Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: wa330 ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 09:22:10
-
สเต็บที่เคยใช้ประมาณ ลง40สต ขึ้น60 หรือ ลง60 ขึ้น40สองครั้ง
ก่อนลงรอบนี้หน้าปั้มอยู่ 22-25บาทE20-ดีเซล ตลาดโลก50-60$
ถ้าสิ้นปีคลีคลายตลาดโลกกลับไป50-60$อีกครั้งแถมบาทอ่อนลง
ผมมโนเล่นๆราคาหน้าปั้มแถว27-32บาท มีให้เห็นแน่
ช่วงนี้เงินคงคลังโดนช่วยโควิคไปเยอะ เดี๋ยวดูดเงินกลับจากภาษีน้ำมันง่ายดี
-
สเต็บที่เคยใช้ประมาณ ลง40สต ขึ้น60 หรือ ลง60 ขึ้น40สองครั้ง
ก่อนลงรอบนี้หน้าปั้มอยู่ 22-25บาทE20-ดีเซล ตลาดโลก50-60$
ถ้าสิ้นปีคลีคลายตลาดโลกกลับไป50-60$อีกครั้งแถมบาทอ่อนลง
ผมมโนเล่นๆราคาหน้าปั้มแถว27-32บาท มีให้เห็นแน่
ช่วงนี้เงินคงคลังโดนช่วยโควิคไปเยอะ เดี๋ยวดูดเงินกลับจากภาษีน้ำมันง่ายดี
แล้วมันจะแปลกตรงไหน .. ก็ตอนเดือน มกราคม 63 ราคาน้ำมันดิบยังอยู่แถวๆ 50-60 $/Barrel อยู่เลย
ราคาเบนซิน / ดีเซลหน้าปั๊มในไทยตอนนั้น มันก็อยู่แถวๆ 25 - 30 บาท/ลิตรอยู่แล้ว
ถ้าปลายปี ราคาตลาดโลกมันจะกลับขึ้นไปเร็วอย่างที่คุณคิด ราคาหน้าปั๊มก็คงราวๆ นั้น เหมือนเดิม
ปล. ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนน่ะ ไม่ได้แตกต่างอะไรมากมายหรอก ก็แถวๆ 32-33 บาท/$ นี่แหละ
-
ก็คงเท่าๆเดิมแหละครับ E20 ที่ 23 บาท ราวๆนี้ การลง 0.4 ขึ้น 0.6 บาท นั้นไม่ใช่สาระอะไรเลย เขาปรับขึ้นหรือลง เขาดูที่ค่าการตลาด เบ็นซิน E20 เขาจะรักษาค่าการตลาดไว้ที 2-2.4 บาท สมมุติ ค่าาการตลาด มันเหลือ 1.9 บาท เขาก็จะขึ้น 0.4 หรือ 0.5 บาท ก็ได้ แล้วแต่เขาจะพิจารณา ถ้าค่าการตลาดเปน 2.8 บาท เขาก็จะลดให้ 0.4 บาท เป็นอะไรประมาณนี้ คือกรอบค่าการตลาดมันมีครับ จะขึ้น 0.6 ลง 0.3 ตรงนี้ไม่ใช้สาระเลย เพราะกรอบค่าการตลาดมันต้องอยู่ในช่วง 2-2.4 บาท สำหรับ E20 ไม่ใช่ขึ้น 0.6 ไป 10 ครั้ง แล้ว ลง 0.4 10 ครั้ง จะมีส่วนต่างทั้งหมด 2 บาท แล้วทำให้น้ำมันแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ประเด็นอยู่ที่กรอบค่าการตลาดครับ มันจะลงจะขึ้นกี่บาทไม่ใช่สาระเลย
-
$พอๆกันต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป
-
ผมงงๆนะ มาบ่นๆ แล้วก็บอกก้มหน้า ก้มตาไป ไปดูตารางที่กระทรวงการพลังงานเปิดไว้สิครับ ค่าภาษ๊ตอนนี้มันกินไปเท่าไหร่แล้ว ตัวน้ำมันมันก็ลงไปตามที่มันควรจะลงนั่นแหละ แต่พอลงไปภาษีขยับเพิ่มแทนมากกว่า แล้วจะให้มันลงยังไง
-
$พอๆกันต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป
$ เท่ากันก็เป็นราคาปลีกเท่ากันครับ ไม่ได้แพงขึ้นแต่อย่างใด คุณอ่านที่ผมอธิบายไม่เข้าใจเอง มันไม่ได้แพงขึ้นกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย แม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำ แต่หลักการคำนวณหน้าป๊มนั้น ถูกต้องเสมอ ถูกต้องไม่ได้แปลว่ายุติธรรมครับ
การเอาราคาสิงกโปร บวกค่าขนส่งบวกค่าประกัน มาเป็นราคาขายปลีกที่เราจ่ายนั้นผมเองไม่ชอบใจตรงนี้เลย
แต่มันต้องมีหลักให้ยึดในการคำนวณ ส่วนหลักการคำนวณตรงนี้มันยุติธรรมไหม ไปตัดสินใจเอง เพราะเราสั่งน้ำมันจากตะวันออกกลางและกลั่นเองที่บ้านเรา ไม่ได้สั่งซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงกโปรขึ้นเรือมาขายที่บ้านเรา
-
$พอๆกันต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป
$ เท่ากันก็เป็นราคาปลีกเท่ากันครับ ไม่ได้แพงขึ้นแต่อย่างใด คุณอ่านที่ผมอธิบายไม่เข้าใจเอง มันไม่ได้แพงขึ้นกว่าเดิมเลยแม้แต่น้อย แม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำ แต่หลักการคำนวณหน้าป๊มนั้น ถูกต้องเสมอ ถูกต้องไม่ได้แปลว่ายุติธรรมครับ
การเอาราคาสิงกโปร บวกค่าขนส่งบวกค่าประกัน มาเป็นราคาขายปลีกที่เราจ่ายนั้นผมเองไม่ชอบใจตรงนี้เลย
แต่มันต้องมีหลักให้ยึดในการคำนวณ ส่วนหลักการคำนวณตรงนี้มันยุติธรรมไหม ไปตัดสินใจเอง เพราะเราสั่งน้ำมันจากตะวันออกกลางและกลั่นเองที่บ้านเรา ไม่ได้สั่งซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงกโปรขึ้นเรือมาขายที่บ้านเรา
ใช่ครับ ผมว่าคำณวนถูก แต่จะยุติธรรมไหม มันอีกเรื่อง แยกให้กันให้ชัดเจน ไม่ใช่เอามารวมกัน
-
สุดท้ายผมว่าราคาคงอยู่แถว 20บาทนิดๆนี่แหละครับ
-
$ พอๆกันต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม 15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป
ช่วยอธิบายประโยคนี้ ที่คุณตอบหน่อยครับ ... ไปเอาราคาน้ำมันอะไร และ วันไหน มาเปรียบเทียบกันครับ
-
$ พอๆกันต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม 15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป
ช่วยอธิบายประโยคนี้ ที่คุณตอบหน่อยครับ ... ไปเอาราคาน้ำมันอะไร และ วันไหน มาเปรียบเทียบกันครับ
ตกลงว่า ไม่มีอะไรจะถาม หรือ ตอบ แล้วใช่มั้ยครับ .. ผมจะได้ไม่ต้องมาเปิดอ่านกระทู้นี้อีก
-
สำคัญตัวเองผิดแล้วคุณ ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือถามอะไรคุณ คุณเป็นใคร
-
A. แล้วคุณล่ะ .. เป็นใคร ??
B. " $ พอๆ กัน ต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิม 15-25% ไม่แปลก ไม่เป็นสาระ ก็ก้มหน้าเติมไป "
ประโยคนี้ คุณก็เป็นคนเขียนแสดงความเห็นจาก กำมือ / ปลายนิ้วของคุณเองชัดๆ ..
