Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Rr58 ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 13:28:22

หัวข้อ: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Rr58 ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 13:28:22
ในปัจจุบันนี้คงเถียงไม่ได้ว่ารถยนต์นั้นถือเป็นปัจจัยที่5ของเราไปแล้วก็ว่าได้
จึงอยากทราบว่า ในการซื้อรถแต่ละคันของเพื่อนๆชาว headlightmag ตั้งงบประมาณเป็นจำนวนเงินไว้ที่ กี่เปอร์เซนต์ของจำนวนสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เพื่อเอาไว้ประกอบการตัดสินใจและจัดการงบประมาณในการซื้อรถยนต์คันต่อไป
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Tien.W ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 13:48:14
ไม่เคยเอาทรัพย์สินตัวเองมาตัดสินว่าจะต้องใช้รถราคาเท่าไหร่นะ

สำหรับผมนะ

1. เงินดาวน์ .. ต่ำๆคือ 25% ต้องมี
2. เงินผ่อน .. ต้องอยู่สัก 20% ของรายได้เท่านั้น

ที่เหลือ ค่อยไปเลือกว่า จะเอารุ่นไหน สเปคแบบใดครับ

ไม่งั้น เรียนจบมา ทำงานได้สักพัก ถ้ามานั่งดูมูลค่าทรัพย์สิน คงไม่ได้ซื้อรถหรอกครับ จบมาใหม่ๆยังไม่มีทรัพย์สินเลย
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: bluelawn ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 13:57:05
เห็นด้วยกับกระทู้บนครับ  สำหรับผม เงินดาวน์ไม่ต่ำกว่าสัก 20% เงินผ่อนไม่เกิน 25% ของรายได้ ผมโอเคแล้วครับ.

รวมถึง ค่าประกัน + ซ่อมบำรุงตามระยะ ควรไม่เกินเ 1.5 เท่า ของเงินเดือน ครับ เพื่อความไม่ตึงจนเกินไป.
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: basterias ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:01:39
ตอนจบมาใหม่ๆผมยังไม่รีบใช้รถครับ ผมก็เก็บเงินไปเรื่อยๆจนมีเงิน = 75% ของราคารถ ถึงเริ่มไปดาวน์มา (คันแรกผมดาวน์ น่าจะประมาณ 40% ถ้าจำไม่ผิด) หลังจากคันแรกมาก็ไม่ผ่อนแล้วครับ เก็บตังจนซื้อสดได้ก็ซื้อสดเรื่อยๆมาทุกคัน ผมคิดว่าถ้ามีเงินพอซื้อสดได้นั่นแปลว่าเราสามารถมีรถคันนั้นได้ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: sukhontha ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:03:57
แล้วแต่คนครับ

ผม+แฟน  สินทรัพย์ รวม ๆ แปดหลักกลาง ๆ  ผมใช้รถมือสอง ปัจจุบันราคาสองแสนกว่าบาทครับ  คันนี้ใช้มา 8 ปี  กับคันสำรอง เอ็กซ์เทรล ปี 10  ใช้สองคันครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: TJA ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:04:18
5%ของมูลค่าassetที่มี ณ ช่วงเวลานั้นๆครับ
ฟังดูConservativeสักหน่อย แต่ผมยอมขับรถcompactญี่ปุ่น
แล้วชีวิตปลอดหนี้ มีเงินสดใช้จ่ายสบายๆดีกว่า
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pratuang ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:05:36
ผม เปลี่ยนรถทุก 5 ปี เงินดาว์นต้อง 50% ซื้อรถญี่ปุ่นเท่านั้น มีเงินเก็บไว้สำหรับดาว์นลดปีละ 2 แสน ส่วนเรื่องสินทรัพย์ไม่เอามายุ่ง ไว้ขายตอนแก่ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: DiKiBoyZ ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:07:47
แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

ผมซื้อรถเอง 3 คัน (ไม่รวมของที่บ้าน) คันแรกผมซื้อตั้งแต่ช่วงอยู่ปี 4 ก่อนเรียนจบ จนทุกวันนี้ คันที่ 3 ละ ทุกคันซื้อผ่อน และ ดาวน์ 25% แล้วก็ผ่อน 60-72 งวด

ถามว่า มีทรัพย์สินเท่าไหร่ ผมบอกเลยว่าเงินสด "ติดลบ" ครับ (ไม่รวมรถ 2 คัน ที่ผ่อนหมดไปแล้วนะ) เพราะเอาเงินในอนาคตมาผ่อนครับ(เหมือนรูดบัตรเครดิต)

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ซื้อเอง ผ่อนเอง ตอนนี้ 2 คันแรกผ่อนหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือคันที่ 3 เพิ่งผ่อนมาได้เกือบจะ 2 ปีละ

ผมคิดแค่ว่า ณ วันนี้มีแรงทำงาน มีเงินเดือน จะซื้อะไรก็รีบซื้อ แก่ตัวไป ไม่มีกำลังในการหา จะได้ไม่เดือดร้อนตอนแก่ ครับ

หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: YZA ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:08:45
ตอนยังไม่มีรถก็เคยตั้งโจทย์แบบนี้เหมือนกันครับ
แต่พอจะซื้อจริงๆ ก็ซื้อตามเงื่อนไข บริบทของชืวิตในช่วงนั้นแทน

ที่ผมซื้อมีแค่ 2 คันครับ
- คันแรก ตอนเพิ่งทำงานมา 7 ปี ราคารถ 33% เลย ซื้อสดแล้วใจหายแวบเหมือนกัน
- คันที่สอง ตอนทำงานต่อมาอีกเกือบ 10 ปี ประมาณ 10% ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: ACE ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:36:15
แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

ผมซื้อรถเอง 3 คัน (ไม่รวมของที่บ้าน) คันแรกผมซื้อตั้งแต่ช่วงอยู่ปี 4 ก่อนเรียนจบ จนทุกวันนี้ คันที่ 3 ละ ทุกคันซื้อผ่อน และ ดาวน์ 25% แล้วก็ผ่อน 60-72 งวด

ถามว่า มีทรัพย์สินเท่าไหร่ ผมบอกเลยว่าเงินสด "ติดลบ" ครับ (ไม่รวมรถ 2 คัน ที่ผ่อนหมดไปแล้วนะ) เพราะเอาเงินในอนาคตมาผ่อนครับ(เหมือนรูดบัตรเครดิต)

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ซื้อเอง ผ่อนเอง ตอนนี้ 2 คันแรกผ่อนหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือคันที่ 3 เพิ่งผ่อนมาได้เกือบจะ 2 ปีละ

ผมคิดแค่ว่า ณ วันนี้มีแรงทำงาน มีเงินเดือน จะซื้อะไรก็รีบซื้อ แก่ตัวไป ไม่มีกำลังในการหา จะได้ไม่เดือดร้อนตอนแก่ ครับ



เหมือนผมเลยครับ ผมซื้อเองแค่สองคัน แต่ว่าตั้งแต่มีวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตอนนี้ไม่มีเงินผ่อนแล้วครับ  ::)
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Xyclop ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:36:30
ไม่ได้กวนนะ  แต่อยากให้ลอง serch กระทู้เก่า  แนวๆๆ นี้  ทั้งในเวปและนอกเวปนี้ คุณจะได้เพิ่มอีกเป็ร้อยๆๆทคำตอบเลย

สรุปหลักๆ   ไม่เดือดร้อนก้อจัด อย่ามัวมานั่งคำนวนไรมากเลย ปวดหัวปล่าว
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: DiKiBoyZ ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 14:45:25
แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ

ผมซื้อรถเอง 3 คัน (ไม่รวมของที่บ้าน) คันแรกผมซื้อตั้งแต่ช่วงอยู่ปี 4 ก่อนเรียนจบ จนทุกวันนี้ คันที่ 3 ละ ทุกคันซื้อผ่อน และ ดาวน์ 25% แล้วก็ผ่อน 60-72 งวด

ถามว่า มีทรัพย์สินเท่าไหร่ ผมบอกเลยว่าเงินสด "ติดลบ" ครับ (ไม่รวมรถ 2 คัน ที่ผ่อนหมดไปแล้วนะ) เพราะเอาเงินในอนาคตมาผ่อนครับ(เหมือนรูดบัตรเครดิต)

ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน ซื้อเอง ผ่อนเอง ตอนนี้ 2 คันแรกผ่อนหมดไปแล้ว ตอนนี้เหลือคันที่ 3 เพิ่งผ่อนมาได้เกือบจะ 2 ปีละ

ผมคิดแค่ว่า ณ วันนี้มีแรงทำงาน มีเงินเดือน จะซื้อะไรก็รีบซื้อ แก่ตัวไป ไม่มีกำลังในการหา จะได้ไม่เดือดร้อนตอนแก่ ครับ



เหมือนผมเลยครับ ผมซื้อเองแค่สองคัน แต่ว่าตั้งแต่มีวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตอนนี้ไม่มีเงินผ่อนแล้วครับ  ::)

โจทย์พวกนี้อย่างที่บอกว่าไม่เหมือนกันครับ ใครไหว ใครอยากได้ก็ซื้อ

เพราะเอาจริงๆ มันเหมือนของฟุ่มเฟือยสำหรับบางคน แต่สำหรับบางคนมันเหมือนแขนขาทำมาหากินเลยก็ว่าได้

บางคนมีทุนเดิมชีวิตติดลบ กว่าจะหาเงิน หาทรัพย์สินเป็น 100% ของราคารถที่จะซื้อ บางทีเก็บเงิน 5-10 ปี ยังไม่ได้เลย แล้วเมื่อไหร่จะซื้อรถได้ละ ทางออกก็คือต้องผ่อนไฟแนนซ์เอาครับ

บางคนมีทุนเดิมชีวิตมาพอสมควร จะซื้อก็ซื้อเงินสดยังได้ แต่ก็คิดแล้วคิดอีก บางคนมีเงินก็จริง แต่บอกว่าการมีรถไม่ได้สร้างเงินให้(เพื่อนร่วมงานผม คนนึงคิดแบบนี้) แต่รถคือภาระ เติมน้ำมัน ซ่อมบำรุง เลยไม่ซื้อ แนะนำให้ซื้อ ชักแม่น้ำทั้ง 5 หาเหตุผลมาแนะนำให้ซื้อก็ไม่ซื้อ ทุกวันนี้ก็ต้องนั่งเรือ นั่งรถเมล์ นั่งรถตู้ นั่งวินมาทำงาน แล้วมาบ่นเหนื่อยยังโน้น เหนื่อยยังงี้ ผมละขี้เกียจฟังบอกเลย 555555
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: paulmerc ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 15:14:15
ต่างคนต่างมีความจำเป็นในการใช้เงินไม่เหมือนกันนะครับผมว่า

ถ้าสมมติไม่มีหนี้สินอื่น สำหรับผม รถมือ 1 ส่วนใหญ่จะผ่อนไม่ต่ำกว่า 20% ดอกเบี้ยไม่ควรเกิน 2% ครับ เพื่อให้ดอกเบี้ยรวมตลอดสัญญาไม่เยอะเกินไป ตัวผมเองเลือกแบบนี้ครับ เพราะแทนที่จะเอาเงิน 1 ล้านซื้อสดเพื่อลงกับรถใหม่ ผมยอมดาวน์ 20 ผ่อน 4 ปี แล้วนำเงินอีก 6 แสนไปลงทุนทำธุรกิจอื่นๆ ซื้อหุ้น ซื้อทอง ซื้อกองทุน ซื้อชาแนล ซื้อ ออยสเตอร์ ฮัลค์ หรือ เก็งกำไรอะไรก็ได้ครับ ผลตอบแทนเนาะๆ 10-30 % อย่างต่ำ คุ้มกว่าเอาเงินมาลงกับรถทั้งหมด

แต่ถ้าเป็นรถเก็บคันอื่นๆของผม ซื้อสดทุกคันครับ เพราะรถเก็บส่วนใหญ่เป็นรถมือ 2 ยุโรป ที่ Service A กับ B มีค่าใช้จ่ายเยอะครับ แทนที่จะผ่อนรถมือสองที่ดอกเบี้ย 4-7 % ยอมซื้อสดแล้วเก็บเงินไว้บำรุงรักษารถคุ้มกว่าครับ

ถ้ามองราคารถเทียบกับทรัพย์สินผมว่ามันไม่ค่อยเป็นปัจจัยสอดคล้องกันเท่าไหร่ เพราะคนรู้จักผมหลายคนรวยมากๆ แต่ก็ใช้แคมรี่ธรรมดา  หลายคนระดับ SME มูลค่าสินทรัพย์หลัก 10ๆล้าน แต่ก็ใช้ CLS เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการติดต่อด้านการค้า  ดังนั้นลองเทียบมูลค่ารถ กับกระแสเงินสด หรือเงินเย็นของคนๆนั้นก็ได้ครับ  สมมติผมจะซื้อรถเก็บ  ตัวอย่าง Mini coupe ถ้าซื้อสดราคารถต้องไม่เกิน 50 % ของเงินเก็บแบบพร้อมจ่ายของผมเอง
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: เนื้อน่องไม่หนัง ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 15:25:35
ผมว่ามันเป็นเรื่องส่วนบุคคลนะ แต่ละคนก็จัดสรรรายได้ไม่เหมือนกัน ความชอบก็ไม่เหมือนกัน ภาระก็ไม่เท่ากัน

การที่จะบอกว่า รถต้องเป็นเท่านี้ของทรัพย์สิน หรือจะบอกว่าต้องซื้อบ้านก่อนซื้อรถ มันก็ไม่สมควรเท่าไร่ เรื่องแบบนี้มันไม่มีสูตรตายตัวหรอกครับ

หนังสือบางเล่มที่แปลมาจากต่างประเทศ เค้าแบ่งให้รถยนต์แค่ 10% ของทรัพย์สินเองนะครับ แต่อย่าลืมว่าต่างประเทศ รถรุ่นถูกๆ ราคาเท่าไทยเรา แต่ รายได้ขั้นต่ำเขามากกว่าเราหลายเท่า รายได้ทั้งปีเด็กจบใหม่ ซื้อรถได้เลย(อันนี้ไม่พูดถึงเรื่อง คชจ อื่นๆของเขานะ) ถ้ามองว่า รถต้องเป็น 10% ของทรัพย์สินเกินครึ้งของคนในประเทศบอกลารถป้ายแดงได้เลย

ส่วนตัวผมคิดว่า รายได้หักค่าใช้จ่าย หักลงทุน หักเงินออม ถ้าเหลือแล้วเอามาผ่อนรถ ก็น่าจะพอแล้วครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Aleister TJ ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 15:42:34
ตอนวัยรุ่นชอบคันไหนก็จะเอาให้ได้​ อารมณ์มากกว่าเหตุผล​ ผ่อนแพงไม่สน​ ไม่คิดหน้าคิดหลัง​ มั่นหน้ามาก​

พอ​เข้าเลข​ 3​ ผ่านประสบการณ์, เจอวิกฤตชีวิตต่างๆเริ่มหายห้าว​ เลือกรถไม่เกินกำลังตัวเอง​ ผ่อนไม่เครียด​ มีตังกินเที่ยว​ ใช้ชีวิตด้านอื่นได้
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: SM. ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 17:00:05
อยากมาเสริมจากท่านอื่นๆว่า ราคารถ ส่วนมากจะลดลงนะครับ สำหรับผม เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่าครับ ใช้รถราคากลางๆ ไม่หนัก ไม่เครียดเกินไป ในการซื้อ และดูแลมัน
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: XyteBlaster ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 17:45:00
ถ้าเอาแบบตอนที่มีตังแล้ว ผมซื้ออย่างน้อยต้องดาวน์ 25% ขึ้นไป ผ่อนไม่เกิน 48 งวดครับ เพราะเป็นเงื่อนไขไฟแนนซ์ที่ดอกเบี้ยถูกที่สุดแล้ว
ยกเว้นจะมีพวก 3 ปี ดอก 0% หรืออะไรพิเศษ ค่อยว่าเป็นกรณีไปครับ

แต่ตอนเรียนจบใหม่ๆ  พึ่งทำงานได้ปีแรก ผมโชคดีได้ civic ตาโต รถเก่าของที่บ้านมา (ที่บ้านออกรถใหม่ ยกคันเก่า 9 ปีให้) ก็ขับไปซ่อมไปจริง ๆ ครับ
เดี๋ยวโช๊ครั่ว คอมแอร์ตัน พัดลมหม้อน้ำหยุด จนเครื่องร้อน ฝาโก่ง สารพัดครับ

อีก 2 ปี มาทำงานที่ได้เงินเดือนเยอะขึ้นซื้อรถใหม่ตอนนั้น ผ่อนก็ราว20% ของรายได้ครับ ตอนหลัง ๆ ตั้งตัวได้แล้วเหลือแค่ 10%  5% ของรายได้ครับ
ซื้อรถเกรดดีขึ้นนะครับ แต่ว่ารายได้มันขึ้นเร็วกว่ารสนิยม  จะว่าไปตอนเด็ก ๆ ไม่มีตังทุกอย่างก็ตึง ๆ หมดแหละครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Auto ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 17:50:06
ไม่ได้คิดเ็นเปอร์เซ็นต์    สมัยหนุ่ม ๆ  ซื้อรถเท่าที่ตัวเองผ่อนได้   แต่ซื้อ SUV  นะ อยากได้รถที่ต้องการมากกว่า
  ปัจจุบันซื้อแต่รถมือ 2  และซื้อเงินสดทุกคัน    ซื้อเท่าที่ไหวไม่เดือดร้อน      อายุมากขึ้นไม่อยากผ่อน
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Fly to dream ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 18:13:25
เงินดาวน์ กับผ่อนแล้วไม่หนัก แค่นี้ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Isomars ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 19:06:10
มีน้องคนหนึ่งที่รู้จักจากคลับ EcoSport มีเงินเก็บประมาณ 20 กว่าล้าน ได้มาจากการขายหุ้นของกิจการที่บ้าน (คนที่อยู่ในแวดวงศิลปะ เครื่องเขียน วัสดุสำนักงาน ถ้าบอกชื่อแบรนด์ไปน่าจะรู้เลย) แต่ตัวน้องเองเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนพนักงานรัฐวิสาหกิจ เคยถามน้องว่าไม่สนใจรถยุโรปบ้างเหรอ น้องบอกเมื่อก่อนก็เคยคิด ๆ ไว้ แต่คิดไปคิดมาไม่ดีกว่า น้องรู้สึกเสียดายเงิน และบอกว่าสำหรับเขาถ้าจะซื้อรถ ราคาไม่ควรเกิน 2 ล้าน พ่อน้องมีทรัพย์สินเยอะกว่าน้องมากแต่ซื้อรถราคาไม่เคยเกินล้านเลย ซื้อสดทุกคัน ทุกวันนี้น้องก็ใช้ EcoSport ที่พ่อซื้อสดให้ขับไปทำงาน ดูเหมือนที่บ้านน้องจะใช้รถแค่ 2 ยี่ห้อ คือ Ford กับ Mazda
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: CookiE ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 19:31:18
ถ้าคิดตามสัดส่วนของสินทรัพย์คงไม่ได้ซื้อรถครับ 5555+
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: CHANOM ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 19:51:40
เรามองว่าการซื้อรถคันนึง ควรต้องมีเงินดาว์นอย่างต่ำ 25% และผ่อนไม่เกิน 25% ของรายได้นะคะ
แต่ถ้าให้ดูสินทรัพย์ทั้งหมด อันนี้คงพูดยากค่ะ

อย่างตัวเราเอง ที่บ้านมีอสังหาริมทรัพย์หลายที่แล้ว เราคงไม่มีที่อยู่อาศัยของตัวเองค่ะ ^^"
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: tatum0022 ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 20:55:43
โห ตอบยากครับ มันอยู่ที่ตัวเราเองมากกกว่าว่ามีวินัยในการใช้เงินแค่ไหนมากกว่าครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: 0% ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 21:01:46
ส่วนใหญ่จัดไฟแนนซ์กันทั้งนั้น เงินดาวน์แทบจะไม่มี

พวกรถแพงๆหน่อย อัตราส่วนซื้อสด มีมากขึ้น แต่ก็มียังคงมีจัดไฟแนนซ์ไม่ผ่านบ้าง

คนที่ซื้อสดได้ก็มี แต่น้อยผมว่า 20%

บางคนใช้เครดิต ชีวิตเงินหมุน ตอนขายดีๆ เงินอุ้ฟู้เครดิตดีๆ ก็ไปดาวน์รถแพงๆมาขับเล่น พอมีปัญหา สองสามล๊อต ต้องมาขายดาวน์รถป้ายแดง หลักเดือน วิ่งหลักพัน เยอะแยะไปสมัยนี้
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: mongolias ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 21:07:40
ผมไม่เอาสินทรัพย์มาคำนวณครับ
แต่เอาเงินเดือนและเงินเก็บมาคำนวณครับ

รถคันแรกของผม ซื้อหลังจากทำงานได้ 1 ปี เพราะต้องขับรถไปกลับที่ทำงาน (อยู่บ้าน) ตอนนั้นคุณแม่ดาวน์ให้ น่าจะราวๆ 65% เงินผ่อนราวๆ 40% ของเงินเดือน ก็หืดขึ้นคอกว่าจะหมดครับ

คันถัดมาของภรรยา ซื้ตอนนโยบายรถคันแรกครับ คันนี้คุณแม่ซื้อสดให้ครับ โดยผ่อนคืนให้คุณแม่เอา

คันถัดมา ของผม ซื้อหลังจากคันเก่าใช้ไป 11 ปี เริ่มซ่อมบ่อย เลยตัดสินใจออกรถใหม่ คันนี้ดาวน์ไปประมาณ 60% ผ่อน 5 ปี ราวๆ 15% ของเงินเดือนครับ

คันสุดท้าย รถภรรยา ออกเพราะอยากให้เธอมีรถที่ปลอดภัยขึ้น สบายขึ้น ดาวน์ไปประมาณ 60%ครับ ผ่อน 4 ปี ประมาณ 20% ของเงินเดือนภรรยาครับ

ส่วนตัวมีเงินเก็บพอที่จะซื้อสดได้ ในคันที่ 3 และ4 แต่เอาไว้ลงทุนอย่างอื่น + สำรองไว้เผื่อลูกครับ

3 ปีที่แล้วเงินไปซื้อที่ดินเอาไว้เป็นสินทรัพย์ให้ลูก หลังจากนั้นเลยบอกแฟนว่า ขอให้รางวัลชีวิตบ้างครับ
ตอนนี้ก็มีความสุขดีกับรถทั้งสองคัน คิดว่าคันหน้าคงได่ไป ev ล่ะมั๊งครับ

ปล. ทั้ง4 คัน เป็นรถญี่ปุ่นหมดครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 21:15:41
คำถามนี้ผมว่าบอกอายุ(คนส่วนใหญ่)มากกว่านะครับ ถ้าเพิ่งเริ่มทำงาน(เริ่มจาก 0) ตัวเลขนี้ยังไงก็ติดลบ คนส่วนใหญ่ยังไงก็ใช้ประโยชน์จากสินเชื่อเป็นกันหมดแล้วทั้งนั้น คนอายุมากแล้ว ผ่อนบ้าน ผ่อนรถหมดแล้ว จะซื้ออีกตัวเลขนี้ก็จะน้อย
อีกอย่างก็คือ คนรายได้มากตัวเลขนี้ก็จะน้อย คนรายได้น้อยตัวเลขนี้ก็จะมาก
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: bodin ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 21:24:37
ผมไม่นับรถเป็นทรัพย์สินครับเพราะไม่ต้องการคำนวนค่าเสื่อมทุกปีซึ่งมันเป็นการลดลงเลยไม่ชอบ ตีเป็นของใช้งานไป

ที่มีตอนนี้ มี T6 4ประตูซื้อมาขนจักรยานขนหมาแมว L33รถหลัก 

ผมมีหลักที่เจ้านายเก่าสอนไว้ อยากรวยอย่าไปหมดกับ"ลด" มาก เก็บเงิน10บาท ให้"ลด" บาทเดียวพอ ซึ่งผมทำได้ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Nott1959 ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 23:17:42
300%ครับ เพราะรายได้หนัก Eco-car แต่รสนิยมระดับ Hypercars
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.Joe ที่ พฤษภาคม 06, 2020, 23:45:56
เมื่อหักจากการเตรียมการใช้เงินต่างๆแล้ว
เช่นค่าประกันชีวิต บ้าน เงินเก็บเผื่อสำหรับสุขภาพ ค่าเทอมลูกอย่างน้อย 3 ปี รวมถึงค่าจิปาถะ เช่นการเดินทางเปิดโลกให้ลูก
ต้องมีเงินสดเหลือเท่าราคารถคันนั้น ถึงจะซื้อครับ แล้วค่อยเอาเงินนั้นไปดาวน์ซัก 25-30% เพื่อลดความเสี่ยงอนาคต โดยที่การผ่อนต่อเดือน ต้องไม่เกิน 5% ของรายได้รวมต่อเดือนของผม และภรรยา
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: ภูมิใจไหม? ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 08:53:56
ไม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ทั้งหมดที่มีครับ

คนบ้านนอกมีสวนเป็นสิบ ๆ ไร่

แต่รายได้ต่อเดือนน้อย เค้าก็ต้องซื้อรถถูก ๆ ขับครับ

คนในเมืองเช่าทาวเฮ้าส์อยู่ แต่ดันมีรถ 3 คัน ราคารวมกัน 4 ล้าน

ที่จอดยังไม่มีเลย

พอเห็นภาพไหมครับ 555
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: watmung ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 09:08:33
คันแรก Accord  ใช้เงินสด 50% ของที่มีซื้อครับ. แล้วมีช่วงที่รายได้ลด ต้องเอาเงินเก็บมาใช้ รู้สึกไม่โอเครเลยครับ

ความคิดที่ว่ารถ มันกินไม่ได้ วิ่งเช้ามาเลย แล้วราคาก็ร่วงไปเยอะเลย จากวันที่ซื้อ

คันต่อไปจะไปรถยุโรป ตั้งใจว่าต้องใช้เงินไม่เกิน 10% ของเงินสดที่มีครับ

ถ้าทำไม่ได้ก็ ขับ Accord ยันแก่เลยครับ  ;D ;D ;D. (ตอนนี้อายุ 30)
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 09:39:05
เป็นผมจะคิดอีกมิตินึงครับ  เพราะถ้าคิดคนละมิติ  การตัดสินใจก็จะต่างกันไปคนละแบบเลยครับ

 ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย  ดังนั้นควรจะคิดในแง่ว่าเราจะให้ค่าใช้จ่ายทางด้านรถยนต์เป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้       เช่น เป็นข้าราชการเงินเดือน 15000 บาท แล้วได้มรดกมาเป็นที่ดิน 100 ไร่ แต่ ไม่สามารถหาประโยชน์หรือรายได้จากที่ดินนั้นได้เลย  การตัดสินใจซื้อรถก็ควรอ้างอิงตามฐานรายได้เท่าที่มีครับ

รายได้ 100% ก็อาจจะจัดสรรกับสิ่งที่จำเป็นตามลำดับ เช่น
- อาหาร
- ที่อยู่อาศัย
- การเดินทาง (ซื้อรถเท่าที่จำเป็น เช่น รถมือสอง / Eco car หรือ ใช้ขนส่งสาธารณะ)
- การศึกษา (ในช่วงชีวิตที่เพิ่งจบใหม่ๆ)
- การลงทุน/การออม (15-25% ของรายได้  แล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต)  --> แล้วเงินปันผล ค่าเช่าที่ได้ จะมาเพิ่มรายได้ในอนาคตครับ

จากนั้นแล้วเหลือเท่าไร ค่อยไปจัดสรรให้กับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น รถยุโรป การท่องเที่ยว เครื่องเสียง สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆ ครับ


ผมเป็นสายสมดุลระหว่างความมั่นคงและความสุขครับ
ทรัพย์สินและรายได้ที่ได้จากการลงทุนถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิต  แต่ก็ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องเสียง การท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความสุขในชีวิตด้วยครับ




หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: bennieT8 ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 10:33:13
ผมว่าแต่ละคนเกณฑ์คงต่างกัน  ส่วนตัวผมเองต้องมีเงินเก็บตอนเกษียณ  รวมค่าใช้จ่ายทั้งครอบครัว,สุขภาพ,ท่องเที่ยวได้แบบสบายๆให้พอแบบเหลือๆก่อน  และกฎเหล็กต้องไม่เป็นหนี้เลย  รถทุกคันซื้อเงินสดหมด จนคันสุดท้ายนี่ถึงยอมผ่อนเพราะได้ดอกเบี้ย 0% และสามารถเอาเงินก้อนไปหารายได้เพิ่มมามากกว่าค่าผ่อนรถ  อีกอย่างพอแก่ตัวแล้วอยากเลือกรถดีๆและปลอดภัยมาใช้  ถือเป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเองด้วย
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: +@ Krishna @+ ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 12:02:00
ผมทรัพย์สินไม่เยอะ 
มันขึ้นอยู่กับ เราพอใจผ่อนไหวมั้ย ไม่ได้คำนวณอะไรซับซ้อน
ตั้งยอดรถไว้ในใจ ค่างวดผ่อนไหว สบาย ก็จัดเลยครับ
ค่าผ่อนรถต่อเดือนไม่ควรเกิน 20% +- ของรายได้ต่อเดือน

ผมสำคัญที่เงินดาว์นครับ
หลัง ๆ ดาว์น 50 %  (ไม่ต้องลำบากหาคนค้ำ)
ผ่อนไม่เกิน 48 เดือน  :-*
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 13:26:03
เป็นผมจะคิดอีกมิตินึงครับ  เพราะถ้าคิดคนละมิติ  การตัดสินใจก็จะต่างกันไปคนละแบบเลยครับ

 ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย  ดังนั้นควรจะคิดในแง่ว่าเราจะให้ค่าใช้จ่ายทางด้านรถยนต์เป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้       เช่น เป็นข้าราชการเงินเดือน 15000 บาท แล้วได้มรดกมาเป็นที่ดิน 100 ไร่ แต่ ไม่สามารถหาประโยชน์หรือรายได้จากที่ดินนั้นได้เลย  การตัดสินใจซื้อรถก็ควรอ้างอิงตามฐานรายได้เท่าที่มีครับ

รายได้ 100% ก็อาจจะจัดสรรกับสิ่งที่จำเป็นตามลำดับ เช่น
- อาหาร
- ที่อยู่อาศัย
- การเดินทาง (ซื้อรถเท่าที่จำเป็น เช่น รถมือสอง / Eco car หรือ ใช้ขนส่งสาธารณะ)
- การศึกษา (ในช่วงชีวิตที่เพิ่งจบใหม่ๆ)
- การลงทุน/การออม (15-25% ของรายได้  แล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต)  --> แล้วเงินปันผล ค่าเช่าที่ได้ จะมาเพิ่มรายได้ในอนาคตครับ

จากนั้นแล้วเหลือเท่าไร ค่อยไปจัดสรรให้กับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น รถยุโรป การท่องเที่ยว เครื่องเสียง สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆ ครับ


ผมเป็นสายสมดุลระหว่างความมั่นคงและความสุขครับ
ทรัพย์สินและรายได้ที่ได้จากการลงทุนถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิต  แต่ก็ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องเสียง การท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความสุขในชีวิตด้วยครับ
มันไม่ใช่อีกมิติหรอกครับ มันผิดเลยละ รถยนยนต์ยังไงก็เป็นสินทรัพย์ครับ เพียงแต่คุณต้องมีความรู้พื้นฐานทางบัญชีและการเงินในการอธิบายมัน ผมว่าคิดต่างมันก็ดีแต่ถึงขั้นผิดเพี้ยนจากมาตรฐานที่มีเดิมดีอยู่แล้ว

อธิบายแบบนี้ รถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่ทำไมคุณถึงมองเป็นค่าใช้จ่าย เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ทางบัญชีจะมีค่าเสื่อมราคาซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นค่าใช้จ่าย แล้วการจะดูว่าสินทรัพย์ตัวนี้มีมูลค่าเท่าไร ก็เอาไปหักค่าเสื่อมราคาสะสม ผมว่าความรู้ของเดิมเขาดี ละเอียดอยู่แล้วนะครับ ไปคิดให้มันผิดเพี้ยนทำไม?

แล้วก็อย่าพึ่งไปเรื่องการลงทุน ถ้าความรู้พื้นฐานผิด เดี๋ยวมันจะยิ่งผิดไปกันใหญ่ครับ ความรู้มันมีอยู่แล้วครับ อยู่ที่คุณจะศึกษามันหรือไม่ การคิดไปเองมันเป็น bias อย่างนึง ถ้าเป็นความเห็นไม่มีผิดถูก แต่กรณีนี้มันชัดครับว่าคุณผิดเพี้ยนจากความรู้ทางการเงิน
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 15:38:03
เป็นผมจะคิดอีกมิตินึงครับ  เพราะถ้าคิดคนละมิติ  การตัดสินใจก็จะต่างกันไปคนละแบบเลยครับ

 ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย  ดังนั้นควรจะคิดในแง่ว่าเราจะให้ค่าใช้จ่ายทางด้านรถยนต์เป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้       เช่น เป็นข้าราชการเงินเดือน 15000 บาท แล้วได้มรดกมาเป็นที่ดิน 100 ไร่ แต่ ไม่สามารถหาประโยชน์หรือรายได้จากที่ดินนั้นได้เลย  การตัดสินใจซื้อรถก็ควรอ้างอิงตามฐานรายได้เท่าที่มีครับ

รายได้ 100% ก็อาจจะจัดสรรกับสิ่งที่จำเป็นตามลำดับ เช่น
- อาหาร
- ที่อยู่อาศัย
- การเดินทาง (ซื้อรถเท่าที่จำเป็น เช่น รถมือสอง / Eco car หรือ ใช้ขนส่งสาธารณะ)
- การศึกษา (ในช่วงชีวิตที่เพิ่งจบใหม่ๆ)
- การลงทุน/การออม (15-25% ของรายได้  แล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต)  --> แล้วเงินปันผล ค่าเช่าที่ได้ จะมาเพิ่มรายได้ในอนาคตครับ

จากนั้นแล้วเหลือเท่าไร ค่อยไปจัดสรรให้กับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น รถยุโรป การท่องเที่ยว เครื่องเสียง สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆ ครับ


ผมเป็นสายสมดุลระหว่างความมั่นคงและความสุขครับ
ทรัพย์สินและรายได้ที่ได้จากการลงทุนถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิต  แต่ก็ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องเสียง การท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความสุขในชีวิตด้วยครับ
มันไม่ใช่อีกมิติหรอกครับ มันผิดเลยละ รถยนยนต์ยังไงก็เป็นสินทรัพย์ครับ เพียงแต่คุณต้องมีความรู้พื้นฐานทางบัญชีและการเงินในการอธิบายมัน ผมว่าคิดต่างมันก็ดีแต่ถึงขั้นผิดเพี้ยนจากมาตรฐานที่มีเดิมดีอยู่แล้ว

อธิบายแบบนี้ รถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่ทำไมคุณถึงมองเป็นค่าใช้จ่าย เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ทางบัญชีจะมีค่าเสื่อมราคาซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นค่าใช้จ่าย แล้วการจะดูว่าสินทรัพย์ตัวนี้มีมูลค่าเท่าไร ก็เอาไปหักค่าเสื่อมราคาสะสม ผมว่าความรู้ของเดิมเขาดี ละเอียดอยู่แล้วนะครับ ไปคิดให้มันผิดเพี้ยนทำไม?

แล้วก็อย่าพึ่งไปเรื่องการลงทุน ถ้าความรู้พื้นฐานผิด เดี๋ยวมันจะยิ่งผิดไปกันใหญ่ครับ ความรู้มันมีอยู่แล้วครับ อยู่ที่คุณจะศึกษามันหรือไม่ การคิดไปเองมันเป็น bias อย่างนึง ถ้าเป็นความเห็นไม่มีผิดถูก แต่กรณีนี้มันชัดครับว่าคุณผิดเพี้ยนจากความรู้ทางการเงิน

มาตรฐานบัญชีผมเข้าใจหมดนะ ถ้าจะพูดถึงมาตรฐานบัญชี คุณเรียนมาคงทราบอยู่แล้วว่า สาเหตุที่ทางบัญชีที่เค้าต้องลงเป็นสินทรัพย์ เนื่องจากมันไม่ใช่ของที่ใช้หมดไปในปีเดียว มันมีอายุการใช้งานหลายปี จึงมีการลงไว้เป็นสินทรัพย์และทยอยตัดค่าเสื่อม 5-10 ปี  เหตุผลหลักคือเพื่อให้งบกำไรขาดทุนมันสะท้อนผลการดำเนินงานในปีนั้นๆ


ส่วนที่ผมเสนอคือให้มองในมิติของการลงทุน  อย่าไปมองในมิติทางด้านการลงบัญชี   แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักก็เพราะเข้าใจว่าหลายๆ ท่านในที่นี้อาจจะไม่ได้เรียนทางบัญชีมา จะเยิ่นเย้อเสียเปล่าๆ

ในมุมมองการลงทุน คำว่า "สินทรัพย์"  เราจะมุ่งเน้นไปเฉพาะสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้   หากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อรายได้ ปกติเราจะพิจารณาเป็นค่าใช้จ่าย  (ส่วนมาตรฐานบัญชีจะลงบัญชีอย่างไรก็อีกส่วนหนึ่ง เป็นความถูกต้องทางด้านบัญชี แต่มันคนละด้านกับการตัดสินใจลงทุน)  ยกตัวอย่าง เช่น

-  ถ้าบริษัทจะตัดสินใจทำโครงการ A  เราจะดูว่าโครงการ A ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร คืนทุนในกี่ปี  irr เท่าไร  วิเคราะห์ sensitivity ในแต่ละ Scenario   (CFO จะมองเงินที่ลงทุนในโครงการ A ทั้งหมดเป็น Capital Expediture แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีตามมาตรฐานบัญชี เช่น  ค่าเงินเดือน ค่าประชาสัมพันธ์ในโครงการ เค้าจะตัดจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายรายปี)

- ถ้าบริษัทจะตัดสินใจจะซื้อรถประจำตำแหน่ง ให้ผู้บริหาร 1 คัน  (CFO จะมองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวรถ ตลอดจนค่าซ่อม ค่าน้ำมัน เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวของบริษัท  แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีมูลค่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์แล้วทยอยตัดค่าเสื่อมก็ว่ากันไป)

โดยการใช้งานของบุคคลทั่วไปแล้ว ผมจึงเสนอให้มิติมุมมองของการซื้อรถยนต์ส่วนตัวเป็นมิติของค่าใช้จ่าย  โดยที่ผมยังมีความเข้าใจในมิติมุมมองของนักบัญชีอยู่ เพียงแต่ผมเลือกมุมมองที่จะดึงเอาความรู้ที่มีมาใช้ให้ถูกกับบริบทที่เราจะใช้ในการตัดสินใจ  เพื่อการตัดสินใจที่เหมาะสม     การนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ตามตำราเป๊ะๆ  แต่เอาไปใช้กับบริบทที่ไม่เหมาะสมก็ถือเป็นความไม่รู้อย่างนึงนะครับ   ในเรื่องของมุมมองนี้ผมยังเห็นว่าการที่บางท่านใช้มุมมองในมิติของ Cash Flow คือมีเงินดาวน์กี่เปอร์เซนต์ และเงินที่ผ่อนต่อเดือนคิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้ ผมก็ยังถือว่าเป็นมิติที่เหมาะสมกับการตัดสินใจ มากกว่าการใช้มุมมองที่ตั้งงบเป็นเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์อีกนะครับ

มาตรฐานบัญชีบอกให้ลงรถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่การตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนตัวซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นมุมมองของค่าใช้จ่ายครับ แต่จะคำนวณเป็นค่าใช้อย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่วิถีของการใช้รถยนต์ของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เลยไม่ได้คิดแบบค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชีแน่ๆ ครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Sympho ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 15:54:01
ตอนนี้อายุ 30 ต้นๆ รายได้หลัก+เสริม 50k-60k งานมั่นคงพอสมควร เงินออมประมาณ 20%

ถ้าให้ซื้อรถ รวมกับค่างวดที่ผ่อนบ้านแล้วต้องไม่เกิน 50% ครับ ซึ่งตอนนี้ยังไม่พร้อม เนื่องจากติดบ้านอยู่ 2 หลัง ;D

รอรายได้เพิ่มอีก 2-3 หมื่นนั่นหละครับ ถึงเวลานั้นค่อยจัด 

ปล. Revo บริษัทผมมองเป็นค่าใช้จ่าย (ก็เช่าเอา แต่ถึงจะซื้อก็หลักการเดียวกัน) แต่ถ้ามีรถพวก R34 GTR แท้ๆ จอดในโรงรถติดแอร์ที่บ้าน ผมก็คงมองเป็นสินทรัพย์ ทั้งๆที่มันก็รถเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 16:17:13
เป็นผมจะคิดอีกมิตินึงครับ  เพราะถ้าคิดคนละมิติ  การตัดสินใจก็จะต่างกันไปคนละแบบเลยครับ

 ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย  ดังนั้นควรจะคิดในแง่ว่าเราจะให้ค่าใช้จ่ายทางด้านรถยนต์เป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้       เช่น เป็นข้าราชการเงินเดือน 15000 บาท แล้วได้มรดกมาเป็นที่ดิน 100 ไร่ แต่ ไม่สามารถหาประโยชน์หรือรายได้จากที่ดินนั้นได้เลย  การตัดสินใจซื้อรถก็ควรอ้างอิงตามฐานรายได้เท่าที่มีครับ

รายได้ 100% ก็อาจจะจัดสรรกับสิ่งที่จำเป็นตามลำดับ เช่น
- อาหาร
- ที่อยู่อาศัย
- การเดินทาง (ซื้อรถเท่าที่จำเป็น เช่น รถมือสอง / Eco car หรือ ใช้ขนส่งสาธารณะ)
- การศึกษา (ในช่วงชีวิตที่เพิ่งจบใหม่ๆ)
- การลงทุน/การออม (15-25% ของรายได้  แล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต)  --> แล้วเงินปันผล ค่าเช่าที่ได้ จะมาเพิ่มรายได้ในอนาคตครับ

จากนั้นแล้วเหลือเท่าไร ค่อยไปจัดสรรให้กับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น รถยุโรป การท่องเที่ยว เครื่องเสียง สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆ ครับ


ผมเป็นสายสมดุลระหว่างความมั่นคงและความสุขครับ
ทรัพย์สินและรายได้ที่ได้จากการลงทุนถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิต  แต่ก็ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องเสียง การท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความสุขในชีวิตด้วยครับ
มันไม่ใช่อีกมิติหรอกครับ มันผิดเลยละ รถยนยนต์ยังไงก็เป็นสินทรัพย์ครับ เพียงแต่คุณต้องมีความรู้พื้นฐานทางบัญชีและการเงินในการอธิบายมัน ผมว่าคิดต่างมันก็ดีแต่ถึงขั้นผิดเพี้ยนจากมาตรฐานที่มีเดิมดีอยู่แล้ว

อธิบายแบบนี้ รถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่ทำไมคุณถึงมองเป็นค่าใช้จ่าย เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ทางบัญชีจะมีค่าเสื่อมราคาซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นค่าใช้จ่าย แล้วการจะดูว่าสินทรัพย์ตัวนี้มีมูลค่าเท่าไร ก็เอาไปหักค่าเสื่อมราคาสะสม ผมว่าความรู้ของเดิมเขาดี ละเอียดอยู่แล้วนะครับ ไปคิดให้มันผิดเพี้ยนทำไม?

