะไม่กลับไปใช้รถตลาด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นถ้าได้ใช้รถที่ตัวเองชอบ ขับแล้วฟินทุกครั้ง ซึ่งแน่นอนต้องแลกกับราคาค่าตัวค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า คนกลุ่มนี้จะมีความไวหรือ sensitive ต่อทุกๆอาการหรือการตอบสนองของรถ แค่สิ่งที่แตกต่างกัน ถึงอาจจะไม่มากสำหรับคนกลุ่มด้านบน แต่คนกลุ่มหลังถึงกลับหมดความฟินในการขับรถทีเดียว อารมณ์เทียบได้ประมาณการขับรถไปทำงานเครียดๆรถติดๆใน กทม กับการขับรถเที่ยวทะเลภูเขาชิลๆ บอกเป็นนัยๆสำหรับคนกลุ่มนี้คือ คุณภาพรอบด้านของ D-seg ตัว Top ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานของเขาครับ
ผมเป็นคนกลุ่มหลังเลยครับ รถเป็นมากกว่ายานพาหนะ เหมือนของรักของหวงชิ้นนึงเลยครับ
-
ถ้าพูดถึงยุค E9x ผมว่าช่วงล่าง BMW ซีรี่ย์ 3 ตอนนั้นเรียกว่าแทบจะไม่มีคู่แข่งเทียบได้ครับ ฟีลลิ่งอาจจะไม่ถึงกับหนักแน่นมากแต่ถ้าได้ลองความเร็วสูงๆหรือโค้งเยอะๆจะรู้เลยว่ารถเซ็ทมาเยี่ยมเลยทุกอย่างทำงานสมานกันหมด E90 ถ้าช่วงล่างสมบูรณ์ขับทางตรงไกลๆอาจจะไม่แตกต่างจากรถใหม่ๆแต่ถ้าลองไปขับต่างจังหวัดเล่นโค้งเยอะๆจะรู้เลยครับว่ารถเซ็ทมาดีขนาดไหน ผมเคยมีคันนึงยังประทับใจอยู่เลยและชอบมากกว่า F30 328i ที่เคยมีหลังจากนั้น
ผมพึ่งได้มาเองครับ วิ่งแค่ทางตรงเร็วๆ แต่พวกสาดโค้งหนักยังไม่มีโอกาสครับ ถ้าได้ลองโค้งเยอะอาจรู้ถึงความต่างกว่านี้ครับ
-
ที่บ้านเคยใช้ 940GLE เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ+O/D ปุ่มกดตรงหัวเกียร์
ยุคนั้นรถยุโรปขับไปไหน มันโก้ครับ ใครๆก็มอง การทรงตัวย้วยๆหน่อย อัตราเร่งไปเรื่อยๆ แต่ความหนักแน่นตัวรถดีมาก
ที่ทนไม่ไหวค่าซ่อม แพงจับจิต ระบบไฟฟ้ารวนสะบัด สวิตช์ไฟหน้าเปิดไม่ติดต้องรี้อทั้งระบบ ทั้งๆที่ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับมัน
เกียร์ O/D ก้ไม่ค่อยยอมจะเข้า ต้องทนวิ่งเกียร์ 4 เป็นเกือบร้อยโล กว่าจะยอมเข้าเกียร์ O/D ได้
แร็คและช่วงล่างหน้าอ่อนแอมาก ใช้ไม่นานก็หลวม โช้คอัพคู่หน้าของ Sach แพงมาก เรียกว่าเข้าศูนย์ทีนึงตัวเบาหวิว (เข้าเสร็จเที่ยว NASA ต่อ ฮ่าๆ)
รวมถึงการกินน้ำมันจากเครื่อง B230F ที่ซดเอาเรื่อง ขับย่องให้ตายยังไงก็ไม่เกิน 12 โล/ลิตร
ขนาดเติมน้ำมัน 92 ก็ยังกิน (สเปคให้เติม 97 ไม่ไหวหรอกครับ แพงเกิน)
ทนใช้ไปอีกนิดนึงอัลติสหน้าหมูเปิดตัว ขายวอลโว่ที้งครับ กลับไปซี้อรถญี่ปุ่นตามเดิม
ซึ่งพอใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันเบาๆ ไม่แน่นหนาเหมือน 940 ก็จริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการกินน้ำมัน และ ค่าบำรุงรักาษาที่เป็นมิตร
เลยขับรถญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพื่อนที่รู้จักเป็นกัปตันค่ายสิงโตแถวดอนเมือง (ย้ายมาจากบางกอก) เพิ่งออกวอลโว่ XC60T8 407 แรงม้า เพราะตัวเค้าเองก็เปลื่ยนจากรถญี่ปุ่นมา
รอดูการใช้งานไปพักนึงก่อนครับว่าจะเป็นยังไง ถ้าใช้ดีผมอาจจะกลับไปค่ายยุโรปอีกรอบนึงก็ได้ครับ
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
แล้วถ้าผมบอกว่า ลองถ้าพี่ได้ขับมาสด้าแล้ว จะไม่กลับไปขับโตโยต้าอีก พี่คิดว่ายังไงอ่ะครับ