พอผมถามกลับว่า คุณหมายความว่าไง ไปเอาตัวเลขจากที่ไหน วันที่เท่าไหร่ .. คุณก็ไม่ตอบ
ไม่เป็นไร ... เดี๋ยวผมอธิบายให้ฟังก็ได้ สั้นๆ ไม่ต้องยาว ถือซะว่า ทำบุญ ให้ชนร่วมเว็บเดียวกันให้ฉลาดขึ้น อย่างน้อยวันละคน ก็ยังดี
-
1. ราคาน้ำมันหน้าปั๊มในไทย อิง / เชื่อมโยงกับ " ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สิงคโปร์ " ครับ
ไม่ใช่ " ราคาน้ำมันดิบ " ไม่ว่าจะตลาด WTI (USA) หรือ ตลาด Brent (ยุโรป)
2. ทำไม ถึงต้องไปอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ ? "
- เพราะมันเป็นตลาดโลก ฝั่งเอเซีย แม้แต่ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ที่ต้องซื้อน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง ก็ต้องมาอิงที่นี่
(ก็ที่นี่ เป็นที่ๆ ทั้งคนซื้อ และคนขาย มาเจอกัน คุยกัน ตกลงกัน ในแต่ละวัน) ลองไปเปิดแผนที่โลกดู ...
- แล้วทำไมต้องเป็นราคาน้ำมันสำเร็จรูป ไม่ใช่ น้ำมันดิบ ? ... ผมขอย้อนถามกลับว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับน้ำมันดิบ ??
น้ำมันดิบ เข้าโรงกลั่น กลั่นแล้ว ได้ตั้งแต่ เบนซิน , น้ำมัน JetOil , ดีเซล , น้ำมันเตา , LPG
แต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละฤดู ราคาแต่ละอย่างก็ไม่ได้จะเท่ากัน มันจะขึ้นๆ ลงๆ ก็แล้วแต่ว่า ณ วันนั้น เวลานั้น
Demand vs Supply ของแต่ละชนิด มันเป็นยังไง เช่น หน้าร้อน เบนซินจะแพงหน่อย Diesel จะถูกลง
ส่วนหน้าหนาว Diesel จะแพงขึ้น (เป็นช่วงแพงสุดของปี) เบนซินจะถูก (หลายๆ ปีจะถูกกว่าราคาน้ำมันดิบด้วยซ้ำ)
- ฉนั้น ... การ " อิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ " เป็นวิธีการที่ยุติธรรมกับทุกฝ่าย ได้มากที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
> โรงกลั่นน้ำมันในประเทศ ที่นำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศมากลั่นขาย
> ผู้นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (ถ้ามีมาจริงก็คงมาจากสิงคโปร์) มาขายแข่งด้วย ไม่ว่าเค้าจะถนัดนำเข้าแต่ชนิดใดชนิดหนึ่งชนิดเดียว
หรือจะหลายๆ ชนิด ก็เหอะ
> ผู้ขับขี่รถยนต์เครื่องเบนซิน / ผู้ขับขี่ - ผู้ใช้มอไซค์ ที่เติมแต่น้ำมันเบนซินเท่านั้น
> ผู้ขับขี่รถยนต์เครื่องดีเซล ไม่ว่าจะรถกระบะ 4 - 6 ล้อ - ไปถึงรถเทรลเลอร์ รวมไปถึง รถ SUV , PPV เครื่องดีเซลทั้งหลายแหล่
จะเห็นได้ว่า แต่ละคน ก็ต้องเติม/ใช้แต่น้ำมันของที่ตัวเองต้องการเท่านั้น ไม่สามารถข้ามชนิดได้
ฉนั้น การเอา Demand vs Supply ของแต่ละชนิด ในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละฤดูกาล ที่เป็นระดับ " ตลาดโลกฝั่งเอเซีย " ...