แล้วก็อย่าพึ่งไปเรื่องการลงทุน ถ้าความรู้พื้นฐานผิด เดี๋ยวมันจะยิ่งผิดไปกันใหญ่ครับ ความรู้มันมีอยู่แล้วครับ อยู่ที่คุณจะศึกษามันหรือไม่ การคิดไปเองมันเป็น bias อย่างนึง ถ้าเป็นความเห็นไม่มีผิดถูก แต่กรณีนี้มันชัดครับว่าคุณผิดเพี้ยนจากความรู้ทางการเงิน

มาตรฐานบัญชีผมเข้าใจหมดนะ ถ้าจะพูดถึงมาตรฐานบัญชี คุณเรียนมาคงทราบอยู่แล้วว่า สาเหตุที่ทางบัญชีที่เค้าต้องลงเป็นสินทรัพย์ เนื่องจากมันไม่ใช่ของที่ใช้หมดไปในปีเดียว มันมีอายุการใช้งานหลายปี จึงมีการลงไว้เป็นสินทรัพย์และทยอยตัดค่าเสื่อม 5-10 ปี  เหตุผลหลักคือเพื่อให้งบกำไรขาดทุนมันสะท้อนผลการดำเนินงานในปีนั้นๆ


ส่วนที่ผมเสนอคือให้มองในมิติของการลงทุน  อย่าไปมองในมิติทางด้านการลงบัญชี   แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักก็เพราะเข้าใจว่าหลายๆ ท่านในที่นี้อาจจะไม่ได้เรียนทางบัญชีมา จะเยิ่นเย้อเสียเปล่าๆ

ในมุมมองการลงทุน คำว่า "สินทรัพย์"  เราจะมุ่งเน้นไปเฉพาะสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้   หากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อรายได้ ปกติเราจะพิจารณาเป็นค่าใช้จ่าย  (ส่วนมาตรฐานบัญชีจะลงบัญชีอย่างไรก็อีกส่วนหนึ่ง เป็นความถูกต้องทางด้านบัญชี แต่มันคนละด้านกับการตัดสินใจลงทุน)  ยกตัวอย่าง เช่น

-  ถ้าบริษัทจะตัดสินใจทำโครงการ A  เราจะดูว่าโครงการ A ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร คืนทุนในกี่ปี  irr เท่าไร  วิเคราะห์ sensitivity ในแต่ละ Scenario   (CFO จะมองเงินที่ลงทุนในโครงการ A ทั้งหมดเป็น Capital Expediture แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีตามมาตรฐานบัญชี เช่น  ค่าเงินเดือน ค่าประชาสัมพันธ์ในโครงการ เค้าจะตัดจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายรายปี)

- ถ้าบริษัทจะตัดสินใจจะซื้อรถประจำตำแหน่ง ให้ผู้บริหาร 1 คัน  (CFO จะมองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวรถ ตลอดจนค่าซ่อม ค่าน้ำมัน เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวของบริษัท  แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีมูลค่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์แล้วทยอยตัดค่าเสื่อมก็ว่ากันไป)

โดยการใช้งานของบุคคลทั่วไปแล้ว ผมจึงเสนอให้มิติมุมมองของการซื้อรถยนต์ส่วนตัวเป็นมิติของค่าใช้จ่าย  โดยที่ผมยังมีความเข้าใจในมิติมุมมองของนักบัญชีอยู่ เพียงแต่ผมเลือกมุมมองที่จะดึงเอาความรู้ที่มีมาใช้ให้ถูกกับบริบทที่เราจะใช้ในการตัดสินใจ     การนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาเอาไปใช้กับบริบทที่ไม่ถูกต้องก็ถือเป็นความไม่รู้อย่างนึงนะครับ

มาตรฐานบัญชีบอกให้ลงรถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่การตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนตัวซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นมุมมองของค่าใช้จ่ายครับ แต่จะคำนวณเป็นค่าใช้อย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่วิถีของการใช้รถยนต์ของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เลยไม่ได้คิดแบบค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชีแน่ๆ ครับ
ใช่ครับวิธีการคิดค่าเสื่อมนั้นมีข้อด้อย เพราะการคิดค่าเสื่อมทางบัญชีนั้นมีหลายวิธีแล้วแต่เลือกใช้ แต่สำหรับรถยนต์หากใช้ตัดเป็นแบบ exponential มันก็จะใกล้เคียงที่สุด แต่ไม่มีใครเขาทำกัน

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป คุณจะเห็นว่าทำไมตลาดหลักทรัพย์ถึงพร่ำสอนให้คนทั่วไปทำบัญชีส่วนตัวอย่างง่ายๆ เพื่อนำความรู้ทางการเงินมาประยุกต์ใช้กับตรงที่คุณคิดนี่แหละ ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ

อะไรที่ของเดิมดีอยู่แล้วก็นามาประยุกต์ใช้ครับ การที่คุณมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือน ใช้ไม่ได้ ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร(แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น) ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม

การนำรถยนต์ไปไว้ในรายการค่าใช้จ่าย หากทำบัญชีส่วนตัว คุณจะไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเงินที่เสียไป แถมยังผิดหลักบัญชีอีกด้วย ทำไมถึงไม่นำความรู้มาประยุกต์ใช้ จะมีประโยชน์มากกว่า
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 16:33:15
เป็นผมจะคิดอีกมิตินึงครับ  เพราะถ้าคิดคนละมิติ  การตัดสินใจก็จะต่างกันไปคนละแบบเลยครับ

 ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย  ดังนั้นควรจะคิดในแง่ว่าเราจะให้ค่าใช้จ่ายทางด้านรถยนต์เป็นกี่เปอร์เซนต์ของรายได้       เช่น เป็นข้าราชการเงินเดือน 15000 บาท แล้วได้มรดกมาเป็นที่ดิน 100 ไร่ แต่ ไม่สามารถหาประโยชน์หรือรายได้จากที่ดินนั้นได้เลย  การตัดสินใจซื้อรถก็ควรอ้างอิงตามฐานรายได้เท่าที่มีครับ

รายได้ 100% ก็อาจจะจัดสรรกับสิ่งที่จำเป็นตามลำดับ เช่น
- อาหาร
- ที่อยู่อาศัย
- การเดินทาง (ซื้อรถเท่าที่จำเป็น เช่น รถมือสอง / Eco car หรือ ใช้ขนส่งสาธารณะ)
- การศึกษา (ในช่วงชีวิตที่เพิ่งจบใหม่ๆ)
- การลงทุน/การออม (15-25% ของรายได้  แล้วแต่ช่วงเวลาของชีวิต)  --> แล้วเงินปันผล ค่าเช่าที่ได้ จะมาเพิ่มรายได้ในอนาคตครับ

จากนั้นแล้วเหลือเท่าไร ค่อยไปจัดสรรให้กับค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอื่นๆ เช่น รถยุโรป การท่องเที่ยว เครื่องเสียง สินค้าแบรนด์เนมอื่นๆ ครับ


ผมเป็นสายสมดุลระหว่างความมั่นคงและความสุขครับ
ทรัพย์สินและรายได้ที่ได้จากการลงทุนถือเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความมั่นคงในชีวิต  แต่ก็ต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องเสียง การท่องเที่ยว เพื่อตอบสนองความสุขในชีวิตด้วยครับ
มันไม่ใช่อีกมิติหรอกครับ มันผิดเลยละ รถยนยนต์ยังไงก็เป็นสินทรัพย์ครับ เพียงแต่คุณต้องมีความรู้พื้นฐานทางบัญชีและการเงินในการอธิบายมัน ผมว่าคิดต่างมันก็ดีแต่ถึงขั้นผิดเพี้ยนจากมาตรฐานที่มีเดิมดีอยู่แล้ว

อธิบายแบบนี้ รถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่ทำไมคุณถึงมองเป็นค่าใช้จ่าย เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่ด้อยค่า ทางบัญชีจะมีค่าเสื่อมราคาซึ่งตรงนี้ต่างหากที่เป็นค่าใช้จ่าย แล้วการจะดูว่าสินทรัพย์ตัวนี้มีมูลค่าเท่าไร ก็เอาไปหักค่าเสื่อมราคาสะสม ผมว่าความรู้ของเดิมเขาดี ละเอียดอยู่แล้วนะครับ ไปคิดให้มันผิดเพี้ยนทำไม?

แล้วก็อย่าพึ่งไปเรื่องการลงทุน ถ้าความรู้พื้นฐานผิด เดี๋ยวมันจะยิ่งผิดไปกันใหญ่ครับ ความรู้มันมีอยู่แล้วครับ อยู่ที่คุณจะศึกษามันหรือไม่ การคิดไปเองมันเป็น bias อย่างนึง ถ้าเป็นความเห็นไม่มีผิดถูก แต่กรณีนี้มันชัดครับว่าคุณผิดเพี้ยนจากความรู้ทางการเงิน

มาตรฐานบัญชีผมเข้าใจหมดนะ ถ้าจะพูดถึงมาตรฐานบัญชี คุณเรียนมาคงทราบอยู่แล้วว่า สาเหตุที่ทางบัญชีที่เค้าต้องลงเป็นสินทรัพย์ เนื่องจากมันไม่ใช่ของที่ใช้หมดไปในปีเดียว มันมีอายุการใช้งานหลายปี จึงมีการลงไว้เป็นสินทรัพย์และทยอยตัดค่าเสื่อม 5-10 ปี  เหตุผลหลักคือเพื่อให้งบกำไรขาดทุนมันสะท้อนผลการดำเนินงานในปีนั้นๆ


ส่วนที่ผมเสนอคือให้มองในมิติของการลงทุน  อย่าไปมองในมิติทางด้านการลงบัญชี   แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักก็เพราะเข้าใจว่าหลายๆ ท่านในที่นี้อาจจะไม่ได้เรียนทางบัญชีมา จะเยิ่นเย้อเสียเปล่าๆ

ในมุมมองการลงทุน คำว่า "สินทรัพย์"  เราจะมุ่งเน้นไปเฉพาะสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้   หากเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อรายได้ ปกติเราจะพิจารณาเป็นค่าใช้จ่าย  (ส่วนมาตรฐานบัญชีจะลงบัญชีอย่างไรก็อีกส่วนหนึ่ง เป็นความถูกต้องทางด้านบัญชี แต่มันคนละด้านกับการตัดสินใจลงทุน)  ยกตัวอย่าง เช่น

-  ถ้าบริษัทจะตัดสินใจทำโครงการ A  เราจะดูว่าโครงการ A ต้องใช้เงินลงทุนเท่าไร คืนทุนในกี่ปี  irr เท่าไร  วิเคราะห์ sensitivity ในแต่ละ Scenario   (CFO จะมองเงินที่ลงทุนในโครงการ A ทั้งหมดเป็น Capital Expediture แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีตามมาตรฐานบัญชี เช่น  ค่าเงินเดือน ค่าประชาสัมพันธ์ในโครงการ เค้าจะตัดจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายรายปี)

- ถ้าบริษัทจะตัดสินใจจะซื้อรถประจำตำแหน่ง ให้ผู้บริหาร 1 คัน  (CFO จะมองค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับตัวรถ ตลอดจนค่าซ่อม ค่าน้ำมัน เป็นค่าใช้จ่ายระยะยาวของบริษัท  แต่พนักงานบัญชีจะลงบัญชีมูลค่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์แล้วทยอยตัดค่าเสื่อมก็ว่ากันไป)

โดยการใช้งานของบุคคลทั่วไปแล้ว ผมจึงเสนอให้มิติมุมมองของการซื้อรถยนต์ส่วนตัวเป็นมิติของค่าใช้จ่าย  โดยที่ผมยังมีความเข้าใจในมิติมุมมองของนักบัญชีอยู่ เพียงแต่ผมเลือกมุมมองที่จะดึงเอาความรู้ที่มีมาใช้ให้ถูกกับบริบทที่เราจะใช้ในการตัดสินใจ     การนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาเอาไปใช้กับบริบทที่ไม่ถูกต้องก็ถือเป็นความไม่รู้อย่างนึงนะครับ

มาตรฐานบัญชีบอกให้ลงรถยนต์เป็นสินทรัพย์ แต่การตัดสินใจซื้อรถยนต์ส่วนตัวซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นมุมมองของค่าใช้จ่ายครับ แต่จะคำนวณเป็นค่าใช้อย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่วิถีของการใช้รถยนต์ของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่เลยไม่ได้คิดแบบค่าเสื่อมราคาตามมาตรฐานบัญชีแน่ๆ ครับ
ใช่ครับวิธีการคิดค่าเสื่อมนั้นมีข้อด้อย เพราะการคิดค่าเสื่อมทางบัญชีนั้นมีหลายวิธีแล้วแต่เลือกใช้ แต่สำหรับรถยนต์หากใช้ตัดเป็นแบบ exponential มันก็จะใกล้เคียงที่สุด แต่ไม่มีใครเขาทำกัน

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป คุณจะเห็นว่าทำไมตลาดหลักทรัพย์ถึงพร่ำสอนให้คนทั่วไปทำบัญชีส่วนตัวอย่างง่ายๆ เพื่อนำความรู้ทางการเงินมาประยุกต์ใช้กับตรงที่คุณคิดนี่แหละ ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ

อะไรที่ของเดิมดีอยู่แล้วก็นามาประยุกต์ใช้ครับ การที่คุณมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือน ใช้ไม่ได้ ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม

การนำรถยนต์ไปไว้ในรายการค่าใช้จ่าย หากทำบัญชีส่วนตัว คุณจะไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเงินที่เสียไป แถมยังผิดหลักบัญชีอีกด้วย ทำไมถึงไม่นำความรู้มาประยุกต์ใช้

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป  >> อันนี้มันเป็นเกณฑ์เงินสดแล้วครับ ไม่ใช่มุมมองด้านค่าใช้จ่ายแล้วครับ

ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ   >>> ก็ที่ท่านพิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละครับ คือการมองในมิติในด้านค่าใช้จ่าย   คือการพิจารณาการซื้อรถจากมุมมองค่าใช้จ่าย  ถ้าเห็นแบบนี้ ท่านก็มองตามมิติค่าใช้จ่ายที่ผมบอกอยู่นะครับ   

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ


หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 16:53:59

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป  >> อันนี้มันเป็นเกณฑ์เงินสดแล้วครับ ไม่ใช่มุมมองด้านค่าใช้จ่ายแล้วครับ

ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ   >>> ก็ที่ท่านพิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละครับ คือการมองในมิติในด้านค่าใช้จ่าย   คือการพิจารณาการซื้อรถจากมุมมองค่าใช้จ่าย  ถ้าเห็นแบบนี้ ท่านก็มองตามมิติค่าใช้จ่ายที่ผมบอกอยู่นะครับ   

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ
ค่าใช้จ่ายทางบัญชีมันสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่เป็นเงินสด ถ้ายังไม่ได้จ่ายมันก็จะไปรายการหนี้สิน พอถึงเวลาจ่ายมันก็จะเครดิตหนี้สินออก และไปรายการค่าใช้จ่ายอยู่ดี ง่ายๆ คือคุณเห็นหมดว่าสินทรัพย์ จ่ายหรือยัง เป็นเงินสดไหม หรือยังไม่จ่ายเป็นหนี้สินในอนาคต แบบนี้ไม่มีประโยชน์กว่าหรือ

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า[/b]

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ

คุณกำลังคิดว่าบัญชีบริษัทมันไม่สมเหตุผลใช่ไหม วิธีการทางบัญชีนั้นตรงไปตรงมา ถ้าหากคุณซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คุณไปคิดว่าค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่รถยนต์เป็นสินทรัพย์ มันก็แน่ละครับเพราะมันเป็นบัญชีของบริษัท หากคุณทำให้ถูกต้อง โดยการลงไปบัญชีถอนใช้ส่วนตัว รถยนต์ก็จะหายออกไปจากบัญชีบริษัท แล้วคุณไปทำบัญชีส่วนตัวของคุณเอง ดังนั้นการตอบคำถามนี้จึงจะถูกต้องกว่า อย่าเอาสินทรัพย์ของบริษัท ไปปนกับของคุณ เพราะมันไม่ใช่ แต่ถ้าบริษัทนั้นคุณเป็นเจ้าของ ก็ลงบัญชีสินทรัพย์ตามส่วนที่เป็นจริง แค่นั้นเองครับ
ส่วนเรื่องตัวเลข "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: zocket00 ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 17:01:39
ผมว่าถ้าตอบเป็น % ของสิรทรัพย์คงยากครับ เพราะสินทรัพย์แต่ละอย่าง liquidity ไม่เท่ากันครับ อย่างบางท่านมีที่ดินเยอะ แต่ไม่ได้ถือเงิน หรืออะไรทีเปลี่ยนเป็นเงินได้เร็วเยอะเท่าไหร่
ก็อาจจะคิดว่ายังไม่พร้อมสำหรับการซื้อรถ บางคนใช้รถเป้นเครื่องมือทำมาหากินครับก็อาจจะมองเป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อให้เกิดรายได้

ส่วนบางท่านที่ที cashflow ดีอยู่แล้ว มีเงินหมุนเวียน หรือมีหน้าที่การงานมั่นคง มีเงินก้อน ผมว่าถ้าไม่ได้เดือดร้อนเกินขนาดว่าต้องประหยีดหรืออดมื้อกินมื้อ ก็น่าจะซื้อได้นะครับ

สำหรับผมจริงๆเป้นคนชอบรถมากครับ กำลังก็พร้อม แต่บางทีในมุมมองที่รถมนยังไม่ได้เสีย แล้วซื้อมาไว้ก็ไม่ค่อยได้ขับ รถมันมีแต่คำว่ารถหนะครับ มันก็เลยคิดเสียดายเงิน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กระทบ
ฐานะทางการเงินอะไรมากสำหรับงบที่ตั้งไว้ (เล็ง GLC43 amg facelift ไว้) แต่คันเก่ามันยังวิงดีอยู่ ขายไปก็ไม่ค่อยได้ราคาเท่าไหร่ ก็เลยใช้มาเรื่อยๆครับ บางทีมีหลายเหตุผลมากครับสำหรับการ
ซื้อรถ 1 คัน อยู่ที่ท่านจะคิดเลยครับ แต่หลักๆคือไม่ให้เกินตัวครับ ยิ่งเป็นช่วงวิกฤตแบบนี้ มองแบบ conservative ไว้ก่อนดีกว่าครับ  :-X
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 17:04:12

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป  >> อันนี้มันเป็นเกณฑ์เงินสดแล้วครับ ไม่ใช่มุมมองด้านค่าใช้จ่ายแล้วครับ

ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ   >>> ก็ที่ท่านพิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละครับ คือการมองในมิติในด้านค่าใช้จ่าย   คือการพิจารณาการซื้อรถจากมุมมองค่าใช้จ่าย  ถ้าเห็นแบบนี้ ท่านก็มองตามมิติค่าใช้จ่ายที่ผมบอกอยู่นะครับ   

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ
ค่าใช้จ่ายทางบัญชีมันสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่เป็นเงินสด ถ้ายังไม่ได้จ่ายมันก็จะไปรายการหนี้สิน พอถึงเวลาจ่ายมันก็จะเครดิตหนี้สินออก และไปรายการค่าใช้จ่ายอยู่ดี ง่ายๆ คือคุณเห็นหมดว่าสินทรัพย์ จ่ายหรือยัง เป็นเงินสดไหม หรือยังไม่จ่ายเป็นหนี้สินในอนาคต แบบนี้ไม่มีประโยชน์กว่าหรือ

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า[/b]

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ

คุณกำลังคิดว่าบัญชีบริษัทมันไม่สมเหตุผลใช่ไหม วิธีการทางบัญชีนั้นตรงไปตรงมา ถ้าหากคุณซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คุณไปคิดว่าค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่รถยนต์เป็นสินทรัพย์ มันก็แน่ละครับเพราะมันเป็นบัญชีของบริษัท หากคุณทำให้ถูกต้อง โดยการลงไปบัญชีถอนใช้ส่วนตัว รถยนต์ก็จะหายออกไปจากบัญชีบริษัท แล้วคุณไปทำบัญชีส่วนตัวของคุณเอง ดังนั้นการตอบคำถามนี้จึงจะถูกต้องกว่า อย่าเอาสินทรัพย์ของบริษัท ไปปนกับของคุณ เพราะมันไม่ใช่ แต่ถ้าบริษัทนั้นคุณเป็นเจ้าของ ก็ลงบัญชีสินทรัพย์ตามส่วนที่เป็นจริง แค่นั้นเองครับ
ส่วนเรื่องตัวเลข "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า ---> นี่คือความเห็นของคุณใช่ป่าวครับ 

สรุปคือคุณมีมุมมองในการซื้อรถด้วยการคำนวณเป็นรายจ่ายต่อเดือนต่อปีอะไรก็ว่าไป แล้วเทียบกับรายได้ของผู้ซื้อใช่ไหมครับ     ถ้าใช่ มันคือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย มี่ผมสรุปตั้งแต่ต้นว่า มันต้องต้องเหมาะสมกับรายได้ หักด้วยค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งก็คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่ายตามผมอธิบายไว้ตั้งแต่ต้น   ท่านแย้งมุมมองของผม แล้วพอคุยไปคุยมาท่านมาสรุปว่าควรใช้มุมมองค่าใช้จ่ายแบบมี่ผมเสนอ  ตกลงท่านแย้งอะไรครับ  ผมชักงงกับท่านแล้วนะครับ   
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 17:34:44

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป  >> อันนี้มันเป็นเกณฑ์เงินสดแล้วครับ ไม่ใช่มุมมองด้านค่าใช้จ่ายแล้วครับ

ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ   >>> ก็ที่ท่านพิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละครับ คือการมองในมิติในด้านค่าใช้จ่าย   คือการพิจารณาการซื้อรถจากมุมมองค่าใช้จ่าย  ถ้าเห็นแบบนี้ ท่านก็มองตามมิติค่าใช้จ่ายที่ผมบอกอยู่นะครับ   

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ
ค่าใช้จ่ายทางบัญชีมันสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่เป็นเงินสด ถ้ายังไม่ได้จ่ายมันก็จะไปรายการหนี้สิน พอถึงเวลาจ่ายมันก็จะเครดิตหนี้สินออก และไปรายการค่าใช้จ่ายอยู่ดี ง่ายๆ คือคุณเห็นหมดว่าสินทรัพย์ จ่ายหรือยัง เป็นเงินสดไหม หรือยังไม่จ่ายเป็นหนี้สินในอนาคต แบบนี้ไม่มีประโยชน์กว่าหรือ

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า[/b]

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ

คุณกำลังคิดว่าบัญชีบริษัทมันไม่สมเหตุผลใช่ไหม วิธีการทางบัญชีนั้นตรงไปตรงมา ถ้าหากคุณซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คุณไปคิดว่าค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่รถยนต์เป็นสินทรัพย์ มันก็แน่ละครับเพราะมันเป็นบัญชีของบริษัท หากคุณทำให้ถูกต้อง โดยการลงไปบัญชีถอนใช้ส่วนตัว รถยนต์ก็จะหายออกไปจากบัญชีบริษัท แล้วคุณไปทำบัญชีส่วนตัวของคุณเอง ดังนั้นการตอบคำถามนี้จึงจะถูกต้องกว่า อย่าเอาสินทรัพย์ของบริษัท ไปปนกับของคุณ เพราะมันไม่ใช่ แต่ถ้าบริษัทนั้นคุณเป็นเจ้าของ ก็ลงบัญชีสินทรัพย์ตามส่วนที่เป็นจริง แค่นั้นเองครับ
ส่วนเรื่องตัวเลข "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า ---> นี่คือความเห็นของคุณใช่ป่าวครับ 

สรุปคือคุณมีมุมมองในการซื้อรถด้วยการคำนวณเป็นรายจ่ายต่อเดือนต่อปีอะไรก็ว่าไป แล้วเทียบกับรายได้ของผู้ซื้อใช่ไหมครับ     ถ้าใช่ มันคือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย มี่ผมสรุปตั้งแต่ต้นว่า มันต้องต้องเหมาะสมกับรายได้ หักด้วยค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งก็คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่ายตามผมอธิบายไว้ตั้งแต่ต้น   ท่านแย้งมุมมองของผม แล้วพอคุยไปคุยมาท่านมาสรุปว่าควรใช้มุมมองค่าใช้จ่ายแบบมี่ผมเสนอ  ตกลงท่านแย้งอะไรครับ  ผมชักงงกับท่านแล้วนะครับ   
คุณงงเพราะคุณเอาแต่คิดเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวไงครับ ทุกรายการ สินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ ค่าใช้จ่าย สัมพันธ์กันหมด ผมไม่ได้มองแต่ค่าใช้จ่าย ผมมองทั้งหมด แล้วมันจะเป็นอะไรมันก็เป็นอันนั้นแหละ ไม่มีนัยยะอะไรเลยครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณซื้อรถมาคันนึง คุณมองว่าจ่ายไปเท่าไร แต่ความเป็นจริงมันมีมากกว่านั้น สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน คุณกู้ 9 แสน ดาวน์ 1 แสน มันก็จะเห็นว่ารถคันนี้ เป็นทุน 1 แสน หนี้ 9 แสน สินทรัพย์เป็น 1 ล้าน คำถามจึงเป็นประโยชน์น้อยเพราะสินทรัพย์ มันบอกไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนี้ หรือทุนเท่าไร ต้องดูประกอบกันทั้งหมด

แล้วถ้าคุณมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่าย จะมองแค่เงินที่จ่ายดาวน์ 1 แสน ส่วนที่กู้จะมองยังไงต่อครับ ยังไงก็ต้องมองเป็นสินทรัพย์อยู่ดี สินทรัพย์ก็คือสิ่งที่บริษัทใช้สร้างรายได้ ถ้าหากเป็นบัญชีส่วนตัวก็มองได้ว่าคือสิ่งที่คุณใช้สร้างคุณภาพชีวิต มองเป็นค่าใช้จ่ายหมดแล้วมันได้อะไรละครับ?

คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม รถยนต์ที่คุณๆ ขับอยู่ไม่มีมูลค่าเลยหรือหากใช้ไปแค่ 1-2 ปี หรือมันเป็นเพียงค่าใช้จ่าย? มันมีมูลค่าไม่ใช่หรือ ความรู้ทางบัญชีมันมาตอบตรงนี้ไงครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 18:55:48

ส่วนวิธีคิดของคุณมันมีข้อด้อยอย่างมาก คือการคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นบอกอะไรไม่ได้มากไปกว่าเงินที่จ่ายออกไป  >> อันนี้มันเป็นเกณฑ์เงินสดแล้วครับ ไม่ใช่มุมมองด้านค่าใช้จ่ายแล้วครับ

ดังนั้นการมองตามหลักบัญชีนั้นถ้านำมาประยุกต์ใช้มีประโยชน์กว่าแน่นอน คุณจะเห็นมูลค่าปัจจุบันรถยนต์ของคุณ(ค่าซากโดยประมาณ) คุณจะเห็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี แยกได้ว่าค่าใช้จ่ายนั้นเกิดจากการด้อยค่า หรือการบำรุงรักษา แล้วคุณก็ต้องเข้าใจข้อด้อยของการคิดค่าเสื่อม ดีกว่าการมัดรวมเป็นค่าใช้จ่ายครับ   >>> ก็ที่ท่านพิมพ์มาทั้งหมดนี่แหละครับ คือการมองในมิติในด้านค่าใช้จ่าย   คือการพิจารณาการซื้อรถจากมุมมองค่าใช้จ่าย  ถ้าเห็นแบบนี้ ท่านก็มองตามมิติค่าใช้จ่ายที่ผมบอกอยู่นะครับ   

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ
ค่าใช้จ่ายทางบัญชีมันสมบูรณ์ในตัวของมันอยู่แล้วครับ ต่อให้ไม่เป็นเงินสด ถ้ายังไม่ได้จ่ายมันก็จะไปรายการหนี้สิน พอถึงเวลาจ่ายมันก็จะเครดิตหนี้สินออก และไปรายการค่าใช้จ่ายอยู่ดี ง่ายๆ คือคุณเห็นหมดว่าสินทรัพย์ จ่ายหรือยัง เป็นเงินสดไหม หรือยังไม่จ่ายเป็นหนี้สินในอนาคต แบบนี้ไม่มีประโยชน์กว่าหรือ

หากท่านจะมองจากมิติของสินทรัพย์ท่านก็ต้องตอบคำถามเจ้าของกระทู้นะครับ ที่ว่า[/b]

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  >>> คำตอบของท่าน คิดว่าคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดดีครับ

คุณกำลังคิดว่าบัญชีบริษัทมันไม่สมเหตุผลใช่ไหม วิธีการทางบัญชีนั้นตรงไปตรงมา ถ้าหากคุณซื้อรถยนต์ส่วนตัว แต่คุณไปคิดว่าค่าบำรุงรักษาเป็นค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่รถยนต์เป็นสินทรัพย์ มันก็แน่ละครับเพราะมันเป็นบัญชีของบริษัท หากคุณทำให้ถูกต้อง โดยการลงไปบัญชีถอนใช้ส่วนตัว รถยนต์ก็จะหายออกไปจากบัญชีบริษัท แล้วคุณไปทำบัญชีส่วนตัวของคุณเอง ดังนั้นการตอบคำถามนี้จึงจะถูกต้องกว่า อย่าเอาสินทรัพย์ของบริษัท ไปปนกับของคุณ เพราะมันไม่ใช่ แต่ถ้าบริษัทนั้นคุณเป็นเจ้าของ ก็ลงบัญชีสินทรัพย์ตามส่วนที่เป็นจริง แค่นั้นเองครับ
ส่วนเรื่องตัวเลข "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า

"เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี" คิดได้แต่ไม่ใช่สาระครับ การซื้อรถควรคำนึงถึงรายได้มากกว่า ---> นี่คือความเห็นของคุณใช่ป่าวครับ 

สรุปคือคุณมีมุมมองในการซื้อรถด้วยการคำนวณเป็นรายจ่ายต่อเดือนต่อปีอะไรก็ว่าไป แล้วเทียบกับรายได้ของผู้ซื้อใช่ไหมครับ     ถ้าใช่ มันคือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย มี่ผมสรุปตั้งแต่ต้นว่า มันต้องต้องเหมาะสมกับรายได้ หักด้วยค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งก็คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่ายตามผมอธิบายไว้ตั้งแต่ต้น   ท่านแย้งมุมมองของผม แล้วพอคุยไปคุยมาท่านมาสรุปว่าควรใช้มุมมองค่าใช้จ่ายแบบมี่ผมเสนอ  ตกลงท่านแย้งอะไรครับ  ผมชักงงกับท่านแล้วนะครับ   
คุณงงเพราะคุณเอาแต่คิดเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเดียวไงครับ ทุกรายการ สินทรัพย์ หนี้สิน ทุน รายได้ ค่าใช้จ่าย สัมพันธ์กันหมด ผมไม่ได้มองแต่ค่าใช้จ่าย ผมมองทั้งหมด แล้วมันจะเป็นอะไรมันก็เป็นอันนั้นแหละ ไม่มีนัยยะอะไรเลยครับ

ยกตัวอย่างง่ายๆ คุณซื้อรถมาคันนึง คุณมองว่าจ่ายไปเท่าไร แต่ความเป็นจริงมันมีมากกว่านั้น สินทรัพย์ = หนี้สิน + ทุน คุณกู้ 9 แสน ดาวน์ 1 แสน มันก็จะเห็นว่ารถคันนี้ เป็นทุน 1 แสน หนี้ 9 แสน สินทรัพย์เป็น 1 ล้าน คำถามจึงเป็นประโยชน์น้อยเพราะสินทรัพย์ มันบอกไม่ได้ว่าเป็นส่วนหนี้ หรือทุนเท่าไร ต้องดูประกอบกันทั้งหมด

แล้วถ้าคุณมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่าย จะมองแค่เงินที่จ่ายดาวน์ 1 แสน ส่วนที่กู้จะมองยังไงต่อครับ ยังไงก็ต้องมองเป็นสินทรัพย์อยู่ดี สินทรัพย์ก็คือสิ่งที่บริษัทใช้สร้างรายได้ ถ้าหากเป็นบัญชีส่วนตัวก็มองได้ว่าคือสิ่งที่คุณใช้สร้างคุณภาพชีวิต มองเป็นค่าใช้จ่ายหมดแล้วมันได้อะไรละครับ?

คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม รถยนต์ที่คุณๆ ขับอยู่ไม่มีมูลค่าเลยหรือหากใช้ไปแค่ 1-2 ปี หรือมันเป็นเพียงค่าใช้จ่าย? มันมีมูลค่าไม่ใช่หรือ ความรู้ทางบัญชีมันมาตอบตรงนี้ไงครับ


โอ๊ยย ออกทะเลแล้วครับ สงสัยเราต้องคุยเรื่องการซื้อเรือแทนการซื้อรถแล้วมั้งครับ     ท่านคุยคนละประเด็น   ผมไม่เถียงประเด็นที่คุณผุดออกมานอกประเด็นที่ผมตอบในทีแรกแล้วนะ เพิ่งซื้อรถไป ไม่มีตังค์ซื้อเรือแล้วครับ มันออกนอกชายฝั่งไปไกลมาก

 เอางี้นะ  กลับมาที่คำถามของเจ้าของกระทู้นะ   ตามลำดับนะ

 1.  "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  นั่นคือ เจ้าของกระทู้ตั้งคำถามด้วยมุมมองการตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยมุมมองทางด้านทรัพย์สิน

 2.  ผมเข้าใจและทราบดีว่าการซื้อรถ 1 คัน  จะกระทบทางบัญชีอะไรบ้าง  แต่ไม่ได้พิมพ์ออกไปทั้งหมด เพราะในบอร์ดนี้ เราคุยกันด้วยแนวความคิด ไม่ใช่คุยเรื่องมาตรฐานบัญชี  แต่อธิบายให้เคลียร์ละกันว่ามันกระทบทุกงบแหละ
      2.1 งบดุล   ซึ่งคำถามของเจ้าของกระทู้อยากจะรู้ว่า มูลค่ารถยนต์ 1 คัน ควรจะมีมูลค่าสักกี่ %   ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มี     นี่คือมุมมองหรือมิติทางด้านทรัพย์สิน
      2.2 งบกำไร-ขาดทุน    นั่นก็คือต่อจากวันที่ซื้อรถไป  จะเริ่มมีค่าใช้จ่ายของรถยนต์ 1 คัน ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเสื่อมราคา  ค่าซ่อมบำรุง ระยะเวลาในการใช้ การขายมูลค่าซาก   (ทั้งหมดทั้งปวงที่ท่านอธิบายมา ก็ใช้แนวทางนี้นั่นแหละ   ท่านเองก็สนับสนุนวิธีคิดแบบนี้เองด้วยซ้ำ)  นี่คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย
      2.3 งบกระแสเงินสด   นี่คือมุมมองทางด้าน Csah Flow ซึ่งอันนี้ผมไม่แตะนะ เพราะ Cash Flow ของใครของมัน  เพราะผมตั้งพื้นฐานจากการให้ความเคารพในทุกๆ ท่านในบอร์ด ไม่มีการตั้งสมมติฐานว่าจะมีคนผ่อนไม่ไหว ถือว่าผ่อนหมดผ่อนจบทุกคน   

  3.  ผมจึงเสนอมุมมองของผมว่า แทนที่จะพิจารณามุมมองทางด้านเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ (นั่นคือมุมมองแบบ Asset Allocation)   น่าจะพิจารณามุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย (Expense allocation) ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะคิดคำนวณอย่างไร แต่เสนอให้เป็นหลักการว่ามันควรจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้รับการจัดสรรหลังจากที่เราได้จัดสรรค่าใช้จ่ายจำเป็นในส่วนอื่นๆ ก่อนแล้ว     ซึ่งมาตรฐานบัญชี คำว่าค่าใช้จ่ายเค้าก็ใช้หลัก  accrual basis  กันอยู่แล้ว ผมจึงไม่ลงรายละเอียดอะไร  เหตุใดท่านจึงคิดว่าผมจะใช้วิธีคิดแบบ Cash Basis เหรอครับ  ถ้าผมจะใช้ Cash Basis ผมก็จะใช้หลักกระแสเงินสดสิครับ   

  4. ท่านมาแย้งผมโดยใช้หลักการบัญชีว่า การซื้อรถยนต์ถือเป็นสินทรัพย์ ซึ่งก็ถูกต้องแล้วตามมาตรฐานบัญชี  แต่มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกับที่เจ้าของกระทู้ถามมา ประเด็นหลักของเค้าคือการพิจารณาตัดสินใจซื้อรถว่าควรคิดอย่างไร   ผมจึงเสนอไปว่าการพิจารณาซื้อรถไม่น่าจะมองมูลค่ารถยนต์คิดเป็นเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์โดยรวม (Asset Allocation)  แต่ควรจะพิจารณา จากค่าใช้จ่ายแล้วจัดสรรให้มันเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ  นั่นคือมุมมองแบบ Expense allocation

  5. คุยไปคุยมา ท่านบอกว่าการพิจารณาซื้อรถต้องคำนึงถึง การด้อยค่า หลักการคิดค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษา เอ้าาา ท่านก็ใช้หลักการพิจารณาจากค่าใช้จ่ายนี่หว่า

ผมได้แสดงความเห็นในส่วนของผมไปแต่ต้นแล้ว ซึ่งผมใช้วิธีในการตัดสินใจซื้อรถ     ส่วนท่านได้ให้ตอบคำถามหรือความเห็นของท่านเจ้าของกระทู้ไปหรือยังครับ ว่าตอนท่านซื้อรถท่านพิจารณาอย่างไร  ถ้ายังไม่ได้ตอบ โปรดแสดงวิธีการพิจารณาโดยใช้หลักการบัญชีของท่าน  ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ให้ดูหน่อยนะครับ   

ปล. ผมขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้บอกว่ารถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินตามหลักบัญชีนะ เดี่ยวออกทะเลอีก แค่เสนอว่าอย่าใช้มุมมองทางด้านทรัพย์สินในการตัดสินใจซื้อรถ ให้ใช้มุมมองด้านค่าใช้จ่ายในการตัดสินใจซื้อรถก็เท่านั้น  แต่ถ้าซื้อแล้ว อยู่ในพอร์ตแล้ว รถในพอร์ตผมก็นับเป็นทรัพย์สินครับ 

หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Rr58 ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 19:14:46
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ ได้แง่คิดต่างๆเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย

เนื่องจากผมต้องการจะออกรถใหม่ด้วยเงินสด หากเทียบกับสินทรัพย์ที่ทั้งหมด(ไม่รวมบ้าน) 10% โดยประมาณแต่กลัวจะเกินตัวไป

ด้วยในยุดนี้แล้วควรใช้จ่ายอย่างประหยัดจึงมาสอบถามความคิดเห็นเพื่อนๆเพื่อประกอบการตัดสินใจ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 19:25:20
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับ ได้แง่คิดต่างๆเพิ่มมากขึ้นเยอะเลย

เนื่องจากผมต้องการจะออกรถใหม่ด้วยเงินสด หากเทียบกับสินทรัพย์ที่ทั้งหมด(ไม่รวมบ้าน) 10% โดยประมาณแต่กลัวจะเกินตัวไป

ด้วยในยุดนี้แล้วควรใช้จ่ายอย่างประหยัดจึงมาสอบถามความคิดเห็นเพื่อนๆเพื่อประกอบการตัดสินใจ

ครับผม ถือเป็นแนวทางการพิจารณาแล้วกันนะครับ ส่วนจะตัดสินใจอย่างไร ก็เคารพการตัดสินใจของแต่ละท่านนะครับ
ผมเองก็เพิ่งซื้อรถเงินสดครับ  แต่ที่ผมไม่ใช้หลักการเปอร์เซนต์ของทรัพย์สินที่มี เพราะแนวทางการใช้ชีวิตของผมคือชีวิตของผมคือ ผมควรมี  (ทรัพย์สิน-หนี้สิน) ในจำนวนที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปีครับเพราะนั่นคือความมั่นคงของครอบครัว   ดังนั้น คือหากจะมีค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกิดขึ้นมา ผมเลยจัดสรรให้อยู่ในส่วนของรายได้ที่ต้องหาเพิ่มมาด้วยครับ   
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: dht_tubes ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 20:01:39
ดีจังครับที่มีเงิน ทรัพย์สินเหลือพอที่จะคิดได้ว่ามันไม่ควรเกินกี่%

ถ้าเป็นผมๆไม่กังวลอะไรแล้ว เพราะรอบคอบขนาดนี้ คงไม่พลาดตัดสินใจอะไรแย่ๆกับแค่เรื่องจะซื้อรถซักคัน หรือหลายคันแน่นอน

ในโลกความจริง ผมเชื่อว่า คนที่ต้องซื้อรถมาใช้ส่วนตัวในสังคมเกิน 80% ต้องหมุนเงินมาซื้อทั้งนั้น คือเป็นหนี้นั่นเอง

อย่างผม ก้อเกินครึ่งเกือบ 65-70% แต่มันต้องทำกิน ใช้งานมันก้อต้องทำ เท่านั้นเองครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Gottinho ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 20:28:16
เคยอ่านเจอบทความ เขียนว่า... ราคารถที่ซื้อไม่ควรเกินรายได้ทั้งปี เช่น เงินเดือน 80,000 บาท + โบนัส 5 เดือน  ดังนั้น ไม่ควรซื้อรถราคาเกิน 1,360,000 บาทครับ  :) :)
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 21:35:58

โอ๊ยย ออกทะเลแล้วครับ สงสัยเราต้องคุยเรื่องการซื้อเรือแทนการซื้อรถแล้วมั้งครับ     ท่านคุยคนละประเด็น   ผมไม่เถียงประเด็นที่คุณผุดออกมานอกประเด็นที่ผมตอบในทีแรกแล้วนะ เพิ่งซื้อรถไป ไม่มีตังค์ซื้อเรือแล้วครับ มันออกนอกชายฝั่งไปไกลมาก

 เอางี้นะ  กลับมาที่คำถามของเจ้าของกระทู้นะ   ตามลำดับนะ

 1.  "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  นั่นคือ เจ้าของกระทู้ตั้งคำถามด้วยมุมมองการตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยมุมมองทางด้านทรัพย์สิน

 2.  ผมเข้าใจและทราบดีว่าการซื้อรถ 1 คัน  จะกระทบทางบัญชีอะไรบ้าง  แต่ไม่ได้พิมพ์ออกไปทั้งหมด เพราะในบอร์ดนี้ เราคุยกันด้วยแนวความคิด ไม่ใช่คุยเรื่องมาตรฐานบัญชี  แต่อธิบายให้เคลียร์ละกันว่ามันกระทบทุกงบแหละ
      2.1 งบดุล   ซึ่งคำถามของเจ้าของกระทู้อยากจะรู้ว่า มูลค่ารถยนต์ 1 คัน ควรจะมีมูลค่าสักกี่ %   ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มี     นี่คือมุมมองหรือมิติทางด้านทรัพย์สิน
      2.2 งบกำไร-ขาดทุน    นั่นก็คือต่อจากวันที่ซื้อรถไป  จะเริ่มมีค่าใช้จ่ายของรถยนต์ 1 คัน ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเสื่อมราคา  ค่าซ่อมบำรุง ระยะเวลาในการใช้ การขายมูลค่าซาก   (ทั้งหมดทั้งปวงที่ท่านอธิบายมา ก็ใช้แนวทางนี้นั่นแหละ   ท่านเองก็สนับสนุนวิธีคิดแบบนี้เองด้วยซ้ำ)  นี่คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย
      2.3 งบกระแสเงินสด   นี่คือมุมมองทางด้าน Csah Flow ซึ่งอันนี้ผมไม่แตะนะ เพราะ Cash Flow ของใครของมัน  เพราะผมตั้งพื้นฐานจากการให้ความเคารพในทุกๆ ท่านในบอร์ด ไม่มีการตั้งสมมติฐานว่าจะมีคนผ่อนไม่ไหว ถือว่าผ่อนหมดผ่อนจบทุกคน   