คืออารมณ์มันประมาณพี่เปลี่ยนจากอัลติสหน้าหมูมาเป็น CX-5 แล้วพี่แบบโห.. มันคนละโลกกันเลย
เพราะโตโยต้าในภาพจำของพี่มันคือแบบหน้าหมู
แต่ถ้าพี่ไปพูดกับคนอื่น เขาก็อาจจะบอกว่า เออ C-HR กับ CX-3 มันก็ไม่ถึงกับต่างกันคนละโลกนะ
อะไรแบบนี้อ่ะครับ
เข้าใจตรงนี้ครับ แต่ที่ผมนำมาเปรียบเทียบคือรถที่ได้ใช้เองทั้งหมดอ่ะครับ ไม่ได้ตั้งใจจะเอารถราคา 2-3 ล้านเทียบรถบ้านหรอกครับ แน่นอนว่าราคาแพงย่อมดีกว่า แค่อยากเล่าให้ฟังว่าต่างจากคันเก่าที่เคยใช้ยังไงบ้าง แต่ตอนนั้น altis ช่วงล่างมันแย่มากครับ จนมาลองมาสด้าถึงเข้าใจว่าช่วงล่างดีๆ เป็นยังไง แต่ตอนนี้ tnga ก็ไม่ธรรมดาแล้วครับ ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมากๆ ได้ทั้งนุ่มและหนึบ
-
ที่บ้านเคยใช้ 940GLE เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ+O/D ปุ่มกดตรงหัวเกียร์
ยุคนั้นรถยุโรปขับไปไหน มันโก้ครับ ใครๆก็มอง การทรงตัวย้วยๆหน่อย อัตราเร่งไปเรื่อยๆ แต่ความหนักแน่นตัวรถดีมาก
ที่ทนไม่ไหวค่าซ่อม แพงจับจิต ระบบไฟฟ้ารวนสะบัด สวิตช์ไฟหน้าเปิดไม่ติดต้องรี้อทั้งระบบ ทั้งๆที่ไม่เคยไปยุ่งอะไรกับมัน
เกียร์ O/D ก้ไม่ค่อยยอมจะเข้า ต้องทนวิ่งเกียร์ 4 เป็นเกือบร้อยโล กว่าจะยอมเข้าเกียร์ O/D ได้
แร็คและช่วงล่างหน้าอ่อนแอมาก ใช้ไม่นานก็หลวม โช้คอัพคู่หน้าของ Sach แพงมาก เรียกว่าเข้าศูนย์ทีนึงตัวเบาหวิว (เข้าเสร็จเที่ยว NASA ต่อ ฮ่าๆ)
รวมถึงการกินน้ำมันจากเครื่อง B230F ที่ซดเอาเรื่อง ขับย่องให้ตายยังไงก็ไม่เกิน 12 โล/ลิตร
ขนาดเติมน้ำมัน 92 ก็ยังกิน (สเปคให้เติม 97 ไม่ไหวหรอกครับ แพงเกิน)
ทนใช้ไปอีกนิดนึงอัลติสหน้าหมูเปิดตัว ขายวอลโว่ที้งครับ กลับไปซี้อรถญี่ปุ่นตามเดิม
ซึ่งพอใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันเบาๆ ไม่แน่นหนาเหมือน 940 ก็จริง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการกินน้ำมัน และ ค่าบำรุงรักาษาที่เป็นมิตร
เลยขับรถญี่ปุ่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เพื่อนที่รู้จักเป็นกัปตันค่ายสิงโตแถวดอนเมือง (ย้ายมาจากบางกอก) เพิ่งออกวอลโว่ XC60T8 407 แรงม้า เพราะตัวเค้าเองก็เปลื่ยนจากรถญี่ปุ่นมา
รอดูการใช้งานไปพักนึงก่อนครับว่าจะเป็นยังไง ถ้าใช้ดีผมอาจจะกลับไปค่ายยุโรปอีกรอบนึงก็ได้ครับ
เข้าใจความรู้สึกเลยครับ ตอนผมใช้ altis ก็โล่งใจแบบมากๆ ไม่เคยกังวลเลยว่ารถจะเสียที่ไหน ค่าดูแลก็ไม่แพง เสียตรงมันขับไม่ดี ตอนใช้มาสด้าก็ต้องศึกษาข้อมูลมากขึ้น เช็คนั่นนี่บ่อยขึ้น ยิ่งพอมี BMW เพิ่มเหมือนโรคจิตเลยครับ ดูนั่นดูนี่ หาอะไหล่ หาอู่ ดู youtube DIY แทนที่ชีวิตจะง่ายขึ้นกลับเยอะเรื่องขึ้น แต่ได้มองรถก็มีความสุขแล้วครับ
-
ไม่เคยมียุโรปในบ้านเป็นจริงเป็นจังนะครับ เคยเมื่อนานมาแล้วคือ freelancer.ระยะเวลาสั้นและผมเองยังขับรถไม่ได้คล่องซึ่งให้เทียบกับที่บ้านเคยมีคือ Ford escape ผมว่า escape โดยรวมมันดีกว่า มันคล่องกว่าหนึบกว่า แพ้แค่เครื่องยนต์กับเกียร์ แต่เทคโนโลยีก็ห่างกันสมควร
พอเปลี่ยนมา Ford ก็ไม่อยากกลับไปใช้ land roverอีกขยาดค่าซ่อม