มันไม่ยุติธรรมมากพอ อีกเหรอครับ ?? ??
ถ้าใครยังคาใจ ช่วยตอบคำถามที่ผมฝาก / แทรกไว้ในคำอธิบายหน่อยนะครับ
-
ยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ :- ปัจจุบัน ประเทศไทย มีโรงกลั่นน้ำมันรวมทั้งหมด 6 โรง กำลังการกลั่นสูงสุดรวม 1 ล้านบาร์เรล/วัน
ซึ่งที่ทำอยู่จริงๆ จะเป็นน้ำมันดิบที่ได้จากการขุดเจาะในประเทศ 15% นำเข้าจากต่างประเทศ 85% โดยจะกลั่นได้
เบนซิน ราว 20% , JetOil 15% , ดีเซล 50% รวม 3 ตัวนี้ ได้ 85% ที่เหลือจะเป็น น้ำมันเตาและ LPG รวมกันได้อีกไม่เกิน 20%
นั่นหมายความว่า จากน้ำมันดิบ 100% กลั่นแล้ว จะได้ product ที่ราคาแพงกว่าน้ำมันดิบ แค่ 85% อีก 20% จะได้ของราคาถูกกว่าน้ำมันดิบ
เพียงแต่ปริมาตรที่กลั่นได้ มันจะเพิ่มขึ้นกว่าตอนเป็นน้ำมันดิบมาอีกหน่อยนึง ราวๆ 4-6%
และจากตัวเลขที่ผมตามเก็บข้อมูลมาตลอดหลายปี การใช้น้ำมันของคนไทย
>> เบนซิน 30 ล้านลิตร/วัน , ดีเซล 65 ล้านลิตร/วัน (ตัวเลขนี้ ตอนกลางปีที่แล้ว ก่อนเศรษฐกิจเริ่มซบเซาและก่อนวิกฤต Covid-19 นะครับ)
นั่นหมายความว่า ในภาพรวม ทุกโรงกลั่นจะขายในประเทศได้แค่ราวๆ 80% แล้วต้องส่งออก 20% เพื่อเดินเครื่องให้เต็มกำลังการกลั่นสูงสุด
(ต้นทุนต่อหน่วยผลิตภัณฑ์จะได้ต่ำสุด)
ถ้าอยากจะรู้ว่า ข้อมูลที่ผมเล่ามาทั้งหมดตามข้อความข้างบนนี้ จริงหรือไม่จริง เชิญไปเปิด link ข้างล้างนี้
" การจัดหาและจำหน่าย " ของ กรมธุรกิจพลังงาน ... หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบโดยตรงกับ กิจการโรงกลั่นน้ำมันในไทย (ถ้ายังไม่เชื่อหน่วยงานนี้ แต่จะไปเชื่อคนอื่น ก็เรื่องของคุณแล้วครับ)
https://www.doeb.go.th/2017/#/article/statistic ... >> ต้องเอาเม้าส์ชี้ไปที่ " การจัดหาและจัดจำหน่าย "
แล้วก็จิ้มไปที่ " สรุปการผลิต นำเข้า จำหน่าย และส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง " แล้วก็เลือกดาวน์โหลดไฟล์ เดือนธันวาคมของทุกปีมาดูเลยครับ
(เพราะมันจะมีสรุปข้อมูลทั้งปีของปีนั้นๆ มาให้ดูด้วย)
3. ทุกคนที่ได้อ่านข้อความนี้ .. พอได้อ่านแล้ว ยังมีตรงไหนสงสัย อยากรู้ อยากถามอะไรเพิ่มเติมอีก ... ก็มาถามละกันครับ
ถ้าผมรู้คำตอบ ผมจะตอบให้เลย / ถ้าผมไม่รู้คำตอบ ผมอาจจะพอแนะนำได้ว่า จะไปหาคำตอบที่ถูกต้องนั้น จากที่ไหน ?