  3.  ผมจึงเสนอมุมมองของผมว่า แทนที่จะพิจารณามุมมองทางด้านเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ (นั่นคือมุมมองแบบ Asset Allocation)   น่าจะพิจารณามุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย (Expense allocation) ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะคิดคำนวณอย่างไร แต่เสนอให้เป็นหลักการว่ามันควรจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้รับการจัดสรรหลังจากที่เราได้จัดสรรค่าใช้จ่ายจำเป็นในส่วนอื่นๆ ก่อนแล้ว     ซึ่งมาตรฐานบัญชี คำว่าค่าใช้จ่ายเค้าก็ใช้หลัก  accrual basis  กันอยู่แล้ว ผมจึงไม่ลงรายละเอียดอะไร  เหตุใดท่านจึงคิดว่าผมจะใช้วิธีคิดแบบ Cash Basis เหรอครับ  ถ้าผมจะใช้ Cash Basis ผมก็จะใช้หลักกระแสเงินสดสิครับ   

  4. ท่านมาแย้งผมโดยใช้หลักการบัญชีว่า การซื้อรถยนต์ถือเป็นสินทรัพย์ ซึ่งก็ถูกต้องแล้วตามมาตรฐานบัญชี  แต่มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกับที่เจ้าของกระทู้ถามมา ประเด็นหลักของเค้าคือการพิจารณาตัดสินใจซื้อรถว่าควรคิดอย่างไร   ผมจึงเสนอไปว่าการพิจารณาซื้อรถไม่น่าจะมองมูลค่ารถยนต์คิดเป็นเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์โดยรวม (Asset Allocation)  แต่ควรจะพิจารณา จากค่าใช้จ่ายแล้วจัดสรรให้มันเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ  นั่นคือมุมมองแบบ Expense allocation

  5. คุยไปคุยมา ท่านบอกว่าการพิจารณาซื้อรถต้องคำนึงถึง การด้อยค่า หลักการคิดค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษา เอ้าาา ท่านก็ใช้หลักการพิจารณาจากค่าใช้จ่ายนี่หว่า

ผมได้แสดงความเห็นในส่วนของผมไปแต่ต้นแล้ว ซึ่งผมใช้วิธีในการตัดสินใจซื้อรถ     ส่วนท่านได้ให้ตอบคำถามหรือความเห็นของท่านเจ้าของกระทู้ไปหรือยังครับ ว่าตอนท่านซื้อรถท่านพิจารณาอย่างไร  ถ้ายังไม่ได้ตอบ โปรดแสดงวิธีการพิจารณาโดยใช้หลักการบัญชีของท่าน  ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ให้ดูหน่อยนะครับ   

ปล. ผมขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้บอกว่ารถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินตามหลักบัญชีนะ เดี่ยวออกทะเลอีก แค่เสนอว่าอย่าใช้มุมมองทางด้านทรัพย์สินในการตัดสินใจซื้อรถ ให้ใช้มุมมองด้านค่าใช้จ่ายในการตัดสินใจซื้อรถก็เท่านั้น  แต่ถ้าซื้อแล้ว อยู่ในพอร์ตแล้ว รถในพอร์ตผมก็นับเป็นทรัพย์สินครับ

"ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย " ทางบัญชีมันเป็นสินทรัพย์ แล้วคุณพูดเองว่าควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย มันไม่ได้ออกทะเลหรอกครับ คำมันชัดเจนและขัดแย้งกับความรู้ทางบัญชี แล้วผมก็ตอบแค่เรื่องการมองรถยนต์เป็นหมวดค่าใช้จ่ายนั้นผิด แค่นั้น ไม่ได้ต้องการจะไปกล่าวถึงคำถามของเจ้าของกระทู้เลย คุณอ่านดีๆ คำถามเจ้าของกระทู้ผมตอบไปความเห็นก่อนหน้าแล้ว ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องคำถามเลย แต่เป็นเรื่องการมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน

ตัวรถยนต์ที่จับต้องได้ และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากรถ มันเป็นคนละส่วนกัน จะมองตัวสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายยังไงละครับ แถมสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายรถมีอีกเยอะ คุณจะมองให้เป็นค่าใช้จ่ายหมดได้เหรอ มาตรฐานอยู่ตรงไหนครับ? ความรู้ทางบัญชีมีก็นำมาใช้ครับ ดีกว่ามาคิดอะไรใหม่แล้วมันผิดเพี้ยน คำที่คุณพูดมันชัดครับ แล้วมันขัดแย้งกับความรู้ทางบัญชี ถ้าคุณใช้คำอื่นมันก็ไม่ผิดหรอกแต่นี่ไม่ใช่

มันมีด้วยเหรอครับในโลกนี้ ที่ใช้คำเดียวกัน ทางบัญชีรถยนต์เป็นสินทรัพย์ ทางอะไรดี...? ความคิดคุณ ทางค่าใช้จ่าย รถยนต์ไม่ใช่สินทรัพย์ควรเป็นค่าใช้จ่าย คุณคิดว่าอะไรน่าเชื่อถือ อะไรมีมาตรฐาน ถ้าคุณอยากจะมองในแบบของคุณจริงๆ อย่ามาใช้คำทางบัญชี ตั้งใหม่ไปเลย จะทางบัญชีหรือไม่คำมันมีความหมายตรงกันอยู่แล้วครับ ทางการเงิน ทางกฎหมาย ทางการเมือง มันไม่มีหรอกที่ความหมายจะแตกต่างกัน อาจจะมีแค่เรื่อง definition ของคำเท่านั้นที่จะแตกต่างกัน
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 07, 2020, 23:18:34

โอ๊ยย ออกทะเลแล้วครับ สงสัยเราต้องคุยเรื่องการซื้อเรือแทนการซื้อรถแล้วมั้งครับ     ท่านคุยคนละประเด็น   ผมไม่เถียงประเด็นที่คุณผุดออกมานอกประเด็นที่ผมตอบในทีแรกแล้วนะ เพิ่งซื้อรถไป ไม่มีตังค์ซื้อเรือแล้วครับ มันออกนอกชายฝั่งไปไกลมาก

 เอางี้นะ  กลับมาที่คำถามของเจ้าของกระทู้นะ   ตามลำดับนะ

 1.  "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"  นั่นคือ เจ้าของกระทู้ตั้งคำถามด้วยมุมมองการตัดสินใจซื้อรถยนต์ด้วยมุมมองทางด้านทรัพย์สิน

 2.  ผมเข้าใจและทราบดีว่าการซื้อรถ 1 คัน  จะกระทบทางบัญชีอะไรบ้าง  แต่ไม่ได้พิมพ์ออกไปทั้งหมด เพราะในบอร์ดนี้ เราคุยกันด้วยแนวความคิด ไม่ใช่คุยเรื่องมาตรฐานบัญชี  แต่อธิบายให้เคลียร์ละกันว่ามันกระทบทุกงบแหละ
      2.1 งบดุล   ซึ่งคำถามของเจ้าของกระทู้อยากจะรู้ว่า มูลค่ารถยนต์ 1 คัน ควรจะมีมูลค่าสักกี่ %   ของทรัพย์สินทั้งหมดที่มี     นี่คือมุมมองหรือมิติทางด้านทรัพย์สิน
      2.2 งบกำไร-ขาดทุน    นั่นก็คือต่อจากวันที่ซื้อรถไป  จะเริ่มมีค่าใช้จ่ายของรถยนต์ 1 คัน ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าเสื่อมราคา  ค่าซ่อมบำรุง ระยะเวลาในการใช้ การขายมูลค่าซาก   (ทั้งหมดทั้งปวงที่ท่านอธิบายมา ก็ใช้แนวทางนี้นั่นแหละ   ท่านเองก็สนับสนุนวิธีคิดแบบนี้เองด้วยซ้ำ)  นี่คือมุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย
      2.3 งบกระแสเงินสด   นี่คือมุมมองทางด้าน Csah Flow ซึ่งอันนี้ผมไม่แตะนะ เพราะ Cash Flow ของใครของมัน  เพราะผมตั้งพื้นฐานจากการให้ความเคารพในทุกๆ ท่านในบอร์ด ไม่มีการตั้งสมมติฐานว่าจะมีคนผ่อนไม่ไหว ถือว่าผ่อนหมดผ่อนจบทุกคน   

  3.  ผมจึงเสนอมุมมองของผมว่า แทนที่จะพิจารณามุมมองทางด้านเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ (นั่นคือมุมมองแบบ Asset Allocation)   น่าจะพิจารณามุมมองทางด้านค่าใช้จ่าย (Expense allocation) ซึ่งแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะคิดคำนวณอย่างไร แต่เสนอให้เป็นหลักการว่ามันควรจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ได้รับการจัดสรรหลังจากที่เราได้จัดสรรค่าใช้จ่ายจำเป็นในส่วนอื่นๆ ก่อนแล้ว     ซึ่งมาตรฐานบัญชี คำว่าค่าใช้จ่ายเค้าก็ใช้หลัก  accrual basis  กันอยู่แล้ว ผมจึงไม่ลงรายละเอียดอะไร  เหตุใดท่านจึงคิดว่าผมจะใช้วิธีคิดแบบ Cash Basis เหรอครับ  ถ้าผมจะใช้ Cash Basis ผมก็จะใช้หลักกระแสเงินสดสิครับ   

  4. ท่านมาแย้งผมโดยใช้หลักการบัญชีว่า การซื้อรถยนต์ถือเป็นสินทรัพย์ ซึ่งก็ถูกต้องแล้วตามมาตรฐานบัญชี  แต่มันคนละเรื่อง คนละประเด็นกับที่เจ้าของกระทู้ถามมา ประเด็นหลักของเค้าคือการพิจารณาตัดสินใจซื้อรถว่าควรคิดอย่างไร   ผมจึงเสนอไปว่าการพิจารณาซื้อรถไม่น่าจะมองมูลค่ารถยนต์คิดเป็นเปอร์เซนต์ของสินทรัพย์โดยรวม (Asset Allocation)  แต่ควรจะพิจารณา จากค่าใช้จ่ายแล้วจัดสรรให้มันเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ  นั่นคือมุมมองแบบ Expense allocation

  5. คุยไปคุยมา ท่านบอกว่าการพิจารณาซื้อรถต้องคำนึงถึง การด้อยค่า หลักการคิดค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษา เอ้าาา ท่านก็ใช้หลักการพิจารณาจากค่าใช้จ่ายนี่หว่า

ผมได้แสดงความเห็นในส่วนของผมไปแต่ต้นแล้ว ซึ่งผมใช้วิธีในการตัดสินใจซื้อรถ     ส่วนท่านได้ให้ตอบคำถามหรือความเห็นของท่านเจ้าของกระทู้ไปหรือยังครับ ว่าตอนท่านซื้อรถท่านพิจารณาอย่างไร  ถ้ายังไม่ได้ตอบ โปรดแสดงวิธีการพิจารณาโดยใช้หลักการบัญชีของท่าน  ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ให้ดูหน่อยนะครับ   

ปล. ผมขอย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้บอกว่ารถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินตามหลักบัญชีนะ เดี่ยวออกทะเลอีก แค่เสนอว่าอย่าใช้มุมมองทางด้านทรัพย์สินในการตัดสินใจซื้อรถ ให้ใช้มุมมองด้านค่าใช้จ่ายในการตัดสินใจซื้อรถก็เท่านั้น  แต่ถ้าซื้อแล้ว อยู่ในพอร์ตแล้ว รถในพอร์ตผมก็นับเป็นทรัพย์สินครับ

"ผมคิดว่ารถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ครับ  มันควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย " ทางบัญชีมันเป็นสินทรัพย์ แล้วคุณพูดเองว่าควรจะอยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย มันไม่ได้ออกทะเลหรอกครับ คำมันชัดเจนและขัดแย้งกับความรู้ทางบัญชี แล้วผมก็ตอบแค่เรื่องการมองรถยนต์เป็นหมวดค่าใช้จ่ายนั้นผิด แค่นั้น ไม่ได้ต้องการจะไปกล่าวถึงคำถามของเจ้าของกระทู้เลย คุณอ่านดีๆ คำถามเจ้าของกระทู้ผมตอบไปความเห็นก่อนหน้าแล้ว ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องคำถามเลย แต่เป็นเรื่องการมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน

ตัวรถยนต์ที่จับต้องได้ และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากรถ มันเป็นคนละส่วนกัน จะมองตัวสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายยังไงละครับ แถมสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายรถมีอีกเยอะ คุณจะมองให้เป็นค่าใช้จ่ายหมดได้เหรอ มาตรฐานอยู่ตรงไหนครับ? ความรู้ทางบัญชีมีก็นำมาใช้ครับ ดีกว่ามาคิดอะไรใหม่แล้วมันผิดเพี้ยน คำที่คุณพูดมันชัดครับ แล้วมันขัดแย้งกับความรู้ทางบัญชี ถ้าคุณใช้คำอื่นมันก็ไม่ผิดหรอกแต่นี่ไม่ใช่

มันมีด้วยเหรอครับในโลกนี้ ที่ใช้คำเดียวกัน ทางบัญชีรถยนต์เป็นสินทรัพย์ ทางอะไรดี...? ความคิดคุณ ทางค่าใช้จ่าย รถยนต์ไม่ใช่สินทรัพย์ควรเป็นค่าใช้จ่าย คุณคิดว่าอะไรน่าเชื่อถือ อะไรมีมาตรฐาน ถ้าคุณอยากจะมองในแบบของคุณจริงๆ อย่ามาใช้คำทางบัญชี ตั้งใหม่ไปเลย จะทางบัญชีหรือไม่คำมันมีความหมายตรงกันอยู่แล้วครับ ทางการเงิน ทางกฎหมาย ทางการเมือง มันไม่มีหรอกที่ความหมายจะแตกต่างกัน อาจจะมีแค่เรื่อง definition ของคำเท่านั้นที่จะแตกต่างกัน


โอ๊ยยยย  ผมงงคุณตั้งนาน เพิ่งเข้าใจตอนนี้นี่เอง  นี่คุณตีความประโยคที่ผมพิมพ์ว่า  "รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์" ตีความผิดเหรอครับเนี่ย    อันนี้ออกจากทะเล เลยไปมหาสมุทรแล้วครับ

เอาใหม่นะ ตั้งสติเข้าฝั่งก่อนนะครับ   ผมพิมพ์ตอบจากคำถามของเจ้าของกระทู้นะ ผมตอบว่า  "รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์"   หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์  คือจริงๆ มันเป็นสินทรัพย์นะ  แต่ในตอนพิจารณาเพื่อการตัดสินใจผมเสนอว่า ไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์    ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นหมวดสินทรัพย์

เอาใหม่อีกทีนะ ผมดึงประโยคนั้นมาอีกทีว่า "ในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์"    ผมไม่ได้บอกว่านะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์ทางบัญชีนะท่าน     แต่ๆๆๆๆๆ   ผมมีมุมมองในการตัดสินใจว่า  "ในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์"   เอานะ ขอย้ำอีกทีว่า "ไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์" อันนี้ก็เพื่อใช้ในการตัดสินใจนะครับ ซึ่ง "ไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์"  ไม่เท่ากับประโยคว่า มันไม่เป็นสินทรัพย์ นะครับ   ขอซ้ำหลายรอบหน่อย กลัวท่านจะไม่เข้าใจจริงๆ 

รถยนต์ทางบัญชีเป็นสินทรัพย์อันนี้ใครๆ ก็รู้ครับ ท่านยังคิดว่ามีคนไม่รู้ ถึงกับต้องเรียกคนอื่นไปศึกษาเพิ่มเลยเหรอครับ  ตลกจังครับ   555+   

ผมขอแย้งท่านบ้างนะครับ

1. การมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   --> ท่านเคยตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งให้ผู้บริหารมั้ยครับ  เวลาท่านคิด ท่านคิดอย่างไร ช่วยเสนอมาให้ดูในมุมมองที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยครับ   ตั้งแต่ผมเป็นกรรมการมากี่องค์กร การซื้อรถยนต์ให้ผู้บริหาร เค้าก็คำนวณออกมาเป็นค่าใช้จ่ายรายปี แล้วเอามาเทียบกับ รายได้ กับค่าใช้จ่ายที่เค้า  projection กันทุกองค์กรนะท่าน   แล้วที่ท่านบอกว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   ที่ถูกต้องของท่านต้องคิดยังงัยครับ  แต่ เอ... คุ้นๆ ว่าท่านก็บอกเองนะ ว่ามันต้องคิดเป็นค่าเสื่อมราคา  ค่าบำรุงรักษา อะไรพวกนี้อ่ะ ตกลงยังงัยดีเอ่ยย

2. สินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายรถมีอีกเยอะ คุณจะมองให้เป็นค่าใช้จ่ายหมดได้เหรอ มาตรฐานอยู่ตรงไหน  --> อยู่ตรงที่ว่ามันก่อให้เกิดรายได้หรือหรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรือเปล่างัยครับ  ถ้ามันก่อให้เกิดรายได้หรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ    ในเวลาตัดสินใจเค้าจะมองมันเป็นการลงทุน  ตัวอย่างก็เช่น การซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต  การทำโครงการส่งเสริมการตลาด     แต่ถ้าตรงกันข้าม อย่างเช่นรถยนต์นั่งผู้บริหาร ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  เวลาคิดเค้ามองในแง่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้นแหละครับ  ค่าใช้จ่ายพวกนี้เค้าทยอยตัดจ่ายลงเป็นค่าใช้จ่ายในงบ Projection กันหมดนะ

ถามกลับบ้าง   เวลาท่านตัดสินใจซื้อทรัพย์สินพวกนี้ในบริษัทของท่าน บริษัทของท่านมองเป็นสินทรัพย์เหมือนกันหมดเลยเหรอครับ   อยากรู้ของบริษัทท่านบ้างครับ

หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pladaek ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 09:08:53
ไม่เคยเอาสินทรัพย์มาคิดครับ
เพราะถ้านับสินทรัพย์จริงๆ ผมมีเยอะมาก
แต่รายได้ที่ผมสามารถหาได้แต่ละเดือนมันไม่เยอะเหมือนสินทรัพย์
ผมจึงใช้รายได้หลักๆเป็นตัวแปรในการตั้งงบครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 11:50:56

1. การมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   --> ท่านเคยตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งให้ผู้บริหารมั้ยครับ  เวลาท่านคิด ท่านคิดอย่างไร ช่วยเสนอมาให้ดูในมุมมองที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยครับ   ตั้งแต่ผมเป็นกรรมการมากี่องค์กร การซื้อรถยนต์ให้ผู้บริหาร เค้าก็คำนวณออกมาเป็นค่าใช้จ่ายรายปี แล้วเอามาเทียบกับ รายได้ กับค่าใช้จ่ายที่เค้า  projection กันทุกองค์กรนะท่าน   แล้วที่ท่านบอกว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   ที่ถูกต้องของท่านต้องคิดยังงัยครับ  แต่ เอ... คุ้นๆ ว่าท่านก็บอกเองนะ ว่ามันต้องคิดเป็นค่าเสื่อมราคา  ค่าบำรุงรักษา อะไรพวกนี้อ่ะ ตกลงยังงัยดีเอ่ยย

2. สินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายรถมีอีกเยอะ คุณจะมองให้เป็นค่าใช้จ่ายหมดได้เหรอ มาตรฐานอยู่ตรงไหน  --> อยู่ตรงที่ว่ามันก่อให้เกิดรายได้หรือหรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรือเปล่างัยครับ  ถ้ามันก่อให้เกิดรายได้หรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ    ในเวลาตัดสินใจเค้าจะมองมันเป็นการลงทุน  ตัวอย่างก็เช่น การซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต  การทำโครงการส่งเสริมการตลาด     แต่ถ้าตรงกันข้าม อย่างเช่นรถยนต์นั่งผู้บริหาร ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  เวลาคิดเค้ามองในแง่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้นแหละครับ  ค่าใช้จ่ายพวกนี้เค้าทยอยตัดจ่ายลงเป็นค่าใช้จ่ายในงบ Projection กันหมดนะ

ถามกลับบ้าง   เวลาท่านตัดสินใจซื้อทรัพย์สินพวกนี้ในบริษัทของท่าน บริษัทของท่านมองเป็นสินทรัพย์เหมือนกันหมดเลยเหรอครับ   อยากรู้ของบริษัทท่านบ้างครับ

คุณฟังที่ผมพูดไม่เข้าใจมากกว่าครับ เพราะคุณเอาแต่จะมองในแบบตัวเองเท่านั้น แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้นมองไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น

"รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์" ตรงนี้เข้าใจแล้วไงครับ ผมก็ชี้แจงไปแล้วไงครับ ว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ใช้จ่ายแล้วจบไป ตัวมันมีมูลค่าในตัวมันเอง แล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากรถ ผมก็ไล่ให้คุณดูแล้วว่ามันคือ ค่าเสื่อม ค่าซ่อม อื่นๆ ไม่ใช่ตัวสินทรัพย์เลย อย่าเอาแต่มองมุมที่ตัวเองคิดขึ้นมาสิครับ ใครจะไปเข้าใจ ผมมองตามบัญชี แล้วถ้าเกิดมีใครมองรถเป็นรายได้ขึ้นมาอีก คุณคิดว่าผมควรจะเข้าใจไหม โลกนี้ไม่ได้มีแค่คุณนะครับ ยังมีอีกเยอะ ผมรับฟังครับ แต่ต้องมีมาตรฐาน เหตุผลรองรับที่ดี แต่ของคุณถ้าไปเทียบกับบ้านที่มีลักษณะคล้ายรถ มันจะกลายเป็นว่าทุกอย่างกลายเป็นค่าใช้จ่ายไปหมด คราวนี้แหละสนุกครับ

1. อันนี้ผมก็ตอบไปแล้ว เพราะคุณซื้อรถยนต์นั่งให้ผู้บริหาร ถ้าไม่อยากรับเป็นภาระค่าใช้จ่าย ก็ลงเป็นถอนใช้ส่วนตัวไงครับ มันจะออกจากงบบริษัทไปเลย แล้วไปทำงบของตัวท่านเองรถยนต์มันก็จะไปโผล่ในนั้น แต่ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท เป็นแค่ผู้บริหาร ทำไมถึงไม่เข้าใจครับ บริษัทซื้อรถให้ผู้บริหารทำไม? เพราะคุณมองแค่ว่ามันไม่ได้สร้างรายได้ตรงๆ แต่มันสร้างรายได้ทางอ้อมครับ รายได้จากรถยนต์นั่งผู้บริหารทางอ้อมคือแรงงานจากผู้บริหารไงครับ(มันเป็นต้นทุนในการจ้างเขา) ถ้าหากการซื้อรถยนต์นั่งไม่สร้างรายได้เลย ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ คุณลองคิดกลับนะ งั้นบริษัทไม่จำเป็นต้องซื้อ จะมีผลต่อการทำงานของผู้บริหารไหม ทั้งหน้าตา ชื่อเสียงของบริษัท การตั้งใจทำงานของผู้บริหาร สิ่งพวกนี้มีอยู่เพียงแต่ตีมูลค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
คำตอบนั้นง่ายมาก ถ้ามันเป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่าย ไม่มีผลทางอ้อมแบบที่ผมว่ามา งั้นบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแต่แรกเลยครับ

2. นั่นไงครับ คุณตีความตามงบบริษัท ซึ่งพันธกิจคือ กำไรสูงสุด มันแน่นอนอยู่แล้วว่ารถยนต์ถ้าเอามาให้เจ้าของ มันไม่สร้างรายได้แน่ ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง พันธกิจมันจะต่างออกไป สินทรัพย์ของคุณจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างคุณภาพชีวิต ไม่ใช่สร้างรายได้ แยกบัญชีบริษัทกับบัญชีตัวเองก่อนครับ คุณพูดเหตุผลเกี่ยวกับบัญชีบริษัท แต่ซื้อรถยนต์นั่งให้ตัวเอง แน่นอนมันต้องไม่สร้างรายได้ มีแต่ค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว เอาจริงๆ ถ้าคุณอ่านที่ผมพูดให้เข้าใจ ผมไม่ต้องตอบซ้ำหรอก เรื่องพวกนี้ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยซ้ำ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 15:45:16

1. การมองรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   --> ท่านเคยตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งให้ผู้บริหารมั้ยครับ  เวลาท่านคิด ท่านคิดอย่างไร ช่วยเสนอมาให้ดูในมุมมองที่ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยครับ   ตั้งแต่ผมเป็นกรรมการมากี่องค์กร การซื้อรถยนต์ให้ผู้บริหาร เค้าก็คำนวณออกมาเป็นค่าใช้จ่ายรายปี แล้วเอามาเทียบกับ รายได้ กับค่าใช้จ่ายที่เค้า  projection กันทุกองค์กรนะท่าน   แล้วที่ท่านบอกว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายนั้นผิดแน่นอน   ที่ถูกต้องของท่านต้องคิดยังงัยครับ  แต่ เอ... คุ้นๆ ว่าท่านก็บอกเองนะ ว่ามันต้องคิดเป็นค่าเสื่อมราคา  ค่าบำรุงรักษา อะไรพวกนี้อ่ะ ตกลงยังงัยดีเอ่ยย

2. สินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายรถมีอีกเยอะ คุณจะมองให้เป็นค่าใช้จ่ายหมดได้เหรอ มาตรฐานอยู่ตรงไหน  --> อยู่ตรงที่ว่ามันก่อให้เกิดรายได้หรือหรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรือเปล่างัยครับ  ถ้ามันก่อให้เกิดรายได้หรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ    ในเวลาตัดสินใจเค้าจะมองมันเป็นการลงทุน  ตัวอย่างก็เช่น การซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต  การทำโครงการส่งเสริมการตลาด     แต่ถ้าตรงกันข้าม อย่างเช่นรถยนต์นั่งผู้บริหาร ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  เวลาคิดเค้ามองในแง่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้นแหละครับ  ค่าใช้จ่ายพวกนี้เค้าทยอยตัดจ่ายลงเป็นค่าใช้จ่ายในงบ Projection กันหมดนะ

ถามกลับบ้าง   เวลาท่านตัดสินใจซื้อทรัพย์สินพวกนี้ในบริษัทของท่าน บริษัทของท่านมองเป็นสินทรัพย์เหมือนกันหมดเลยเหรอครับ   อยากรู้ของบริษัทท่านบ้างครับ

คุณฟังที่ผมพูดไม่เข้าใจมากกว่าครับ เพราะคุณเอาแต่จะมองในแบบตัวเองเท่านั้น แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้นมองไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็น

"รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์" ตรงนี้เข้าใจแล้วไงครับ ผมก็ชี้แจงไปแล้วไงครับ ว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง ในเมื่อมันไม่ใช่สิ่งที่ใช้จ่ายแล้วจบไป ตัวมันมีมูลค่าในตัวมันเอง แล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากรถ ผมก็ไล่ให้คุณดูแล้วว่ามันคือ ค่าเสื่อม ค่าซ่อม อื่นๆ ไม่ใช่ตัวสินทรัพย์เลย อย่าเอาแต่มองมุมที่ตัวเองคิดขึ้นมาสิครับ ใครจะไปเข้าใจ ผมมองตามบัญชี แล้วถ้าเกิดมีใครมองรถเป็นรายได้ขึ้นมาอีก คุณคิดว่าผมควรจะเข้าใจไหม โลกนี้ไม่ได้มีแค่คุณนะครับ ยังมีอีกเยอะ ผมรับฟังครับ แต่ต้องมีมาตรฐาน เหตุผลรองรับที่ดี แต่ของคุณถ้าไปเทียบกับบ้านที่มีลักษณะคล้ายรถ มันจะกลายเป็นว่าทุกอย่างกลายเป็นค่าใช้จ่ายไปหมด คราวนี้แหละสนุกครับ

1. อันนี้ผมก็ตอบไปแล้ว เพราะคุณซื้อรถยนต์นั่งให้ผู้บริหาร ถ้าไม่อยากรับเป็นภาระค่าใช้จ่าย ก็ลงเป็นถอนใช้ส่วนตัวไงครับ มันจะออกจากงบบริษัทไปเลย แล้วไปทำงบของตัวท่านเองรถยนต์มันก็จะไปโผล่ในนั้น แต่ถ้าหากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัท เป็นแค่ผู้บริหาร ทำไมถึงไม่เข้าใจครับ บริษัทซื้อรถให้ผู้บริหารทำไม? เพราะคุณมองแค่ว่ามันไม่ได้สร้างรายได้ตรงๆ แต่มันสร้างรายได้ทางอ้อมครับ รายได้จากรถยนต์นั่งผู้บริหารทางอ้อมคือแรงงานจากผู้บริหารไงครับ(มันเป็นต้นทุนในการจ้างเขา) ถ้าหากการซื้อรถยนต์นั่งไม่สร้างรายได้เลย ไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ คุณลองคิดกลับนะ งั้นบริษัทไม่จำเป็นต้องซื้อ จะมีผลต่อการทำงานของผู้บริหารไหม ทั้งหน้าตา ชื่อเสียงของบริษัท การตั้งใจทำงานของผู้บริหาร สิ่งพวกนี้มีอยู่เพียงแต่ตีมูลค่าเป็นตัวเงินไม่ได้
คำตอบนั้นง่ายมาก ถ้ามันเป็นเพียงแค่ค่าใช้จ่าย ไม่มีผลทางอ้อมแบบที่ผมว่ามา งั้นบริษัทก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแต่แรกเลยครับ

2. นั่นไงครับ คุณตีความตามงบบริษัท ซึ่งพันธกิจคือ กำไรสูงสุด มันแน่นอนอยู่แล้วว่ารถยนต์ถ้าเอามาให้เจ้าของ มันไม่สร้างรายได้แน่ ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง พันธกิจมันจะต่างออกไป สินทรัพย์ของคุณจะกลายเป็นสิ่งที่สร้างคุณภาพชีวิต ไม่ใช่สร้างรายได้ แยกบัญชีบริษัทกับบัญชีตัวเองก่อนครับ คุณพูดเหตุผลเกี่ยวกับบัญชีบริษัท แต่ซื้อรถยนต์นั่งให้ตัวเอง แน่นอนมันต้องไม่สร้างรายได้ มีแต่ค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว เอาจริงๆ ถ้าคุณอ่านที่ผมพูดให้เข้าใจ ผมไม่ต้องตอบซ้ำหรอก เรื่องพวกนี้ผมพูดไปก่อนหน้านี้แล้วด้วยซ้ำ





ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง --> ออกทะเลไปไกลจริงๆ อันนี้เจ้าของกระทู้ถามแนวทางตัดสินใจซื้อรถ  ก็ผมก็บอกแต่ต้นแล้วงัยว่าในการพิจารณาซื้อรถของผม ผมจะพิจารณาอย่างนี้  แนวความคิดของผมแบบนี้มันก็เรื่องของผม   ผมตอบเจ้าของกระทู้  ย้ำนะ "ผมตอบเจ้าของกระทู้"  ผมไม่ได้กางตำรามาดำเนินชีวิต เพื่อมาเสนอท่านอนุมัตินะครับ   สำคัญตัวผิดหรือป่าว



ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง    --> นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณออกนอกประเด็นไปไกลมากๆ เรื่องที่ผมถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ   ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้  ย้ำนะ ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ มาแนะนำผมทำไมอ่ะ   ใครถาม???   ถ้าคุณอยากจะเสนออะไร ก็ไปเสนอให้กับคนที่อยากรู้สิครับ   มาแนะนำผมทำไมอ่ะ งงมากๆ     แล้วไม่ต้องพิมพ์ซ้ำอีกนะนะ เพราะผมไม่ได้อ่านหรอก  เรื่องนอกประเด็นผมไม่อยากเสียเวลาอ่าน


สรุปเหตุการณ์หลักๆ ของพฤติกรรมท่านนะ

1. คุณมาแย้งว่า ผมบอกว่ารถไม่เป็นสินทรัพย์ แล้วไล่ผมไปศึกษาความรู้ทางบัญชี   พร้อมกับโชว์ความรู้ทางบัญชีโน่นนี่ ถูกบ้าง ผิดบ้าง  แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถามเลย  (ผมหาคำตอบของท่านที่ตอบเจ้ากระทู้ไม่เจอจริงๆ นะ )

2. ผมใช้เวลานานมากๆๆ  กว่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่า  คุณแปลความผิด คุณเข้าใจประโยคผิดโดยสิ้นเชิง   แล้วคุณก็เข้าใจไปแล้วนะ ตามที่คุณพิมพ์มาเอง    ["รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์" ตรงนี้เข้าใจแล้วไงครับ ]     เฮ้อ..... เข้าใจซะทีนะ ประโยคเดียวนี่มันยากขนาดต้องอธิยายขนาดนี้เลยเหรอ   

ปล. ผมเล่นกับเด็ก 6 ขวบแถวบ้านนะ  เอาพัดมาเล่นเป็นกระทะ เอาไม้ตีแมลงวันมาเล่นเป็นตาหลิว  เล่นทำกับข้าวกัน    แล้วผมบอกเด็กๆ ว่า "พัดอันนี้ให้คิดว่ามันเป็นกระทะ  ไม้ตีแมลงวันให้คิดว่าเป็นตะหลิวกันนะ"   เด็ก 6 ขวบยังเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย   ไม่มีเด็กคนไหนคิดว่ามันเป็นกระทะ หรือเป็นตะหลิวจริงๆ สักคน  แล้วก็ไม่มีเด็กคนไหนอวดฉลาดขึ้นมาแย้งผมนะว่า พัดไม่ใช่กระทะ ไม้ตีแมลงวันไม่ใช่ตาหลิว  เพราะเค้าเข้าใจโครงสร้างประโยคกันหมดมั้ง


3. สรุปว่า ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ผมไม่ได้เข้าใจผิดเรื่องบัญชีสินทรัพย์  เป็นคุณที่ ตีความหมายของภาษาไทยไปผิดเอง  ตกลงท่านเข้าใจสิ่งที่ถูกไปแล้วนะ 



จากที่สรุปมาอีกครั้ง ---> เอาตรงๆ นะ พฤติกรรมของท่านอ่ะนะ    เริ่มจากเข้าใจคำพูดคนอื่นผิดเอง ตีความประโยคผิดเอง  เข้าใจผิดถึงขนาดไล่คนอื่นไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม    ภายหลังจากที่ได้รับการอธิบายอย่างหนักหน่วง  สรุปว่าคุณทราบแล้วว่าคุณเข้าใจผิด

ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ

แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด  แถมยังมีหน้ามาอธิบายแนวทาง 180-1009 ให้กับคนที่ไม่ได้ถาม  ไม่ได้ต้องการจะรับฟังอะไรจากท่านเลยแม้แต่น้อย   คำอธิบายใช้แทนคำขอโทษไม่ได้นะครับ

สกิลท่านสุดยอดจริงๆ ครับ  นับว่าหายากยิ่ง ผมต้องขอคารวะท่านนะ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Carcassonne ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 15:54:12
ผมว่ากี่เปอร์เซนต์ขึ้นกับขนาดของ net worth ด้วยครับ

กลุ่ม 1.ถ้ามีสินทรัพย์ยังไม่มาก แล้วจำเป็นต้องใช้รถยนต์ อัตราส่วนของเงินซื้อรถ ต่อ สินทรัพย์ก็จะสูงมาก

กลุ่ม 2. สินทรัพย์มากขึ้นมา ต้องการซื้อรถยุโรปคันแรก ความเห็นผมคือ ราคาที่จ่ายซื้อ รถทุกคันรวมกัน ไม่ควรเกิน 10%

กลุ่ม 3. สินทรัพย์เยอะมากๆ net worth สูง อันนี้ ผมอยากถามความเห็นท่านอื่นๆครับ ว่าควรเป็นเช่นไร
a) รวยมากแล้ว เงินเหลือมากแล้ว ถ้าชอบรถมาก จะใช้เงินซื้อรถเป็น % สูงกว่ากลุ่ม 2. ก็ได้
b) ใช้เงินแค่ 1-2% ก็ได้รถราคาแพงมากแล้ว เพราะฉนั้น ควรเป็น % น้อยกว่ากลุ่ม 2.
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: basterias ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 16:11:12
ผมว่ากี่เปอร์เซนต์ขึ้นกับขนาดของ net worth ด้วยครับ

กลุ่ม 1.ถ้ามีสินทรัพย์ยังไม่มาก แล้วจำเป็นต้องใช้รถยนต์ อัตราส่วนของเงินซื้อรถ ต่อ สินทรัพย์ก็จะสูงมาก

กลุ่ม 2. สินทรัพย์มากขึ้นมา ต้องการซื้อรถยุโรปคันแรก ความเห็นผมคือ ราคาที่จ่ายซื้อ รถทุกคันรวมกัน ไม่ควรเกิน 10%

กลุ่ม 3. สินทรัพย์เยอะมากๆ net worth สูง อันนี้ ผมอยากถามความเห็นท่านอื่นๆครับ ว่าควรเป็นเช่นไร
a) รวยมากแล้ว เงินเหลือมากแล้ว ถ้าชอบรถมาก จะใช้เงินซื้อรถเป็น % สูงกว่ากลุ่ม 2. ก็ได้
b) ใช้เงินแค่ 1-2% ก็ได้รถราคาแพงมากแล้ว เพราะฉนั้น ควรเป็น % น้อยกว่ากลุ่ม 2.


ผมเดาว่านะจะข้อ b จากการสังเกตรถที่จอดในคอนโดกลางกรุง ยกเว้นแต่ว่าจะซื้อรถแบบ bugatti
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 16:17:02
ผมว่ากี่เปอร์เซนต์ขึ้นกับขนาดของ net worth ด้วยครับ

กลุ่ม 1.ถ้ามีสินทรัพย์ยังไม่มาก แล้วจำเป็นต้องใช้รถยนต์ อัตราส่วนของเงินซื้อรถ ต่อ สินทรัพย์ก็จะสูงมาก

กลุ่ม 2. สินทรัพย์มากขึ้นมา ต้องการซื้อรถยุโรปคันแรก ความเห็นผมคือ ราคาที่จ่ายซื้อ รถทุกคันรวมกัน ไม่ควรเกิน 10%

กลุ่ม 3. สินทรัพย์เยอะมากๆ net worth สูง อันนี้ ผมอยากถามความเห็นท่านอื่นๆครับ ว่าควรเป็นเช่นไร
a) รวยมากแล้ว เงินเหลือมากแล้ว ถ้าชอบรถมาก จะใช้เงินซื้อรถเป็น % สูงกว่ากลุ่ม 2. ก็ได้
b) ใช้เงินแค่ 1-2% ก็ได้รถราคาแพงมากแล้ว เพราะฉนั้น ควรเป็น % น้อยกว่ากลุ่ม 2.

คิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเป็น b นะครับ  เว้นแต่คนที่คลั่งไคล้รถมากๆ อาจจะมีไว้หลายคัน มีไว้สะสม อาจจะเป็น a ได้บ้าง
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: tvm ที่ พฤษภาคม 08, 2020, 16:28:47
ต่างกันทุกคนแหล่ะครับ แนะนำตามท่านบนๆ ลองหากระทู้เก่าๆ คนชอบถามแนวนี้เยอะ น่าจะช่วยอ้างอิงคุณได้อีกล่ะ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 03:15:35
ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง --> ออกทะเลไปไกลจริงๆ อันนี้เจ้าของกระทู้ถามแนวทางตัดสินใจซื้อรถ  ก็ผมก็บอกแต่ต้นแล้วงัยว่าในการพิจารณาซื้อรถของผม ผมจะพิจารณาอย่างนี้  แนวความคิดของผมแบบนี้มันก็เรื่องของผม   ผมตอบเจ้าของกระทู้  ย้ำนะ "ผมตอบเจ้าของกระทู้"  ผมไม่ได้กางตำรามาดำเนินชีวิต เพื่อมาเสนอท่านอนุมัตินะครับ   สำคัญตัวผิดหรือป่าว



ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง    --> นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณออกนอกประเด็นไปไกลมากๆ เรื่องที่ผมถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ   ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้  ย้ำนะ ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ มาแนะนำผมทำไมอ่ะ   ใครถาม???   ถ้าคุณอยากจะเสนออะไร ก็ไปเสนอให้กับคนที่อยากรู้สิครับ   มาแนะนำผมทำไมอ่ะ งงมากๆ     แล้วไม่ต้องพิมพ์ซ้ำอีกนะนะ เพราะผมไม่ได้อ่านหรอก  เรื่องนอกประเด็นผมไม่อยากเสียเวลาอ่าน


สรุปเหตุการณ์หลักๆ ของพฤติกรรมท่านนะ

1. คุณมาแย้งว่า ผมบอกว่ารถไม่เป็นสินทรัพย์ แล้วไล่ผมไปศึกษาความรู้ทางบัญชี   พร้อมกับโชว์ความรู้ทางบัญชีโน่นนี่ ถูกบ้าง ผิดบ้าง  แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถามเลย  (ผมหาคำตอบของท่านที่ตอบเจ้ากระทู้ไม่เจอจริงๆ นะ )

2. ผมใช้เวลานานมากๆๆ  กว่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่า  คุณแปลความผิด คุณเข้าใจประโยคผิดโดยสิ้นเชิง   แล้วคุณก็เข้าใจไปแล้วนะ ตามที่คุณพิมพ์มาเอง    ["รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์" ตรงนี้เข้าใจแล้วไงครับ ]     เฮ้อ..... เข้าใจซะทีนะ ประโยคเดียวนี่มันยากขนาดต้องอธิยายขนาดนี้เลยเหรอ   

ปล. ผมเล่นกับเด็ก 6 ขวบแถวบ้านนะ  เอาพัดมาเล่นเป็นกระทะ เอาไม้ตีแมลงวันมาเล่นเป็นตาหลิว  เล่นทำกับข้าวกัน    แล้วผมบอกเด็กๆ ว่า "พัดอันนี้ให้คิดว่ามันเป็นกระทะ  ไม้ตีแมลงวันให้คิดว่าเป็นตะหลิวกันนะ"   เด็ก 6 ขวบยังเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย   ไม่มีเด็กคนไหนคิดว่ามันเป็นกระทะ หรือเป็นตะหลิวจริงๆ สักคน  แล้วก็ไม่มีเด็กคนไหนอวดฉลาดขึ้นมาแย้งผมนะว่า พัดไม่ใช่กระทะ ไม้ตีแมลงวันไม่ใช่ตาหลิว  เพราะเค้าเข้าใจโครงสร้างประโยคกันหมดมั้ง


3. สรุปว่า ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ผมไม่ได้เข้าใจผิดเรื่องบัญชีสินทรัพย์  เป็นคุณที่ ตีความหมายของภาษาไทยไปผิดเอง  ตกลงท่านเข้าใจสิ่งที่ถูกไปแล้วนะ 



จากที่สรุปมาอีกครั้ง ---> เอาตรงๆ นะ พฤติกรรมของท่านอ่ะนะ    เริ่มจากเข้าใจคำพูดคนอื่นผิดเอง ตีความประโยคผิดเอง  เข้าใจผิดถึงขนาดไล่คนอื่นไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม    ภายหลังจากที่ได้รับการอธิบายอย่างหนักหน่วง  สรุปว่าคุณทราบแล้วว่าคุณเข้าใจผิด

ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ

แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด  แถมยังมีหน้ามาอธิบายแนวทาง 180-1009 ให้กับคนที่ไม่ได้ถาม  ไม่ได้ต้องการจะรับฟังอะไรจากท่านเลยแม้แต่น้อย   คำอธิบายใช้แทนคำขอโทษไม่ได้นะครับ

สกิลท่านสุดยอดจริงๆ ครับ  นับว่าหายากยิ่ง ผมต้องขอคารวะท่านนะ

คุณครับ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผมมันไม่มีหรือยังไง ผมแย้ง ผมก็มีสิทธิแย้งไหม คุณจะอนุมัติรึเปล่ามันก็เรื่องของคุณ ผมไม่ได้ขอให้ทำ
ตลกไหมครับ การที่จะมาห้ามคนอื่นแสดงความเห็นในที่สาธารณะ หากไม่ต้องการถกเถียงในประเด็น แบบนี้ก็แปลว่าไม่มีเหตุผลแล้ว และผมก็พูดอยู่ในประเด็นหมด คุณไม่เข้าใจแล้วก็บอกออกทะเลเองมากกว่า

ผมจะบอกให้นะครับ ทุกคนมีสิทธิพูด คุณจะห้ามคนอื่นพูดยังไง ห้ามได้หรือ แล้วคุณก็ไม่ต้องอนุมัติทำตามอะไรทั้งนั้น ถ้าหากไม่พอใจก็แย้งกลับมาด้วยเหตุผลของคุณ แต่ถ้าไร้เหตุผลผมก็เห็นแล้วว่าคุณเป็นคนยังไง ผมแย้งกลับในประเด็นเหตุผลตลอด แต่คุณเป็นคนเข้าใจอะไรยาก เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เคารพเสรีภาพคนอื่นบ้าง แม้คุณเป็นคนแบบนี้ผมยังเคารพสิทธิคุณเลย พูดก็พูดด้วยเหตุผลหมด ไม่ได้ทำอะไรละเมิดคุณแม้แต่น้อย การแย้งของผมคุณคงไม่พอใจมากสินะ?

"ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง --> ออกทะเลไปไกลจริงๆ อันนี้เจ้าของกระทู้ถามแนวทางตัดสินใจซื้อรถ  ก็ผมก็บอกแต่ต้นแล้วงัยว่าในการพิจารณาซื้อรถของผม ผมจะพิจารณาอย่างนี้  แนวความคิดของผมแบบนี้มันก็เรื่องของผม   ผมตอบเจ้าของกระทู้  ย้ำนะ "ผมตอบเจ้าของกระทู้"  ผมไม่ได้กางตำรามาดำเนินชีวิต เพื่อมาเสนอท่านอนุมัตินะครับ   สำคัญตัวผิดหรือป่าว"

คุณห้ามคนอื่นแย้งไม่ได้ จะแสดงความคิดเห็นก็แสดงไปไงครับ ผมบอกว่ามันผิดเพราะความคิดคุณมันไร้มาตรฐาน ชี้แจงไปแล้ว และผมก็แย้งตรงเฉพาะที่มันผิด ไม่ได้จะตอบคำถามใดเลย คุณจะตอบคำถามก็ตอบไปไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้าอธิบายกับผมไม่ได้ว่ามาตรฐานมันอยู่ตรงไหน จะคิดอะไรก็คิดไปเหอะครับ มันคงไร้สาระแล้วละ

" ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง    --> นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณออกนอกประเด็นไปไกลมากๆ เรื่องที่ผมถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ   ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้  ย้ำนะ ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ มาแนะนำผมทำไมอ่ะ   ใครถาม???   ถ้าคุณอยากจะเสนออะไร ก็ไปเสนอให้กับคนที่อยากรู้สิครับ   มาแนะนำผมทำไมอ่ะ งงมากๆ     แล้วไม่ต้องพิมพ์ซ้ำอีกนะนะ เพราะผมไม่ได้อ่านหรอก  เรื่องนอกประเด็นผมไม่อยากเสียเวลาอ่าน"

ผมไม่เห็นว่ามันจะนอกประเด็นตรงไหน คุณต่างหากเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า คุณบอกว่าสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ บลาๆๆ ไปเรื่องลงทุน รถยนต์นั่งผู้บริหาร ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  เวลาคิดเค้ามองในแง่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้นแหละครับ
ผมก็ตอบไปว่าคุณมองแต่งบบริษัท รถยนต์จึงเป็นเพียงแค่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะพันธกิจคือกำไรสูงสุด แต่ถ้าประยุกต์มางบตัวท่านเอง รถยนต์จะกลายเป็นสินทรัพย์สร้างคุณภาพชีวิต คุณจะเอา%การซื้อรถยนต์/สินทรัพย์บริษัท หรือต่อสินทรัพย์ของตัวเองละ ดังนั้นการมองเป็นค่าใช้จ่ายของคุณจึงผิด นี่เมื่อไรจะเข้าใจ ผมอธิบายหลายรอบมาก การที่คุณไม่เข้าไม่ได้หมายความว่าผมออกทะเล สรุปผมออกทะเลไหม คุณคิดต่อเองไม่ได้หรือไงครับถึงต้องให้ผมพูดโยงจนยาวขนาดนั้น

คุณเป็นใคร? คนแปลกหน้าหรือเปล่า จะมาขอคำขอโทษ ไม่ใช่ญาติกันนะครับ ผมไม่ได้ละเมิดอะไรคุณนี่ ถ้าละเมิดค่อยว่ากันรึเปล่า โตๆ กันแล้ว ผมด่าคุณตรงไหนเหรอครับ ผมยังงง
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 08:19:51
ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง --> ออกทะเลไปไกลจริงๆ อันนี้เจ้าของกระทู้ถามแนวทางตัดสินใจซื้อรถ  ก็ผมก็บอกแต่ต้นแล้วงัยว่าในการพิจารณาซื้อรถของผม ผมจะพิจารณาอย่างนี้  แนวความคิดของผมแบบนี้มันก็เรื่องของผม   ผมตอบเจ้าของกระทู้  ย้ำนะ "ผมตอบเจ้าของกระทู้"  ผมไม่ได้กางตำรามาดำเนินชีวิต เพื่อมาเสนอท่านอนุมัตินะครับ   สำคัญตัวผิดหรือป่าว



ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง    --> นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณออกนอกประเด็นไปไกลมากๆ เรื่องที่ผมถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ   ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้  ย้ำนะ ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ มาแนะนำผมทำไมอ่ะ   ใครถาม???   ถ้าคุณอยากจะเสนออะไร ก็ไปเสนอให้กับคนที่อยากรู้สิครับ   มาแนะนำผมทำไมอ่ะ งงมากๆ     แล้วไม่ต้องพิมพ์ซ้ำอีกนะนะ เพราะผมไม่ได้อ่านหรอก  เรื่องนอกประเด็นผมไม่อยากเสียเวลาอ่าน


สรุปเหตุการณ์หลักๆ ของพฤติกรรมท่านนะ

1. คุณมาแย้งว่า ผมบอกว่ารถไม่เป็นสินทรัพย์ แล้วไล่ผมไปศึกษาความรู้ทางบัญชี   พร้อมกับโชว์ความรู้ทางบัญชีโน่นนี่ ถูกบ้าง ผิดบ้าง  แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถามเลย  (ผมหาคำตอบของท่านที่ตอบเจ้ากระทู้ไม่เจอจริงๆ นะ )

2. ผมใช้เวลานานมากๆๆ  กว่าจะอธิบายให้คุณเข้าใจได้ว่า  คุณแปลความผิด คุณเข้าใจประโยคผิดโดยสิ้นเชิง   แล้วคุณก็เข้าใจไปแล้วนะ ตามที่คุณพิมพ์มาเอง    ["รถยนต์นั่งไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์ หมายความถึงว่าในการตัดสินใจซื้อรถยนต์นั่งเราไม่ควรคิดว่ามันเป็นหมวดสินทรัพย์   ไม่ได้บอกนะว่ามันไม่เป็นสินทรัพย์" ตรงนี้เข้าใจแล้วไงครับ ]     เฮ้อ..... เข้าใจซะทีนะ ประโยคเดียวนี่มันยากขนาดต้องอธิยายขนาดนี้เลยเหรอ   

ปล. ผมเล่นกับเด็ก 6 ขวบแถวบ้านนะ  เอาพัดมาเล่นเป็นกระทะ เอาไม้ตีแมลงวันมาเล่นเป็นตาหลิว  เล่นทำกับข้าวกัน    แล้วผมบอกเด็กๆ ว่า "พัดอันนี้ให้คิดว่ามันเป็นกระทะ  ไม้ตีแมลงวันให้คิดว่าเป็นตะหลิวกันนะ"   เด็ก 6 ขวบยังเข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย   ไม่มีเด็กคนไหนคิดว่ามันเป็นกระทะ หรือเป็นตะหลิวจริงๆ สักคน  แล้วก็ไม่มีเด็กคนไหนอวดฉลาดขึ้นมาแย้งผมนะว่า พัดไม่ใช่กระทะ ไม้ตีแมลงวันไม่ใช่ตาหลิว  เพราะเค้าเข้าใจโครงสร้างประโยคกันหมดมั้ง


3. สรุปว่า ตั้งแต่แรกเริ่มเลย ผมไม่ได้เข้าใจผิดเรื่องบัญชีสินทรัพย์  เป็นคุณที่ ตีความหมายของภาษาไทยไปผิดเอง  ตกลงท่านเข้าใจสิ่งที่ถูกไปแล้วนะ 



จากที่สรุปมาอีกครั้ง ---> เอาตรงๆ นะ พฤติกรรมของท่านอ่ะนะ    เริ่มจากเข้าใจคำพูดคนอื่นผิดเอง ตีความประโยคผิดเอง  เข้าใจผิดถึงขนาดไล่คนอื่นไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม    ภายหลังจากที่ได้รับการอธิบายอย่างหนักหน่วง  สรุปว่าคุณทราบแล้วว่าคุณเข้าใจผิด

ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ

แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด  แถมยังมีหน้ามาอธิบายแนวทาง 180-1009 ให้กับคนที่ไม่ได้ถาม  ไม่ได้ต้องการจะรับฟังอะไรจากท่านเลยแม้แต่น้อย   คำอธิบายใช้แทนคำขอโทษไม่ได้นะครับ

สกิลท่านสุดยอดจริงๆ ครับ  นับว่าหายากยิ่ง ผมต้องขอคารวะท่านนะ

คุณครับ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของผมมันไม่มีหรือยังไง ผมแย้ง ผมก็มีสิทธิแย้งไหม คุณจะอนุมัติรึเปล่ามันก็เรื่องของคุณ ผมไม่ได้ขอให้ทำ
ตลกไหมครับ การที่จะมาห้ามคนอื่นแสดงความเห็นในที่สาธารณะ หากไม่ต้องการถกเถียงในประเด็น แบบนี้ก็แปลว่าไม่มีเหตุผลแล้ว และผมก็พูดอยู่ในประเด็นหมด คุณไม่เข้าใจแล้วก็บอกออกทะเลเองมากกว่า

ผมจะบอกให้นะครับ ทุกคนมีสิทธิพูด คุณจะห้ามคนอื่นพูดยังไง ห้ามได้หรือ แล้วคุณก็ไม่ต้องอนุมัติทำตามอะไรทั้งนั้น ถ้าหากไม่พอใจก็แย้งกลับมาด้วยเหตุผลของคุณ แต่ถ้าไร้เหตุผลผมก็เห็นแล้วว่าคุณเป็นคนยังไง ผมแย้งกลับในประเด็นเหตุผลตลอด แต่คุณเป็นคนเข้าใจอะไรยาก เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ เคารพเสรีภาพคนอื่นบ้าง แม้คุณเป็นคนแบบนี้ผมยังเคารพสิทธิคุณเลย พูดก็พูดด้วยเหตุผลหมด ไม่ได้ทำอะไรละเมิดคุณแม้แต่น้อย การแย้งของผมคุณคงไม่พอใจมากสินะ?

"ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ กับตัวรถยนต์จริงๆ มันคนละส่วนกัน คุณเล่นเอามารวมกัน จะให้มองตัวรถเป็นค่าใช้จ่ายได้ยังไง --> ออกทะเลไปไกลจริงๆ อันนี้เจ้าของกระทู้ถามแนวทางตัดสินใจซื้อรถ  ก็ผมก็บอกแต่ต้นแล้วงัยว่าในการพิจารณาซื้อรถของผม ผมจะพิจารณาอย่างนี้  แนวความคิดของผมแบบนี้มันก็เรื่องของผม   ผมตอบเจ้าของกระทู้  ย้ำนะ "ผมตอบเจ้าของกระทู้"  ผมไม่ได้กางตำรามาดำเนินชีวิต เพื่อมาเสนอท่านอนุมัตินะครับ   สำคัญตัวผิดหรือป่าว"

คุณห้ามคนอื่นแย้งไม่ได้ จะแสดงความคิดเห็นก็แสดงไปไงครับ ผมบอกว่ามันผิดเพราะความคิดคุณมันไร้มาตรฐาน ชี้แจงไปแล้ว และผมก็แย้งตรงเฉพาะที่มันผิด ไม่ได้จะตอบคำถามใดเลย คุณจะตอบคำถามก็ตอบไปไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้าอธิบายกับผมไม่ได้ว่ามาตรฐานมันอยู่ตรงไหน จะคิดอะไรก็คิดไปเหอะครับ มันคงไร้สาระแล้วละ

" ผมถึงได้บอกคุณไงครับว่าให้เอาไปประยุต์ใช้กับงบการเงิน ทำบัญชีของตัวเอง    --> นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า คุณออกนอกประเด็นไปไกลมากๆ เรื่องที่ผมถามท่าน ท่านก็ไม่ตอบ   ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้  ย้ำนะ ผมไม่ได้ถามท่านเรื่องนี้ มาแนะนำผมทำไมอ่ะ   ใครถาม???   ถ้าคุณอยากจะเสนออะไร ก็ไปเสนอให้กับคนที่อยากรู้สิครับ   มาแนะนำผมทำไมอ่ะ งงมากๆ     แล้วไม่ต้องพิมพ์ซ้ำอีกนะนะ เพราะผมไม่ได้อ่านหรอก  เรื่องนอกประเด็นผมไม่อยากเสียเวลาอ่าน"

ผมไม่เห็นว่ามันจะนอกประเด็นตรงไหน คุณต่างหากเข้าใจที่ผมพูดหรือเปล่า คุณบอกว่าสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ บลาๆๆ ไปเรื่องลงทุน รถยนต์นั่งผู้บริหาร ถือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้  เวลาคิดเค้ามองในแง่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้นแหละครับ
ผมก็ตอบไปว่าคุณมองแต่งบบริษัท รถยนต์จึงเป็นเพียงแค่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพราะพันธกิจคือกำไรสูงสุด แต่ถ้าประยุกต์มางบตัวท่านเอง รถยนต์จะกลายเป็นสินทรัพย์สร้างคุณภาพชีวิต คุณจะเอา%การซื้อรถยนต์/สินทรัพย์บริษัท หรือต่อสินทรัพย์ของตัวเองละ ดังนั้นการมองเป็นค่าใช้จ่ายของคุณจึงผิด นี่เมื่อไรจะเข้าใจ ผมอธิบายหลายรอบมาก การที่คุณไม่เข้าไม่ได้หมายความว่าผมออกทะเล สรุปผมออกทะเลไหม คุณคิดต่อเองไม่ได้หรือไงครับถึงต้องให้ผมพูดโยงจนยาวขนาดนั้น

คุณเป็นใคร? คนแปลกหน้าหรือเปล่า จะมาขอคำขอโทษ ไม่ใช่ญาติกันนะครับ ผมไม่ได้ละเมิดอะไรคุณนี่ ถ้าละเมิดค่อยว่ากันรึเปล่า โตๆ กันแล้ว ผมด่าคุณตรงไหนเหรอครับ ผมยังงง

ตลกอีกแล้วนะท่าน     :P :P :P    อ่านความเห็นของท่านบางช่วงก็ทำให้ผมขำได้

ท่านมีปัญหากับการตีความทางภาษาจริงๆ แหละ

ผมบอกว่าท่านด่าผมตอนไหนครับ  สุดท้ายแล้วผมเรียกร้องคำขอโทษจากท่านเมื่อไรครับ     
 

ขอชัดๆ หน่อยครับ  ผมขอคำขอโทษจากคุณตรงไหนครับ


ขนาดภาษาไทยอย่างง่าย ท่านยังแปลความออกมาไม่ได้เลย  ผมคงไม่เสียเวลาอธิบายท่านว่ามันนอกประเด็นตรงไหนแล้วครับ    แค่คำสั้นๆ ระหว่างความหมายของ   ไม่ควรคิดว่าเป็น  กับ ไม่เป็น  กว่าที่ผมจะใช้เวลาอธิบายจนท่านเริ่มเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ จนท่านยอมรับว่าท่านเข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เวลาอธิบายตั้งหลายกระทู้     
แล้วที่พิมพ์มารอบล่าสุดก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นท่านไม่เข้าใจอีกแล้วนะท่าน ทำไมย้อนกลับไปเรื่องเดิมเลยอ่า     :P :P :P   

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้อธิบายว่าท่านนอกประเด็นยังงัยอีก คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าท่านจะเข้าใจได้   พอเข้าใจแล้วพอผ่านไป 1 รอบ ท่านก็จะย้อนกลับเป็นไม่เข้าใจใหม่อีก   ผมไม่เอาแล้วครับ 

แต่สกิลท่าน สุดยอดจริงๆ นะ ทำความไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจ แล้วกลับเป็นไม่เข้าใจได้     ผมขอชื่นชมอีกครั้ง


ปล.  กับคนแปลกหน้าหรือใครก็ตาม  ถ้าผมรู้ตัวว่าเข้าใจอะไรเค้าผิดไป   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ขอโทษครับ  ไม่ต้องรอให้เค้าเป็นญาติหรอกครับ   แนวความคิดตลกดีจัง ต้องเป็นญาติถึงจะขอโทษเหรอเนี่ย  ;D ;D ;D   


อ้ออ แล้วถ้าละเมิดจริง เค้าไม่เอาคำขอโทษกันหรอกนะ เค้าเรียกค่าเสียหายตามม. 420 แล้ว คิดจะแก้การละเมิดด้วยคำขอโทษ ตลกอีกล่ะ  555+
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 13:05:38

ตลกอีกแล้วนะท่าน     :P :P :P    อ่านความเห็นของท่านบางช่วงก็ทำให้ผมขำได้

ท่านมีปัญหากับการตีความทางภาษาจริงๆ แหละ

ผมบอกว่าท่านด่าผมตอนไหนครับ  สุดท้ายแล้วผมเรียกร้องคำขอโทษจากท่านเมื่อไรครับ     
 

ขอชัดๆ หน่อยครับ  ผมขอคำขอโทษจากคุณตรงไหนครับ


ขนาดภาษาไทยอย่างง่าย ท่านยังแปลความออกมาไม่ได้เลย  ผมคงไม่เสียเวลาอธิบายท่านว่ามันนอกประเด็นตรงไหนแล้วครับ    แค่คำสั้นๆ ระหว่างความหมายของ   ไม่ควรคิดว่าเป็น  กับ ไม่เป็น  กว่าที่ผมจะใช้เวลาอธิบายจนท่านเริ่มเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ จนท่านยอมรับว่าท่านเข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เวลาอธิบายตั้งหลายกระทู้     
แล้วที่พิมพ์มารอบล่าสุดก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นท่านไม่เข้าใจอีกแล้วนะท่าน ทำไมย้อนกลับไปเรื่องเดิมเลยอ่า     :P :P :P   

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้อธิบายว่าท่านนอกประเด็นยังงัยอีก คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าท่านจะเข้าใจได้   พอเข้าใจแล้วพอผ่านไป 1 รอบ ท่านก็จะย้อนกลับเป็นไม่เข้าใจใหม่อีก   ผมไม่เอาแล้วครับ 

แต่สกิลท่าน สุดยอดจริงๆ นะ ทำความไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจ แล้วกลับเป็นไม่เข้าใจได้     ผมขอชื่นชมอีกครั้ง


ปล.  กับคนแปลกหน้าหรือใครก็ตาม  ถ้าผมรู้ตัวว่าเข้าใจอะไรเค้าผิดไป   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ขอโทษครับ  ไม่ต้องรอให้เค้าเป็นญาติหรอกครับ   แนวความคิดตลกดีจัง ต้องเป็นญาติถึงจะขอโทษเหรอเนี่ย  ;D ;D ;D   


อ้ออ แล้วถ้าละเมิดจริง เค้าไม่เอาคำขอโทษกันหรอกนะ เค้าเรียกค่าเสียหายตามม. 420 แล้ว คิดจะแก้การละเมิดด้วยคำขอโทษ ตลกอีกล่ะ  555+

"ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด" ---> ถ้าไม่เรียกร้องคำขอโทษจะพูดทำไมครับ? คุณต่างหากที่ออกทะเล ไม่เห็นเหรอ? ผมไม่ได้ตีความผิด คุณต่างหากที่ไม่เข้าใจและออกทะเลอยู่เรื่อยๆ จะบอกว่าพูดเฉยๆ งั้นแล้วมันเกี่ยวกับประเด็นที่ถกเถียงกันตรงไหนครับ?

ผมน่ะตอบคำถามคุณทุกข้อไล่ตอบไปเรื่อยด้วยซ้ำ แต่คุณพอไม่พอใจก็เอาตัวเองเป็นใหญ่ สิ่งที่ผมแย้งคุณก็ตอบผมไม่ได้เลย ลองไล่สิ่งที่ผมถามมาตอบให้ได้ก่อนไหม ส่วนคำถามคุณผมตอบไปหมดแล้ว ถ้าลองพยายามอ่านให้เข้าใจ มันตอบหมดแล้ว คุณก็เอาแต่พาลไปเรื่องอื่น เริ่มออกนอกเรื่องของจริงแล้ว คุยเรื่องที่เป็นประเด็นไม่ดีกว่าเหรอ อย่าไร้สาระมากไปกว่านี้ครับ ผมต้องต่อจุดละเอียดแบบเด็ก ป4 คุณถึงจะเข้าใจหรืออย่างไร ฟังให้เข้าใจดูก่อนไหม ก่อนจะบอกออกทะเล คุณต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

ถ้าเข้าใจเรื่องละเมิดดีอยู่แล้ว งั้นก็ไม่ต้องมาพร่ำเรื่องขอโทษอีก นอกเรื่องไร้สาระครับ

เอาคำถามเดียวก่อนง่ายๆ แบบ ป4 เลย
"คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม" มาตรฐานอยู่ตรงไหน?
คุณตอบว่า ---> อยู่ตรงที่ว่ามันก่อให้เกิดรายได้หรือหรือเพื่อใช้ในการรันธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรือเปล่างัยครับ
คุณเห็นคำถามผมไหมว่าประเด็นมันอยู่ที่ "งั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลย"
คุณเอาเรื่องสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ มาตอบเป็นมาตรฐาน มันก็ไม่ได้อธิบายเรื่องบ้านและสินทรัพย์อื่นที่ด้อยค่าอยู่ดี บ้าน ทีวี ตู้เย็น ของใช้ต่างๆ พวกนี้เหมือนรถเย็นทั้งสิ้น ถ้าเอาเงินบริษัทซื้อ มันก็เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ไม่ใช่รถยนต์เพียงอย่างเดียว คราวนี้ของทุกๆ อย่างจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายหมดถ้าหากไม่สร้างรายได้ คุณคิดว่ายังไงละ? คุณอย่าลืมนะบางคนเขาเป็นเจ้าของเขาก็เอาเงินบริษัทมาซื้อรถซื้อบ้าน เห็นไหมว่ามันมั่ว?

ในคำถามยังมีอีกประเด็นซ้อน "ตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกัน"
รถ---> มีตัวตน มีมูลค่าในตัวมันเอง
ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวรถ--->ซ่อม บำรุงรักษา ค่าเสื่อม
นี่แยกคำถามให้ละเอียดมากแล้วนะ เอาความหมายตามพจนานุกรมทั่วๆ ไปเลย ถ้าคุณมองรถเป็นค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายแปลว่าอะไร? ค่าใช้จ่ายขับไปไหนมาไหนได้? ค่าใช้จ่ายขายเป็นมือ2ได้? ค่าใช้จ่ายมีมูลค่าในตัวเอง? คุณเข้าใจไหมว่าตัวค่าใช้จ่ายที่คุณคิดนั่น มันไม่ตรงกับความหมายทั่วไปตามพจนานุกรมด้วยซ้ำ แล้วผมก็แยกออกมาให้เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่ตัวรถ แต่เป็นอย่างอื่นที่เกิดจากรถ
ถ้ายังจะบอกอีกว่าคุณจะมองแบบของคุณเพื่อตอบคำถาม คุณเป็นถึงขนาดแย้งความหมายตามพจนานุกรมอีกเหรอ เป็นคนอยู่เหนือพจนานุกรม? แบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้หมด ข้าจะมองแบบนี้ ข้าถูก ภาษามนุษย์คงไม่มีความหมายแล้วงั้น อย่างน้อยความหมายตามพื้นฐานควรยึดไว้ไหม? จะมองยังไงก็ได้ เอางั้นจริงดิ?

ยังมีอีกหลายข้อที่คุณตอบผมไม่ได้ ผมก็อยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่ออกทะเล? ไปทีละเรื่องนี่แหละ คุณเป็นคนที่เข้าใจอะไรยากจริงๆ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 13:33:48

ตลกอีกแล้วนะท่าน     :P :P :P    อ่านความเห็นของท่านบางช่วงก็ทำให้ผมขำได้

ท่านมีปัญหากับการตีความทางภาษาจริงๆ แหละ

ผมบอกว่าท่านด่าผมตอนไหนครับ  สุดท้ายแล้วผมเรียกร้องคำขอโทษจากท่านเมื่อไรครับ     
 

ขอชัดๆ หน่อยครับ  ผมขอคำขอโทษจากคุณตรงไหนครับ


ขนาดภาษาไทยอย่างง่าย ท่านยังแปลความออกมาไม่ได้เลย  ผมคงไม่เสียเวลาอธิบายท่านว่ามันนอกประเด็นตรงไหนแล้วครับ    แค่คำสั้นๆ ระหว่างความหมายของ   ไม่ควรคิดว่าเป็น  กับ ไม่เป็น  กว่าที่ผมจะใช้เวลาอธิบายจนท่านเริ่มเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ จนท่านยอมรับว่าท่านเข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เวลาอธิบายตั้งหลายกระทู้     
แล้วที่พิมพ์มารอบล่าสุดก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นท่านไม่เข้าใจอีกแล้วนะท่าน ทำไมย้อนกลับไปเรื่องเดิมเลยอ่า     :P :P :P   

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้อธิบายว่าท่านนอกประเด็นยังงัยอีก คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าท่านจะเข้าใจได้   พอเข้าใจแล้วพอผ่านไป 1 รอบ ท่านก็จะย้อนกลับเป็นไม่เข้าใจใหม่อีก   ผมไม่เอาแล้วครับ 

แต่สกิลท่าน สุดยอดจริงๆ นะ ทำความไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจ แล้วกลับเป็นไม่เข้าใจได้     ผมขอชื่นชมอีกครั้ง


ปล.  กับคนแปลกหน้าหรือใครก็ตาม  ถ้าผมรู้ตัวว่าเข้าใจอะไรเค้าผิดไป   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ขอโทษครับ  ไม่ต้องรอให้เค้าเป็นญาติหรอกครับ   แนวความคิดตลกดีจัง ต้องเป็นญาติถึงจะขอโทษเหรอเนี่ย  ;D ;D ;D   


อ้ออ แล้วถ้าละเมิดจริง เค้าไม่เอาคำขอโทษกันหรอกนะ เค้าเรียกค่าเสียหายตามม. 420 แล้ว คิดจะแก้การละเมิดด้วยคำขอโทษ ตลกอีกล่ะ  555+


"ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด" ---> ถ้าไม่เรียกร้องคำขอโทษจะพูดทำไมครับ?

โอ๊ยยย  ต้องให้สอนภาษาไทยอีกหรือ  ประโยคมีรูปแบบของมันอยู่ เช่น  ประโยคบอกเล่า  ประโยคปฏิเสธ  ประโยคคำถาม  และ ประโยคร้องขอ/คำสั่ง   
คุณแยกประโยคบอกเล่า กับ ประโยคร้องขอไม่ออกเหรอครับ   ประโยคบอกเล่าครับ  ย้ำนะครับ  ประโยคบอกเล่า  ไม่ใช่ประโยคร้องขอ  สิ่งที่เกินจากนั้น คุณมโนขึ้นมาเองทั้งสิ้น
นี่แหละคุณชอบมโนคำพูดของคนอื่นไปขยายความในความคิดของคุณเอง เสร็จแล้วไอ้ที่คุณมาเถียงน่ะ  คุณเถียงกับความคิดที่คุณมโนขึ้นมาเอง  ผมเลยไม่อยากเข้าไปตอบงัย คิดมโนเอง แย้งเอง เป็นเหตุเป็นผลของคุณเองอยู่คนเดียว




ตอบเรื่องบ้านนะครับ ก็เพราะคุณเอาแต่ท่องจำ และโดยส่วนใหญ่บ้านมันเป็นสินทรัพย์และควรคิดแบบสินทรัพย์งัยครับ   
แต่ถ้ามีเคส ที่คนซื้อบ้านที่อยู่บนตลิ่งซึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แล้วตลิ่งมันจะพังลงแล้วบ้านก็จะพังไปด้วย    ผมก็ต้องคิดว่าบ้านมันเป็นค่าใช้จ่ายสิครับ   
ต้องย้ำนะเดี๋ยวตีความผิดอีก ผมจะคิดว่าการซื้อบ้านครั้งนี้เป็นค่าใช้จ่ายงัยครับ

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า    เป็น

หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 13:50:12

ตลกอีกแล้วนะท่าน     :P :P :P    อ่านความเห็นของท่านบางช่วงก็ทำให้ผมขำได้

ท่านมีปัญหากับการตีความทางภาษาจริงๆ แหละ

ผมบอกว่าท่านด่าผมตอนไหนครับ  สุดท้ายแล้วผมเรียกร้องคำขอโทษจากท่านเมื่อไรครับ     
 

ขอชัดๆ หน่อยครับ  ผมขอคำขอโทษจากคุณตรงไหนครับ


ขนาดภาษาไทยอย่างง่าย ท่านยังแปลความออกมาไม่ได้เลย  ผมคงไม่เสียเวลาอธิบายท่านว่ามันนอกประเด็นตรงไหนแล้วครับ    แค่คำสั้นๆ ระหว่างความหมายของ   ไม่ควรคิดว่าเป็น  กับ ไม่เป็น  กว่าที่ผมจะใช้เวลาอธิบายจนท่านเริ่มเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ จนท่านยอมรับว่าท่านเข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เวลาอธิบายตั้งหลายกระทู้     
แล้วที่พิมพ์มารอบล่าสุดก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นท่านไม่เข้าใจอีกแล้วนะท่าน ทำไมย้อนกลับไปเรื่องเดิมเลยอ่า     :P :P :P   

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้อธิบายว่าท่านนอกประเด็นยังงัยอีก คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าท่านจะเข้าใจได้   พอเข้าใจแล้วพอผ่านไป 1 รอบ ท่านก็จะย้อนกลับเป็นไม่เข้าใจใหม่อีก   ผมไม่เอาแล้วครับ 

แต่สกิลท่าน สุดยอดจริงๆ นะ ทำความไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจ แล้วกลับเป็นไม่เข้าใจได้     ผมขอชื่นชมอีกครั้ง


ปล.  กับคนแปลกหน้าหรือใครก็ตาม  ถ้าผมรู้ตัวว่าเข้าใจอะไรเค้าผิดไป   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ขอโทษครับ  ไม่ต้องรอให้เค้าเป็นญาติหรอกครับ   แนวความคิดตลกดีจัง ต้องเป็นญาติถึงจะขอโทษเหรอเนี่ย  ;D ;D ;D   


อ้ออ แล้วถ้าละเมิดจริง เค้าไม่เอาคำขอโทษกันหรอกนะ เค้าเรียกค่าเสียหายตามม. 420 แล้ว คิดจะแก้การละเมิดด้วยคำขอโทษ ตลกอีกล่ะ  555+


"ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด" ---> ถ้าไม่เรียกร้องคำขอโทษจะพูดทำไมครับ?

โอ๊ยยย  ต้องให้สอนภาษาไทยอีกหรือ  ประโยคมีรูปแบบของมันอยู่ เช่น  ประโยคบอกเล่า  ประโยคปฏิเสธ  ประโยคคำถาม  และ ประโยคร้องขอ/คำสั่ง   
คุณแยกประโยคบอกเล่า กับ ประโยคร้องขอไม่ออกเหรอครับ   ประโยคบอกเล่าครับ  ย้ำนะครับ  ประโยคบอกเล่า  ไม่ใช่ประโยคร้องขอ  สิ่งที่เกินจากนั้น คุณมโนขึ้นมาเองทั้งสิ้น
นี่แหละคุณชอบมโนคำพูดของคนอื่นไปขยายความในความคิดของคุณเอง เสร็จแล้วไอ้ที่คุณมาเถียงน่ะ  คุณเถียงกับความคิดที่คุณมโนขึ้นมาเอง  ผมเลยไม่อยากเข้าไปตอบงัย คิดมโนเอง แย้งเอง เป็นเหตุเป็นผลของคุณเองอยู่คนเดียว




ตอบเรื่องบ้านนะครับ ก็เพราะคุณเอาแต่ท่องจำ และโดยส่วนใหญ่บ้านมันเป็นสินทรัพย์และควรคิดแบบสินทรัพย์งัยครับ   
แต่ถ้ามีเคส ที่คนซื้อบ้านที่อยู่บนตลิ่งซึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แล้วตลิ่งมันจะพังลงแล้วบ้านก็จะพังไปด้วย    ผมก็ต้องคิดว่าบ้านมันเป็นค่าใช้จ่ายสิครับ   
ต้องย้ำนะเดี๋ยวตีความผิดอีก ผมจะคิดว่าการซื้อบ้านครั้งนี้เป็นค่าใช้จ่ายงัยครับ

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า    เป็น

แล้วมันแย้งประเด็น "ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม" ตรงไหนครับคุณ
คำตอบคุณ "ตอบเรื่องบ้านนะครับ ก็เพราะคุณเอาแต่ท่องจำ และโดยส่วนใหญ่บ้านมันเป็นสินทรัพย์และควรคิดแบบสินทรัพย์งัยครับ   
แต่ถ้ามีเคส ที่คนซื้อบ้านที่อยู่บนตลิ่งซึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แล้วตลิ่งมันจะพังลงแล้วบ้านก็จะพังไปด้วย    ผมก็ต้องคิดว่าบ้านมันเป็นค่าใช้จ่ายสิครับ   
ต้องย้ำนะเดี๋ยวตีความผิดอีก ผมจะคิดว่าการซื้อบ้านครั้งนี้เป็นค่าใช้จ่ายงัยครับ"

คุณน่ะออกทะเล ตอบไม่ตรงประเด็นเลย สิ่งที่คุณแย้งมา มันก็เข้าอีหรอบเดิม ผมก็แยกไปแล้วว่าถ้าบ้านมันพังไป ค่าซ่อม ดูเเล มันเป็นค่าใช้จ่ายไง ไม่ใช่ตัวบ้าน เอามาปนกันตลอด ของมันจะพังหรือไม่พัง มันก็มีประโยชน์ของมัน คุณได้ใช้ประโยชน์ ไม่งั้นคุณจะซื้อมันมาแต่แรกทำไม การที่สินทรัพย์มันพังไปมันเลยแปลงร่างเป็นค่าใช้จ่ายใช่ไหม เอาความหมายตามพจนานุกรมก่อนดีไหม พื้นฐานความหมายอยู่ตรงไหนครับ?

ถ้าผมแค่ท่องจำ ทำไมผมถึงแยกออกมาทีละส่วน แล้วชี้เป็นส่วนๆ คุณน่ะเหมารวมมั่วๆ ใครกันแน่ที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ใครกันแน่ที่ละเอียดกว่าครับ ถามจริง ผมถึงได้บอกไงคุณเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ข้าคิดแบบนี้ จะทำไม แม้แต่พื้นฐานความหมายทั่วๆ ไปก็ผิดเพี้ยนไปด้วย

แล้วไอ้เรื่อง "คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น" ---> ผมบอกผมเข้าใจแล้วไง ผมก็แย้งเรื่องที่คุณคิดว่าไม่ควรเป็นอยู่ดีไหม ถึงคุณจะไม่ได้ใช้คำว่าไม่เป็น คำถามที่แย้งก็เหมือนเดิม คุณจับจดหรืออย่างไร ยังไงสิ่งที่แย้งก็คือความคิดที่คิดว่ามันไม่ควรเป็นอยู่ดี ไม่เห็นเป็นสาระตรงไหน ผมก็เข้าใจแล้วไงว่าคุณพูดไม่ควรเป็น

สรุปคือก็ยังตอบคำถามผมไม่ได้เหมือนเดิม ถ้าเป็นคนปกติก็อย่านอกประเด็น แบบที่ตัวเองพูดบ่อยๆ เดี๋ยวจะกลืนน้ำลายตัวเองครับ ผมพยายามจะพูดแต่เรื่องประเด็นที่แย้งนะ แต่ดูเหมือนคุณไป ประโยคบอกเล่า บลาๆ อะไรก็ไม่รู้ รู้สึกไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องรถตรงไหนเลย

ปล ไม่อยากนอกเรื่องนะ แต่ตัดกล่องข้อความให้ถูกก่อนครับ ไม่ต้องรีบ อ่านยากครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 14:12:43

ตลกอีกแล้วนะท่าน     :P :P :P    อ่านความเห็นของท่านบางช่วงก็ทำให้ผมขำได้

ท่านมีปัญหากับการตีความทางภาษาจริงๆ แหละ

ผมบอกว่าท่านด่าผมตอนไหนครับ  สุดท้ายแล้วผมเรียกร้องคำขอโทษจากท่านเมื่อไรครับ     
 

ขอชัดๆ หน่อยครับ  ผมขอคำขอโทษจากคุณตรงไหนครับ


ขนาดภาษาไทยอย่างง่าย ท่านยังแปลความออกมาไม่ได้เลย  ผมคงไม่เสียเวลาอธิบายท่านว่ามันนอกประเด็นตรงไหนแล้วครับ    แค่คำสั้นๆ ระหว่างความหมายของ   ไม่ควรคิดว่าเป็น  กับ ไม่เป็น  กว่าที่ผมจะใช้เวลาอธิบายจนท่านเริ่มเข้าใจความแตกต่างของ 2 คำนี้ จนท่านยอมรับว่าท่านเข้าใจแล้ว ยังต้องใช้เวลาอธิบายตั้งหลายกระทู้     
แล้วที่พิมพ์มารอบล่าสุดก็ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นท่านไม่เข้าใจอีกแล้วนะท่าน ทำไมย้อนกลับไปเรื่องเดิมเลยอ่า     :P :P :P   

ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าต้องให้อธิบายว่าท่านนอกประเด็นยังงัยอีก คงใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าท่านจะเข้าใจได้   พอเข้าใจแล้วพอผ่านไป 1 รอบ ท่านก็จะย้อนกลับเป็นไม่เข้าใจใหม่อีก   ผมไม่เอาแล้วครับ 

แต่สกิลท่าน สุดยอดจริงๆ นะ ทำความไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจ แล้วกลับเป็นไม่เข้าใจได้     ผมขอชื่นชมอีกครั้ง


ปล.  กับคนแปลกหน้าหรือใครก็ตาม  ถ้าผมรู้ตัวว่าเข้าใจอะไรเค้าผิดไป   ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าผมก็ขอโทษครับ  ไม่ต้องรอให้เค้าเป็นญาติหรอกครับ   แนวความคิดตลกดีจัง ต้องเป็นญาติถึงจะขอโทษเหรอเนี่ย  ;D ;D ;D   


อ้ออ แล้วถ้าละเมิดจริง เค้าไม่เอาคำขอโทษกันหรอกนะ เค้าเรียกค่าเสียหายตามม. 420 แล้ว คิดจะแก้การละเมิดด้วยคำขอโทษ ตลกอีกล่ะ  555+


"ถ้าเป็นคนปกติที่ผมเจอมานะ  ถ้าเกิดมีการเข้าใจผิดเองว่าคนอื่นไม่รู้  เข้าใจผิดเองแล้วยังไล่เค้าไปหาความรู้เพิ่มเติม  ภายหลังทราบว่าตัวเองเข้าใจผิด   คนที่มีมารยาททั่วไป-มีมารยาทน้อยก็เถอะ เค้าต้องขอโทษออกมาแล้วนะครับ แต่กับท่านนี่นะ  ไม่มีคำขอโทษใดใด" ---> ถ้าไม่เรียกร้องคำขอโทษจะพูดทำไมครับ?

โอ๊ยยย  ต้องให้สอนภาษาไทยอีกหรือ  ประโยคมีรูปแบบของมันอยู่ เช่น  ประโยคบอกเล่า  ประโยคปฏิเสธ  ประโยคคำถาม  และ ประโยคร้องขอ/คำสั่ง   
คุณแยกประโยคบอกเล่า กับ ประโยคร้องขอไม่ออกเหรอครับ   ประโยคบอกเล่าครับ  ย้ำนะครับ  ประโยคบอกเล่า  ไม่ใช่ประโยคร้องขอ  สิ่งที่เกินจากนั้น คุณมโนขึ้นมาเองทั้งสิ้น
นี่แหละคุณชอบมโนคำพูดของคนอื่นไปขยายความในความคิดของคุณเอง เสร็จแล้วไอ้ที่คุณมาเถียงน่ะ  คุณเถียงกับความคิดที่คุณมโนขึ้นมาเอง  ผมเลยไม่อยากเข้าไปตอบงัย คิดมโนเอง แย้งเอง เป็นเหตุเป็นผลของคุณเองอยู่คนเดียว




ตอบเรื่องบ้านนะครับ ก็เพราะคุณเอาแต่ท่องจำ และโดยส่วนใหญ่บ้านมันเป็นสินทรัพย์และควรคิดแบบสินทรัพย์งัยครับ   
แต่ถ้ามีเคส ที่คนซื้อบ้านที่อยู่บนตลิ่งซึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แล้วตลิ่งมันจะพังลงแล้วบ้านก็จะพังไปด้วย    ผมก็ต้องคิดว่าบ้านมันเป็นค่าใช้จ่ายสิครับ   
ต้องย้ำนะเดี๋ยวตีความผิดอีก ผมจะคิดว่าการซื้อบ้านครั้งนี้เป็นค่าใช้จ่ายงัยครับ

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น

คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า    เป็น

แล้วมันแย้งประเด็น "ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม" ตรงไหนครับคุณ
คำตอบคุณ "ตอบเรื่องบ้านนะครับ ก็เพราะคุณเอาแต่ท่องจำ และโดยส่วนใหญ่บ้านมันเป็นสินทรัพย์และควรคิดแบบสินทรัพย์งัยครับ   
แต่ถ้ามีเคส ที่คนซื้อบ้านที่อยู่บนตลิ่งซึ่งจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี แล้วตลิ่งมันจะพังลงแล้วบ้านก็จะพังไปด้วย    ผมก็ต้องคิดว่าบ้านมันเป็นค่าใช้จ่ายสิครับ   
ต้องย้ำนะเดี๋ยวตีความผิดอีก ผมจะคิดว่าการซื้อบ้านครั้งนี้เป็นค่าใช้จ่ายงัยครับ"

คุณน่ะออกทะเล ตอบไม่ตรงประเด็นเลย สิ่งที่คุณแย้งมา มันก็เข้าอีหรอบเดิม ผมก็แยกไปแล้วว่าถ้าบ้านมันพังไป ค่าซ่อม ดูเเล มันเป็นค่าใช้จ่ายไง ไม่ใช่ตัวบ้าน เอามาปนกันตลอด ของมันจะพังหรือไม่พัง มันก็มีประโยชน์ของมัน คุณได้ใช้ประโยชน์ ไม่งั้นคุณจะซื้อมันมาแต่แรกทำไม การที่สินทรัพย์มันพังไปมันเลยแปลงร่างเป็นค่าใช้จ่ายใช่ไหม เอาความหมายตามพจนานุกรมก่อนดีไหม พื้นฐานความหมายอยู่ตรงไหนครับ?