แต่จับยุโรปได้บ่อยๆ คือ E90 ของเพื่อนกับfocus mk2ของที่บ้าน bm เข้าโค้งได้เท่าไหร่กัสก็พาไปได้เท่านั้น อย่างโค้งขึ้นทางด่วนด่านสุขาภิบาล5ไปวงแหวน
เอา E90เข้าได้ 95 กัสจังก็ได้เท่ากัน แต่มันคงไปแตกต่างกันตรงความสุนทรีย์ e90เหมือนเพื่อนมากกว่ามีความรู้สึกเป็นส่วนนึงของรถมากกว่าซึ่งนิดเดียวจริง
(ที่ยอมเลยคือ เบรค bmwดีกว่า)
ถ้าถามผมระหว่างถ้าให้ผมออกเงินซื้อE90 320d กับ Focus Tdci.ผมจิ้มโฟกัสอย่างไม่ลังเล เพราะส่วนต่างมันไม่ได้ตอบโจทย์ผมมากขนาดนั้น ผมไม่เอารถไปอวดใคร ไม่มีต้องจอดแล้วสาวมอง
อ้อลืม ฟอร์ดนี่เมกันไม่รู้เอามาเทียบได้ไหม
-
ผมได้ยินหลายๆ คนบอกว่าถ้าได้ใช้รถยุโรปแล้วจะไม่ยอมไปขับรถญี่ปุ่นอีกเลยนี่มันจริงไหมครับ หลายๆ ท่านในนี้น่าจะได้สัมผัสทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรปมากกว่าผมเยอะ มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองใช้ CX-5 2.0 ตัวเก่าอยู่ และพึ่งซื้อ BMW E90 325i M Sport ปี 10 เข้ามาเพิ่ม ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้นนะ ที่ต่างกันก็พวก option ที่ BMW มีมาให้มากกว่า แต่บางอย่าง BMW ก็ไม่มีเหมือน Mazda โดยการขับขี่ผมว่าความมั่นคงแทบไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือความแข็งของช่วงล่าง จากที่เคยคิด CX-5 ก็ช่วงล่างแข็งพอประมาณแล้ว พอไปขับ BMW นี่คนละเรื่องเลย เจอรอยต่อถนน หรือถนนเป็นคลื่นพ่อแม่นั่งทีบ่นอุบเลยครับ มันสะเทือนมาก (ช่วงล่าง M Sport) กลายเป็นว่า CX-5 นั่งนุ่มซับแรงได้ดีกว่าเยอะ น้ำหนักพวงมาลัยกลายเป็นว่า CX-5 เบามาก คล่องตัวมากในเมือง แต่ E90 พวงมาลัยมันหนักเลยทำให้ไม่รู้สึกคล่องตัวเท่าไหร่ เรื่องเครื่องยนต์ 325i เดินเบานิ่งกว่า CX-5 แต่ตอนออกตัว BMW กลับวิ่งไม่ค่อยออกในเกียร์ 1 จะไปมีกำลังหลังเกียร์ 2 เป็นต้นไป และการเซ็ตคันเร่งไม่ฉับไวเหมือน CX-5 สามารถใช้เท้าคุมให้ลด 1 เกียร์ 2 เกียร์ได้ง่ายกว่า แต่ BMW กดไปนิดนึงยังไม่ค่อยตอบสนอง ถ้ากดลึกไปหน่อยก็รอบก็จะโดดขึ้นเยอะไป ทำให้มันแรงเกินไปหน่อย แต่อัตราเร่งต่างกันเยอะครับ BMW นี่เข็มความเร็วกวาดขึ้นง่ายๆ เลย อีกอย่างนึงที่ต่างกันชัดคือการเก็บเสียง BMW เงียบกว่าเยอะ เสียงลมวิ่ง 140 ถึงจะมีเข้ามาเบาๆ แต่ CX-5 วิ่ง 110 นี่ก็มีฟิ้วๆ ละครับ 140 นี่หูตึงเลยทีเดียว
สำหรับผมมันก็ดีกันคนละด้านนะ แต่เอาตรงๆ ความนิ่งของช่วงล่างไม่ค่อยต่างกันมาก แต่ถ้าตอนผมใช้ altis หน้าหมูแล้วเปลี่ยนมา CX-5 มันต่างกันคนละโลกเลย แต่พอ CX-5 ไป BMW ไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ สำหรับผมนะ ท่านสมาชิกน่าจะเคยผ่านรถมามากกว่าผมคิดว่ายังไงกันบ้างครับ
ปัญหาคือรถที่คุณซื้อมาคือ BMW E90 325i M Sport ปี 10 คุณเลยไม่ค่อยเห็นความแตกต่าง กลับกัน ถ้าคุณซื้อ BMW 520D ป้ายแดง อารมณ์ ความรู้สึกของตัวคุณเองและคนรอบข้างจะแตกต่างจากตอนที่ใช้ Mazda อย่างชัดเจนจนทำให้คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้ Benz หรือ BMW ไม่ยอมกลับไปใช้รถญี่ปุ่นอีก อารมณ์คงเหมือนคนที่เคยใช้ของหรูๆแล้วไม่อยากใช้ของธรรมดาๆอีก อีกอย่างก็คือนที่ซื้อ Benz หรือ BMW ป้ายแดงราคา 4-5 ล้านบาทได้ แสดงว่ามีเงินเหลือๆ เขาจะห่วงใยชีวิตและความปลอดภัย ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นจะมากหรือจะน้อยก็มีผลต่อการตัดสินใจเพราะเขาไม่มีปัญหาเรื่องเงินให้ต้องกังวล