OK นะครับ
-
อ้อ .. อีกนิด เพิ่งนึกขึ้นมาได้ เลยต้องรีบมาโพสต์ต่อ เดี๋ยวลืมแล้ว จะไม่ได้กลับมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีก
ประเทศไทยปัจจุบัน มีโรงกลั่นน้ำมัน 6 โรง .. ทุกโรง เข้าตลาดหลักทรัพย์หมดแล้ว สามารถดูผลประกอบการ ย้อนหลังได้ต่อเนื่องยาวนานสูงสุด 5 ปี
3 โรงแรกต่อไปนี้ อยู่ในเครือ ปตท.
ไทยออยล์ อยู่ที่ อ่าวอุดม ศรีราชา
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=TOP&ssoPageId=12&selectPage=3
PTTGC อยู่ที่มาบตาพุด ระยอง เป็นโรงที่ผ่านการควบรวมมาหลายรอบ จนจำไม่ได้แล้วว่า กิจการบริษัทนี้ มีกิจการปิโตรเคมีอะไรบ้าง รวมอยู่ด้วย
แต่มีโรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) ซึ่งเป็นโรงกลั่่นน้ำมันของ Shell ดั้งเดิมที่ ครม.นายกฯ อานันท์สมัย 2 (ปี 2535) อนุมัติ
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=PTTGC&ssoPageId=12&selectPage=3
IRPC อยู่ที่อำเภอเมือง ระยอง เดิมเป็นโรงปิโตรเคมี TPI ของตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ที่ก็กิจการประสบปัญหาจากวิกฤตต้มยำกุ้งเหมือนกัน .. แต่ดันมาตกม้าตาย เพราะไปทำสัญญากู้เงิน อายุสัญญา 99 ปี ??
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=IRPC&ssoPageId=12&selectPage=3
-
ส่วนอีก 3 โรง เกือบทุกโรงเคยอยู่ในเครือ ปตท. (ตอนมีวิกฤตต้มยำกุ้ง ปตท.ต้องไปอุ้มหมด มีแค่ ESSO ที่ไม่เคยต้องอุ้ม) ได้แก่
บางจาก
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=BCP&ssoPageId=12&selectPage=3
ESSO
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=ESSO&ssoPageId=12&selectPage=3
SPRC (Caltex)
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=BCP&ssoPageId=12&selectPage=3
ทั้ง 6 โรง สามารถย้อนกลับไปดูผลประกอบการ 5 ปีเต็ม ว่า แต่ละโรง กำไรแค่ไหน โดยดูจาก บรรทัดล่างสุด
>>> อัตรากำไรสุทธิ ไปดูเลยว่า แต่ละปี แต่ละโรง กำไรกันแค่ไหน ?? ??
แล้วหากไปเทียบกับพวก โรงผลิตไฟฟ้าเอกชนทั้งหลายแหล่ ...
ไปเปิดอ่าน link ข้างล่างนี้ ดูว่า โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในไทย Top 5 แล้วไปเปิดหาข้อมูลในตลาดหุ้น ด้วยตัวเองเอาบ้างละกัน
ขี้เกียจทำแล้ว ... แต่รับรองได้เลยว่า ... เห็นแล้วจะสยองงงงงง แน่นอน เพราะ ... กำไรไม่น้อยกว่า 30% ทุกปี !! !! !!
https://www.thebangkokinsight.com/180440/
1. GULF
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=GULF&ssoPageId=12&selectPage=3
2. EA
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=EA&ssoPageId=12&selectPage=3
3. EGCO
https://www.settrade.com/C04_03_stock_companyhighlight_p1.jsp?txtSymbol=EGCO&ssoPageId=12&selectPage=3
-
แปะไว้ก่อนครับ เดี๋ยวเข้ามาอ่าน 8)