ถ้าผมแค่ท่องจำ ทำไมผมถึงแยกออกมาทีละส่วน แล้วชี้เป็นส่วนๆ คุณน่ะเหมารวมมั่วๆ ใครกันแน่ที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ใครกันแน่ที่ละเอียดกว่าครับ ถามจริง ผมถึงได้บอกไงคุณเอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ข้าคิดแบบนี้ จะทำไม แม้แต่พื้นฐานความหมายทั่วๆ ไปก็ผิดเพี้ยนไปด้วย

แล้วไอ้เรื่อง "คิดว่าเป็น    ไม่เท่ากับคำว่า   เป็น" ---> ผมบอกผมเข้าใจแล้วไง ผมก็แย้งเรื่องที่คุณคิดว่าไม่ควรเป็นอยู่ดีไหม ถึงคุณจะไม่ได้ใช้คำว่าไม่เป็น คำถามที่แย้งก็เหมือนเดิม คุณจับจดหรืออย่างไร ยังไงสิ่งที่แย้งก็คือความคิดที่คิดว่ามันไม่ควรเป็นอยู่ดี ไม่เห็นเป็นสาระตรงไหน ผมก็เข้าใจแล้วไงว่าคุณพูดไม่ควรเป็น

สรุปคือก็ยังตอบคำถามผมไม่ได้เหมือนเดิม ถ้าเป็นคนปกติก็อย่านอกประเด็น แบบที่ตัวเองพูดบ่อยๆ เดี๋ยวจะกลืนน้ำลายตัวเองครับ

ปล ไม่อยากนอกเรื่องนะ แต่ตัดกล่องข้อความให้ถูกก่อนครับ ไม่ต้องรีบ อ่านยากครับ


ผมก็แยกไปแล้วว่าถ้าบ้านมันพังไป ค่าซ่อม ดูเเล มันเป็นค่าใช้จ่ายไง ไม่ใช่ตัวบ้าน เอามาปนกันตลอด ของมันจะพังหรือไม่พัง มันก็มีประโยชน์ของมัน คุณได้ใช้ประโยชน์  --> บอกผมทำไมครับ  ผมไม่ได้ถามคุณ  ผมไม่ได้อยากรู้ความคิดอะไรคุณเลย  มีแต่คุณที่เสนอความคิดของตัวคุณเองมายัดเยียดให้ผมอยู่ฝ่ายเดียวเนี่ย  ย้ำนะ


นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม เข้าใจโครงสร้งประโยคคำถามไหมครับ   ประโยคข้างบนเป็นคำตอบที่ผมตอบคุณ เหตุที่ผมตอบคุณก็เพราะคุณถามมา   ผมไม่ได้เสนอหน้าหรืออยู่ดีดีลุกขึ้นมาตอบเองเหมือนอย่างใครบางคน     
และขอย้ำอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้ถามคุณนะ     




อ้ออ คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  ตลิ่งมันพัง   บ้านมันหายไปหมด ที่ดินก็ไม่มีแล้ว   คุณจะมีค่าซ่อมอะไรของคุณอ่ะ  ผมงงจัง 
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 14:36:54
ผมก็แยกไปแล้วว่าถ้าบ้านมันพังไป ค่าซ่อม ดูเเล มันเป็นค่าใช้จ่ายไง ไม่ใช่ตัวบ้าน เอามาปนกันตลอด ของมันจะพังหรือไม่พัง มันก็มีประโยชน์ของมัน คุณได้ใช้ประโยชน์  --> บอกผมทำไมครับ  ผมไม่ได้ถามคุณ  ผมไม่ได้อยากรู้ความคิดอะไรคุณเลย  มีแต่คุณที่เสนอความคิดของตัวคุณเองมายัดเยียดให้ผมอยู่ฝ่ายเดียวเนี่ย  ย้ำนะ


นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม เข้าใจโครงสร้งประโยคคำถามไหมครับ   ประโยคข้างบนเป็นคำตอบที่ผมตอบคุณ เหตุที่ผมตอบคุณก็เพราะคุณถามมา   ผมไม่ได้เสนอหน้าหรืออยู่ดีดีลุกขึ้นมาตอบเองเหมือนอย่างใครบางคน     
และขอย้ำอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้ถามคุณนะ     




อ้ออ คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  ตลิ่งมันพัง   บ้านมันหายไปหมด ที่ดินก็ไม่มีแล้ว   คุณจะมีค่าซ่อมอะไรของคุณอ่ะ  ผมงงจัง

ก็เป็นคนแบบนี้ไง นอกเรื่องซะครึ่ง ผมแย้งไม่ได้เสนอ ดูคำด้วย เห็นเป็นคนจับจดคำ ไม่น่าพลาดนะครับ

ตลิ่งมันพัง มันก็ชี้ประเด็นไปแล้วไง ว่าสินทรัพย์มันใช้ประโยชน์ ผมก็พูดซ้ำๆ อะนะ ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไหม? ค่าใช้จ่ายอยู่อาศัยได้ไหม?
point คุณมุ่งแต่ไม่สร้างรายได้ แล้วถ้ารถ บ้าน มันไม่มีประโยชน์คุณคุณจะซื้อมาทำไม มุมคุณมันตอบคำถามนี้ไม่ได้เพราะมองแต่บัญชีบริษัทไง
ผมบอกให้มองเป็นบัญชีตัวเอง ตรงนี้มันก็จะตอบคำถามได้ว่า ถ้ามันไม่สร้างรายได้ คุณจะซื้อมันมาทำไม? มันไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเลย มันสร้างคุณภาพชีวิต

คือ เอาตัวอย่างตลิ่งพัง แล้วแปลงร่างสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายเนี่ยนะครับ นอกความหมายตามพจนานุกรมไปไกล ค่าใช้จ่ายแปลว่าอะไร แตกต่างจากสินทรัพย์ยังไง ผมบอกแล้วไงถ้าความหมายพื้นฐาน เอาแต่ข้าว่า อีกหน่อย คงไม่ต้องคุยภาษาคนแล้วคุณน่ะ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 09, 2020, 14:46:43
ผมก็แยกไปแล้วว่าถ้าบ้านมันพังไป ค่าซ่อม ดูเเล มันเป็นค่าใช้จ่ายไง ไม่ใช่ตัวบ้าน เอามาปนกันตลอด ของมันจะพังหรือไม่พัง มันก็มีประโยชน์ของมัน คุณได้ใช้ประโยชน์  --> บอกผมทำไมครับ  ผมไม่ได้ถามคุณ  ผมไม่ได้อยากรู้ความคิดอะไรคุณเลย  มีแต่คุณที่เสนอความคิดของตัวคุณเองมายัดเยียดให้ผมอยู่ฝ่ายเดียวเนี่ย  ย้ำนะ


นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม เข้าใจโครงสร้งประโยคคำถามไหมครับ   ประโยคข้างบนเป็นคำตอบที่ผมตอบคุณ เหตุที่ผมตอบคุณก็เพราะคุณถามมา   ผมไม่ได้เสนอหน้าหรืออยู่ดีดีลุกขึ้นมาตอบเองเหมือนอย่างใครบางคน     
และขอย้ำอีกครั้ง ทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้ถามคุณนะ     




อ้ออ คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  ตลิ่งมันพัง   บ้านมันหายไปหมด ที่ดินก็ไม่มีแล้ว   คุณจะมีค่าซ่อมอะไรของคุณอ่ะ  ผมงงจัง

ก็เป็นคนแบบนี้ไง นอกเรื่องซะครึ่ง ผมแย้งไม่ได้เสนอ ดูคำด้วย เห็นเป็นคนจับจดคำ ไม่น่าพลาดนะครับ

ตลิ่งมันพัง มันก็ชี้ประเด็นไปแล้วไง ว่าสินทรัพย์มันใช้ประโยชน์ ผมก็พูดซ้ำๆ อะนะ ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไหม? ค่าใช้จ่ายอยู่อาศัยได้ไหม?
point คุณมุ่งแต่ไม่สร้างรายได้ แล้วถ้ารถ บ้าน มันไม่มีประโยชน์คุณคุณจะซื้อมาทำไม มุมคุณมันตอบคำถามนี้ไม่ได้เพราะมองแต่บัญชีบริษัทไง
ผมบอกให้มองเป็นบัญชีตัวเอง ตรงนี้มันก็จะตอบคำถามได้ว่า ถ้ามันไม่สร้างรายได้ คุณจะซื้อมันมาทำไม? มันไม่ใช่ค่าใช้จ่ายเลย มันสร้างคุณภาพชีวิต

คือ เอาตัวอย่างตลิ่งพัง แล้วแปลงร่างสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่ายเนี่ยนะครับ นอกความหมายตามพจนานุกรมไปไกล ค่าใช้จ่ายแปลว่าอะไร แตกต่างจากสินทรัพย์ยังไง ผมบอกแล้วไงถ้าความหมายพื้นฐาน เอาแต่ข้าว่า อีกหน่อย คงไม่ต้องคุยภาษาคนแล้วคุณน่ะ


เอาอีกแล้วว  :( :( :( :(  ต้องให้ช่วยแยกเป็นคำถามให้ใช่ป่าว   ผมถามไปแค่  2 คำถามว่า
1. คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  -- ผมไม่ได้คำตอบ
2. จะมีค่าซ่อมอะไรบ้าง -- ผมไม่ได้คำตอบ


แล้วคุณก็ยัดเยียดความคิดคุณให้ผมอีกแล้วนะ  ไม่มีคนคุยด้วยเหรอ ถึงต้องยัดเยียดพรีเซนต์ความคิดตัวเองขนาดนั้นอ่ะ   ที่ผมจำเป็นต้องมาคุยกับคุณ ก็เพราะตอนแรกคุณดันโควทความเห็นของผมไปอ้างแบบที่คุณเข้าใจผิดๆ  จนสุดท้ายผมทำให้คุณเข้าใจได้แล้ว คุณยอมรับแล้ว ซึ่งมันก็จบแล้ว  มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นอะไรของคุณอีกแล้ว   

หลายๆ ครั้ง ที่คนเค้าไม่ตอบคำถามคุณ หรือตอบไปแล้วหยุดตอบ ไม่ได้แปลว่าเค้าตอบคำถามคุณไม่ได้  ลองคิดถึงมิติอื่นดูบ้างสิ    ที่คุณถามเค้าไป แล้วเค้าไม่ตอบคุณนั่นคือ "เค้าแค่ไม่อยากคุยกับคุณ" 
เอ้อ แล้วปกติผมก็ไม่ได้เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรอกนะ  แต่ครั้งนี้ ผมแค่ไม่ได้สนใจไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเห็นของคุณมันก็เท่านั้นเอง  (ทำไมต้องสนใจอ่ะ ไม่ได้ขอให้มาเลย เสนอตัวเข้ามาเองแท้ๆ) 
 
ขอย้ำอีกทีนะ ตั้งแต่แรกผมก็ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจความคิดของคุณอยู่แล้ว ไม่ได้มีความอยากจะคุยอะไรกับคุณทั้งสิ้น มันเสียเวลาชีวิต     


รอบที่แล้วผมก็อยากรู้จากคุณแค่ 2 คำถาม แต่คุณก็ไม่ตอบ ก็ไม่เป็นไร  ตอนนี้ผมไม่ได้อยากรู้อะไรจากคุณแล้วล่ะ 
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 10, 2020, 15:18:34

เอาอีกแล้วว  :( :( :( :(  ต้องให้ช่วยแยกเป็นคำถามให้ใช่ป่าว   ผมถามไปแค่  2 คำถามว่า
1. คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  -- ผมไม่ได้คำตอบ
2. จะมีค่าซ่อมอะไรบ้าง -- ผมไม่ได้คำตอบ


แล้วคุณก็ยัดเยียดความคิดคุณให้ผมอีกแล้วนะ  ไม่มีคนคุยด้วยเหรอ ถึงต้องยัดเยียดพรีเซนต์ความคิดตัวเองขนาดนั้นอ่ะ   ที่ผมจำเป็นต้องมาคุยกับคุณ ก็เพราะตอนแรกคุณดันโควทความเห็นของผมไปอ้างแบบที่คุณเข้าใจผิดๆ  จนสุดท้ายผมทำให้คุณเข้าใจได้แล้ว คุณยอมรับแล้ว ซึ่งมันก็จบแล้ว  มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นอะไรของคุณอีกแล้ว   

หลายๆ ครั้ง ที่คนเค้าไม่ตอบคำถามคุณ หรือตอบไปแล้วหยุดตอบ ไม่ได้แปลว่าเค้าตอบคำถามคุณไม่ได้  ลองคิดถึงมิติอื่นดูบ้างสิ    ที่คุณถามเค้าไป แล้วเค้าไม่ตอบคุณนั่นคือ "เค้าแค่ไม่อยากคุยกับคุณ" 
เอ้อ แล้วปกติผมก็ไม่ได้เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรอกนะ  แต่ครั้งนี้ ผมแค่ไม่ได้สนใจไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเห็นของคุณมันก็เท่านั้นเอง  (ทำไมต้องสนใจอ่ะ ไม่ได้ขอให้มาเลย เสนอตัวเข้ามาเองแท้ๆ) 
 
ขอย้ำอีกทีนะ ตั้งแต่แรกผมก็ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจความคิดของคุณอยู่แล้ว ไม่ได้มีความอยากจะคุยอะไรกับคุณทั้งสิ้น มันเสียเวลาชีวิต     


รอบที่แล้วผมก็อยากรู้จากคุณแค่ 2 คำถาม แต่คุณก็ไม่ตอบ ก็ไม่เป็นไร  ตอนนี้ผมไม่ได้อยากรู้อะไรจากคุณแล้วล่ะ

คำถามคุณผมตอบไปหมดแล้วไง แล้วก็บอกไม่ได้ตอบ ผมลาก copy มาแล้วตอบด้วยซ้ำ คุณนี่มองไม่เห็นหรือยังไง

การที่ผมบอกว่าคำตอบคุณไม่ได้ตอบคำถามผมเลย ผมจะโยงแบบเด็ก ป4 นะ คุณเหมือนจะไม่มีความสามารถในการเรียงความเข้าใจเลย
ประเด็นเดิมนะ "คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"
ตอนแรกตอบ "มาตรฐานอยู่ตรงสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้"
ต่อมา "บ้านที่ตลิ่งพัง ต้องซื้อใหม่"
คือสินทรัพย์เวลามันพัง ต้องจ่ายซื้อใหม่ มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นบ้าน ทุกอย่าง สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ก็พังได้ ต้องจ่ายซื้อใหม่เหมือนกันหมด ดังนั้นคุณถึงตอบไม่ตรงประเด็น การจ่ายซื้อสินทรัพย์ใหม่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติอยู่แล้ว มองยังไงตัวสินทรัพย์ก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เห็นไหมว่ามันขัดแย้งกับคำตอบแรกของคุณเอง

แล้วถ้าคุณมองว่าต้องจ่ายเงินซื้อใหม่เป็นค่าใช้จ่าย บ้าน รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น โต๊ะ เตียง เครื่องซักผ้า แม่งเป็นค่าใช้จ่ายหมดแหละถ้างั้น มันต้องจ่ายซื้อใหม่ทุกอย่างแหละ และมันก็พังได้ทุกอย่าง โลกที่คุณอยู่มันแปลกไหม? ----> ตอบคำถามผมตรงไหน?

คุณเอาแต่บ่น คุณเข้าใจเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้างไหม? ผมถามผมแย้ง คุณจะตอบ ไม่ตอบ มันก็เรื่องของคุณ มือคุณ เสรีภาพคุณ ผมทักท้วงผมก็ทำตามสิทธิผม ผมยังเคารพเสรีภาพของคุณเลย คนไม่อยากคุยเขาก็ไม่ตอบเองแหละ ถ้าจะนอกเรื่องก็เงียบไปเหอะคุณ ผมว่าเลิกบ่นเหอะ ถ้าจะไม่คุยในประเด็น บ่นเป็นเด็กไปได้ มือคุณ จะพิมพ์ จะตอบอะไร ผมไม่ได้ไปจับข้อมือคุณพิมพ์ ผมแค่พูดคุยในประเด็น แล้วผมก็ตอบตลอด แต่คุณเหมือนพวกคิดเข้าข้างตัวเองตลอดว่าออกทะเลทั้งๆ ที่ผมก็โยงแบบเด็ก ป4 ให้ดูแล้วก็ตาม
จบเรื่องนอกเรื่องได้ยัง? ผมไม่ได้ไปจับข้อมือคุณพิมพ์  get นะ? ดังนั้นจะพร่ำเรื่องไม่อยากคุย อย่ามาเสนอ ผมไม่สน บลาๆๆๆ มันไม่ได้อะไรหรอก คุณพิมพ์ของคุณเอง เป็นพวกความอดกลั้นต่ำหรือยังไงครับ ถึงได้นอกเรื่องตลอด

ผมน่ะตอบได้เรื่อยๆ เพราะอะไรที่ผิดยังไงมันก็ผิด ถึงได้ไม่อยากนอกเรื่อง ถ้าทนไม่ไหวจนต้องออกทะเลกลืนน้ำลายตัวเองก็ไปที่อื่นครับ ผมอยู่ในประเด็นที่ท้วงแค่นั้น?
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 10, 2020, 18:45:15

เอาอีกแล้วว  :( :( :( :(  ต้องให้ช่วยแยกเป็นคำถามให้ใช่ป่าว   ผมถามไปแค่  2 คำถามว่า
1. คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  -- ผมไม่ได้คำตอบ
2. จะมีค่าซ่อมอะไรบ้าง -- ผมไม่ได้คำตอบ



แล้วคุณก็ยัดเยียดความคิดคุณให้ผมอีกแล้วนะ  ไม่มีคนคุยด้วยเหรอ ถึงต้องยัดเยียดพรีเซนต์ความคิดตัวเองขนาดนั้นอ่ะ   ที่ผมจำเป็นต้องมาคุยกับคุณ ก็เพราะตอนแรกคุณดันโควทความเห็นของผมไปอ้างแบบที่คุณเข้าใจผิดๆ  จนสุดท้ายผมทำให้คุณเข้าใจได้แล้ว คุณยอมรับแล้ว ซึ่งมันก็จบแล้ว  มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นอะไรของคุณอีกแล้ว   

หลายๆ ครั้ง ที่คนเค้าไม่ตอบคำถามคุณ หรือตอบไปแล้วหยุดตอบ ไม่ได้แปลว่าเค้าตอบคำถามคุณไม่ได้  ลองคิดถึงมิติอื่นดูบ้างสิ    ที่คุณถามเค้าไป แล้วเค้าไม่ตอบคุณนั่นคือ "เค้าแค่ไม่อยากคุยกับคุณ" 
เอ้อ แล้วปกติผมก็ไม่ได้เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรอกนะ  แต่ครั้งนี้ ผมแค่ไม่ได้สนใจไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเห็นของคุณมันก็เท่านั้นเอง  (ทำไมต้องสนใจอ่ะ ไม่ได้ขอให้มาเลย เสนอตัวเข้ามาเองแท้ๆ) 
 
ขอย้ำอีกทีนะ ตั้งแต่แรกผมก็ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจความคิดของคุณอยู่แล้ว ไม่ได้มีความอยากจะคุยอะไรกับคุณทั้งสิ้น มันเสียเวลาชีวิต     


รอบที่แล้วผมก็อยากรู้จากคุณแค่ 2 คำถาม แต่คุณก็ไม่ตอบ ก็ไม่เป็นไร  ตอนนี้ผมไม่ได้อยากรู้อะไรจากคุณแล้วล่ะ

คำถามคุณผมตอบไปหมดแล้วไง แล้วก็บอกไม่ได้ตอบ ผมลาก copy มาแล้วตอบด้วยซ้ำ คุณนี่มองไม่เห็นหรือยังไง

การที่ผมบอกว่าคำตอบคุณไม่ได้ตอบคำถามผมเลย ผมจะโยงแบบเด็ก ป4 นะ คุณเหมือนจะไม่มีความสามารถในการเรียงความเข้าใจเลย
ประเด็นเดิมนะ "คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"
ตอนแรกตอบ "มาตรฐานอยู่ตรงสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้"
ต่อมา "บ้านที่ตลิ่งพัง ต้องซื้อใหม่"
คือสินทรัพย์เวลามันพัง ต้องจ่ายซื้อใหม่ มันไม่เกี่ยวหรอกว่าเป็นบ้าน ทุกอย่าง สินทรัพย์ที่สร้างรายได้ก็พังได้ ต้องจ่ายซื้อใหม่เหมือนกันหมด ดังนั้นคุณถึงตอบไม่ตรงประเด็น การจ่ายซื้อสินทรัพย์ใหม่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติอยู่แล้ว มองยังไงตัวสินทรัพย์ก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย เห็นไหมว่ามันขัดแย้งกับคำตอบแรกของคุณเอง

แล้วถ้าคุณมองว่าต้องจ่ายเงินซื้อใหม่เป็นค่าใช้จ่าย บ้าน รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น โต๊ะ เตียง เครื่องซักผ้า แม่งเป็นค่าใช้จ่ายหมดแหละถ้างั้น มันต้องจ่ายซื้อใหม่ทุกอย่างแหละ และมันก็พังได้ทุกอย่าง โลกที่คุณอยู่มันแปลกไหม? ----> ตอบคำถามผมตรงไหน?

คุณเอาแต่บ่น คุณเข้าใจเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้างไหม? ผมถามผมแย้ง คุณจะตอบ ไม่ตอบ มันก็เรื่องของคุณ มือคุณ เสรีภาพคุณ ผมทักท้วงผมก็ทำตามสิทธิผม ผมยังเคารพเสรีภาพของคุณเลย คนไม่อยากคุยเขาก็ไม่ตอบเองแหละ ถ้าจะนอกเรื่องก็เงียบไปเหอะคุณ ผมว่าเลิกบ่นเหอะ ถ้าจะไม่คุยในประเด็น บ่นเป็นเด็กไปได้ มือคุณ จะพิมพ์ จะตอบอะไร ผมไม่ได้ไปจับข้อมือคุณพิมพ์ ผมแค่พูดคุยในประเด็น แล้วผมก็ตอบตลอด แต่คุณเหมือนพวกคิดเข้าข้างตัวเองตลอดว่าออกทะเลทั้งๆ ที่ผมก็โยงแบบเด็ก ป4 ให้ดูแล้วก็ตาม
จบเรื่องนอกเรื่องได้ยัง? ผมไม่ได้ไปจับข้อมือคุณพิมพ์  get นะ? ดังนั้นจะพร่ำเรื่องไม่อยากคุย อย่ามาเสนอ ผมไม่สน บลาๆๆๆ มันไม่ได้อะไรหรอก คุณพิมพ์ของคุณเอง เป็นพวกความอดกลั้นต่ำหรือยังไงครับ ถึงได้นอกเรื่องตลอด

ผมน่ะตอบได้เรื่อยๆ เพราะอะไรที่ผิดยังไงมันก็ผิด ถึงได้ไม่อยากนอกเรื่อง ถ้าทนไม่ไหวจนต้องออกทะเลกลืนน้ำลายตัวเองก็ไปที่อื่นครับ ผมอยู่ในประเด็นที่ท้วงแค่นั้น?


คำถามที่ผมแค่ 2 ข้อเท่านั้นแหละ ไม่เจอคำตอบจริงๆ นะ

1. คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  -- ตอบมา 2 รอบ แต่ผมไม่เห็นคำตอบ  ทั้งๆ ที่ คำตอบมีแค่ 2 ทาง  รู้ หรือ ไม่รู้  มีแค่นี้เอง
2. บ้านที่พังไปพร้อมกับตลิ่ง จะมีค่าซ่อมอะไรบ้าง -- ตอบมา 2 รอบ ผมไม่ได้คำตอบอีกว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 

แล้วก็ผมไม่ได้อยากรู้แล้วหรอกนะ  แต่เห็นบอกว่าตอบแล้ว แต่หาไม่เจอจริงๆ  แต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้วล่ะ



พูดอยู่คนเดียว   ยัดเยียดความคิดคุณอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น  ชีวิตจริงไม่มีคนคุยด้วยเหรอ ถึงต้องยัดเยียดพรีเซนต์ความคิดตัวเองขนาดนั้นอ่ะ   

ส่วนที่ผมจำเป็นต้องมาคุยกับคุณ ก็เพราะตอนแรกคุณดันโควทความเห็นของผมไปอ้างแบบที่คุณเข้าใจผิดๆ  จนสุดท้ายผมทำให้คุณเข้าใจได้แล้ว คุณยอมรับว่าเข้าใจผิดเองแล้ว   ซึ่งมันก็จบแล้ว  มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นอะไรของคุณอีกแล้ว   

แล้วที่ผมไม่ตอบคำถามคุณ  เพราะ "ผมแค่ไม่อยากคุยกับคุณ  ผมแค่ไม่ได้สนใจความคิดคุณ"    (ทำไมต้องคุยต้องตอบอ่ะ เสนอตัวเข้ามาเองแท้ๆ  เรียกร้องคำตอบจากคนที่ไม่อยากจะคุยด้วยนี่นะ  น่าตลกจังเลย) 

แล้วที่ต้องพิมพ์ซ้ำๆ  ก็เพราะคุณยังจะมาคุยกับผมอยู่ได้     ผมก็เลยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน กลัวคุณลืม    เพราะขนาดบอกว่าผมไม่อยากตอบคุณ คุณก็ยังมาถามคำถามผมอยู่ได้ 

คุณมีสิทธิพิมพ์ อธิบายอะไรได้หมดแหละ ไม่มีใครว่าหรอก (เพราะไม่มีใครอ่าน 555+)   แถวบ้านผมก็มีครับ คนบ้าที่คุยอยู่คนเดียว ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครตอบ   ก็ทำไปสิครับ  ไม่มีใครว่าอะไรนี่นา     

ว่าแต่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพถึงขนาดนี้ แล้วตัวผมเองไม่มีสิทธิบ่นบ้างเหรอครับ   กิ๊วๆ  555+

ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะครับ  ถ้าเป็นความอยากของคุณเอง ถึงมันจะไม่ก่อประโยชน์ใดใดกับโลกใบนี้ แต่มีความอยากของคุณก็ทำไปละกันครับ  ใช้สิทธิเสรีภาพตามความต้องการให้เต็มที่ครับ   
พิมพ์ออกมาอีกเรื่อยๆ ได้เลยนะครับ    555+++
 

เอ้อ  ขอย้ำอีกทีนะ ตั้งแต่แรกผมก็ไม่ได้อยากจะตอบอะไรคุณอยู่แล้ว เหตุผลก็ตามที่บอกข้างต้น   



ปล.   โควทส่วนนึงที่คุณพิมพ์มานิดนึงนะ

 แล้วถ้าคุณมองว่าต้องจ่ายเงินซื้อใหม่เป็นค่าใช้จ่าย  .....      ---> กิ๊วๆ   ผมไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย   ตลกอ่ะ  มาทำเก๋าเดาความคิดคนอื่น แต่เดาผิดอีก  555+
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 12, 2020, 03:04:53

คำถามที่ผมแค่ 2 ข้อเท่านั้นแหละ ไม่เจอคำตอบจริงๆ นะ

1. คุณรู้จักตลิ่งหรือเปล่านะ  -- ตอบมา 2 รอบ แต่ผมไม่เห็นคำตอบ  ทั้งๆ ที่ คำตอบมีแค่ 2 ทาง  รู้ หรือ ไม่รู้  มีแค่นี้เอง
2. บ้านที่พังไปพร้อมกับตลิ่ง จะมีค่าซ่อมอะไรบ้าง -- ตอบมา 2 รอบ ผมไม่ได้คำตอบอีกว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 

แล้วก็ผมไม่ได้อยากรู้แล้วหรอกนะ  แต่เห็นบอกว่าตอบแล้ว แต่หาไม่เจอจริงๆ  แต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้วล่ะ



พูดอยู่คนเดียว   ยัดเยียดความคิดคุณอยู่คนเดียวมาตั้งแต่ต้น  ชีวิตจริงไม่มีคนคุยด้วยเหรอ ถึงต้องยัดเยียดพรีเซนต์ความคิดตัวเองขนาดนั้นอ่ะ   

ส่วนที่ผมจำเป็นต้องมาคุยกับคุณ ก็เพราะตอนแรกคุณดันโควทความเห็นของผมไปอ้างแบบที่คุณเข้าใจผิดๆ  จนสุดท้ายผมทำให้คุณเข้าใจได้แล้ว คุณยอมรับว่าเข้าใจผิดเองแล้ว   ซึ่งมันก็จบแล้ว  มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องรับฟังความคิดเห็นอะไรของคุณอีกแล้ว   

แล้วที่ผมไม่ตอบคำถามคุณ  เพราะ "ผมแค่ไม่อยากคุยกับคุณ  ผมแค่ไม่ได้สนใจความคิดคุณ"    (ทำไมต้องคุยต้องตอบอ่ะ เสนอตัวเข้ามาเองแท้ๆ  เรียกร้องคำตอบจากคนที่ไม่อยากจะคุยด้วยนี่นะ  น่าตลกจังเลย) 

แล้วที่ต้องพิมพ์ซ้ำๆ  ก็เพราะคุณยังจะมาคุยกับผมอยู่ได้     ผมก็เลยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจน กลัวคุณลืม    เพราะขนาดบอกว่าผมไม่อยากตอบคุณ คุณก็ยังมาถามคำถามผมอยู่ได้ 

คุณมีสิทธิพิมพ์ อธิบายอะไรได้หมดแหละ ไม่มีใครว่าหรอก (เพราะไม่มีใครอ่าน 555+)   แถวบ้านผมก็มีครับ คนบ้าที่คุยอยู่คนเดียว ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครตอบ   ก็ทำไปสิครับ  ไม่มีใครว่าอะไรนี่นา     

ว่าแต่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพถึงขนาดนี้ แล้วตัวผมเองไม่มีสิทธิบ่นบ้างเหรอครับ   กิ๊วๆ  555+

ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะครับ  ถ้าเป็นความอยากของคุณเอง ถึงมันจะไม่ก่อประโยชน์ใดใดกับโลกใบนี้ แต่มีความอยากของคุณก็ทำไปละกันครับ  ใช้สิทธิเสรีภาพตามความต้องการให้เต็มที่ครับ   
พิมพ์ออกมาอีกเรื่อยๆ ได้เลยนะครับ    555+++
 

เอ้อ  ขอย้ำอีกทีนะ ตั้งแต่แรกผมก็ไม่ได้อยากจะตอบอะไรคุณอยู่แล้ว เหตุผลก็ตามที่บอกข้างต้น   



ปล.   โควทส่วนนึงที่คุณพิมพ์มานิดนึงนะ

 แล้วถ้าคุณมองว่าต้องจ่ายเงินซื้อใหม่เป็นค่าใช้จ่าย  .....      ---> กิ๊วๆ   ผมไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย   ตลกอ่ะ  มาทำเก๋าเดาความคิดคนอื่น แต่เดาผิดอีก  555+

ผมก็เห็นคุณพิมพ์ตอบกลับมาตลอดนะทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ไปจับมือคุณพิมพ์น่ะ
แล้วก็นอกเรื่องซะเยอะ คือคุณไม่ได้อยากคุยกับผมก็แล้วแต่คุณสิ บอกผมทำไม ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผมสนแต่เรื่องที่แย้งเท่านั้น ผมบอกแล้วอะไรที่ผิดมันก็คือผิด เหมือนคุณจะเป็นคนที่มีความอดทนต่ำจริงๆ ถึงได้ไม่ยอมจบแล้วกลับเข้าประเด็น คือเหมือนคุยกับเด็กแว๊นแถวบ้านเลย ไม่ต้องอยากคุยหรอก เอาแค่เถียงในประเด็นให้ขึ้นก็พอ

คำถามคุณมันออกทะเลไปแล้วไง แล้วผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามันเกี่ยวยังไง ดูคำถามตอนเริ่มใหม่อีกรอบนะ
"คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"
คำถามคุณน่ะผมบอกไปแล้วว่าการซื้อสินทรัพย์ใหม่ตอนเริ่มแรก มันก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอยู่ดี ของทุกอย่างต้องจ่ายเงินซื้ออยู่แล้ว ไม่ได้มีสาระอะไรเลย ตลิ่งพัง บ้านพัง ก็ไปซื้อที่ใหม่สิคุณ นี่เข้าใจว่าตลิ่งพัง แล้วบ้านไม่อยู่แล้วจะเป็นค่าใช้จ่ายเนี่ยนะครับ คุณเอาอะไรคิด? บ้านซื้อที่ไหนก็ได้ แถมยังขัดแย้งกับคำตอบตัวเองเรื่องสินทรัพย์ที่สร้างรายได้อีกต่างหาก มโนไปไกลแล้วคุณน่ะ

กลับมาก่อนนะคุณน่ะ จูนนะ คำถามประเด็นมันอยู่ตรงนี้ "ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"
การตอบของคุณมันทำให้ทุกๆ อย่างกลายเป็นค่าใช้จ่ายหมด คุณไม่ว่ามันแปลกเหรอ?
ต่อมานะ เอาความหมายคำว่า ค่าใช้จ่าย เอาตามพจนานุกรมนะ ทั่วๆ ไปนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมอิงบัญชีอีก ภาษาคนน่ะ แปลว่าอะไร?
แล้วอธิบายหน่อยซิว่า รถยนต์ควรมองเป็นค่าใช้จ่าย?
ผมขายรถยนต์มือ2--->ผมขายค่าใช้จ่ายเหรอ?
รถยนต์ผมมีมูลค่า 3 แสน--->ค่าใช้จ่ายมีมูลค่า 3 แสน?
ผมขับรถยนต์--->ผมขับค่าใช้จ่าย?
ความหมายมันก็ไม่ได้แล้วปะ? ภาษาคนน่ะ ผมถามจริงเหอะค่าใช้จ่ายมีตัวตนไหม จับต้องได้ไหม

คุณรู้จักคนบ้าไหม เวลาเขาบอกว่านี่คือแมว แต่คนอื่นมองเป็นหมา เราก็จะเข้าไปอธิบายว่าเพราะอะไรมันถึงไม่ใช่แมว ถ้าเหตุผลของเขาไม่หลุดโลก เขาก็ไม่ใช่คนบ้า และกลับมามองว่ามันคือหมานะเหมือนคนอื่น แต่ถ้าบ้ามันก็จะไม่มีเหตุผล ข้าจะเชื่อของข้าแบบนี้ คนอื่นจะยังไงก็ช่าง คุณกำลังบิดสิ่งที่เป็นความรู้เดิมอย่างบัญชี สิ่งที่ผมแย้งยังไงมันก็ถูกต้องอยู่แล้วเพราะบัญชีมันถูกใช้ทั้งโลก และทุกคนยอมรับเข้าใจตรงกัน แต่ไอ้วิธีคิดของคุณมันไม่ใช่ความเห็นต่าง แต่มันผิดเพี้ยนไปเลย ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะอธิบายได้แค่ไหน ถ้ายังวกไปวนมา ไร้เหตุผล อธิบายข้างๆ คูๆ อ้างนั่นนี่เข้าข้างตัวเอง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า คุณพอเข้าใจไหม ตอนนี้ใกล้ละ แทบจะไม่อยู่ในประเด็นแล้ว ผมไม่อยากเถียงนอกเรื่องแบบเด็กๆ หรอกนะ ถ้าคุณไม่ใช่เด็กก็อย่าทำ ผมพยายามจบเรื่องนอกประเด็นแล้วนะ แต่เหมือนคุณจะไม่

คนเรามันมองไม่ยากหรอก ถ้ายังตอบกลับมา มือไม่มีใครบังคับคุณพิมพ์ แต่บอกว่าไม่อยากคุย คือไม่รู้จะพูดยังไงนะ เอาเถอะผมไม่แคร์ แค่รู้สึกว่าคุณขัดแย้งในตัวเอง การกระทำกับคำพูดไม่ตรงกันเลย
ถ้ายังนอกเรื่องซะเกินครึ่ง แต่ไม่คุยในประเด็นให้มีเหตุผล ก็คงมีนิสัยแบบเด็กๆ แล้วละ คือ เคยเห็นพวกเด็กแว๊นชอบทำบ่อยๆ อย่าเอานิสัยแบบนั้นมาทำเลย ถ้าคุณมีวุฒิภาวะพอนะ เห็นไม่เลิกซะที
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 12, 2020, 07:11:23

ผมก็เห็นคุณพิมพ์ตอบกลับมาตลอดนะทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ได้ไปจับมือคุณพิมพ์น่ะ
แล้วก็นอกเรื่องซะเยอะ คือคุณไม่ได้อยากคุยกับผมก็แล้วแต่คุณสิ บอกผมทำไม ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น ผมสนแต่เรื่องที่แย้งเท่านั้น ผมบอกแล้วอะไรที่ผิดมันก็คือผิด เหมือนคุณจะเป็นคนที่มีความอดทนต่ำจริงๆ ถึงได้ไม่ยอมจบแล้วกลับเข้าประเด็น คือเหมือนคุยกับเด็กแว๊นแถวบ้านเลย ไม่ต้องอยากคุยหรอก เอาแค่เถียงในประเด็นให้ขึ้นก็พอ

คำถามคุณมันออกทะเลไปแล้วไง แล้วผมก็ชี้แจงไปแล้วว่ามันเกี่ยวยังไง ดูคำถามตอนเริ่มใหม่อีกรอบนะ
"คุณอย่าลืมนะตัวรถยนต์ที่คุณขับ กับเงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ หรือซ่อม หรืออื่นๆ มันเป็นคนละอย่างกันนะ ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"
คำถามคุณน่ะผมบอกไปแล้วว่าการซื้อสินทรัพย์ใหม่ตอนเริ่มแรก มันก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอยู่ดี ของทุกอย่างต้องจ่ายเงินซื้ออยู่แล้ว ไม่ได้มีสาระอะไรเลย ตลิ่งพัง บ้านพัง ก็ไปซื้อที่ใหม่สิคุณ นี่เข้าใจว่าตลิ่งพัง แล้วบ้านไม่อยู่แล้วจะเป็นค่าใช้จ่ายเนี่ยนะครับ คุณเอาอะไรคิด? บ้านซื้อที่ไหนก็ได้ แถมยังขัดแย้งกับคำตอบตัวเองเรื่องสินทรัพย์ที่สร้างรายได้อีกต่างหาก มโนไปไกลแล้วคุณน่ะ

กลับมาก่อนนะคุณน่ะ จูนนะ คำถามประเด็นมันอยู่ตรงนี้ "ถ้างั้นบ้าน และอื่นๆ อีกมากหากด้อยค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยไหม"   ---> ไม่ใช่ครับ ไม่เกี่ยวกับด้อยค่าเลย ทายผิดครับ
การตอบของคุณมันทำให้ทุกๆ อย่างกลายเป็นค่าใช้จ่ายหมด คุณไม่ว่ามันแปลกเหรอ?  ---> อันนี้คุณตีความผิดเอาเอง   มันแปลกเพราะคุณคิดไปออกทะเลเองคนเดียว ผมไม่ได้คิดแบบนี้ครับ
ต่อมานะ เอาความหมายคำว่า ค่าใช้จ่าย เอาตามพจนานุกรมนะ ทั่วๆ ไปนะ เดี๋ยวจะหาว่าผมอิงบัญชีอีก ภาษาคนน่ะ แปลว่าอะไร?  --> อยากรู้คำแปล ก็เปิดกูเกิ้ลเอาสิครับ
แล้วอธิบายหน่อยซิว่า รถยนต์ควรมองเป็นค่าใช้จ่าย? ---> เฉพาะสำหรับกรณีเจ้าของกระทู้  คำตอบคือใช่ครับ คำอธิบายอยู่ในคำตอบที่ผมตอบจขกท. แต่แรกแล้ว แต่คุณอ่านไม่เข้าใจแล้วไปตีความขยายไปอีกไกลเลย  จนคุณก็ยอมรับไปแล้วนี่นาว่าคุณเข้าใจผิด ไม่ลองย้อนกลับไปอ่าน ไปตีความใหม่ดูก่อนล่ะครับ 
ผมขายรถยนต์มือ2--->ผมขายค่าใช้จ่ายเหรอ?  ---> แบบนี้ต้องขายสินทรัพย์สิคุณ งงอะไรครับคุณ
รถยนต์ผมมีมูลค่า 3 แสน--->ค่าใช้จ่ายมีมูลค่า 3 แสน?    ---> ไม่ใช่ครับ
ผมขับรถยนต์--->ผมขับค่าใช้จ่าย? --> ไม่ใช่ครับ  ขับรถยนต์ก็ต้องขับรถยนต์สิครับคุณ อะไรครับคุณ รถยนต์ก็คือรถยนต์ ค่าใช้จ่ายก็คือค่าใช้จ่ายสิครับ ไปกันใหญ่แล้ว เปิดหาความหมายของคำว่ารถยนต์ในพจนานุกรมตามที่คุณบอกก็ได้ครับ  แต่เดี๋ยวนี้เสริจกูเกิ้ลก็เจอครับ
ความหมายมันก็ไม่ได้แล้วปะ? ภาษาคนน่ะ ผมถามจริงเหอะค่าใช้จ่ายมีตัวตนไหม จับต้องได้ไหม   ---> ค่าใช้จ่ายในความหมายที่ผมคุยกับเจ้าของกระทู้เป็นการจัดหมวดหมู่ทางความคิด มันจะมีตัวตน จับต้องได้อย่างไรครับ

คุณรู้จักคนบ้าไหม เวลาเขาบอกว่านี่คือแมว แต่คนอื่นมองเป็นหมา เราก็จะเข้าไปอธิบายว่าเพราะอะไรมันถึงไม่ใช่แมว ถ้าเหตุผลของเขาไม่หลุดโลก เขาก็ไม่ใช่คนบ้า และกลับมามองว่ามันคือหมานะเหมือนคนอื่น แต่ถ้าบ้ามันก็จะไม่มีเหตุผล ข้าจะเชื่อของข้าแบบนี้ คนอื่นจะยังไงก็ช่าง คุณกำลังบิดสิ่งที่เป็นความรู้เดิมอย่างบัญชี สิ่งที่ผมแย้งยังไงมันก็ถูกต้องอยู่แล้วเพราะบัญชีมันถูกใช้ทั้งโลก และทุกคนยอมรับเข้าใจตรงกัน แต่ไอ้วิธีคิดของคุณมันไม่ใช่ความเห็นต่าง แต่มันผิดเพี้ยนไปเลย ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณจะอธิบายได้แค่ไหน ถ้ายังวกไปวนมา ไร้เหตุผล อธิบายข้างๆ คูๆ อ้างนั่นนี่เข้าข้างตัวเอง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนบ้า คุณพอเข้าใจไหม ตอนนี้ใกล้ละ แทบจะไม่อยู่ในประเด็นแล้ว ผมไม่อยากเถียงนอกเรื่องแบบเด็กๆ หรอกนะ ถ้าคุณไม่ใช่เด็กก็อย่าทำ ผมพยายามจบเรื่องนอกประเด็นแล้วนะ แต่เหมือนคุณจะไม่  ---> ที่คุณบอกว่าผมเชื่อของผมแบบนี้ ผมเชื่อแบบไหนครับ เดี๋ยวรอบต่อไปผมจะมาตรวจคำตอบให้นะครับว่าคุณทายถูกมั้ย ที่ผ่านๆ จะเรียกว่าคุณทายผิดหมดเลยก็ได้ครับ  ก็คุณคาดเดาความคิดผมเอาเอง แล้วก็ผิดตั้งแต่รอบแรก จนคุณเคยยอมรับว่าเข้าใจผิดมาแล้วรอบนึง แต่รอบต่อๆ มาก็ยังไม่เข็ด พยายามเดาใหม่อีก แต่มันก็แค่การโยงอันนั้นมาจับอันนี้ เอาเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันมาชนกันจนมั่วไปหมด แบบนี้เรียกว่าคุณจับแพะชนแกะความคิดผมอยู่ครับ   ถ้าอยากจะตั้งคำถามเกี่ยวกับความคิดของผม คุณต้องเริ่มจากการทายความคิดของผมให้ถูกก่อนครับ จริงๆ ที่คุยๆ มาก็ใบ้ไปตั้งเยอะแล้ว  ลองใช้ความพยายามใหม่นะครับ ขอให้กำลังใจนะครับ สู้สู้ครับ 