เข้าใจครับว่ารถต่างกันเกือบ 10 ปี ถ้าในเรื่องของความนิ่งผมว่าไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเรื่องดีไซน์ วัสดุ ความหรูหรา การเก็บเสียง อัตราเร่งที่ต่างกันชัดเจน ที่ผมจะสื่อคือเรื่องช่วงล่างมันไม่ได้ต่างกันแบบที่รู้สึกได้ เช่น altis หน้าหมู -> CX-5 อันนี้คือต่างกันแบบรู้สึกได้ชัดเจน แต่ CX-5 -> E90 รู้สึกคือนิ่งเหมือนกัน แต่บีเอ็มสะเทือนกว่ากันเยอะมาก ช่วงล่างแน่นแต่เข็ง (แก้มเตี้ย+ช่วงล่างสปอร์ต) แต่ที่รู้สึกชัดๆ คือว่ารถเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีอะไรที่เป็นกิมมิคเล็กๆน้อยๆ เช่น ไฟส่องที่มือจับประตู ไฟ cornering light กระจกก้มลงเมื่อเข้า R ไฟส่องเท้า ม่านหลัง ไฟหน้าเลี้ยวตาม welcome light และอีกหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมประทับใจว่า เห้ย รถ 10 ปีที่แล้วยังมีขนาดนี้ ถ้าป้ายแดงไม่ต้องพูดถึง เล่นกันไม่หมดแน่ๆ
ถามว่าต่างไหม มันต่างกันเยอะอยู่แหละครับ แค่ความนิ่งของช่วงล่างผมว่ารถญี่ปุ่นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับ BMW ปี 10 นะครับ
ที่ดูช่วงล่างไม่ต่างกันมากเพราะเอารถเก๋งมาเทียบกับSuv ด้วยครับ น้ำหนักตัวcx5มากกว่าe90เยอะ เหมือนที่คุณเคยบอกว่าขับAltisแล้วมาขับcx5 เห็นความแตกต่างน่ะครับ เพราะงั้นถ้าคุณเอา e90มาเทียบกับAltisก็จะเห็นความต่างเหมือนกัน ยิ่งที่จริงe90ขายในไทยปี2005ถือว่าเป็นgenเดียวกันกับAltisหน้าหมูด้วยซ้ำ เพราะถึงคุณจะซื้อรถปี10มาเป็นโฉมlciแล้วยังไงก็ยังตัวถังbodyครับ
ถ้าได้ลอง x3 หรือx5 มาเทียบกับ cx5น่าจะเห็นความต่างได้ชัดเจนกว่าครับ
ส่วนเรื่องใช้รถยุโรปแล้วจะกลับมาใช้รถญี่ปุ่นอีกได้มั้ยผมว่าแล้วแต่คนไปครับ ความชอบต่างกัน สถานะการเงินต่างกัน และการตัดสินใจถึงคนคนเดียวกันแต่ละช่วงอายุก็ต่างกันครับ
-
โตมากับรถยุโรป แต่ไม่อิน มาใช้ญี่ปุ่นสักพัก แรกๆห่วยจริง อย่าง camry acv40 นี่เทียบ BMW Series 5 คันเดิมไม่ได้เลย แต่นั่นคือเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว
จนมาเป็น acv70 รถญี่ปุ่นทำได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ยอมรับว่า TNGA ที่ทำช่วงล่างใหม่ของพี่โต ทำเอาผมชอบช่วงล่างมันมากกว่า F10,E90 ซะอีก ในตัว Camry Hybrid (จากที่ขับเทียบทั้งสองคัน)
นุ่ม แน่น หนึบ แต่ไม่ย้วย (หลังเปลี่ยนใส่ขอบ 18 trd) ฟีลลิ่งพวงมาลัยต่างๆ ผมว่านึกถึง f10ที่กระชับขึ้นคล่องขึ้นไม่อุ้ยอาย และเบากว่าหน่อย
วิ่งเร็วๆมากๆจริงๆ ถึงจะไม่รู้สึกว่ารถหนักขนาด f10 แต่ก็นิ่งๆชิลๆ และกล้าโยกมันเล่นมากกว่า (มันโยนตัวน้อยกว่าเวลาโยก) คือเซตจากโรงงานมาจบเลยโดยไม่ง้อช่วงล่างไฟฟ้าสารพัดโหมด การย้ายแบตมาในรถนี่เห็นผลมากๆว่าท้ายนิ่ง แน่น เพราะ CG ที่ต่ำลงมาก และการกระจายน้ำหนักที่ทำได้ 50 50 แบบ BMW ด้วย (การปรับตำแหน่งวางเครื่องวางเข้ามากลางตัวรถมากขึ้นทำให้บาลานซ์รถนี่ดีขึ้นจากตัวเก่าๆแบบก้าวกระโดดเลย)
ถ้าอัพเกรดการเก็บเสียงอีกนิด ผมว่าเท่ากันหรือดีกว่าไปละ
ไม่ต้องเทียบขนาด camry ก็ได้ Altis เจนที่แล้ว ถ้าไม่ซนไม่ซิ่งสุดๆ ขับปกติ ผมก็หาความจำเป็นไปเล่นรถยุโรปไม่เจอนะ วัสดุภายในก็พอกัน แต่ช่วงล่างความสบายในการเดินทาง ขนาด Altis ยังนั่งสบายผ่อนคลายกว่า mini countryman,e90 ซะอีกครับ
บางคนขับกระบะหรือ ppv อัพเกรด ไปขับเทียบ e class ผมก็ไม่แปลกใจ ทำไมถึงบอกยุโรปขับดีกว่า จริงๆไม่ใช่ว่าขับดีกว่าเพราะยุโรปญี่ปุ่น แต่เพราะ sedan มันยังไงก็ช่วงล่างดีกว่า SUV อยู่เพราะ CG ต่ำ กระจายน้ำหนักดีกว่า
แต่การดูแลญี่ปุ่นนี่กินขาดยาวๆครับ ขับอย่างเดียวอย่าคิดเยอะ ขับๆไป ก้ไม่พัง เป็นคู่หูที่ไว้ใจได้มากๆ ช่วงล่างผมว่าตามทันแล้ว แต่ขาด tech จากรถยุโรปนิดนึง
-
สมัยหนุ่มโสดยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน ใช้แต่รถยุโรปเอาไว้รับส่งสาวๆ
ตอนนี้รายได้มากขึ้นกว่าตอนยังโสดมาก แต่พอแต่งงานแล้วใช้แต่รถญี่ปุ่น
พอมีครอบครัวแล้วเก็บเงินไว้ดีกว่า ใช้ในกรุงเทพส่วนใหญ่ เน้นขับง่ายแอร์เย็นไม่จุกจิกพอแล้ว
ตอนนี้ใช้camryคันเดิมมา10ปีแล้วมันยังใช้ได้ดีไม่มีปัญหายังไม่คิดจะเปลี่ยน แค่ไปทำงานรับส่งลูกไปเรียนไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม
เครื่อง2.4ทนถึกไม่ต้องดูแลมาก เสียอย่างเดียวกินน้ำมันมากไปหน่อย
-
ที่รถยุโรปแพงกว่าหรือญี่ปุ่นยังสู้ไม่ได้เพราะส่วนหนึ่งวัสดุที่ใช้ผลิต ช่วงล่างที่ต้องเบารถยุโรปก็ใช้อลูฯ เหล็กสตรัทหรือกันโคลงก็ผลิตตามหลักวิศวกรรม แต่พอหลังๆเทคโนโลยีการผลิตมันถูกลงฝั่งยุ่นก็ทำคุณภาพได้ใกล้เคียง..แถมยังทนทานกว่าและแพร่หลาย ส่วนตัวมองว่าเชิงธุรกิจยังไงก็ต้องชั่งระหว่างคุณภาพและกำไร..และค่ายยุ่นน่าจะสนกำไรมากกว่าจะเน้นรีดประสิทธิภาพ ยกเว้นยุโรปหัวดำที่บางทีก็ลดคอร์สตัดออพชั่นเสริมความปลอดภัยทิ้งเหมือนกัน
-
ถ้าใช้รถยุโรปแล้วจะกลับไปใช้รถญี่ปุ่นไม่ได้อีกจริงเหรอ?
ผมขอแบ่งเป็น 2 หลักใหญ่ๆ
1. คนที่เลือกสมรรถนะ
ในราคาใกล้เคียงกัน ต้องยอมรับว่าถึงรถ Jap พัฒนามาดีมากขึ้น แต่ความสมรรถนะโดยรวมก็ยัง "เป็นรอง" Euro อยู่นิดหน่อย
2. หน้าตาทางสังคม
ถ้าใช้รถ Euro มาแล้ว ในไทยดังๆ ก็ MB, BMW แล้วถ้าวันไหน คุณขายออกไป เพื่อเปลี่ยนเป็นรถ Jap เมื่อไร... คุณจะ "ดูจน" ลงทันที
คนเคยเป็นเจ้าของรถ Euro ต่างๆ หลายคน ผมเชื่อว่าอยากกลับไปใช้รถ Jap เนื่องจากความสบายใจในการดูแลรักษาและเชื่อมั่นใน
"ความไว้ใจ" ได้ แต่มันก็มีเรื่อง "ศักดิ์ศรี" มา "ค้ำคอ" อยู่บ้าง
ในหลายครั้ง ถึงแม้ว่า "เงินไม่ใช่ปัญหา"
แต่ "ความไม่สบายตัวและไม่สบายใจ" หลายคนก็ยังนึกถึงรถ Jap มากกว่าจะซื้อ Euro
เอา "รถใหม่ป้ายแดง" ราคาไม่ต้องมองมาเปรียบเทียบกัน
รถ Euro ยี่ห้อยอดฮิตในไทย รุ่นเล็ก รุ่นกลาง รุ่นใหญ่ "พังตั้งแต่ป้ายแดง ทั้งๆที่วิ่งไปไม่กี่พัน กม.!!!"
ทั้งนี้ทั้งนั้น "ไม่ใช่แค่คันเดียวที่เป็น"
แถม บ.แม่ "ไม่รับผิดชอบ" ขนาด "เซเลป" ยังไม่รอด แล้ว "ฅ.ธรรมดา" จะเหลืออะไร!!
กลับมาที่รถ Jap ยี่ห้อดังยอดขาย #1 #2 #3 ของไทย
มีพังไหม มีบ้างแต่น้อยมาก และที่สำคัญ คือ บ.แม่ เขา "รับผิดชอบ" นะ
"หน้าตา", "สมรรถนะ", "ความสบายใจ", "ความไว้ใจได้" ให้น้ำหนักอันไหนดี??