พอมาตั้งใจตอบคำถามคุณจริงๆแล้ว เพิ่งเห็นว่าคุณจินตนาการสูงจริงๆ ครับ เอาตัวหนังสือผมแค่นิดหน่อยไปสร้างตัวตน สร้างกรอบความคิดใหม่  จนตัวผมเองจริงๆยังไม่เข้าใจ ตัวผมเองอีกคนที่คุณสร้างขึ้นมาในจินตนาการของคุณเลยนะเนี่ย ความคิดสร้างสรรคุณยอดเยี่ยมมากครับ 555+

คนเรามันมองไม่ยากหรอก ถ้ายังตอบกลับมา มือไม่มีใครบังคับคุณพิมพ์ แต่บอกว่าไม่อยากคุย คือไม่รู้จะพูดยังไงนะ เอาเถอะผมไม่แคร์ แค่รู้สึกว่าคุณขัดแย้งในตัวเอง การกระทำกับคำพูดไม่ตรงกันเลย
ถ้ายังนอกเรื่องซะเกินครึ่ง แต่ไม่คุยในประเด็นให้มีเหตุผล ก็คงมีนิสัยแบบเด็กๆ แล้วละ คือ เคยเห็นพวกเด็กแว๊นชอบทำบ่อยๆ อย่าเอานิสัยแบบนั้นมาทำเลย ถ้าคุณมีวุฒิภาวะพอนะ เห็นไม่เลิกซะที  --> ตอนนี้อยากคุยกับคุณแล้วครับ เพิ่งมีเกมใหม่ให้เล่นกับเพื่อนๆ อยู่พอดี  ขอบคุณที่มาคุยด้วยครับ



1 2 4 5 9 10 12

มาแล้วๆๆ รอบนี้ทำไมหายไปนานจังครับ   พอจะเริ่มเล่นปุ๊บ คุณหายตัวปั๊บ เสียววาบเลย

แต่รอบแรก เพื่อนในกรุ๊ปไลน์ผม ก็ทายพฤติกรรมการตอบของคุณถูกครบ ตั้ง 3 คนเลยนะ 

เอ้ออ ลืมบอกไป ผมเปลี่ยนใจอยากจะคุยกับคุณแล้วนะ มีเรื่องสนุกๆ ให้ผมได้เล่นเกมกับเพื่อนๆ  คุณจะได้รับโอกาสที่ผมตอบกลับบางคำถามขอคุณด้วย ถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย    แต่ผมขออนุญาติออกตัวไว้ก่อน  ผมขอคุยขอตอบเฉพาะเรื่องที่ผมและเพื่อนๆ สนใจละกันนะครับ   ข้อความของคุณตรงไหนที่ผมไม่ตอบคุณ แปลว่าผมไม่สนใจไม่ได้ใส่ใจข้อความในส่วนนั้น  จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตของผมจนมากเกินไป  (คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ซ้ำๆ ด้วยครับ) เอาเป็นว่าคุยกันแค่พอสนุกๆ ไม่ต้องจริงจังอะไรมากนะครับ

   
แล้วคุณก็อย่าเพิ่งหายไปไหนนะครับ (ครั้งนี้ผมขอเชิญให้คุณมาเอง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้คุณเสนอหน้ามาเอง ตั้งแต่รอบนี้เป็นต้นไปคุณได้รับเชิญแล้วนะครับ  หากจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเดี๋ยวผมบอกอีกที อิอิ )


ผมขอตอบคำถามในโควทคุณเลยละกันนะครับ
 







Note  รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1

หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 14, 2020, 03:27:50


1 2 4 5 9 10 12

มาแล้วๆๆ รอบนี้ทำไมหายไปนานจังครับ   พอจะเริ่มเล่นปุ๊บ คุณหายตัวปั๊บ เสียววาบเลย

แต่รอบแรก เพื่อนในกรุ๊ปไลน์ผม ก็ทายพฤติกรรมการตอบของคุณถูกครบ ตั้ง 3 คนเลยนะ 

เอ้ออ ลืมบอกไป ผมเปลี่ยนใจอยากจะคุยกับคุณแล้วนะ มีเรื่องสนุกๆ ให้ผมได้เล่นเกมกับเพื่อนๆ  คุณจะได้รับโอกาสที่ผมตอบกลับบางคำถามขอคุณด้วย ถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย    แต่ผมขออนุญาติออกตัวไว้ก่อน  ผมขอคุยขอตอบเฉพาะเรื่องที่ผมและเพื่อนๆ สนใจละกันนะครับ   ข้อความของคุณตรงไหนที่ผมไม่ตอบคุณ แปลว่าผมไม่สนใจไม่ได้ใส่ใจข้อความในส่วนนั้น  จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตของผมจนมากเกินไป  (คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ซ้ำๆ ด้วยครับ) เอาเป็นว่าคุยกันแค่พอสนุกๆ ไม่ต้องจริงจังอะไรมากนะครับ

   
แล้วคุณก็อย่าเพิ่งหายไปไหนนะครับ (ครั้งนี้ผมขอเชิญให้คุณมาเอง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้คุณเสนอหน้ามาเอง ตั้งแต่รอบนี้เป็นต้นไปคุณได้รับเชิญแล้วนะครับ  หากจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเดี๋ยวผมบอกอีกที อิอิ )


ผมขอตอบคำถามในโควทคุณเลยละกันนะครับ
 







Note  รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1

เสรีภาพผมพูดไปแล้วนะ คุณน่ะนอกเรื่องตลอด แถมยังทำตัวล้อเลียนแบบเด็ก
มือคุณไม่มีใครบังคับ มือผมก็ไม่มีใครบังคับเช่นกัน คุณไม่ใช่เพื่อนญาติผม  ทำเด็กๆ แบบไม่เอานะ มันเห็นนิสัยเลย คุณไร้วุฒิภาวะ และความอดทนต่ำ
คือเบื่อนอกเรื่องไปเรื่อย ล่าสุดก็นิสัยออก คุยในประเด็นหน่อยคุณน่ะ

คำถามที่ผมถามคุณ คุณก็ตอบเองแล้วไง ว่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์
"แบบนี้ต้องขายสินทรัพย์สิคุณ งงอะไรครับคุณ"
ความหมายผมให้คุณหาเพราะต้องการรู้คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ ผมหาเองแล้วไม่ต้องห่วง มันก็เป็นไปตามบัญชี ซึ่งรถยนต์ไม่ควรเป็นค่าใช้จ่ายอย่างที่ย้ำมาตลอดอยู่แล้ว หากคุณไม่ตอบมันจะมีประโยชน์อะไร? คุณไม่เห็นเหรอความหมายมันทำให้จัดรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้

"ค่าใช้จ่ายในความหมายที่ผมคุยกับเจ้าของกระทู้เป็นการจัดหมวดหมู่ทางความคิด มันจะมีตัวตน จับต้องได้อย่างไรครับ"---> เนี่ยแหละประเด็น
การจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมันผิดเพี้ยนถึงขนาดความหมายพื้นฐานของรถยนต์และค่าใช่จ่าย มันผิดไปหมด ที่ถามเพราะต้องการคำจำกัดความที่แน่นอน ไอ้ความคิดคุณน่ะ ไม่ใช่ข้าว่า ข้าคิดว่า เดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
แล้วผมก็ไม่ได้พูดถึงทางบัญชีนะ พูดถึงพื้นฐานภาษาคน เลยยึดตามพจนานุกรม ต่อให้คุณใช้แค่ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ โดยอ้างว่าจัดหมวดหมู่ทางความคิด แต่ความหมายมันเพี้ยน คุณตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน รถยนต์มีตัวตน มีมูลค่า ยังไงก็จัดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ คุณพูดเองแล้วนะ
"ไม่ใช่ครับ  ขับรถยนต์ก็ต้องขับรถยนต์สิครับคุณ อะไรครับคุณ รถยนต์ก็คือรถยนต์ ค่าใช้จ่ายก็คือค่าใช้จ่ายสิครับ"
แต่ค่าใช้จ่ายความหมายมันมีตัวตนไม่ได้ มันขัดแย้งกันชัดเจนมาก ตามความหมายของคำ ที่ใช้กันในโลกมนุษย์ ดังนั้นจะจัดยังไงตัวรถยนต์ก็ไม่ควรจัดเป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน ในความหมายของคำ 2 คำนี้มีส่วนที่ขัดแย้งกันซ้อนทับกันไม่ได้ แล้วไม่ต้องไปเรื่องบัญชีนะ นี่ตามพจนานุกรม อย่างน้อยๆ จะคิดอะไรก็ควรยึดพื้นฐานความหมายให้ได้ก่อน

จะแสดงความคิดเห็นอย่างน้อยความหมายของคำพื้นฐานต้องถูกต้องก่อนไหม ถ้าความหมายของคำดิ้นจนผิดแบบนั้น เดี๋ยวอะไรมันก็คงเกิดขึ้นได้แล้วละ?
ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นรายได้?
ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นหมา?
ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นแมว?
วุ่นวายครับแบบนี้ เริ่มเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที ผมพยายามแยกแยะ ระหว่างความเห็นที่ต่างได้ กับความหมายของคำที่ต้องยึดไว้
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 14, 2020, 08:47:10


1 2 4 5 9 10 12

มาแล้วๆๆ รอบนี้ทำไมหายไปนานจังครับ   พอจะเริ่มเล่นปุ๊บ คุณหายตัวปั๊บ เสียววาบเลย

แต่รอบแรก เพื่อนในกรุ๊ปไลน์ผม ก็ทายพฤติกรรมการตอบของคุณถูกครบ ตั้ง 3 คนเลยนะ 

เอ้ออ ลืมบอกไป ผมเปลี่ยนใจอยากจะคุยกับคุณแล้วนะ มีเรื่องสนุกๆ ให้ผมได้เล่นเกมกับเพื่อนๆ  คุณจะได้รับโอกาสที่ผมตอบกลับบางคำถามขอคุณด้วย ถือว่าได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย    แต่ผมขออนุญาติออกตัวไว้ก่อน  ผมขอคุยขอตอบเฉพาะเรื่องที่ผมและเพื่อนๆ สนใจละกันนะครับ   ข้อความของคุณตรงไหนที่ผมไม่ตอบคุณ แปลว่าผมไม่สนใจไม่ได้ใส่ใจข้อความในส่วนนั้น  จะได้ไม่เสียเวลาชีวิตของผมจนมากเกินไป  (คุณจะได้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์ซ้ำๆ ด้วยครับ) เอาเป็นว่าคุยกันแค่พอสนุกๆ ไม่ต้องจริงจังอะไรมากนะครับ

   
แล้วคุณก็อย่าเพิ่งหายไปไหนนะครับ (ครั้งนี้ผมขอเชิญให้คุณมาเอง ไม่เหมือนก่อนหน้านี้คุณเสนอหน้ามาเอง ตั้งแต่รอบนี้เป็นต้นไปคุณได้รับเชิญแล้วนะครับ  หากจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเดี๋ยวผมบอกอีกที อิอิ )


ผมขอตอบคำถามในโควทคุณเลยละกันนะครับ
 







Note  รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1

เสรีภาพผมพูดไปแล้วนะ คุณน่ะนอกเรื่องตลอด แถมยังทำตัวล้อเลียนแบบเด็ก
มือคุณไม่มีใครบังคับ มือผมก็ไม่มีใครบังคับเช่นกัน คุณไม่ใช่เพื่อนญาติผม  ทำเด็กๆ แบบไม่เอานะ มันเห็นนิสัยเลย คุณไร้วุฒิภาวะ และความอดทนต่ำ
คือเบื่อนอกเรื่องไปเรื่อย ล่าสุดก็นิสัยออก คุยในประเด็นหน่อยคุณน่ะ

คำถามที่ผมถามคุณ คุณก็ตอบเองแล้วไง ว่ารถยนต์เป็นสินทรัพย์
"แบบนี้ต้องขายสินทรัพย์สิคุณ งงอะไรครับคุณ"
ความหมายผมให้คุณหาเพราะต้องการรู้คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ  --->ต้องให้อธิบายอีกเหรอครับ คำตอบที่คุณต้องการผมก็พิมพ์ไว้แต่แรกแล้ว  แถมยังขยายความให้อีกตั้งหลายครั้ง  ลองไปอ่านดูใหม่ สงสัยตรงไหนมาถามละกันครับ  เพื่อนๆ ผมอ่าน มันก็เข้าใจที่ผมพิมพ์ไปกันอยู่นะ     
สรุปว่าที่ผ่านมาคุณไม่เข้าใจคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของผมเลย แต่สามารถอภิปรายมันได้เป็นฉากๆ เลยเหรอครับ  อภิปรายในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจก็ได้ด้วยเหรอ   มันไม่ใช่คำจำกัดความครับ  มันเป็นมุมมองครับ    คล้ายๆ กับคำว่า เป็น ไม่เท่ากับ มองว่าเป็น นั่นแหละครับ 

 ผมหาเองแล้วไม่ต้องห่วง มันก็เป็นไปตามบัญชี ซึ่งรถยนต์ไม่ควรเป็นค่าใช้จ่ายอย่างที่ย้ำมาตลอดอยู่แล้ว หากคุณไม่ตอบมันจะมีประโยชน์อะไร? คุณไม่เห็นเหรอความหมายมันทำให้จัดรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
"ค่าใช้จ่ายในความหมายที่ผมคุยกับเจ้าของกระทู้เป็นการจัดหมวดหมู่ทางความคิด มันจะมีตัวตน จับต้องได้อย่างไรครับ"---> เนี่ยแหละประเด็น
การจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมันผิดเพี้ยนถึงขนาดความหมายพื้นฐานของรถยนต์และค่าใช่จ่าย มันผิดไปหมด ที่ถามเพราะต้องการคำจำกัดความที่แน่นอน ไอ้ความคิดคุณน่ะ ไม่ใช่ข้าว่า ข้าคิดว่า เดี๋ยวคุณก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ
แล้วผมก็ไม่ได้พูดถึงทางบัญชีนะ พูดถึงพื้นฐานภาษาคน เลยยึดตามพจนานุกรม ต่อให้คุณใช้แค่ตอบคำถามเจ้าของกระทู้ โดยอ้างว่าจัดหมวดหมู่ทางความคิด แต่ความหมายมันเพี้ยน คุณตอบตรงนี้ให้ได้ก่อน รถยนต์มีตัวตน มีมูลค่า ยังไงก็จัดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ คุณพูดเองแล้วนะ --->  คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร    ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ เปลี่ยนมุมมองเพื่อให้เราได้มุมมองใหม่ๆ ให้ได้แนวคิดใหม่ๆ โดยไม่ได้ไปทำลายมาตรฐามเดิม  คนที่เข้าใจก็เข้าใจได้ง่ายๆ แต่คนที่ไม่เข้าใจยังงัยก็คงไม่เข้าใจ  อธิบายเป็นแบบเทียบเคียงละกันนะครับ
1. เพื่อความสนุกในการเล่นทำครัว  ผมจะมองว่าไม้ตีแมลงวันเป็นตะหลิว เล่นจบก็เข้าโหมดปกติ  = มีแต่คนที่ยึดติดกับมุมมองเดิมๆ เท่านั้นแหละที่มาเถียงตามพจนานุกรมอยู่ได้ว่า  ไม้ตีแมลงวันก็ต้องเป็นไม้ตีแมลงวันเท่านั้น  หากไปมองว่าเป็นตะหลิวความหมายมันจะเพี้ยน   เค้าเปลี่ยนมุมมองเพื่อเล่นให้สนุกแค่นั้นครับคู้ณณณณ 
2. เพื่อประเมินการเทคโอเวอร์บริษัทที่ใกล้จะล้มละลาย     ผมจะมองว่ามันเป็นการซื้อ Call Option ตัวนึง แล้วก็ใช้โมเดลของ Option เข้ามาจับเพื่อพิจารณามูลค่าที่เหมาะสมของดีลนี้ แทนการใช้โมเดล Value of Firm   ดีลจบก็เข้าโหมดปกติ =  มีแต่คนที่ยึดติดกับมุมมองเดิมๆ เท่านั้นแหละที่จะคิดว่าหลังจาก Take Over บริษัทเสร็จ แล้วผมจะไปลงบัญชีว่าซื้อ Call Option มา    เค้าเปลี่ยนมุมมองเพื่อประเมินมูลค่ากิจการแล้วเข้าซื้อแค่นั้นครับ
3. เพื่อการจัดงบประมาณในการซื้อรถ  ผมจะมองว่ามันเป็นหมวดค่าใช้จ่าย ซื้อเสร็จก็เข้าโหมดปกติ   =  มีแต่คนที่ยึดติดกับมุมมองเดิมๆ เท่านั้นแหละที่จะคิดว่าหลังจากซื้อรถแล้ว ผมจะไปลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย   เค้าเปลี่ยนมุมมองเพื่อหาวิธีตัดสินใจซื้อรถยนต์แค่นั้นเองครับ




"ไม่ใช่ครับ  ขับรถยนต์ก็ต้องขับรถยนต์สิครับคุณ อะไรครับคุณ รถยนต์ก็คือรถยนต์ ค่าใช้จ่ายก็คือค่าใช้จ่ายสิครับ"
แต่ค่าใช้จ่ายความหมายมันมีตัวตนไม่ได้ มันขัดแย้งกันชัดเจนมาก ตามความหมายของคำ ที่ใช้กันในโลกมนุษย์  --> ประกาศกร้าวเลยนะครับว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!  555+   จริงเหรอครับ??? บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ   ตั้งแต่ผมทำ Internal Audit มายังไม่เคยเห็นบริษัทไหนลงยางรถยนต์ที่เปลี่ยนแทนยางเดิม เอาไปไว้ในทะเบียนทรัพย์สินเลยนะครับ ถ้าลงผิดกันหมดนี่เรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย ถ้าคุณมีข้อมูลในส่วนนี้ ผมขอที่มาด้วยนะครับ จะได้เอาไปใช้หารือกันใหม่หมด  ผมจะขอบคุณอย่างสูง (ไม่ต้องเป็นญาติผม ผมก็ขอบคุณได้ครับ   ;D ;D ;D)
ตามความหมายของคำ ที่ใช้กันในโลกมนุษย์ ดังนั้นจะจัดยังไงตัวรถยนต์ก็ไม่ควรจัดเป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน --> ผมเคยเข้าไปทำ Due diligence ดีลเลอร์ โชว์รูมขายรถยนต์  เวลาขายรถยนต์ 1 คัน เค้าลงรถยนต์เป็นต้นทุนขายนะครับ     

ในความหมายของคำ 2 คำนี้มีส่วนที่ขัดแย้งกันซ้อนทับกันไม่ได้ แล้วไม่ต้องไปเรื่องบัญชีนะ นี่ตามพจนานุกรม อย่างน้อยๆ จะคิดอะไรก็ควรยึดพื้นฐานความหมายให้ได้ก่อน
  ---> รถยนต์ตามพจนานุกรม = "รถที่มีล้อตั้งแต่ ๓ ล้อขึ้นไป ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น แต่ไม่ได้แล่นไปบนราง มีหลายประเภท เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถบรรทุก"   แล้วพจนานุกรมมันบอกให้ลงเป็นสินทรัพย์ตรงไหนอ่ะ 555+  นี่เอามาตามพจนานุกรมแล้วนะ  :P :P :P


จะแสดงความคิดเห็นอย่างน้อยความหมายของคำพื้นฐานต้องถูกต้องก่อนไหม ถ้าความหมายของคำดิ้นจนผิดแบบนั้น เดี๋ยวอะไรมันก็คงเกิดขึ้นได้แล้วละ? --> ดีครับ ลองเปลี่ยนมาคิดดูบ้างว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมด จะได้เปิดสมองซีกขวาให้ใช้งานบ้างครับ
ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นรายได้?  --> ก็เป็นไปได้นะครับ ถ้าผมได้รถยนต์มาเป็นรางวัลจากการเล่นเกม  สรรพากรก็จัดว่ามันเป็นรายได้นะครับ  นอกจากตอนรับรางวัลที่ต้องจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% แล้ว  ปลายปีก็ต้องยื่นอยู่ในภาษีรายได้ตาม 40 ( 8 ) ด้วยครับ  หรือว่าคุณจะช่วยไปแย้งสรรพากรแทนผมดีครับ  ;D ;D ;D

ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นหมา?
ผมคิดว่ารถยนต์ ควรจัดให้เป็นแมว? --> ก็ลองคิดเล่นๆ ดูก็ได้ครับ คิดนอกกรอบบ้างก็ดี ฝึกเปลี่ยนมุมมองบ้างก็ไม่เลว แม้ว่ารอบนี้จะฟังดูไม่ค่อยจะเข้าท่าเอาซะเลย  แต่ก็ดีกว่าไม่เคยทำครับ  ก็เริ่มจากแบบนี้ไปก่อน  ฝึกบ่อยๆ อาจจะจะได้พัฒนาไปประยุกต์ใช้กับการทำงานจริงบ้างก็ได้ครับ
วุ่นวายครับแบบนี้ เริ่มเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที ผมพยายามแยกแยะ ระหว่างความเห็นที่ต่างได้ กับความหมายของคำที่ต้องยึดไว้ --> ไม่เห็นมีใครวุ่นวายเลยนะครับ   เห็นมีแต่ท่านเองคนเดียวที่บอกว่ามันจะวุ่นวาย ผมยังมองไม่ออกว่ามันจะวุ่นวายตรงไหนนะครับ 

โจทย์ของเจ้าของกระทู้มีอยู่ข้อเดียวคือ "การซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"   ซึ่งมันคือมุมมองของ Asset Allocation  และผมก็เห็นว่าในเชิงการบริหาร Asset แล้ว ไม่มีใครเค้ากำหนดรถยนต์อยู่ใน Portfolio  จึงแนะนำให้ลองเพิ่มมุมมองในแบบ Expense Allocation ก็เท่านั้นเองครับ  ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมีคนที่โยงไปไกลถึง การลงบัญชี มาตรฐานปัญชี  จนลามไปถึงพจนานุกรมได้ยังงัย    :-[ :-[ :-[



1 3  5  6  9 10 14

ผมตอบคำถามของคุณในข้อความคุณเลยละกัน
 
คำถามคุณ จบแล้วนะ ตรงนี้ขอโควทข้อความเก่าคุณหน่อยนะครับ
อะไรที่ของเดิมดีอยู่แล้วก็นามาประยุกต์ใช้ครับ การที่คุณมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือน ใช้ไม่ได้ ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร(แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น) ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม

บังเอิญเพื่อนผมมันมาอ่านด้วย มันอ่านแล้วขำกลิ้งกัน เพื่อนผมมันบอกว่า    ขำทุกวลี มีฮาทุกประโยค  ไม่รู้ว่าตอนแรกผมอ่านข้ามไปได้ยังงัยเนี่ย ขอแยกออกเป็นข้อๆ ละกันครับ คุณจะได้แย้งผมกลับมาได้ง่ายๆ หน่อย 

1. ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกันแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน ---> 555+  แน่ใจเหรอครับ  ไปเอาข้อมูลมาจากนักการเงินสายไหนครับเนี่ย เก็บข้อมูลจากนักการเงินกี่คนอ่ะ  แล้วไม่เคยเจอเรื่องที่นักการเงินเค้ามองไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เหรอครับ   
เรื่องการลงทุนนี่แหละครับที่ชีวิตการทำงานจะมองต่างมุมกันมากที่สุด    (การลงทุนในหุ้นอ่ะ มองได้ตั้งหลายมุม เช่น  FCFF / FCFE  / div discount / P/E   คุณคิดว่ามุมมองไหนควรใช้กับหุ้นประเภทไหนดีอ่ะ หรือขอเป็นเพียงหุ้นจะมองได้อย่างเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกกรณีเลยเหรอครับ   หรืออย่างเรื่องเบสิคที่ใครๆ คงได้เรียนมาแน่ๆ อย่างการหาค่า Value of Firm เนี่ย  มันจะมองเฉพาะมุมที่เป็นบริษัทได้แค่มุมมองเดียวเองเหรอครับ  ถ้าเป็นการประเมินเพื่อพิจารณาเทคโอเวอร์บริษัท A  ผมจะเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นออปชั่นบ้างไม่ได้เหรอครับ (ลืมไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาแย้งผมอีกแหละว่าบริษัทก็คือบริษัท มันจะเป็นออปชั่นได้อย่างไร 555+  แต่ผมไม่อธิบายคุณซ้ำแล้วนะ )   
   ผมเองก็เป็นนักการเงินครับ เวลาเข้าประชุม Investment Committee แล้วมีใครเสนอมุมมองใหม่ๆ เค้าก็ถกกันเป็นหลายๆ ชั่วโมงทุกที ไม่เห็นจะมองเหมือนกันเลยครับ     ขอถามอีกครั้งครับ "นักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน" ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนครับ


2. คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด  -->  วิธีเดียวกันหมดนี่หมายถึงวิธีไหนครับ  คุณจะหมายถึง DCF น่ะเหรอครับ หรือ ถ้าไม่ใช่มันคือวิธีไหนครับ    คิดว่ามันมีแค่วิธีเดียวจริงๆ เหรอครับ      ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ เหรอครับ   ผมลองเอา Asset ที่คุณยกมาเองนะ มูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security 3 ประเภทนี้ แน่ใจเหรอครับว่าเวลาทำงานจริงเค้าเอามูลค่าจาก DCF มาใช้เป็นตัวหลักในการตัดสินใจซื้อขาย คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ   

3. ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร (แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น)  --> ตรงนี้อ่านแล้วสะดุดอยู่นะ  555+ เคยทำงานด้านนี้จริงๆ หรือเปล่าครับ ที่ไหนเหรอครับที่เค้าดูแค่ผลแปลความแล้วนำไปใช้ครับ   CFO บางคนเค้ารันโมเดลเองด้วยซ้ำ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาสอนแค่วิธีแปลความแล้วนำมาใช้  แต่เวลาวิเคราะห์โครงการจริงๆ มันต้องลงลึกถึงการวิเคราะห์จริงๆ คิดเป็นเคสบายเคส ไม่ใช่ดูแค่ผลแปลความนะครับ  แต่มันไม่มีให้เรียนในตำราครับ ตรงนี้ก็ต่างคนต่างมอง มองไม่เหมือนกันก็ได้อีก  ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดโครงการประเภทไหน แบ่ง Source of Revenue ออกเป็นยังงัย Source of Fund มาจากไหน  แล้วจะจัดโครงสร้างทางการเงินกันอย่างไร ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับ อยากให้พิมพ์ตรงไหนบอกมาครับ ถ้ามีเวลาจะจัดให้

4. ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม ---> อันนี้เป็นสิทธิของคุณครับ ผมขออนุญาตไม่ประเมินแนวความคิดคุณ วิธีหรือมุมมองในโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวครับ มุมมองแต่ละแบบก็มักจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างๆ กันไป   มุมมองของคุณอาจจะเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ ณ ตอนนี้   แต่อาจจะไม่เหมาะกับผมหรือเจ้าของกระทู้ก็ได้  ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิจารณ์อะไรครับ



Note 
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 17, 2020, 04:30:51


1 3  5  6  9 10 14

ผมตอบคำถามของคุณในข้อความคุณเลยละกัน
 
คำถามคุณ จบแล้วนะ ตรงนี้ขอโควทข้อความเก่าคุณหน่อยนะครับ
อะไรที่ของเดิมดีอยู่แล้วก็นามาประยุกต์ใช้ครับ การที่คุณมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือน ใช้ไม่ได้ ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร(แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น) ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม

บังเอิญเพื่อนผมมันมาอ่านด้วย มันอ่านแล้วขำกลิ้งกัน เพื่อนผมมันบอกว่า    ขำทุกวลี มีฮาทุกประโยค  ไม่รู้ว่าตอนแรกผมอ่านข้ามไปได้ยังงัยเนี่ย ขอแยกออกเป็นข้อๆ ละกันครับ คุณจะได้แย้งผมกลับมาได้ง่ายๆ หน่อย 

1. ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกันแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน ---> 555+  แน่ใจเหรอครับ  ไปเอาข้อมูลมาจากนักการเงินสายไหนครับเนี่ย เก็บข้อมูลจากนักการเงินกี่คนอ่ะ  แล้วไม่เคยเจอเรื่องที่นักการเงินเค้ามองไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เหรอครับ   
เรื่องการลงทุนนี่แหละครับที่ชีวิตการทำงานจะมองต่างมุมกันมากที่สุด    (การลงทุนในหุ้นอ่ะ มองได้ตั้งหลายมุม เช่น  FCFF / FCFE  / div discount / P/E   คุณคิดว่ามุมมองไหนควรใช้กับหุ้นประเภทไหนดีอ่ะ หรือขอเป็นเพียงหุ้นจะมองได้อย่างเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกกรณีเลยเหรอครับ   หรืออย่างเรื่องเบสิคที่ใครๆ คงได้เรียนมาแน่ๆ อย่างการหาค่า Value of Firm เนี่ย  มันจะมองเฉพาะมุมที่เป็นบริษัทได้แค่มุมมองเดียวเองเหรอครับ  ถ้าเป็นการประเมินเพื่อพิจารณาเทคโอเวอร์บริษัท A  ผมจะเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นออปชั่นบ้างไม่ได้เหรอครับ (ลืมไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาแย้งผมอีกแหละว่าบริษัทก็คือบริษัท มันจะเป็นออปชั่นได้อย่างไร 555+  แต่ผมไม่อธิบายคุณซ้ำแล้วนะ )   
   ผมเองก็เป็นนักการเงินครับ เวลาเข้าประชุม Investment Committee แล้วมีใครเสนอมุมมองใหม่ๆ เค้าก็ถกกันเป็นหลายๆ ชั่วโมงทุกที ไม่เห็นจะมองเหมือนกันเลยครับ     ขอถามอีกครั้งครับ "นักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน" ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนครับ


2. คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด  -->  วิธีเดียวกันหมดนี่หมายถึงวิธีไหนครับ  คุณจะหมายถึง DCF น่ะเหรอครับ หรือ ถ้าไม่ใช่มันคือวิธีไหนครับ    คิดว่ามันมีแค่วิธีเดียวจริงๆ เหรอครับ      ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ เหรอครับ   ผมลองเอา Asset ที่คุณยกมาเองนะ มูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security 3 ประเภทนี้ แน่ใจเหรอครับว่าเวลาทำงานจริงเค้าเอามูลค่าจาก DCF มาใช้เป็นตัวหลักในการตัดสินใจซื้อขาย คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ   

3. ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร (แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น)  --> ตรงนี้อ่านแล้วสะดุดอยู่นะ  555+ เคยทำงานด้านนี้จริงๆ หรือเปล่าครับ ที่ไหนเหรอครับที่เค้าดูแค่ผลแปลความแล้วนำไปใช้ครับ   CFO บางคนเค้ารันโมเดลเองด้วยซ้ำ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาสอนแค่วิธีแปลความแล้วนำมาใช้  แต่เวลาวิเคราะห์โครงการจริงๆ มันต้องลงลึกถึงการวิเคราะห์จริงๆ คิดเป็นเคสบายเคส ไม่ใช่ดูแค่ผลแปลความนะครับ  แต่มันไม่มีให้เรียนในตำราครับ ตรงนี้ก็ต่างคนต่างมอง มองไม่เหมือนกันก็ได้อีก  ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดโครงการประเภทไหน แบ่ง Source of Revenue ออกเป็นยังงัย Source of Fund มาจากไหน  แล้วจะจัดโครงสร้างทางการเงินกันอย่างไร ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับ อยากให้พิมพ์ตรงไหนบอกมาครับ ถ้ามีเวลาจะจัดให้

4. ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม ---> อันนี้เป็นสิทธิของคุณครับ ผมขออนุญาตไม่ประเมินแนวความคิดคุณ วิธีหรือมุมมองในโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวครับ มุมมองแต่ละแบบก็มักจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างๆ กันไป   มุมมองของคุณอาจจะเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ ณ ตอนนี้   แต่อาจจะไม่เหมาะกับผมหรือเจ้าของกระทู้ก็ได้  ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิจารณ์อะไรครับ



Note 
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3

1. ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกันแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน ---> 555+  แน่ใจเหรอครับ  ไปเอาข้อมูลมาจากนักการเงินสายไหนครับเนี่ย เก็บข้อมูลจากนักการเงินกี่คนอ่ะ  แล้วไม่เคยเจอเรื่องที่นักการเงินเค้ามองไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เหรอครับ   
เรื่องการลงทุนนี่แหละครับที่ชีวิตการทำงานจะมองต่างมุมกันมากที่สุด    (การลงทุนในหุ้นอ่ะ มองได้ตั้งหลายมุม เช่น  FCFF / FCFE  / div discount / P/E   คุณคิดว่ามุมมองไหนควรใช้กับหุ้นประเภทไหนดีอ่ะ หรือขอเป็นเพียงหุ้นจะมองได้อย่างเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกกรณีเลยเหรอครับ   หรืออย่างเรื่องเบสิคที่ใครๆ คงได้เรียนมาแน่ๆ อย่างการหาค่า Value of Firm เนี่ย  มันจะมองเฉพาะมุมที่เป็นบริษัทได้แค่มุมมองเดียวเองเหรอครับ  ถ้าเป็นการประเมินเพื่อพิจารณาเทคโอเวอร์บริษัท A  ผมจะเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นออปชั่นบ้างไม่ได้เหรอครับ (ลืมไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาแย้งผมอีกแหละว่าบริษัทก็คือบริษัท มันจะเป็นออปชั่นได้อย่างไร 555+  แต่ผมไม่อธิบายคุณซ้ำแล้วนะ )   
   ผมเองก็เป็นนักการเงินครับ เวลาเข้าประชุม Investment Committee แล้วมีใครเสนอมุมมองใหม่ๆ เค้าก็ถกกันเป็นหลายๆ ชั่วโมงทุกที ไม่เห็นจะมองเหมือนกันเลยครับ     ขอถามอีกครั้งครับ "นักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน" ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนครับ

คุณครับ คำว่าการลงทุนผมไม่ได้หมายถึงหุ้นอย่างเดียวนะ คุณจะขำก็ขำไป ผมว่าผมพูดไปคุณคงไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ผมหมายถึงทุกอย่างจริงๆ อย่ามโนไปเองครับ ผมกำลังพูดถึงต้นตอของการเงินที่ว่าด้วยเรื่องของ law of one price และ no arbitrage แทบทุกๆ ทฤษฎีการเงินต้องมีต้นกำเนิดจาก 2 ทฤษฎีนี้ เห็นไหมว่าคุณเอาแต่คิดเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ผมสื่อถึงเลย

2. คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด  -->  วิธีเดียวกันหมดนี่หมายถึงวิธีไหนครับ  คุณจะหมายถึง DCF น่ะเหรอครับ หรือ ถ้าไม่ใช่มันคือวิธีไหนครับ    คิดว่ามันมีแค่วิธีเดียวจริงๆ เหรอครับ      ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ เหรอครับ   ผมลองเอา Asset ที่คุณยกมาเองนะ มูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security 3 ประเภทนี้ แน่ใจเหรอครับว่าเวลาทำงานจริงเค้าเอามูลค่าจาก DCF มาใช้เป็นตัวหลักในการตัดสินใจซื้อขาย คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ

การตัดสินใจซื้อขายเป็นอีกเรื่องสิครับ อย่ามโนไปเอง ผมพูดถึงต้นตอ ที่มาของของสูตร วิธีคิด หลักการ มันไม่ง่ายแค่ dcf ตัวเดียวหรอกคุณ

3. ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร (แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น)  --> ตรงนี้อ่านแล้วสะดุดอยู่นะ  555+ เคยทำงานด้านนี้จริงๆ หรือเปล่าครับ ที่ไหนเหรอครับที่เค้าดูแค่ผลแปลความแล้วนำไปใช้ครับ   CFO บางคนเค้ารันโมเดลเองด้วยซ้ำ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาสอนแค่วิธีแปลความแล้วนำมาใช้  แต่เวลาวิเคราะห์โครงการจริงๆ มันต้องลงลึกถึงการวิเคราะห์จริงๆ คิดเป็นเคสบายเคส ไม่ใช่ดูแค่ผลแปลความนะครับ  แต่มันไม่มีให้เรียนในตำราครับ ตรงนี้ก็ต่างคนต่างมอง มองไม่เหมือนกันก็ได้อีก  ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดโครงการประเภทไหน แบ่ง Source of Revenue ออกเป็นยังงัย Source of Fund มาจากไหน  แล้วจะจัดโครงสร้างทางการเงินกันอย่างไร ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับ อยากให้พิมพ์ตรงไหนบอกมาครับ ถ้ามีเวลาจะจัดให้

คุณครับ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะรันโมเดลเองหรือเปล่า มันเป็นแค่การนำไปใช้ ถ้าคุณมีความเข้าใจจริงๆ คุณจะไม่จัดรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน มันเหมือนคุณใช้เป็นแต่เครื่องมือ แต่ไม่ได้เข้าใจที่มาของเครื่องมือ get ไหม

4. ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม ---> อันนี้เป็นสิทธิของคุณครับ ผมขออนุญาตไม่ประเมินแนวความคิดคุณ วิธีหรือมุมมองในโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวครับ มุมมองแต่ละแบบก็มักจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างๆ กันไป   มุมมองของคุณอาจจะเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ ณ ตอนนี้   แต่อาจจะไม่เหมาะกับผมหรือเจ้าของกระทู้ก็ได้  ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิจารณ์อะไรครับ

ผมถึงได้ถามคำจำกัดความของคำว่า รถยนต์ และ ค่าใช้จ่าย ในการจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณไง เห็นแย้งไปก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไปเรื่องนู้นที เรื่องนี้ที พูดออกมาจะได้เปลี่ยนไม่ได้ จะได้อยู่ในประเด็นด้วย ไม่งั้นก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไม่จบสักที

"ความหมายผมให้คุณหาเพราะต้องการรู้คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ  --->ต้องให้อธิบายอีกเหรอครับ คำตอบที่คุณต้องการผมก็พิมพ์ไว้แต่แรกแล้ว  แถมยังขยายความให้อีกตั้งหลายครั้ง  ลองไปอ่านดูใหม่ สงสัยตรงไหนมาถามละกันครับ  เพื่อนๆ ผมอ่าน มันก็เข้าใจที่ผมพิมพ์ไปกันอยู่นะ     
สรุปว่าที่ผ่านมาคุณไม่เข้าใจคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของผมเลย แต่สามารถอภิปรายมันได้เป็นฉากๆ เลยเหรอครับ  อภิปรายในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจก็ได้ด้วยเหรอ   มันไม่ใช่คำจำกัดความครับ  มันเป็นมุมมองครับ    คล้ายๆ กับคำว่า เป็น ไม่เท่ากับ มองว่าเป็น นั่นแหละครับ"

เพราะคุณเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไง ตอนแรกก็พูดเรื่องค่าบำรุงรักษา บลาๆ เลยมองเป็นค่าใช้จ่าย ต่อมาก็สินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ ต่อมาก็ตลิ่งพัง ไปไกลถึงขนาดเรื่องการจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ใหม่ คุณเอาไอ้การจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมา definition ผมเบื่อที่คุณจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้ว แย้งแล้วตอบให้ได้ทีเดียวจะได้จบ

"โจทย์ของเจ้าของกระทู้มีอยู่ข้อเดียวคือ "การซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"   ซึ่งมันคือมุมมองของ Asset Allocation  และผมก็เห็นว่าในเชิงการบริหาร Asset แล้ว ไม่มีใครเค้ากำหนดรถยนต์อยู่ใน Portfolio  จึงแนะนำให้ลองเพิ่มมุมมองในแบบ Expense Allocation ก็เท่านั้นเองครับ  ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมีคนที่โยงไปไกลถึง การลงบัญชี มาตรฐานปัญชี  จนลามไปถึงพจนานุกรมได้ยังงัย"

สรุปนะ มุมมองมันควรยึดความหมายพื้นฐาน ไม่งั้นคุณก็เหมือนคนบ้า รถมันคงเป็นหมาก็ได้ แมวก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แล้ว ดังนั้นความแตกต่างของมุมมองที่คุณพูดถึงมันจึงจำเป็นที่จะต้องมีส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่ จึงจะมองแบบนั้นได้ เข้าใจไหม? และสิ่งที่ผมพยายามอธิบายคือ การไม่ซ้อนทับของความหมายพื้นฐานทั่วๆ ไป "ประกาศกร้าวเลยนะครับว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!  555+ " ผมไม่เห็นคุณจะอธิบายเรื่องนี้ได้ตรงไหน ค่าใช้จ่ายไม่มีตัวตน---> รถยนต์มันถึงเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ไง
ถ้าคุณยังจะยืนยัน ว่าเป็นมุมมอง โดยไม่ยึดพื้นฐานความหมายให้ถูกต้องก่อน งั้นผมก็ว่าคงคุยกับคนบ้าแหละ คือรถแม่ง เป็นหมาก็ได้ แมวก็ได้ จะเอาอะไรละ เป็นอะไรดี รถควรจัดเป็นกระต่ายไหม คือมันเพี้ยนน่ะคุณ เอาคำจำกัดความของคำว่า ค่าใช้จ่าย และ รถยนต์ ในการจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมาก่อนดีกว่า ไม่งั้นคุณก็ดิ้นไปเรื่อย มันเป็นมุมมองของคุณคนเดียว คนอื่นเขาไม่เข้าใจด้วยหรอก ที่ผมแย้งคือเป็นไปตามสิ่งที่ทั้งโลกรู้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบาย คุณรู้บัญชีนี่ คนที่ขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่คือคุณ ไม่ใช่ผม ความหมายพื้นฐานของคำก็ขัดแย้ง แบบนี้แหละดี definition มาเลย จะได้เปลี่ยนไม่ได้อีก

ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างนึงนะ คือ เอาเพื่อน หรือคนอื่นมาตอบ เขามีความคิดเหมือนคุณไหม เขาเข้าใจสิ่งที่คุณคิดด้วยหรือเปล่า เขาพูดแทนคุณได้ด้วยไหม แล้วการทำแบบนี้มันไม่เรียกว่า อคติ เหรอ การตอบแบบนี้มันมี อคติ ไหม ไม่มีจริงๆ เหรอ? หรือแค่พยายามให้ไม่มี? คิดให้ได้ครับว่าอะไรถูกต้อง อะไรที่เป็นจริง ที่ทำอยู่พูดได้เต็มปากไหมว่า no bias ลองใช้วิจารณญาณดูครับ ผมมีคำอยู่นะ conflict of interest? ถ้ามีคนที่ทำงานการเงินอยู่จริงคุณต้องเข้าใจความหมายของคำว่า จรรยาบรรณวิชาชีพหรือธรรมาภิบาล และมันไม่ครอบคลุมแค่การทำงานเท่านั้นแน่ ช่วยพูดทีว่าที่คุณทำอยู่ใช่ conflict of interest ไหม คือการทำแบบนี้เพื่อนของคุณจะเสียเองนะครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 17, 2020, 08:40:12


1 3  5  6  9 10 14

ผมตอบคำถามของคุณในข้อความคุณเลยละกัน
 
คำถามคุณ จบแล้วนะ ตรงนี้ขอโควทข้อความเก่าคุณหน่อยนะครับ
อะไรที่ของเดิมดีอยู่แล้วก็นามาประยุกต์ใช้ครับ การที่คุณมองสิ่งต่างๆ ไม่เหมือน ใช้ไม่ได้ ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร(แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น) ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม

บังเอิญเพื่อนผมมันมาอ่านด้วย มันอ่านแล้วขำกลิ้งกัน เพื่อนผมมันบอกว่า    ขำทุกวลี มีฮาทุกประโยค  ไม่รู้ว่าตอนแรกผมอ่านข้ามไปได้ยังงัยเนี่ย ขอแยกออกเป็นข้อๆ ละกันครับ คุณจะได้แย้งผมกลับมาได้ง่ายๆ หน่อย 

1. ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกันแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน ---> 555+  แน่ใจเหรอครับ  ไปเอาข้อมูลมาจากนักการเงินสายไหนครับเนี่ย เก็บข้อมูลจากนักการเงินกี่คนอ่ะ  แล้วไม่เคยเจอเรื่องที่นักการเงินเค้ามองไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เหรอครับ   
เรื่องการลงทุนนี่แหละครับที่ชีวิตการทำงานจะมองต่างมุมกันมากที่สุด    (การลงทุนในหุ้นอ่ะ มองได้ตั้งหลายมุม เช่น  FCFF / FCFE  / div discount / P/E   คุณคิดว่ามุมมองไหนควรใช้กับหุ้นประเภทไหนดีอ่ะ หรือขอเป็นเพียงหุ้นจะมองได้อย่างเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกกรณีเลยเหรอครับ   หรืออย่างเรื่องเบสิคที่ใครๆ คงได้เรียนมาแน่ๆ อย่างการหาค่า Value of Firm เนี่ย  มันจะมองเฉพาะมุมที่เป็นบริษัทได้แค่มุมมองเดียวเองเหรอครับ  ถ้าเป็นการประเมินเพื่อพิจารณาเทคโอเวอร์บริษัท A  ผมจะเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นออปชั่นบ้างไม่ได้เหรอครับ (ลืมไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาแย้งผมอีกแหละว่าบริษัทก็คือบริษัท มันจะเป็นออปชั่นได้อย่างไร 555+  แต่ผมไม่อธิบายคุณซ้ำแล้วนะ )   
   ผมเองก็เป็นนักการเงินครับ เวลาเข้าประชุม Investment Committee แล้วมีใครเสนอมุมมองใหม่ๆ เค้าก็ถกกันเป็นหลายๆ ชั่วโมงทุกที ไม่เห็นจะมองเหมือนกันเลยครับ     ขอถามอีกครั้งครับ "นักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน" ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนครับ


2. คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด  -->  วิธีเดียวกันหมดนี่หมายถึงวิธีไหนครับ  คุณจะหมายถึง DCF น่ะเหรอครับ หรือ ถ้าไม่ใช่มันคือวิธีไหนครับ    คิดว่ามันมีแค่วิธีเดียวจริงๆ เหรอครับ      ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ เหรอครับ   ผมลองเอา Asset ที่คุณยกมาเองนะ มูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security 3 ประเภทนี้ แน่ใจเหรอครับว่าเวลาทำงานจริงเค้าเอามูลค่าจาก DCF มาใช้เป็นตัวหลักในการตัดสินใจซื้อขาย คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ   

3. ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร (แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น)  --> ตรงนี้อ่านแล้วสะดุดอยู่นะ  555+ เคยทำงานด้านนี้จริงๆ หรือเปล่าครับ ที่ไหนเหรอครับที่เค้าดูแค่ผลแปลความแล้วนำไปใช้ครับ   CFO บางคนเค้ารันโมเดลเองด้วยซ้ำ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาสอนแค่วิธีแปลความแล้วนำมาใช้  แต่เวลาวิเคราะห์โครงการจริงๆ มันต้องลงลึกถึงการวิเคราะห์จริงๆ คิดเป็นเคสบายเคส ไม่ใช่ดูแค่ผลแปลความนะครับ  แต่มันไม่มีให้เรียนในตำราครับ ตรงนี้ก็ต่างคนต่างมอง มองไม่เหมือนกันก็ได้อีก  ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดโครงการประเภทไหน แบ่ง Source of Revenue ออกเป็นยังงัย Source of Fund มาจากไหน  แล้วจะจัดโครงสร้างทางการเงินกันอย่างไร ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับ อยากให้พิมพ์ตรงไหนบอกมาครับ ถ้ามีเวลาจะจัดให้

4. ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม ---> อันนี้เป็นสิทธิของคุณครับ ผมขออนุญาตไม่ประเมินแนวความคิดคุณ วิธีหรือมุมมองในโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวครับ มุมมองแต่ละแบบก็มักจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างๆ กันไป   มุมมองของคุณอาจจะเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ ณ ตอนนี้   แต่อาจจะไม่เหมาะกับผมหรือเจ้าของกระทู้ก็ได้  ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิจารณ์อะไรครับ



Note 
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3

1. ผมบอกเลยนักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกันแล้วนำมาประยุกต์ใช้ โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน ---> 555+  แน่ใจเหรอครับ  ไปเอาข้อมูลมาจากนักการเงินสายไหนครับเนี่ย เก็บข้อมูลจากนักการเงินกี่คนอ่ะ  แล้วไม่เคยเจอเรื่องที่นักการเงินเค้ามองไม่เหมือนกันเลยจริงๆ เหรอครับ   
เรื่องการลงทุนนี่แหละครับที่ชีวิตการทำงานจะมองต่างมุมกันมากที่สุด    (การลงทุนในหุ้นอ่ะ มองได้ตั้งหลายมุม เช่น  FCFF / FCFE  / div discount / P/E   คุณคิดว่ามุมมองไหนควรใช้กับหุ้นประเภทไหนดีอ่ะ หรือขอเป็นเพียงหุ้นจะมองได้อย่างเดียวกันเหมือนๆ กัน ทุกกรณีเลยเหรอครับ   หรืออย่างเรื่องเบสิคที่ใครๆ คงได้เรียนมาแน่ๆ อย่างการหาค่า Value of Firm เนี่ย  มันจะมองเฉพาะมุมที่เป็นบริษัทได้แค่มุมมองเดียวเองเหรอครับ  ถ้าเป็นการประเมินเพื่อพิจารณาเทคโอเวอร์บริษัท A  ผมจะเปลี่ยนมุมมองว่ามันเป็นออปชั่นบ้างไม่ได้เหรอครับ (ลืมไป เดี๋ยวก็จะมีคนมาแย้งผมอีกแหละว่าบริษัทก็คือบริษัท มันจะเป็นออปชั่นได้อย่างไร 555+  แต่ผมไม่อธิบายคุณซ้ำแล้วนะ )   
   ผมเองก็เป็นนักการเงินครับ เวลาเข้าประชุม Investment Committee แล้วมีใครเสนอมุมมองใหม่ๆ เค้าก็ถกกันเป็นหลายๆ ชั่วโมงทุกที ไม่เห็นจะมองเหมือนกันเลยครับ     ขอถามอีกครั้งครับ "นักการเงินนั้นจะพยายามมองให้เหมือนกัน" ไปเอาความคิดนี้มาจากไหนครับ

คุณครับ คำว่าการลงทุนผมไม่ได้หมายถึงหุ้นอย่างเดียวนะ  ---> ถ้าไม่ได้หมายถึงหุ้นอย่างเดียวก็เอาทุกอย่างเลยก็ได้ครับ  ตราสารหนี้  กองทุนอสังหาฯ  infra fund  Derevative  เค้ามองไม่เหมือนกันหมดหละครับ  ว่าแค่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินที่ไหนมา ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด  :P :P :P
  คุณจะขำก็ขำไป ผมว่าผมพูดไปคุณคงไม่เข้าใจด้วยซ้ำ ผมหมายถึงทุกอย่างจริงๆ อย่ามโนไปเองครับ ผมกำลังพูดถึงต้นตอของการเงินที่ว่าด้วยเรื่องของ law of one price และ no arbitrage แทบทุกๆ ทฤษฎีการเงินต้องมีต้นกำเนิดจาก 2 ทฤษฎีนี้ เห็นไหมว่าคุณเอาแต่คิดเข้าใจผิดไปเองทั้งนั้น ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ผมสื่อถึงเลย ---> ไหนขอโยงให้ดูหน่อยครับว่า  2 ทฤษฎี ที่อ้างมาเนี่ย  ช่วยโยงตามลำดับว่ามันไปถึง  DCF ได้ยังงัย  FCFF  FCFE  P/E Ratio ได้ยังงัยบ้างครับ  อยากได้ความรู้จากคุณครับ   8) 8) 8)

ปล.  แหม่  อ้างเรื่อง law of one price และ no arbitrage เนี่ยนะครับ 
- law of one price ใช้กับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่เหรอครับ  อยู่ในเนื้อหาวิชา Inter Fin  แล้วมันไปโยงกับการการลงทุน การประเมินมูลค่าทรัพย์สินยังงัยดีล่ะ  ถ้าคุณพูดจริงน่าสนใจนะครับ  แสดงให้ดูหน่อยครับ
- อ้าง no arbitrage อีกด้วย    หลักๆ จะใช้กับ Inter Fin กับ Option นะครับ   ไหนลองเชื่อมโยงกับ Investment ให้ดูหน่อยครับ       

ขอแสดงความเป็นห่วงนะครับ ผมว่าคุณอย่าอ้างทฤษฎีอะไรขึ้นมาเลยอีกเลยครับ  หรือ อ้าง Law of one piece แทนมั้ยครับ  จะได้มีพันธมิตรโจรสลัด   555+



2. คุณเชื่อไหมว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมด  -->  วิธีเดียวกันหมดนี่หมายถึงวิธีไหนครับ  คุณจะหมายถึง DCF น่ะเหรอครับ หรือ ถ้าไม่ใช่มันคือวิธีไหนครับ    คิดว่ามันมีแค่วิธีเดียวจริงๆ เหรอครับ      ไม่มีวิธีอื่นเลยจริงๆ เหรอครับ   ผมลองเอา Asset ที่คุณยกมาเองนะ มูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security 3 ประเภทนี้ แน่ใจเหรอครับว่าเวลาทำงานจริงเค้าเอามูลค่าจาก DCF มาใช้เป็นตัวหลักในการตัดสินใจซื้อขาย คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอครับ

การตัดสินใจซื้อขายเป็นอีกเรื่องสิครับ อย่ามโนไปเอง ผมพูดถึงต้นตอ ที่มาของของสูตร วิธีคิด หลักการ มันไม่ง่ายแค่ dcf ตัวเดียวหรอกคุณ  --> แล้วมีวิธีไหนอีกล่ะครับ บอกมาเลย ไม่ต้องกั๊ก  ผมเพิ่มให้อีก 2 ตัว  P/E  / BS Model  ไหนคุณลองยกตัวอย่างมาอีก 2 วิธีสิ
  ส่วนถ้าคุณอยากจะพูดถึง ต้นตอ ที่มาของของสูตร วิธีคิด หลักการ ได้เลยครับ รบกวนช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยสิว่า จุดอ่อนสำคัญของ DCF ถ้าเทียบกับวิธีอื่นมีอะไรบ้าง  ขอแค่ 3 ข้อพอ แต่ขอเน้นๆ หลักๆ นะครับ   ผมขอใบ้ให้นะว่าอันนี้เป็นเรื่องของมุมมองเต็มๆ เลยล่ะ  ;D ;D ;D 


3. ส่วนเรื่องที่คุณพูดถึง irr sensitivity scenario หรือแม้แต่ capex เป็นการเงินในเชิงบริหาร (แปลความแล้วนำมาใช้ แต่ไม่ได้เจาะลึกไปถึงที่มาว่าทำไมจึงคิดแบบนั้น)  --> ตรงนี้อ่านแล้วสะดุดอยู่นะ  555+ เคยทำงานด้านนี้จริงๆ หรือเปล่าครับ ที่ไหนเหรอครับที่เค้าดูแค่ผลแปลความแล้วนำไปใช้ครับ   CFO บางคนเค้ารันโมเดลเองด้วยซ้ำ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอาจจะมีเวลาสอนแค่วิธีแปลความแล้วนำมาใช้  แต่เวลาวิเคราะห์โครงการจริงๆ มันต้องลงลึกถึงการวิเคราะห์จริงๆ คิดเป็นเคสบายเคส ไม่ใช่ดูแค่ผลแปลความนะครับ  แต่มันไม่มีให้เรียนในตำราครับ ตรงนี้ก็ต่างคนต่างมอง มองไม่เหมือนกันก็ได้อีก  ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดโครงการประเภทไหน แบ่ง Source of Revenue ออกเป็นยังงัย Source of Fund มาจากไหน  แล้วจะจัดโครงสร้างทางการเงินกันอย่างไร ขี้เกียจพิมพ์ล่ะครับ อยากให้พิมพ์ตรงไหนบอกมาครับ ถ้ามีเวลาจะจัดให้

คุณครับ ผมไม่ได้หมายความว่าคุณจะรันโมเดลเองหรือเปล่า มันเป็นแค่การนำไปใช้ ถ้าคุณมีความเข้าใจจริงๆ คุณจะไม่จัดรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน มันเหมือนคุณใช้เป็นแต่เครื่องมือ แต่ไม่ได้เข้าใจที่มาของเครื่องมือ get ไหม   --> ไม่เข้าใจคำว่ารันโมเดลอีกแล้วใช่ป่าว มันคือการสร้างโมเดลขึ้นมาเองแบบเคสบายเคส  มันไม่ใช่เครื่องมือแบบที่ใส่ๆ อะไรเข้าไป แล้วผลลัพธออกมานะครับ คิดง่ายไปป่าว 555+  มันก็ต้องมีการจัดหมวดหมู่ทางความคิดเอง   แต่ละเคสก็ต้องสร้างโมเดลเฉพาะตัวขึ้นมา แล้วจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองสร้างได้ยังงัยละครับ  แต่คนนอกอย่างคุณที่มาดู แล้วไม่เข้าใจอันนี้ก็อาจจะเป็นได้ มันอยู่ที่พื้นฐานความสามารถของคุณเอง   เอ้ออ  ตอนผมทำโมเดลให้ธุรกิจดีลเลอร์โชว์รูมนะ  รถยนต์นี่เป็นค่าใช้จ่ายเต็มๆ เลยล่ะ   ถ้าคุณมีความเข้าใจจริงๆ  ตุณจะไม่ฟันธงว่ารถยนต์ไม่มีทางเป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน    :P :P :P :P 

4. ผมกลับมองว่าการมองรถยนต์ให้เป็นสินทรัพย์ คุณจะเห็นค่าเสื่อม มูลค่าปัจจุบัน สินทรัพย์นี้มาจากหนี้ หรือทุน ในการตัดสินใจมีประโยชน์มากกว่าไหม โดยที่คุณเข้าใจข้อด้อยของค่าเสื่อม ---> อันนี้เป็นสิทธิของคุณครับ ผมขออนุญาตไม่ประเมินแนวความคิดคุณ วิธีหรือมุมมองในโลกนี้มันไม่ได้มีแค่มุมมองเดียวครับ มุมมองแต่ละแบบก็มักจะเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ต่างๆ กันไป   มุมมองของคุณอาจจะเหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ ณ ตอนนี้   แต่อาจจะไม่เหมาะกับผมหรือเจ้าของกระทู้ก็ได้  ผมก็เลยไม่อยากจะไปวิจารณ์อะไรครับ

ผมถึงได้ถามคำจำกัดความของคำว่า รถยนต์ และ ค่าใช้จ่าย ในการจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณไง เห็นแย้งไปก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไปเรื่องนู้นที เรื่องนี้ที พูดออกมาจะได้เปลี่ยนไม่ได้ จะได้อยู่ในประเด็นด้วย ไม่งั้นก็เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ไม่จบสักที

"ความหมายผมให้คุณหาเพราะต้องการรู้คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ  --->ต้องให้อธิบายอีกเหรอครับ คำตอบที่คุณต้องการผมก็พิมพ์ไว้แต่แรกแล้ว  แถมยังขยายความให้อีกตั้งหลายครั้ง  ลองไปอ่านดูใหม่ สงสัยตรงไหนมาถามละกันครับ  เพื่อนๆ ผมอ่าน มันก็เข้าใจที่ผมพิมพ์ไปกันอยู่นะ     
สรุปว่าที่ผ่านมาคุณไม่เข้าใจคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของผมเลย แต่สามารถอภิปรายมันได้เป็นฉากๆ เลยเหรอครับ  อภิปรายในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจก็ได้ด้วยเหรอ   มันไม่ใช่คำจำกัดความครับ  มันเป็นมุมมองครับ    คล้ายๆ กับคำว่า เป็น ไม่เท่ากับ มองว่าเป็น นั่นแหละครับ"

เพราะคุณเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไง ตอนแรกก็พูดเรื่องค่าบำรุงรักษา บลาๆ เลยมองเป็นค่าใช้จ่าย ต่อมาก็สินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ ต่อมาก็ตลิ่งพัง ไปไกลถึงขนาดเรื่องการจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ใหม่ คุณเอาไอ้การจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมา definition ผมเบื่อที่คุณจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้ว แย้งแล้วตอบให้ได้ทีเดียวจะได้จบ  ---> อันนี้ผมตอบคำถามคุณไปเรื่อยๆ ที่คุณถามออกนอกประเด็นเองงัยครับ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเด็นคำถามของเจ้าของกระทู้เลย  คุณถามนอกประเด็นเอง ผมก็ยังอุตส่าห์ตอบให้  แล้วคุณก็เอาไปโยงกันเองมั่วไปหมด  เอาคำตอบที่ 3 ไปเป็นคำตอบของคำถามที่ 2  บ้างล่ะ  เอาเหตุผลเฉพาะของปัญหาที่ 4 ไปตีความเองว่าใช้ได้กับคำถามที่ 1 บ้างล้ะ         พอคุณจับโยงมั่ว ผมยังอธิบายซ้ำให้ด้วยนะ ผมตอบไปหลายรอบ จนเริ่มจะเบื่อแล้วล่ะ     ความคิดผมมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย  ลองไปอ่านทบทวนทั้งหมดตามลำดับเหตุการณ์ดูนะ  8) 8) 8)  5555+

"โจทย์ของเจ้าของกระทู้มีอยู่ข้อเดียวคือ "การซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"   ซึ่งมันคือมุมมองของ Asset Allocation  และผมก็เห็นว่าในเชิงการบริหาร Asset แล้ว ไม่มีใครเค้ากำหนดรถยนต์อยู่ใน Portfolio  จึงแนะนำให้ลองเพิ่มมุมมองในแบบ Expense Allocation ก็เท่านั้นเองครับ  ก็ไม่น่าเชื่อนะว่าจะมีคนที่โยงไปไกลถึง การลงบัญชี มาตรฐานปัญชี  จนลามไปถึงพจนานุกรมได้ยังงัย"

สรุปนะ มุมมองมันควรยึดความหมายพื้นฐาน ไม่งั้นคุณก็เหมือนคนบ้า รถมันคงเป็นหมาก็ได้ แมวก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แล้ว ดังนั้นความแตกต่างของมุมมองที่คุณพูดถึงมันจึงจำเป็นที่จะต้องมีส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่ จึงจะมองแบบนั้นได้ เข้าใจไหม? และสิ่งที่ผมพยายามอธิบายคือ การไม่ซ้อนทับของความหมายพื้นฐานทั่วๆ ไป "ประกาศกร้าวเลยนะครับว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!  555+ " ผมไม่เห็นคุณจะอธิบายเรื่องนี้ได้ตรงไหน ค่าใช้จ่ายไม่มีตัวตน---> รถยนต์มันถึงเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ไง
ถ้าคุณยังจะยืนยัน ว่าเป็นมุมมอง โดยไม่ยึดพื้นฐานความหมายให้ถูกต้องก่อน --> ผมบอกตรงไหนว่าไม่ให้ยึดพื้นฐานความหมายให้ถูกต้องก่อน   งั้นผมก็ว่าคงคุยกับคนบ้าแหละ คือรถแม่ง เป็นหมาก็ได้ แมวก็ได้ จะเอาอะไรละ เป็นอะไรดี รถควรจัดเป็นกระต่ายไหม คือมันเพี้ยนน่ะคุณ  -->  รถเป็นรายได้ ผมก็แสดงให้คุณดูแล้ว  แต่ให้เป็นหมา แมว กระต่าย คุณคิดเองก็ควรแสดงเองนะ คิดเองเพี้ยนเอง 55+   เอาคำจำกัดความของคำว่า ค่าใช้จ่าย และ รถยนต์ ในการจัดหมวดหมู่ทางความคิดของคุณมาก่อนดีกว่า ไม่งั้นคุณก็ดิ้นไปเรื่อย มันเป็นมุมมองของคุณคนเดียว คนอื่นเขาไม่เข้าใจด้วยหรอก ที่ผมแย้งคือเป็นไปตามสิ่งที่ทั้งโลกรู้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องอธิบาย คุณรู้บัญชีนี่ คนที่ขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่คือคุณ ไม่ใช่ผม ความหมายพื้นฐานของคำก็ขัดแย้ง แบบนี้แหละดี definition มาเลย จะได้เปลี่ยนไม่ได้อีก  --->   คำจำกัดความผมก็เอาตามที่คนทั่วไปเข้าใจแหละ ไม่เคยสร้างคำจำกัดความเองครับ   นี่ผมเป็นคนลำบากไปเสริจมาให้คุณละกันนะ

วิกิพีเดีย
- ค่าใช้จ่าย คือ มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่าบริการหรือสินค้าต้องจ่ายเมื่อทำกิจกรรมใดๆ โดยอาจจ่ายในรูปแบบเงินสดหรือเครดิต 
- สินทรัพย์ (asset) คือทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของกิจการ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนหรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนที่สามารถเป็นเจ้าของและทำให้เกิดมูลค่าได้ และที่ถือครองโดยองค์กรที่สามารถทำให้เกิดคุณค่าทางบวกทางเศรษฐกิจ

ทางบัญชี
- ค่าใช้จ่าย คือ ต้นทุนส่วนที่หักออกจากรายได้ในรอบระยะเวลาที่ดำเนินการงานหนึ่ง

พจนานุกรม
- รถยนต์ คือ รถที่มีล้อตั้งแต่ ๓ ล้อขึ้นไป ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น แต่ไม่ได้แล่นไปบนราง มีหลายประเภท เช่น รถเก๋ง รถกระบะ รถบรรทุก.

ผมกลับมามองที่ความหมายพื้นฐานตามที่คุณบอกก็ได้ 
-ค่าใช้จ่าย คือ มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่าบริการหรือสินค้าต้องจ่ายเมื่อทำกิจกรรมใดๆ โดยอาจจ่ายในรูปแบบเงินสดหรือเครดิต   --> มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่ารถยนต์ ต้องจ่ายเมื่อซื้อรถยนต์  มันก็ต้องเป็นค่าใช้จ่ายได้สิคู้ณณณณ   แล้วใครน้า ที่ประกาศกร้าวว่ารถยนต์ไม่มีทางเป็นค่าใช้จ่ายได้   :-[ :-[ :-[   

ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมานั่งหาคำจำกัดความเกี่ยวกับคำทางบัญชี มาอธิบายแจกแจงโดยละเอียดให้กับคนที่ไล่ผมไปหาความรู้เรื่องทางบัญชีและการลงทุนเลยนะครับเนี่ย มีปัญญาแย้งได้เย้วๆๆ แต่ไม่มีปัญญาหาเอาเอง  โคตรเพลีย   :P :P :P


ผมไม่เข้าใจอยู่อย่างนึงนะ คือ เอาเพื่อน หรือคนอื่นมาตอบ --->  อ๊ะๆ เข้าใจผิดอีกแล้วนะครับ เค้ามาเล่นเกมเฉยๆ ไม่ได้มาช่วยตอบใดใดทั้งสิ้น  คุณคิดว่าเพื่อนของผม มีใครอยากคุยกับคุณเหรอครับ หลงตัวเองจังเลย 555+  ??? ??? ???  มีแต่ผมนี่แหละที่สนุกกับการตอบคำถามคุณอยู่คนเดียวเนี่ย  เพื่อนผมเค้าแค่สนุกกับการอ่านบทสนทนาแค่นั้นครับ  เอ๊ะ หรือว่าอยากให้เพื่อนผมมาคุยกับคุณด้วยล่ะ เดี๋ยวจะชวนให้เค้าสมัครเข้ามาตอบคุณด้วยดีป่าวครับ  ;D ;D ;D   
เขามีความคิดเหมือนคุณไหม --->ก็มีเหมือนบ้าง ไม่เหมือนบ้างงัยครับ  ผมถึงงงว่าคุณเอามาจากไหนว่า นักการเงินคิดเหมือนกันหมด 555+
เขาเข้าใจสิ่งที่คุณคิดด้วยหรือเปล่า --> เข้าใจสิครับ เพื่อนๆ ผมเข้าใจตั้งแต่อ่านครั้งแรกเลยด้วย เค้ายังงงกันว่า ผมอธิบายขนาดนี้แล้ว ยังมีคนไม่เข้าใจอีกเหรอ ยิ่งเป็นคนที่มั่นใจขนาดไล่คนอื่นไปหาความรู้ทางบัญชี และการลงทุนแล้วด้วยเนี่ยนะ กลับไม่เข้าใจได้อย่างไร 55+

เขาพูดแทนคุณได้ด้วยไหม --> ทำไมต้องพูดแทนกันครับ คำพูดของใครคนนั้นต้องรับผิดชอบสิครับ
แล้วการทำแบบนี้มันไม่เรียกว่า อคติ เหรอ การตอบแบบนี้มันมี อคติ ไหม ไม่มีจริงๆ เหรอ? หรือแค่พยายามให้ไม่มี? คิดให้ได้ครับว่าอะไรถูกต้อง อะไรที่เป็นจริง ที่ทำอยู่พูดได้เต็มปากไหมว่า no bias ลองใช้วิจารณญาณดูครับ ผมมีคำอยู่นะ conflict of interest? ---> คำนี้ผมเข้าใจดีเลยล่ะ แต่ยังไม่เข้าใจว่าคุณเอามาใช้กับสถานการณ์ตรงนี้ มันเกี่ยวกันตรงไหน เฉลยละเอียดๆ หน่อยนะ  ;D ;D ;D   ถ้ามีคนที่ทำงานการเงินอยู่จริงคุณต้องเข้าใจความหมายของคำว่า จรรยาบรรณวิชาชีพหรือธรรมาภิบาล และมันไม่ครอบคลุมแค่การทำงานเท่านั้นแน่ ช่วยพูดทีว่าที่คุณทำอยู่ใช่ conflict of interest ไหม คือการทำแบบนี้เพื่อนของคุณจะเสียเองนะครับ    ---> ที่ผมทำอยู่ไม่เกี่ยวกับ  conflict of interest ครับ   ผมยกเคสที่เกี่ยวกับ conflict of interest ให้ดูเป็นตัวนะครับ เช่น   นาย A เป็นกรรมการผู้จัดการ และ เป็นคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนของกรรมการผู้จัดการด้วย  แบบนี้ครับถึงจะเรียกว่านาย A มี conflict of interest   ส่วนที่คุณอ้างว่าผมมี conflict of interest  รบกวนช่วยอธิบายให้ชัดหน่อยครับ 

  ส่วนเพื่อนของผม เค้าก็ชอบอ่านความเห็นของคุณ  ความเห็นของคุณ คุณก็เคยบอกเองว่าที่นี่เป็นพื้นที่สาธารณะ คุณมีสิทธิแสดงความเห็นอะไรก็ได้  ก็ในเมื่อคุณแสดงความเห็นในที่สาธารณะได้  ใครๆ ก็ต้องอ่านความเห็นบนที่สาธารณะได้สิครับ มัน Conflict of interest ตรงไหนเหรอ    ถ้าคุณคิดว่ามันคือ conflict of interest  อธิบายออกมา  เชื่อมโยงกันให้ดูหน่อยครับ ขอคำอธิบายชัดๆ เลยนะครับ ว่า Conflict of interest ยังงัย   
[/b][/color][/size]

1   3  4 5  7 9  11  14

ตอบคำถามไปหมดแล้วนะครับ   คำจำกัดความก็หาให้แล้วนะครับ  ผมไม่สร้างคำจำกัดความเองครับ
 
ผมขอทวงคำตอบบ้างครับ   ขอฟังคำตอบนะครับ   อย่าหนีการตอบคำถามโดยการสร้างคำถามใหม่ขึ้นมาอีกนะครับ  พฤติกรรมแบบนี้เค้าเดาทางกันถูกกันหมดแล้วครับ


1.  ตกลงที่ประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!     นี่ยังยืนยันคำเดิมอยู่ป่าวครับ  555+     บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ 

2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ

3. คุณยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
 มูลค่ารถยนต์ทั้งคัน เป็นได้ทั้งรายได้  และ ค่าใช้จ่าย  ผมก็แสดงให้เห็นแล้ว  -->   โชว์รูมรถยนต์ ซื้อรถมาจากโรงงานแล้วขายไป มูลค่ารถทั้งคันที่ขายได้ ก็เป็นรายได้     ส่วนมูลค่ารถทั้งคันที่ซื้อมา ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ตกลงยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า  ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ถ้าอย่างนั้นที่โชว์รูมรถยนต์ลงมูลค่ารถยนต์ทั้งคันเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายมันผิดตรงไหน และ ต้องแก้ยังงัยให้ถูกครับ

4. คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ

[/color]


ผมตอบคุณทุกคำถามแล้วนะ  หวังว่าจะได้คำตอบ คำอธิบายจากคุณบ้างนะฮ้าบ     8) 8) 8) 8)


Note
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3
รอบที่ 3  (1   3  4 5  7 9  11  14)
เข้ม=3+2+3   เหน่ง=1+3+2  อาย=2+2+3   เจษ=2+3+3     โอ๋=1+0+0   ป้อม=2+2+3  เอ็ม=2+3+2   ปุ๊ก=2+2+3    แอป=2+1+2    พิม=3+3+3    เก๋=3+3+3   บอล=1+2+3    ไอซ์=1+2+0   ทิ=1+1+0  ดาว=0+2+3   X=0+3+3
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ พฤษภาคม 22, 2020, 02:48:36

1   3  4 5  7 9  11  14

ตอบคำถามไปหมดแล้วนะครับ   คำจำกัดความก็หาให้แล้วนะครับ  ผมไม่สร้างคำจำกัดความเองครับ
 
ผมขอทวงคำตอบบ้างครับ   ขอฟังคำตอบนะครับ   อย่าหนีการตอบคำถามโดยการสร้างคำถามใหม่ขึ้นมาอีกนะครับ  พฤติกรรมแบบนี้เค้าเดาทางกันถูกกันหมดแล้วครับ


1.  ตกลงที่ประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!     นี่ยังยืนยันคำเดิมอยู่ป่าวครับ  555+     บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ 

2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ

3. คุณยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
 มูลค่ารถยนต์ทั้งคัน เป็นได้ทั้งรายได้  และ ค่าใช้จ่าย  ผมก็แสดงให้เห็นแล้ว  -->   โชว์รูมรถยนต์ ซื้อรถมาจากโรงงานแล้วขายไป มูลค่ารถทั้งคันที่ขายได้ ก็เป็นรายได้     ส่วนมูลค่ารถทั้งคันที่ซื้อมา ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ตกลงยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า  ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ถ้าอย่างนั้นที่โชว์รูมรถยนต์ลงมูลค่ารถยนต์ทั้งคันเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายมันผิดตรงไหน และ ต้องแก้ยังงัยให้ถูกครับ

4. คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ

[/color]


ผมตอบคุณทุกคำถามแล้วนะ  หวังว่าจะได้คำตอบ คำอธิบายจากคุณบ้างนะฮ้าบ     8) 8) 8) 8)


Note
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3
รอบที่ 3  (1   3  4 5  7 9  11  14)
เข้ม=3+2+3   เหน่ง=1+3+2  อาย=2+2+3   เจษ=2+3+3     โอ๋=1+0+0   ป้อม=2+2+3  เอ็ม=2+3+2   ปุ๊ก=2+2+3    แอป=2+1+2    พิม=3+3+3    เก๋=3+3+3   บอล=1+2+3    ไอซ์=1+2+0   ทิ=1+1+0  ดาว=0+2+3   X=0+3+3

"ปล.  แหม่  อ้างเรื่อง law of one price และ no arbitrage เนี่ยนะครับ
- law of one price ใช้กับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่เหรอครับ  อยู่ในเนื้อหาวิชา Inter Fin  แล้วมันไปโยงกับการการลงทุน การประเมินมูลค่าทรัพย์สินยังงัยดีล่ะ  ถ้าคุณพูดจริงน่าสนใจนะครับ  แสดงให้ดูหน่อยครับ
- อ้าง no arbitrage อีกด้วย    หลักๆ จะใช้กับ Inter Fin กับ Option นะครับ   ไหนลองเชื่อมโยงกับ Investment ให้ดูหน่อยครับ"

จริงๆ แล้วพูดไปมันก็แตกประเด็นไปเรื่อย เหมือนมันจะนอกประเด็นเรื่อง รถยนต์ควรจัดเป็นค่าใช้จ่าย ไปไกลแล้ว ผมถึงได้บอกไงครับว่าคุณเอาคนอื่นมาตอบมันก็กลายเป็นว่าผมคุยกับเพื่อนคุณ แล้วก็ไปประเด็นอื่นเลย ตอบสั้นๆ แล้วกัน ถ้าไม่เข้าใจไป search google เอาเองนะครับ เดี๋ยวจะยาว law of one price ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว คุณจะประเมินสินทรัพย์อะไร มันก็ต้อง follow 2 ทฤษฎีนี้เป็นตัวเริ่มแรก คุณรู้จัก stochastic discount factor ไหม มันคือการประเมินสินทรัพย์ทุกชนิดแบบง่ายๆ ก่อนที่จะคิดสูตรอะไรออกมาโดยเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแต่ละสินทรัพย์ คุณเอาตัวแปรสินทรัพย์*stochastic discount factor มันจะได้ มูลค่าสินทรัพย์ทุกชนิด เห็นชอบพูดถึง option ยกตัวอย่าง option แล้วกัน มูลค่า option แรกเริ่มก็มาจาก geometric brownian motion equation ขี้เกียจพูด เอาเป็นว่าบอกเพื่อนคุณมาคุยอีกประเด็นกับผมดีกว่า(มันมีวิธีอธิบายอยู่แต่คุณต้องเข้าใจสิ่งที่ผมพูดด้วยและต้องใช้เนื้อที่ยาวประมาณนึงเลยทีเดียว) นอกประเด็นเสียเวลา ผมไม่รู้ว่าผมคุยกับใครบ้างแล้ว

"ไม่เข้าใจคำว่ารันโมเดลอีกแล้วใช่ป่าว มันคือการสร้างโมเดลขึ้นมาเองแบบเคสบายเคส  มันไม่ใช่เครื่องมือแบบที่ใส่ๆ อะไรเข้าไป แล้วผลลัพธออกมานะครับ คิดง่ายไปป่าว 555+  มันก็ต้องมีการจัดหมวดหมู่ทางความคิดเอง   แต่ละเคสก็ต้องสร้างโมเดลเฉพาะตัวขึ้นมา แล้วจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองสร้างได้ยังงัยละครับ  แต่คนนอกอย่างคุณที่มาดู แล้วไม่เข้าใจอันนี้ก็อาจจะเป็นได้ มันอยู่ที่พื้นฐานความสามารถของคุณเอง   เอ้ออ  ตอนผมทำโมเดลให้ธุรกิจดีลเลอร์โชว์รูมนะ  รถยนต์นี่เป็นค่าใช้จ่ายเต็มๆ เลยล่ะ   ถ้าคุณมีความเข้าใจจริงๆ  ตุณจะไม่ฟันธงว่ารถยนต์ไม่มีทางเป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน"

ผมพูดถึง logic ที่อยู่ใน model คุณก็จะไปแต่เรื่องการใช้ model พูดซ้ำๆ อะคุณน่ะ

"อันนี้ผมตอบคำถามคุณไปเรื่อยๆ ที่คุณถามออกนอกประเด็นเองงัยครับ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเด็นคำถามของเจ้าของกระทู้เลย  คุณถามนอกประเด็นเอง ผมก็ยังอุตส่าห์ตอบให้  แล้วคุณก็เอาไปโยงกันเองมั่วไปหมด  เอาคำตอบที่ 3 ไปเป็นคำตอบของคำถามที่ 2  บ้างล่ะ  เอาเหตุผลเฉพาะของปัญหาที่ 4 ไปตีความเองว่าใช้ได้กับคำถามที่ 1 บ้างล้ะ         พอคุณจับโยงมั่ว ผมยังอธิบายซ้ำให้ด้วยนะ ผมตอบไปหลายรอบ จนเริ่มจะเบื่อแล้วล่ะ     ความคิดผมมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย  ลองไปอ่านทบทวนทั้งหมดตามลำดับเหตุการณ์ดูนะ "

คำถามผมไม่ได้นอกประเด็นเล้ย มันโยงกลับมาอธิบายคำถามแรก คุณไม่เข้าใจ นั่นไงละ ถึงได้พูดได้เต็มปาก ว่าไม่เกี่ยว คุณไม่เข้าใจเองจริงๆ นั่นแหละ?

"ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมานั่งหาคำจำกัดความเกี่ยวกับคำทางบัญชี มาอธิบายแจกแจงโดยละเอียดให้กับคนที่ไล่ผมไปหาความรู้เรื่องทางบัญชีและการลงทุนเลยนะครับเนี่ย มีปัญญาแย้งได้เย้วๆๆ แต่ไม่มีปัญญาหาเอาเอง  โคตรเพลีย"

คุณอย่าเอาแต่ตอบเป็นกแก้วนกขุนทองเข้าใจบ้างก็ดีนะ สิ่งที่ต้องการจะสื่อคือ ความหมายของคำต้องทับซ้อนกัน ขัดแย้งกันไม่ได้ ไอ้การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณมันมีส่วนที่ขัดแย้งของความหมายอยู่ คุณก็ยังตอบตรงนี้ไม่ได้เลย ที่ตอบมามันมีแต่น้ำ ถ้ามีส่วนที่ความหมายขัดแย้ง รถมันก็เป็นแมวหมาได้หมด ช้าๆ นะ รถยนต์---> มีตัวตน ค่าใช้จ่าย---> มีตัวตนไม่ได้ แล้วไอ้การจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ใหม่ตอนแรก จะเอามาอ้างอีกทำไม? ผมก็เคลียร์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าของแทบทุกอย่างมันก็ต้องใช้เงินซื้อเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว งั้นมันก็ไปที่คำถามเดิมๆ ของทุกอย่างถ้าใช้เงินซื้อมันคือค่าใช้จ่ายหมดงั้นเหรอ? เพราะคุณก็ต้องจ่ายเงินซื้อทั้งนั้น เข้าใจไหมว่ามันอ้างไม่ขึ้น?