-
โครตไม่จริงเลย คนมีรถยุโรปหลายคน ยังไม่รถญี่ปุ่นไว้ใช้เลย รวมถึงตัวผมเอง และเพื่อนๆ ในกลุ่มก็เหมือนกัน
ผมขอยกตัวอย่างเป็นเรื่องๆ ละกัน
เรื่องออฟชั่น ยิ่งปัจจุบัน รถญี่ปุ่นเอง ออฟชั่นต่างๆ นาๆ เยอะกว่ายุโรปบางคัน หรือ ใน seg เดียวกัน ซะด้วยซ้ำ ถ้าจะเอาออฟชั่นเต็มเท่าญี่ปุ่น อาจจะต้องจ่ายเพิ่มอีกเยอะเลย นั้นหมายความว่า มันไม่ได้แพ้กันเหมือนแต่ก่อน 20 กว่าปี แล้ว
เรื่องการขับขี่ ผมใช้งานมา บอกเลยว่ารถญี่ปุ่น ไม่ได้แพ้ยุโรปเลย แต่มันจริงที่รถ mass ญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่ เขาออกแบบและพัฒนามาเพื่อการใช้งานทั่วไป หลายหลาย และกลุ่มผู้ใช้งานกว้าง ตั้งแต่ วันรุ่น วันทำงาน ผู้หญิง ผู้ชาย แม่ค้า คนแก่ คนท้อง ขับจ่ายตลาด ขับไปทำงาน ขับไปต่างจังหวัด บลาาาาาา
อย่างสมัย 90-2K คนบอกถ้าชอบขับขี่ไป BMW ชอบนั่งสบาย นั่งเป็นผู้โดยสาร ให้ไป Benz แต่ช่วง 5-10 ปีมานี้ Benz เองก็พัฒนา ปรับบุคลิค และ เปลี่ยน Look ของตัวเอง เพื่อให้กลายเป็นรถขับสนุกขึ้นมา เพราะบางอย่างถ้าไม่ปรับไม่เปลี่ยน อาจจะตายได้เหมือนกัน
สรุปเลย
น้อยคน น้อยครอบมาก ที่จะมีรถยุโรปเพียวๆ ไม่มีรถญี่ปุ่นเลย
มันขึ้นอยู่กับโจทย์ การใช้งาน มากกว่า
บางคนมีรถยุโรป แล้วมีรถญี่ปุ่นไว้เป็นรถสำรองบ้าง รถครอบครัวบ้าง รถออกทริป รถลุย และอื่นๆ เยอะแยะเหตุผล
และไม่ต้องพูดถึง LEXUS Alphard Vellfire ซะด้วยนะ เพราะอันนี้ ไม่ได้แพ้ยุโรปในแทบทุกมุมเลย
-
จริงๆก็อยากรู้เหมือนกันว่า คนยุโรปที่ใช้รถยุโรปมาตลอด แล้วต้องมาใช้รถญี่ปุ่น เค้าจะคิดแบบไหน มุมมองต่าง ๆ อาจไม่ได้คิดแบบในไทย
หรือแม้แต่คนญี่ปุ่นเองที่ใช้รถญี่ปุ่นมาตลอด แล้วต้องใช้รถยุโรป เค้าจะมีมุมมองแบบไหน
-
"หน้าตา", "สมรรถนะ", "ความสบายใจ", "ความไว้ใจได้" ให้น้ำหนักอันไหนดี??
เห็นด้วยมากๆเลย ในแต่ละช่วงอายุ เราอาจให้น้ำหนักกับ เรื่องต่างๆไม่เท่ากัน
แล้วพอ Gap ของ ราคา สมรรถนะ และหน้าตา มันแคบลง ทำให้คนที่ใช้ D-Seg ขึ้นไปลอง พรีเมี่ยม และให้คนพรีเมี่ยมลองมาใช้ D-seg ได้ง่ายขึ้น
-
เข้ามาดู ผมอยากได้รถยุโรปมือสองไว้ขับเล่นเหมือน จขกท
แต่ทำใจลำบากเวลาต้องไปอู่ จ่ายค่าซ่อมหลักหมื่น ไหนจะเสียเวลาอีก เลยได้แต่เมียงมอง
สำหรับผมเมื่อก่อน มันแตกต่างกันเยอะจริงครับ นั่งรถยุโรปที่เงียบ นิ่ง เทียบกับรถญี่ปุ่นที่ก๊อกแก๊ก เบาหวิวไปทุกส่วน ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา แต่นั่นเมื่อสัก 20 ปี ++ ที่แล้ว
ปัจจุบันผมว่า ค่ายญี่ปุ่นทำได้ดีขึ้นมากเลยนะครับ บางรุ่นนั่งสบายไม่แพ้ฝั่งยุโรป เลยทีเดียวครับ
ผมว่าอีกส่วนคือคุณเทียบ CX5 ที่ผมว่าน้ำหนักพวงมาลัย กับช่วงล่างถือว่าดีในระดับต้นๆของ SUV ฝั่งญี่ปุ่น มันเลยรู้สึกต่างกันไม่เยอะ
ผมเทียบง่ายๆระหว่างรถญี่ปุ่นด้วยกันแต่คนละ Segment, CX5(ตัวก่อน) กับ City 2012 อีกคันที่บ้าน ตอนนี้กลับไปขับ City ทีไร ผมบ่นกับแฟนตลอดว่า ไม่ค่อยกล้าขับเกิน 100 แล้ว มันรู้สึกเบาหวิวไปทั้งคัน
-
มาเสริมเรื่องราคาอะไหล่รถยุโรป (ศูนย์) ที่ว่าแพงกว่ารถญี่ปุ่น 2-3 เท่า (ศูนย์, ไม่ใช่เกรดพรีเมี่ยม) เท่าที่เห็นอะไหล่รถยุโรปเข้าศูนย์ราคานั้นประกัน 1-2 ปีนะครับ (จำกัด กม. และไม่จำกัดแล้วแต่ยี่ห้อ) ต่างจากยี่ห้อญี่ปุ่นที่ประกัน 6-12 เดือน จำกัด 5,000-10,000 กม. ด้วย
ดังนั้นบางทีคนเชียรอู่นอกก็บอกไม่หมด คือถ้าชิ้นอะไหล่สิ้นเปลืองเปลี่ยนอู่นอกอาจจะคุ้ม แต่ถ้าชิ้นอะไหล่สำคัญแล้วราคาอู่ต่างจากศูนย์ไม่เกิน 30% (รวมส่วนลด) บางทีคุยเรื่องประกันคุณภาพแล้วศูนย์อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ
-
ตอนรถชน จะเห็นความแตกต่างได้เยอะสุด
ชัดเจนที่สุดแล้วครับ ตอนชนเห็นหลายคดีที่เบนซ์ไปชนเค้าแล้ว ความแข็งแรงและความปลอดภัยของห้องโดยสาร ทำให้คนไม่เป็นอะไรมากเลย คือถ้ามีเงินเหลือ ๆ แบใช้ทั้งชาติก็ไม่หมดยังเหลือส่งต่อไปลูกหลานได้ และชีวิตสำคัญกว่าเงินมาก จำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ต่อเพราะภาระหรือเรื่องธุรกิจและการเงิน อื่น ๆ ผมว่าใช้เบนซ์ไปเถอะครับ มันช่วยชีวิตได้จริง ๆ
ส่วนการขับขี่ความหรูหรา อ๊อพชั่น ผมว่ามันทันกันได้คงไม่ต่างกันมาก แต่ความแข็งแรงตอนเกิดอุบัติเหตุ ผมว่ามันต่างกันจริง ๆ
-
มันก็มองได้หลายมุม และความต้องการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
อยากจะบอกว่า ผมขับ BMW X5 g05 สลับกับ Mazda CX-3 2.0
X5 ขับไปห้างไปงานที่จำเป็น ครอบครัวไปหลายคน, CX-3 ไปโรงงาน ไปทำงาน ไปออกกำลังกาย ไปคนเดียว
พูดตรงๆว่าชอบช่วงล่างและพวงมาลัยของ CX-3 มากกว่า X5 ซะอีกครับ
อย่านับเรื่องการเก็บเสียง ความปราณีต วัสดุ เทคโนโลยี ภาพลักษณ์ นะครับ เรื่องเหล่านี้ X5 ยังไงก็เหนือกว่า รถBMW 6 ล้าน เทียบกับ Mazda 1 ล้านบาท
คนที่บอกว่าใช้รถยุโรปแล้วกลับไปใช้ญี่ปุ่นไม่ได้ ผมมองว่าเขาติดแบรนด์ ... หรือ ต้องการ Status อะไรบางอย่าง
-
มาเสริมเรื่องราคาอะไหล่รถยุโรป (ศูนย์) ที่ว่าแพงกว่ารถญี่ปุ่น 2-3 เท่า (ศูนย์, ไม่ใช่เกรดพรีเมี่ยม) เท่าที่เห็นอะไหล่รถยุโรปเข้าศูนย์ราคานั้นประกัน 1-2 ปีนะครับ (จำกัด กม. และไม่จำกัดแล้วแต่ยี่ห้อ) ต่างจากยี่ห้อญี่ปุ่นที่ประกัน 6-12 เดือน จำกัด 5,000-10,000 กม. ด้วย
ดังนั้นบางทีคนเชียรอู่นอกก็บอกไม่หมด คือถ้าชิ้นอะไหล่สิ้นเปลืองเปลี่ยนอู่นอกอาจจะคุ้ม แต่ถ้าชิ้นอะไหล่สำคัญแล้วราคาอู่ต่างจากศูนย์ไม่เกิน 30% (รวมส่วนลด) บางทีคุยเรื่องประกันคุณภาพแล้วศูนย์อาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำ
ขอแย้งนะครับ อะไหล่ญี่ปุ่นอย่างมิตซู ฮอนด้า โตต้า รับประกัน 6 เดือนจริง แต่อย่างที่ว่ามันถูกกว่ายุโรป 2 เท่า ยังไงๆก็ถูกกว่าอยู่ดีครับ แล้วไม่ถูกเฉพาะค่าอะไหล่ ค่าแรงก็ถูกกว่าเยอะมาก ส่วนยุโรปต่อให้รับประกันอะไหล่ 2 ปี และรับประกันงานซ่อมแค่ 3 เดือน (ศูนย์แถวจรัญ) ก็ยังแพงกว่าค่าซ่อมญี่ปุ่นเยอะอยู่ดีครับ
ส่วนอู่นอกยุโรปอะไหล่สำคัญๆ อย่างระบบแอร์ เกียร์ แรคไฟฟ้า สมองต่างๆ มันไม่ได้ถูกกว่าศูนย์แค่ 30% อู่นอกทำในสิ่งที่ศูนย์ไม่ทำคือ โอเวอฮอล์ และหาอะไหล่มือสองจากนอกครับ ค่าซ่อมรวมหมดเบ็ดเสร็จถูกกว่าเกินครึ่ง ที่เหลืออยู่ที่ฝีมืออู่ ถ้าอู่เก่งจริงจบใช้ได้ยาวครับ E60 ผมเปลี่ยนแรคมือสอง ตอนนั้น 7 หมื่นบาท เทียบกับให้ศูนย์ตีราคาเปลี่ยนใหม่แสนสอง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้คนที่ซื้อรถผมไปใช้ต่อวิ่งจะ แสนห้าแล้วยังไม่พังเลยครับ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ไม่มีทางเลยครับที่ศูนย์จะถูกกว่านอก แค่ค่าแรงก็คนล่ะเรื่องแล้ว
แต่ถ้าจะพูดถึงฝีมืออู่ ก็อย่าคิดนะครับว่าศูนย์จะดีเด่อะไร ผมเคยเอาเข้าศูนย์แถวจรัญ ครั้งแรกถ่ายน้ำมันเครื่อง นอกจากราคาที่โหดร้ายแล้ว ช่างลืมปิดฝาน้ำมันเครื่องครับ กว่าผมจะรู้ก็วิ่ง 2-3 วันแล้วน้ำมันเครื่องกระจายเต็มห้องเครื่อง ฝาก็หาย ครั้งที่สองล่าสุดเพื่อนผมเอา F30 ไปเปลี่ยนผ้าเบรคหลัง ออกมาวิ่งซักพักวิ่งหอนดังมาก แล้วปล่อยคันเร่งรถไม่วิ่งเบรคติดอีก ผมกล้าพูดเลยว่าอย่าคิดว่าศุนย์ยุโรปจะดีกว่าศูนย์ญี่ปุ่นครับ
-
ผมมั่นใจความปลอดภัยรถยุโรปมากกว่านะครับ
ไม่ได้หมายถึงเทคโนโลยี แค่คำว่า "เหล็กมันแข็งกว่า"
ไม่ใช่คนศึกษารถยนต์จนไปเทียบกี่มิลเมตร เลยไม่รู้ว่ามันจริงมั้ย
อายุเยอะแล้ว
-
ก็มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปใช้รถยุโรปอีกนี่ครับ....
ก็คงจะมีรถญี่ปุ่นแบรนเดียวนี้แหละครับที่จะกลับไปใช้นั้นคือ Lexus !!!
-
อ่า มันก็ไม่เชิงอ่ะครับ 555+
ของผมเริ่มจาก Subaru ไป BMW แล้วกลับมา Subaru อีกรอบ คันนึงอายุไม่ถึงปี อีกคันอายุ 12 ปี แต่ผ่านการสังคายนาใหญ่มาแล้ว
ตอนนี้ก็จอดทั้งสองคันในบ้าน สลับๆกันออก แต่ถ้าขับคนเดียวแล้วให้ผมเลือก ผมหยิบกุญแจ Subaru เสมอครับ
-
เอาปัจจัยเรื่องสมรรถนะ ความสบาย ถ้าเทียบในรถ segment เดียวกัน(ไม่นับราคานะ) ผมว่ารถยุโรปดีกว่าครับ ทั้งออฟชั่น การขับขี่ ความสะดวกสบาย ระบบเซนเซอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการขับขี่
เอาเรื่องความสบายใจ สำหรับผมรถญี่ปุ่นสบายใจกว่าเยอะครับ ไม่กลัวหินกระเด็น คนเปิดประตูมาชน รถมันจะไปไฟโชว์ไปตายเอากลางทางไม๊ บางทีเซ็นเซอร์แค่เตือน แต่บางทีเด้งขึ้นบ่อยๆก็มีแอบหลอนครับ
เอาเรื่องประสบการณ์บนท้องถนน รถยุโรปขับสบายใจกว่าเยอะมากครับ ทั้งคนอื่นให้ทาง รถไม่ค่อยขับจี้ท้าย ยามหาที่จอดให้ มันให้ความรู้สึกแบบพรีเมียม ยิ่งเวลาไปห้าง/โรงแรมนี่หาที่จอดง่ายกว่าขับรถญี่ปุ่นมากๆ
สรุปคือ กลับไปใช้ได้ครับตามสถานการณ์และความจำเป็น รถญี่ปุ่นมันก็ถูกกว่า สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับค่าตัว จะได้ประสบการณ์แบบรถยุโรปก็คงจะไม่ได้ แต่ถ้าให้เลือก รถยุโรปมันให้การขับรถในเมืองไทยรู้สึกง่ายและไม่ลำบาก
-
ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนในการเปรียบเทียบครับ
สำหรับผม
รถยุโรปเก่าๆยี่สิบปีขึ้นทั้ง4คันที่ใช้อยู่มีทั้งซื้อตั้งแต่ป้ายแดงและมือสองมือสาม ปัจจัยสำคัญของผมคือ "ความเงียบ"
ที่ลูกเล็กขึ้นแล้วหลับสบาย พูดคุยกันเบาะหน้า-เบาะหลังไม่ต้องตะโกนหรือชะโงกตัวมาด้านหน้า
เปิดเพลงพังชิลๆได้อรรถรสทางเครื่องดนตรีไม่แสบแก้วหู
ส่วนรถญี่ปุ่นใหม่ๆมีดีที่สมรรถนะและความประหยัดที่รถยุโรปเก่าๆของผมต้องมองค้อนอย่างแรง
รถที่เอามาเทียบกันดื้อๆคือรถประจำตำแหน่ง จะเป็น altis ตั้งแต่ปี10-ปัจจุบัน
ที่เห็นได้ชัดเจนคือค่าน้ำมันและค่าซ่อมบำรุง
แต่สิ่ที่ต้องทนให้ผ่านไปคือเสียงรบกวนแบบ souround6.1ครับ เพราะมันเป็นรถฟรีเลือกไม่ได้ :(
แต่ถ้าไม่มีรถฟรีใช้ล่ะ?....
ผมคงใช้คุณปู่ในโรงรถของผมไปเรื่อย และคงซื้อรถญี่ปุ่นเล็กๆให้ภรรยาขับ
เพราะนางก็เบื่อกับการที่เราดูแลรถมากกว่านาง ตั้งแต่สมัยเป็นแฟนกันแล้วครับ5555 ;D