"ส่วนเพื่อนของผม เค้าก็ชอบอ่านความเห็นของคุณ  ความเห็นของคุณ คุณก็เคยบอกเองว่าที่นี่เป็นพื้นที่สาธารณะ คุณมีสิทธิแสดงความเห็นอะไรก็ได้  ก็ในเมื่อคุณแสดงความเห็นในที่สาธารณะได้  ใครๆ ก็ต้องอ่านความเห็นบนที่สาธารณะได้สิครับ มัน Conflict of interest ตรงไหนเหรอ    ถ้าคุณคิดว่ามันคือ conflict of interest  อธิบายออกมา  เชื่อมโยงกันให้ดูหน่อยครับ ขอคำอธิบายชัดๆ เลยนะครับ ว่า Conflict of interest ยังงัย  "

ผมไม่ได้พูดถึง Conflict of interest ทางการเงินเลย แค่นี้คุณยังไม่เข้าใจ ผมถามว่าอะไรที่พวกคุณทำอยู่ มันมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ไหม ในเมื่อคุณเอาเพื่อนมาตอบ ไม่ตอบเอง แถมคุณก็พูดเองว่า "เขามีความคิดเหมือนคุณไหม --->ก็มีเหมือนบ้าง ไม่เหมือนบ้างงัยครับ" คนเรามันคิดไม่เหมือนกันทุกเรื่องหรอก ดังนั้น เพื่อนคุณพูดแทนคุณไม่ได้อยู่แล้ว เอามาตอบทำไม? มันเหมือนผมคุยกับอีกคน ไม่เห็นเหรอ? แล้วประเด็นแรกเริ่มมายังไงต่อ? จะรู้เรื่องไหมคุยกับอีกคนเนี่ย? แถมพูดแทนคุณไม่ได้อีก? ความคิดก็ไม่เหมือนกันทุกเรื่อง? แค่นี้มันก็ชัดแล้วนะว่า bias เวลาตอบคำถามการที่คุณเลือกกลุ่มตัวอย่างก็คือคือเพื่อนมาตอบ มันขัดแย้งทางผลประโยชน์ไหม คุณไม่ได้เอาคนกลางมาตอบนะ ผมถึงได้บอกไงว่าสิ่งที่พวกคุณทำอยู่มันกระทบจรรยาบรรณของนักการเงิน หรือคุณจะบอกว่าจรรยาบรรณใช้เฉพาะเวลางานเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็คงทำอะไรแบบนี้บ่อยสินะครับ เพราะมันคือเพื่อนคุณไงครับ ความเห็นมันถึงขัดแย้งทางผลประโยชน์

1.  ตกลงที่ประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!     นี่ยังยืนยันคำเดิมอยู่ป่าวครับ  555+     บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ

สรุปคือ ก่อนหน้าที่ตอบว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ใครตอบฟะ? แล้วตอนนี้สรุปมีตัวตนซะงั้น ย้อนแย้งไปมา เอาไงสักอย่างสิคุณ ผมบอกไปแล้วนะว่าคุณมองแต่บัญชีบริษัท ให้ปรับมามองบัญชีของตัวเอง แต่เอาเถอะ กรณีนี้คุณได้สินทรัพย์มา แต่พอมันเป็นยาง บัญชีเขาก็รวมไปกับตัวรถยนต์ ถ้าหากบัญชีเขาแยกชิ้นส่วนรถยนต์ออกมาละเอียดเลยนะ ล้อ ยาง แบต ฟิล์ม แบบนี้ยังไงก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์ ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย สรุปคุณยกตัวอย่างนี้เพื่อที่จะบอกว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้ใช่ไหม? อย่ายกอะไรที่มันละไว้ เช่นพวกชิ้นส่วนที่เขาไม่ได้แจงละเอียด มันคือการเหมารวม ถ้าแจงให้ละเอียดยังไงก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์

2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ

ผมตอบไปแล้วไง ว่า ภาษาคน จะเปลี่ยนมุมมอง ความหมายต้องซ้อนทับกัน ถ้าขัดแย้ง รถก็เป็นหมาแมวได้หมด มันก็เหมือนคนบ้า แล้วก็บอกไปแล้วว่าความหมายที่ขัดแย้งคืออะไร เหมือนคุณจะไม่เข้าใจมากกว่าถึงได้ถามซ้ำๆ

3. คุณยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
 มูลค่ารถยนต์ทั้งคัน เป็นได้ทั้งรายได้  และ ค่าใช้จ่าย  ผมก็แสดงให้เห็นแล้ว  -->   โชว์รูมรถยนต์ ซื้อรถมาจากโรงงานแล้วขายไป มูลค่ารถทั้งคันที่ขายได้ ก็เป็นรายได้     ส่วนมูลค่ารถทั้งคันที่ซื้อมา ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ตกลงยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า  ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ถ้าอย่างนั้นที่โชว์รูมรถยนต์ลงมูลค่ารถยนต์ทั้งคันเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายมันผิดตรงไหน และ ต้องแก้ยังงัยให้ถูกครับ

คุณก็ยังไปได้เรื่อยๆ เนอะ สิ่งที่ยกมาคุณเอาธุรกิจขายรถมาไง ผมก็บอกไปแล้วว่าคำมถามที่คุณจัดความคิดคุณ มันพูดถึงตัวคุณเองไม่ใช่เหรอ ก็บอกให้ปรับมาเป็นบัญชีตัวเองไง จะบอกให้นะ การเอาธุรกิจที่ขายรถมาอ้างเพื่อจะตอบ logic ความหมายคำของผม มันอ้างได้เหรอ ในเมื่อเคสนี้รถเป็นสินค้าของธุรกิจเขา มันมีส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่เพราะรถเป็นสินค้าของเขา แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้อยู่ดี มันก็ต้องเป็นต้นทุนขาย ผมจะบอกอะไรให้นะ ที่ผมถามคุณคือความหมายทั่วๆ ไป การเอาบัญชีของธุรกิจขายรถมาเพื่อตอบ พยายามเนอะ แล้วมันจะไปตอบเรื่องอื่นๆ ยังไงต่อครับ ยึดหลักการให้ได้ก่อน ภาษาคนความหมายต้องซ้อนทับกัน ขัดแย้งกันไม่ได้ ถ้ายังคุยภาษาคนอยู่นะ

4. คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ

สายไหนไม่รู้นะครับ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าชำนาญด้านไหนไหม มันก็เป็นวิชาๆ ไป derivative บริหาร บัญชี เสดสาด สถิติ มันก็คละๆ กันไป ความคิดแต่ละคนมันก็แตกต่างกันไป คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้วละ แต่นัยยะที่ผมพูดคือ logic การประเมินสิ่งต่างๆ มันควรจะมองให้เหมือนกันหากเข้าใจละก็นะ คุณนี่ก็ innocent นะ ขี้เกียจอธิบาย ขึ้นอยู่กับว่าคำจำกัดความคำว่า นักการเงิน ของคุณเป็นยังไงมากกว่า ผมขี้เกียจเดา เดี๋ยวผิดอีกคุณยิ่งมีความคิดประหลาดๆ อยู่ด้วย ไม่เป็นไปตามมนุษย์ทั่วไปเขาเป็นกัน
เรียนจบการเงิน เป็นไหม ทำงานการเงิน เป็นไหม คือคุณถามไม่ละเอียด ผมตอบไป คุณก็อ้างไปเรื่อยอีกอยู่ดี

คุณอาจจะคิดว่าคุณกับเพื่อนเล่นเกมอะไรผมไม่ได้สนใจหรอกนะ แต่มันเหมือนผมคุยกับหลายคน ผมไม่อยากจะแตกประเด็นกับอีกคน แค่นี้มันก็ยาวจนไม่รู้จะยังไงแล้ว แถมยังต้องกลับมาประเด็นเริ่มต้นให้ได้อีก "รถยนต์ไม่ควรจัดเป็นค่าใช้จ่าย" แล้วก็ที่ทำกันอยู่นะ พึงระลึกไว้ด้วยว่าพวกคุณมี conflict of interest เต็มๆ แถมความเห็นก็ยัง bias อีก ต่อให้พยายามตอบให้ดีแค่ไหน มันก็ไม่สมควรไหม ถ้าเป็นนักการเงินจริงน่าจะคิดได้นะครับ ไม่น่าถามด้วยซ้ำ เคยทำวิทยานิพนธ์หรือ research ไหม แค่นี้น่าจะมองออกนะ conflict of interest ไม่ได้ใช้เฉพาะการเงินซะหน่อย ความขัดแย้งทางผลประโยชน์มันมีทุกที่ทุกวงการนั่นแหละ ที่ทำกันอยู่นี่ก็ใช่ ถ้าแค่นี้มองไม่ออกวิทยานิพนธ์ผ่านมาได้ยังไงครับ? แต่ละคน?

ผมพูดตามตรงเลยนะ เรื่อง conflict of interest เนี่ย คุณเหมือนจะฉลาดนะ แต่ก็ไม่ คิดมาได้ยังไงว่าเป็น conflict of interest ทางการเงิน เพื่อนคุณ(มีนักการเงินด้วย)กับคุณมองไม่ออกกันจริงๆ หรือ? ว่าที่ทำกันอยู่มันมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์น่ะ ยิ่งมีนักการเงินด้วยน่าจะเตือนๆ กันหน่อยนะ คุณมีจรรยาบรรณวิชาชีพที่ต้องรักษา ไม่ใช่มาทำซะเองแบบนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิดครับ ยอมรับกันบ้าง ผมว่ามันค่อนข้างชัดนะว่าใครมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังไง แต่ถ้ายังคิดว่าไม่อยู่ละก็ ผมก็อยากได้ยินชัดๆ ว่าไม่มี conflict of interest ใครเป็นคนพูด รับผิดชอบคำพูดหน่อยนะครับ อย่าลืมนะ พวกคุณไม่ใช่คนกลาง เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักกับใคร ใครเป็นคนเลือก ไม่ได้สุ่มมานะ???? โอย...หลายอย่างอะครับ ที่มันชี้ได้ชัดเลย
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ พฤษภาคม 22, 2020, 08:26:38

1   3  4 5  7 9  11  14

ตอบคำถามไปหมดแล้วนะครับ   คำจำกัดความก็หาให้แล้วนะครับ  ผมไม่สร้างคำจำกัดความเองครับ
 
ผมขอทวงคำตอบบ้างครับ   ขอฟังคำตอบนะครับ   อย่าหนีการตอบคำถามโดยการสร้างคำถามใหม่ขึ้นมาอีกนะครับ  พฤติกรรมแบบนี้เค้าเดาทางกันถูกกันหมดแล้วครับ


1.  ตกลงที่ประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!     นี่ยังยืนยันคำเดิมอยู่ป่าวครับ  555+     บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ 

2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ

3. คุณยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
 มูลค่ารถยนต์ทั้งคัน เป็นได้ทั้งรายได้  และ ค่าใช้จ่าย  ผมก็แสดงให้เห็นแล้ว  -->   โชว์รูมรถยนต์ ซื้อรถมาจากโรงงานแล้วขายไป มูลค่ารถทั้งคันที่ขายได้ ก็เป็นรายได้     ส่วนมูลค่ารถทั้งคันที่ซื้อมา ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ตกลงยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า  ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ถ้าอย่างนั้นที่โชว์รูมรถยนต์ลงมูลค่ารถยนต์ทั้งคันเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายมันผิดตรงไหน และ ต้องแก้ยังงัยให้ถูกครับ

4. คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ

[/color]


ผมตอบคุณทุกคำถามแล้วนะ  หวังว่าจะได้คำตอบ คำอธิบายจากคุณบ้างนะฮ้าบ     8) 8) 8) 8)


Note
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3
รอบที่ 3  (1   3  4 5  7 9  11  14)
เข้ม=3+2+3   เหน่ง=1+3+2  อาย=2+2+3   เจษ=2+3+3     โอ๋=1+0+0   ป้อม=2+2+3  เอ็ม=2+3+2   ปุ๊ก=2+2+3    แอป=2+1+2    พิม=3+3+3    เก๋=3+3+3   บอล=1+2+3    ไอซ์=1+2+0   ทิ=1+1+0  ดาว=0+2+3   X=0+3+3

"ปล.  แหม่  อ้างเรื่อง law of one price และ no arbitrage เนี่ยนะครับ
- law of one price ใช้กับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่เหรอครับ  อยู่ในเนื้อหาวิชา Inter Fin  แล้วมันไปโยงกับการการลงทุน การประเมินมูลค่าทรัพย์สินยังงัยดีล่ะ  ถ้าคุณพูดจริงน่าสนใจนะครับ  แสดงให้ดูหน่อยครับ
- อ้าง no arbitrage อีกด้วย    หลักๆ จะใช้กับ Inter Fin กับ Option นะครับ   ไหนลองเชื่อมโยงกับ Investment ให้ดูหน่อยครับ"

จริงๆ แล้วพูดไปมันก็แตกประเด็นไปเรื่อย เหมือนมันจะนอกประเด็นเรื่อง รถยนต์ควรจัดเป็นค่าใช้จ่าย ไปไกลแล้ว ผมถึงได้บอกไงครับว่าคุณเอาคนอื่นมาตอบมันก็กลายเป็นว่าผมคุยกับเพื่อนคุณ แล้วก็ไปประเด็นอื่นเลย ตอบสั้นๆ แล้วกัน ถ้าไม่เข้าใจไป search google เอาเองนะครับ เดี๋ยวจะยาว law of one price ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว คุณจะประเมินสินทรัพย์อะไร มันก็ต้อง follow 2 ทฤษฎีนี้เป็นตัวเริ่มแรก คุณรู้จัก stochastic discount factor ไหม มันคือการประเมินสินทรัพย์ทุกชนิดแบบง่ายๆ ก่อนที่จะคิดสูตรอะไรออกมาโดยเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแต่ละสินทรัพย์ คุณเอาตัวแปรสินทรัพย์*stochastic discount factor มันจะได้ มูลค่าสินทรัพย์ทุกชนิด เห็นชอบพูดถึง option ยกตัวอย่าง option แล้วกัน มูลค่า option แรกเริ่มก็มาจาก geometric brownian motion equation ขี้เกียจพูด เอาเป็นว่าบอกเพื่อนคุณมาคุยอีกประเด็นกับผมดีกว่า(มันมีวิธีอธิบายอยู่แต่คุณต้องเข้าใจสิ่งที่ผมพูดด้วยและต้องใช้เนื้อที่ยาวประมาณนึงเลยทีเดียว) นอกประเด็นเสียเวลา ผมไม่รู้ว่าผมคุยกับใครบ้างแล้ว

--> สิ่งที่ผมขอให้คุณแสดง มันคือสิ่งที่คุณอ้างเองตั้งแต่ต้นว่า "ต้นตอของการเงินที่ว่าด้วยเรื่องของ law of one price และ no arbitrage แทบทุกๆ ทฤษฎีการเงินต้องมีต้นกำเนิดจาก 2 ทฤษฎีนี้"    อ้างมาได้ ก็ต้องแสดงให้ดูได้ครับ  ไหนลองแสดงให้ดูหน่อยครับว่า 2 ทฤษฎีนี้  มันเชื่อมโยงจนมาถึง DCF ยังงัย  แล้วมาจนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio ตามที่คุณอ้างได้ยังงัย   ยาวแค่ไหนผมก็อ่านได้ครับ    ขอให้อธิบายเชื่อมโยงมาเลยครับ อย่าอ้างลอยๆ  ผมอยากเห็นคุณแสดงว่ามันเชื่อมมาถึงได้งัยบ้าง รบกวนอธิบายมา 2 ประเด็นนะครับ ยกสมการมาก็ได้ครับ ผมจบวิศวะมา เรื่องคณิตศาสตร์ในโมเดล ไม่มีปัญหาครับ อธิบายมาได้เลยครับ

1. เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง stochastic discount factor ได้ยังงัย  จนมาถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio    ผมรออ่านนะครับ  ของแบบนี้ ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ

2. เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับว่ามันโยงไปถึง  geometric brownian motion equation ซึ่งเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของราคาหุ้น แล้วมันโยงมาที่ราคา Option ได้ยังงัย  แล้วโยงจนไปถึง BS Model ได้ยังงัย
ปล. ผม Search ความหมายของ law of one price   มาให้แล้วนะครับ  https://www.investopedia.com/terms/l/law-one-price.asp 

สิ่งที่ต้องการคือคุณควรจะเชื่อมโยงทั้งหมดตามที่คุณกล่าวอ้างว่ามันไปถึงกันได้อย่างไร  ไม่ใช่ให้ผมไปหาเองครับ
ผู้ใดกล่าวอ้าง  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบครับ   

แล้วที่คุณอยากจะพูดถึง ต้นตอ ที่มาของของสูตร วิธีคิด หลักการน่ะครับ รบกวนช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยสิว่า จุดอ่อนสำคัญของ DCF ถ้าเทียบกับวิธีอื่นมีอะไรบ้าง  ขอแค่ 3 ข้อพอ แต่ขอเน้นๆ หลักๆ นะครับ 



"ไม่เข้าใจคำว่ารันโมเดลอีกแล้วใช่ป่าว มันคือการสร้างโมเดลขึ้นมาเองแบบเคสบายเคส  มันไม่ใช่เครื่องมือแบบที่ใส่ๆ อะไรเข้าไป แล้วผลลัพธออกมานะครับ คิดง่ายไปป่าว 555+  มันก็ต้องมีการจัดหมวดหมู่ทางความคิดเอง   แต่ละเคสก็ต้องสร้างโมเดลเฉพาะตัวขึ้นมา แล้วจะไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองสร้างได้ยังงัยละครับ  แต่คนนอกอย่างคุณที่มาดู แล้วไม่เข้าใจอันนี้ก็อาจจะเป็นได้ มันอยู่ที่พื้นฐานความสามารถของคุณเอง   เอ้ออ  ตอนผมทำโมเดลให้ธุรกิจดีลเลอร์โชว์รูมนะ  รถยนต์นี่เป็นค่าใช้จ่ายเต็มๆ เลยล่ะ   ถ้าคุณมีความเข้าใจจริงๆ  ตุณจะไม่ฟันธงว่ารถยนต์ไม่มีทางเป็นค่าใช้จ่ายแน่นอน"


"อันนี้ผมตอบคำถามคุณไปเรื่อยๆ ที่คุณถามออกนอกประเด็นเองงัยครับ มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับประเด็นคำถามของเจ้าของกระทู้เลย  คุณถามนอกประเด็นเอง ผมก็ยังอุตส่าห์ตอบให้  แล้วคุณก็เอาไปโยงกันเองมั่วไปหมด  เอาคำตอบที่ 3 ไปเป็นคำตอบของคำถามที่ 2  บ้างล่ะ  เอาเหตุผลเฉพาะของปัญหาที่ 4 ไปตีความเองว่าใช้ได้กับคำถามที่ 1 บ้างล้ะ         พอคุณจับโยงมั่ว ผมยังอธิบายซ้ำให้ด้วยนะ ผมตอบไปหลายรอบ จนเริ่มจะเบื่อแล้วล่ะ     ความคิดผมมันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเลย  ลองไปอ่านทบทวนทั้งหมดตามลำดับเหตุการณ์ดูนะ "

คำถามผมไม่ได้นอกประเด็นเล้ย มันโยงกลับมาอธิบายคำถามแรก คุณไม่เข้าใจ นั่นไงละ ถึงได้พูดได้เต็มปาก ว่าไม่เกี่ยว คุณไม่เข้าใจเองจริงๆ นั่นแหละ?

"ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมานั่งหาคำจำกัดความเกี่ยวกับคำทางบัญชี มาอธิบายแจกแจงโดยละเอียดให้กับคนที่ไล่ผมไปหาความรู้เรื่องทางบัญชีและการลงทุนเลยนะครับเนี่ย มีปัญญาแย้งได้เย้วๆๆ แต่ไม่มีปัญญาหาเอาเอง  โคตรเพลีย"

คุณอย่าเอาแต่ตอบเป็นกแก้วนกขุนทองเข้าใจบ้างก็ดีนะ สิ่งที่ต้องการจะสื่อคือ ความหมายของคำต้องทับซ้อนกัน ขัดแย้งกันไม่ได้ ไอ้การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณมันมีส่วนที่ขัดแย้งของความหมายอยู่ คุณก็ยังตอบตรงนี้ไม่ได้เลย ที่ตอบมามันมีแต่น้ำ ถ้ามีส่วนที่ความหมายขัดแย้ง รถมันก็เป็นแมวหมาได้หมด ช้าๆ นะ รถยนต์---> มีตัวตน ค่าใช้จ่าย---> มีตัวตนไม่ได้ แล้วไอ้การจ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ใหม่ตอนแรก จะเอามาอ้างอีกทำไม? ผมก็เคลียร์ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าของแทบทุกอย่างมันก็ต้องใช้เงินซื้อเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว งั้นมันก็ไปที่คำถามเดิมๆ ของทุกอย่างถ้าใช้เงินซื้อมันคือค่าใช้จ่ายหมดงั้นเหรอ? เพราะคุณก็ต้องจ่ายเงินซื้อทั้งนั้น เข้าใจไหมว่ามันอ้างไม่ขึ้น?

-->  ผมใช้แหล่งอ้างอิงในการอธิบายนะ ไม่ได้อ้างจากความคิดตัวเองเหมือนคุณเลยนะ   คุณบอกให้ผมแสดงคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายมา  ผมก็หาคำจำกัดความมาให้ ถ้าเอาตามคำจำกัดความของค่าใช้จ่าย มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้    มันเป็นคำจำกัดความที่ใช้เป็นการทั่วไปมีที่มาอ้างอิง  ทุกคนเข้าใจกันหมด  แต่ขนาดหาคำจำกัดความมาให้สวมทับขนาดนี้ยังบอกว่าใช้ไม่ได้อีกนี่   ใครกันอ่ะที่คุยภาษาคนไม่รู้เรื่อง  555+

เวลาไปซื้อรถยนต์หรือซื้ออะไรก็ตาม แล้วพอสรุปยอดเงินที่ต้องชำระ คนขายหรือเซลก็จะบอกว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3.2 ล้านบาทค่ะ    มีมนุษย์คนไหนใช้คำว่า ค่าสินทรัพย์ทั้งหมด 3.2 ล้านบาทแบบคุณบ้างครับ  ถ้ามีคนใช้ว่าค่าสินทรัพย์ ผมขอแหล่งอ้างอิงครับ  555+   :P :P :P



"ส่วนเพื่อนของผม เค้าก็ชอบอ่านความเห็นของคุณ  ความเห็นของคุณ คุณก็เคยบอกเองว่าที่นี่เป็นพื้นที่สาธารณะ คุณมีสิทธิแสดงความเห็นอะไรก็ได้  ก็ในเมื่อคุณแสดงความเห็นในที่สาธารณะได้  ใครๆ ก็ต้องอ่านความเห็นบนที่สาธารณะได้สิครับ มัน Conflict of interest ตรงไหนเหรอ    ถ้าคุณคิดว่ามันคือ conflict of interest  อธิบายออกมา  เชื่อมโยงกันให้ดูหน่อยครับ ขอคำอธิบายชัดๆ เลยนะครับ ว่า Conflict of interest ยังงัย  "

ผมไม่ได้พูดถึง Conflict of interest ทางการเงินเลย แค่นี้คุณยังไม่เข้าใจ ผมถามว่าอะไรที่พวกคุณทำอยู่ มันมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ไหม ในเมื่อคุณเอาเพื่อนมาตอบ ไม่ตอบเอง แถมคุณก็พูดเองว่า "เขามีความคิดเหมือนคุณไหม --->ก็มีเหมือนบ้าง ไม่เหมือนบ้างงัยครับ" คนเรามันคิดไม่เหมือนกันทุกเรื่องหรอก ดังนั้น เพื่อนคุณพูดแทนคุณไม่ได้อยู่แล้ว เอามาตอบทำไม? มันเหมือนผมคุยกับอีกคน ไม่เห็นเหรอ? แล้วประเด็นแรกเริ่มมายังไงต่อ? จะรู้เรื่องไหมคุยกับอีกคนเนี่ย? แถมพูดแทนคุณไม่ได้อีก? ความคิดก็ไม่เหมือนกันทุกเรื่อง? แค่นี้มันก็ชัดแล้วนะว่า bias เวลาตอบคำถามการที่คุณเลือกกลุ่มตัวอย่างก็คือคือเพื่อนมาตอบ มันขัดแย้งทางผลประโยชน์ไหม คุณไม่ได้เอาคนกลางมาตอบนะ ผมถึงได้บอกไงว่าสิ่งที่พวกคุณทำอยู่มันกระทบจรรยาบรรณของนักการเงิน หรือคุณจะบอกว่าจรรยาบรรณใช้เฉพาะเวลางานเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็คงทำอะไรแบบนี้บ่อยสินะครับ เพราะมันคือเพื่อนคุณไงครับ ความเห็นมันถึงขัดแย้งทางผลประโยชน์

1.  ตกลงที่ประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!     นี่ยังยืนยันคำเดิมอยู่ป่าวครับ  555+     บริษัทฯ เปลี่ยนยางไป 4 เส้น บริษัทคุณลงบัญชียาง 4 เส้น เป็นสินทรัพย์หรือเป็นค่าใช้จ่ายครับ แล้วยางรถยนต์มีตัวตนป่าวครับ

สรุปคือ ก่อนหน้าที่ตอบว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ใครตอบฟะ? แล้วตอนนี้สรุปมีตัวตนซะงั้น ย้อนแย้งไปมา เอาไงสักอย่างสิคุณ

--> ผมไม่เคยบอกคุณเลยว่าว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้  มีแต่คุณบอกอยู่คนเดียวนะ  อย่าหาพวกสิ 555++ 
แล้วก็ที่คุณประกาศกร้าวว่า  ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้!!!      ผมขอแหล่งที่มาด้วยครับว่าแหล่งข้อมูลที่ไหนบอกว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้     
ผู้ใดกล่าวอ้าง ผู้นั้นต้องนำสืบครับ


ผมบอกไปแล้วนะว่าคุณมองแต่บัญชีบริษัท ให้ปรับมามองบัญชีของตัวเอง แต่เอาเถอะ กรณีนี้คุณได้สินทรัพย์มา แต่พอมันเป็นยาง บัญชีเขาก็รวมไปกับตัวรถยนต์ ถ้าหากบัญชีเขาแยกชิ้นส่วนรถยนต์ออกมาละเอียดเลยนะ ล้อ ยาง แบต ฟิล์ม แบบนี้ยังไงก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์ ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย สรุปคุณยกตัวอย่างนี้เพื่อที่จะบอกว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้ใช่ไหม? อย่ายกอะไรที่มันละไว้ เช่นพวกชิ้นส่วนที่เขาไม่ได้แจงละเอียด มันคือการเหมารวม ถ้าแจงให้ละเอียดยังไงก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์
--> จริงเหรอครับ  ขอแหล่งอ้างอิงด้วยครับ อย่าอ้างลอยๆ นะครับ  ขอดูการลงบัญชีจริงๆ เป็นตัวอย่างหน่อยครับ ขอดูงบทดลองสัก 1 บริษัทครับ  ไม่ต้องค่าเปลี่ยนยางรถยนต์ก็ได้   อาจจะเป็น  ค่าแบต ค่าน้ำมันเครื่อง  หรือ จะเอาแบบอยู่โดดไม่เหมารวมก็ได้อย่างเช่น ค่าอาหารเลี้ยงรับรอง    ค่าพวงหรีดงานศพ   ขอแหล่งอ้างอิงอย่างงบทดลองแบบที่ลงเป็นสินทรัพย์มาให้ดูหน่อยครับ 


2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ

ผมตอบไปแล้วไง ว่า ภาษาคน จะเปลี่ยนมุมมอง ความหมายต้องซ้อนทับกัน ถ้าขัดแย้ง รถก็เป็นหมาแมวได้หมด มันก็เหมือนคนบ้า แล้วก็บอกไปแล้วว่าความหมายที่ขัดแย้งคืออะไร เหมือนคุณจะไม่เข้าใจมากกว่าถึงได้ถามซ้ำๆ  --> คุณตอบอะไรผมมาเนี่ย   ผมว่าคุณยังไม่ต้องไปถึงภาษาคนหรอก    อย่างคำตอบของ 2.1 มีแค่ รู้จัก หรือ ไม่รู้จัก    หรือคำตอบของ  2.2  ก็มีแค่ เคย หรือ ไม่เคย   คำตอบหลักๆ ที่ผมต้องการ  ผมยังไม่ได้รับคำตอบเลยครับ      :( :( :( :(    

3. คุณยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้
 มูลค่ารถยนต์ทั้งคัน เป็นได้ทั้งรายได้  และ ค่าใช้จ่าย  ผมก็แสดงให้เห็นแล้ว  -->   โชว์รูมรถยนต์ ซื้อรถมาจากโรงงานแล้วขายไป มูลค่ารถทั้งคันที่ขายได้ ก็เป็นรายได้     ส่วนมูลค่ารถทั้งคันที่ซื้อมา ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ตกลงยังยืนยันอยู่หรือเปล่าครับว่า  ไม่ว่าอย่างไรรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ถ้าอย่างนั้นที่โชว์รูมรถยนต์ลงมูลค่ารถยนต์ทั้งคันเป็นรายได้และค่าใช้จ่ายมันผิดตรงไหน และ ต้องแก้ยังงัยให้ถูกครับ

คุณก็ยังไปได้เรื่อยๆ เนอะ สิ่งที่ยกมาคุณเอาธุรกิจขายรถมาไง ผมก็บอกไปแล้วว่าคำมถามที่คุณจัดความคิดคุณ มันพูดถึงตัวคุณเองไม่ใช่เหรอ ก็บอกให้ปรับมาเป็นบัญชีตัวเองไง จะบอกให้นะ การเอาธุรกิจที่ขายรถมาอ้างเพื่อจะตอบ logic ความหมายคำของผม มันอ้างได้เหรอ ในเมื่อเคสนี้รถเป็นสินค้าของธุรกิจเขา มันมีส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่เพราะรถเป็นสินค้าของเขา แต่ก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้อยู่ดี มันก็ต้องเป็นต้นทุนขาย --> เฮ้ยคุณ  ขำอีกแล้วอ่ะ    ตกลงคุณรู้เรื่องบัญชีจริงหรือเปล่าเนี่ย  คุณไม่รู้เหรอว่า   ต้นทุนขาย  ก็เป็นหมวดหนึ่งของค่าใช้จ่าย  ไปเปิดงบการเงินดูสิ ค่าใช้จ่ายเป็นหมวดใหญ่ แล้วก็แบ่งเป็นออกเป็น ต้นทุนขาย กับ SG&A   คุณมาบอกว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช่จ่ายเนี่ยนะ เฮ้ย เอางั้นจริงดิ   แค่พื้นฐานบัญชี คุณก็เป๋หนักแล้วนะคุณ เมาหมัดเหรอครับ 5555+     ;D ;D ;D ;D   

ผมจะบอกอะไรให้นะ ที่ผมถามคุณคือความหมายทั่วๆ ไป การเอาบัญชีของธุรกิจขายรถมาเพื่อตอบ พยายามเนอะ แล้วมันจะไปตอบเรื่องอื่นๆ ยังไงต่อครับ ยึดหลักการให้ได้ก่อน ภาษาคนความหมายต้องซ้อนทับกัน ขัดแย้งกันไม่ได้ ถ้ายังคุยภาษาคนอยู่นะ --> อ่าวคุณผมก็ใช้ความหมายทั่วๆ ไปของวิกิพีเดียมาให้ดูแล้วนิครับ   ถ้าจะเถียงความหมายของ วิกิพีเดีย ก็ไปหาความหมายที่อ้างอิงได้มาเถียงสิครับ  วิกิพีเดียนี่ก็ความหมายทั่วๆ แล้วนี่    มันเป็นความหมายปกติที่คนทั่วไปใช้กันเลยนะ    สร่างเมาก่อนค่อยมาพิมพ์ก็ได้นะคุณ  8) 8) 8)   

- ค่าใช้จ่าย คือ มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่าบริการหรือสินค้าต้องจ่ายเมื่อทำกิจกรรมใดๆ โดยอาจจ่ายในรูปแบบเงินสดหรือเครดิต   
ตามความหมายนี้ มูลค่าเงินที่ใช้เป็นค่ารถยนต์ ต้องจ่ายเมื่อซื้อรถยนต์     แล้ว รถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้ตรงไหนครับ ถ้าจะแย้งตรงนี้ ขอแหล่งอ้างอิงที่มาแย้งตรงนี้ให้ดูหน่อยครับ  อย่าอ้างลอยๆ สิครับ


4. คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ ถ้าเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ

สายไหนไม่รู้นะครับ มันก็ขึ้นอยู่กับว่าชำนาญด้านไหนไหม มันก็เป็นวิชาๆ ไป derivative บริหาร บัญชี เสดสาด สถิติ มันก็คละๆ กันไป ความคิดแต่ละคนมันก็แตกต่างกันไป คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้วละ แต่นัยยะที่ผมพูดคือ logic การประเมินสิ่งต่างๆ มันควรจะมองให้เหมือนกันหากเข้าใจละก็นะ คุณนี่ก็ innocent นะ ขี้เกียจอธิบาย ขึ้นอยู่กับว่าคำจำกัดความคำว่า นักการเงิน ของคุณเป็นยังไงมากกว่า ผมขี้เกียจเดา เดี๋ยวผิดอีกคุณยิ่งมีความคิดประหลาดๆ อยู่ด้วย ไม่เป็นไปตามมนุษย์ทั่วไปเขาเป็นกัน
เรียนจบการเงิน เป็นไหม ทำงานการเงิน เป็นไหม คือคุณถามไม่ละเอียด ผมตอบไป คุณก็อ้างไปเรื่อยอีกอยู่ดี 
-->    เอาอีกล่ะ ถนัดแต่นึกคำจำกัดความเองเหรอครับ ผมก็ถามในสิ่งที่นักการเงินเค้าคุยกันเข้าใจเป็นปกติอยู่แล้ว  มีแต่คุณที่ไม่เข้าใจอีกแล้วล่ะ 
- เรียนจบการเงิน เป็นนักการเงินไหม   --> ไม่เป็นสิครับ  สมมติ เคยเรียนวิชาการแสดงมา แต่ไม่ได้ทำงานด้านการแสดง มันจะเป็นนักแสดงได้ยังงัยล่ะคุณ โอ๊ยย ความคิดน่าเอ็นดู
- ทำงานการเงิน เป็นนักการเงินไหม --> เป็นสิครับ นักการเงินเค้าแบ่งกันเป็นสายๆ ตามประเภทงานที่ทำ นักการเงินมันเป็นอาชีพ ก็ต้องแบ่งตามอาชีพที่ทำสิครับ เค้าไม่ได้แบ่งตามวิชาที่ที่คุณเรียนครับคู้ณณณ  เรียนปุ๊บได้เป็นปั๊บเลยเหรอครับ ตลกอีกล่ะ  555+
คำตอบของคุณทำให้ผมรู้ล่ะว่าคุณไม่ใช่นักการเงินเป็นแน่แท้  นักการเงินสายไหนเค้าก็มีคำจำกัดความเข้าใจกันอยู่แล้ว ผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความเองครับ   เช่น   Banking , Corporate Finance , Investment Banking , Fund Management   




ผมพูดตามตรงเลยนะ เรื่อง conflict of interest เนี่ย คุณเหมือนจะฉลาดนะ แต่ก็ไม่ คิดมาได้ยังไงว่าเป็น conflict of interest ทางการเงิน เพื่อนคุณ(มีนักการเงินด้วย)กับคุณมองไม่ออกกันจริงๆ หรือ? ว่าที่ทำกันอยู่มันมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์น่ะ ยิ่งมีนักการเงินด้วยน่าจะเตือนๆ กันหน่อยนะ คุณมีจรรยาบรรณวิชาชีพที่ต้องรักษา ไม่ใช่มาทำซะเองแบบนี้ ผิดก็ว่าไปตามผิดครับ ยอมรับกันบ้าง ผมว่ามันค่อนข้างชัดนะว่าใครมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังไง แต่ถ้ายังคิดว่าไม่อยู่ละก็ ผมก็อยากได้ยินชัดๆ ว่าไม่มี conflict of interest ใครเป็นคนพูด รับผิดชอบคำพูดหน่อยนะครับ อย่าลืมนะ พวกคุณไม่ใช่คนกลาง เป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักกับใคร ใครเป็นคนเลือก ไม่ได้สุ่มมานะ???? โอย...หลายอย่างอะครับ ที่มันชี้ได้ชัดเลย ---> คุณก็อธิบายมาเลยสิครับว่ามัน conflict of interest ยังงัย  อธิบายให้ได้สิครับ   ว่าเกิดการขัดกันทางผลประโยชน์ตรงไหน
ลองไปหาองค์ประกอบของ  conflict of interest ดูนะครับว่ามีกี่องค์ประกอบ แล้วเอาพฤติกรรมที่คุณบอกว่ามัน conflict of interest  มาวางมาแยกแยะให้ดูทีว่า มันครบองค์ประกอบของ    conflict of interest ยังงัยบ้าง   
     ผู้ใดกล่าวอ้าง ผู้นั้นต้องนำสืบครับ



1   4  5   7   9   14  15   เพิ่มปิ๋มอ้างลอย

เฮ้ยคุณ เลี่ยงการตอบคำถามอีกแล้ว ขนาดบอกไว้แต่ต้นแล้วนะว่าอย่าหนีการตอบคำถาม ผมถามตรงๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน ยังจะใช้มุขเดิมอีก   เวลาที่มีคำถามชัดๆ แล้ว คนตอบใช้วิธีเลี่ยงตอบไปตอบอย่างอื่น มันแสดงถึงอะไรน้าา   555+

เห็นคุณหายไปตั้งหลายวัน กลับมาแล้ว ผมก็นึกว่าจะได้คำตอบจากคุณครบๆ  เปล่าเลย!!!   เลี่ยงการตอบคำถามด้วยการยกเรื่องอื่นมาแทน  เนี่ยแหละน้า คุณถึงไม่มีใครอยากคุยด้วย

คำถามผมถามชัดๆ ตรงๆ ตอบได้สั้นๆ คุณแทบไม่ได้ตอบ  แต่คุณไปพูดเรื่องอื่น  ตกลงผมยังไม่ได้คำตอบนะครับ  ทั้งๆ ที่ผมตอบคุณหมดเลยนะ



  ตามข้อ 1.+3 เดิม  ตามที่คุณกล่าวอ้างว่า  1. ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ และ  3. รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   ผมได้แสดงให้ดูพร้อมแหล่งที่มาแล้วว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้ และ รถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนคุณเถียงอย่างเดียว   ยืนยันแล้วยืนยันอีก แต่ไม่เคยบอกที่มา  ผมขอให้คุณแสดงที่มาและแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ     
ผมแสดงแล้ว ถ้าคุณจะแสดงความเห็นขัดแย้ง คุณควรต้องหาหลักฐานมาแย้งครับ

2.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   2.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ
 

4.  คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   4.1 ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  4.2 แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน   ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   4.3  แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ  4.4 ถ้าคุณเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ   
นี่ผมต้องให้แบ่งคำถามให้ขนาดนี้เลยเหรอ  คำถามนี้ผมถามไปตั้งแต่แรกมันก็ชัดเจนอยู่นะ ลองย้อนขึ้นไปอ่านดูคุณตอบอะไรมาวะครับเนี่ย ไม่ได้คำตอบสักข้อ
(นักการเงินเค้ามีคำจกัดความเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ผมก็เพิ่งทราบว่าคุณไม่เข้าใจ  ผมก็เอาการแบ่งสายที่นักการเงินเค้าเข้าใจกันบอกไปแล้วนะ  เช่น   Banking , Corporate Finance , Investment Banking , Fund Management )   ขอคำตอบของคำถามนี้อีกทีครับ   เอาคำตอบของคำถามนะ  น้ำๆ อ้อมๆ ไม่เอา

5.   ประกาศกร้าวอีกแล้วนะครับว่า ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย!!!     เฮ้ยย เอาจริงเหรอครับ  ตกม้าตายด้วยเรื่องง่ายๆ แบบนี้เหรอครับ  ถ้ายังยืนยันอยู่ว่า   ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย  ผมขอที่มาและแหล่งอ้างอิงด้วยครับ   :-[ :-[


ผมคุยกับคุณมีแหล่งอ้างอิงตลอดนะ คุณลองหาข้อมูลหรือแหล่งอ้างอิงมายืนยันคำกล่าวอ้างของคุณหน่อยสิครับ อย่าอ้างลอยๆ แบบที่คุณอ้างว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอะไรแบบเนี้ย มันน่าอายนะคุณ   555+    :-[ :-[ :-[ :-[ :-[     



Note
รอบที่ 1 (1 2 4 5 9 10 12)
เข้ม=3   เหน่ง=1  อาย=2   เจษ=2     โอ๋=1   ป้อม=2  เอ็ม=2   ปุ๊ก=2    แอป=2    พิม=3    เก๋=3   บอล=1    ไอซ์=1   ทิ=1
รอบที่ 2 (1 3  5  6  9 10 14) - เพิ่มปิ๋มหายเฮด
เข้ม=3+2   เหน่ง=1+3  อาย=2+2   เจษ=2+3     โอ๋=1+0   ป้อม=2+2  เอ็ม=2+3   ปุ๊ก=2+2    แอป=2+1    พิม=3+3    เก๋=3+3   บอล=1+2    ไอซ์=1+2   ทิ=1+1  ดาว=0+2   X=0+3
รอบที่ 3  (1   3  4 5  7 9  11  14)
เข้ม=3+2+3   เหน่ง=1+3+2  อาย=2+2+3   เจษ=2+3+3     โอ๋=1+0+0   ป้อม=2+2+3  เอ็ม=2+3+2   ปุ๊ก=2+2+3    แอป=2+1+2    พิม=3+3+3    เก๋=3+3+3   บอล=1+2+3    ไอซ์=1+2+0   ทิ=1+1+0  ดาว=0+2+3   X=0+3+3
รอบที่ 4  (1   4  5   7   9   14  15)
เข้ม=3+2+3+2   เหน่ง=1+3+2+3  อาย=2+2+3+3   เจษ=2+3+3+2     โอ๋=1+0+0+2   ป้อม=2+2+3+0  เอ็ม=2+3+2+3   ปุ๊ก=2+2+3+0    แอป=2+1+2+3    พิม=3+3+3+3    เก๋=3+3+3+3   บอล=1+2+3+1    ไอซ์=1+2+0+2   ทิ=1+1+0+2  ดาว=0+2+3+2   X=0+3+3+3
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ มิถุนายน 13, 2020, 02:48:20
คุณก็อธิบายมาเลยสิครับว่ามัน conflict of interest ยังงัย  อธิบายให้ได้สิครับ   ว่าเกิดการขัดกันทางผลประโยชน์ตรงไหน
ลองไปหาองค์ประกอบของ  conflict of interest ดูนะครับว่ามีกี่องค์ประกอบ แล้วเอาพฤติกรรมที่คุณบอกว่ามัน conflict of interest  มาวางมาแยกแยะให้ดูทีว่า มันครบองค์ประกอบของ    conflict of interest ยังงัยบ้าง   
     ผู้ใดกล่าวอ้าง ผู้นั้นต้องนำสืบครับ

ผมอธิบายไปแล้วไงครับ เพื่อนคุณเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์โดยตรงเลย คุณไม่เข้าใจตรงไหนหรือ? เพื่อนคุณที่มาตอบคำถามไม่ได้เป็นอิสระจากคุณนะครับ ดังนั้นการให้ความเห็น ผมจึงถามตลอดว่าเพื่อนคุณคิดแทนคุณ ตอบแทนคุณได้แน่งั้นเหรอ? ถ้าหากเพื่อนคุณอยากจะคุยกับผมนอกเรื่อง(คุณก็เคยบอกแล้วว่าไม่อยากคุยแล้วจะดึงออกนอกเรื่องใหม่ยาวไปอีกทำไม?) ซึ่งดูเหมือนจะพยายามลากออกเรื่องอื่นเสมอ ผมจะตอบแบบรวบรัด เพราะต้องการกลับมาเข้าเรื่องเดิมต่างหาก ผมไม่แน่ใจว่าผมคุยกับใคร คุณหรือเพื่อนคุณกันแน่ แต่การกระทำเด็กๆ แบบนี้ไม่สมควรเลย 1. ถ้าเป็นคุณเอง ก็แสดงว่าคุณกลืนน้ำลายตัวเอง ที่ชอบพูดว่าออกทะเลบ่อยๆ แต่ตัวเองลากออกเรื่องอื่นซะเอง 2. ถ้าเป็นคนอื่น ผมบอกแล้วว่าความคิดเห็นคุณ bias ดังนั้นมาคุยกับผมตรงๆ อีกเรื่องเลยดีกว่ามาลากออกนอกประเด็นในที่นี้ ในหัวข้อนี้ ผมลองคิดดูแล้ว ไม่ว่าทางไหนก็เป็นการกระทำของคนขี้ขลาดทั้งสิ้น จะคุยก็ทำมาให้ถูกต้องครับ

1. เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง stochastic discount factor ได้ยังงัย  จนมาถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio    ผมรออ่านนะครับ  ของแบบนี้ ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ

2. เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับว่ามันโยงไปถึง  geometric brownian motion equation ซึ่งเป็นเรื่องการเคลื่อนไหวแบบสุ่มของราคาหุ้น แล้วมันโยงมาที่ราคา Option ได้ยังงัย  แล้วโยงจนไปถึง BS Model ได้ยังงัย
ปล. ผม Search ความหมายของ law of one price   มาให้แล้วนะครับ  https://www.investopedia.com/terms/l/law-one-price.asp

สิ่งที่ต้องการคือคุณควรจะเชื่อมโยงทั้งหมดตามที่คุณกล่าวอ้างว่ามันไปถึงกันได้อย่างไร  ไม่ใช่ให้ผมไปหาเองครับ
ผู้ใดกล่าวอ้าง  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบครับ   

แล้วที่คุณอยากจะพูดถึง ต้นตอ ที่มาของของสูตร วิธีคิด หลักการน่ะครับ รบกวนช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยสิว่า จุดอ่อนสำคัญของ DCF ถ้าเทียบกับวิธีอื่นมีอะไรบ้าง  ขอแค่ 3 ข้อพอ แต่ขอเน้นๆ หลักๆ นะครับ

ผมบอกไปแล้วนะว่ามันนอกประเด็น จะตอบแบบรวบรัดให้น้อยที่สุด คุณไม่หาเองคุณจะเข้าใจ stochastic discount factor งั้นเหรอครับ ผมคงไม่อธิบายตรงนี้นะ เวลาคุณจะหามูลค่าสินทรัพย์ เกิดมันยังไม่มีใครคิดสูตรมาให้คุณละ? คุณจะทำยังไง? คุณก็ต้องเริ่มจาก stochastic discount factor มันเป็นหลักการง่ายๆ ว่าถ้ามูลค่าสินทรัพย์นั้นมีอยู่จริง มันต้องมีค่าเท่ากับ ตัวแปรตามของสินทรัพย์นั้นคูณกับค่าคงที่ stochastic discount factor ค่าหนึ่ง เพียงแต่เราไม่รู่ว่า ค่าคงที่นี้เป็นเท่าไร ดังนั้นเพื่อศึกษาต่อก็คือการหา nature ของสินทรัพย์นั้น แล้วแกะค่า stochastic discount factor ออกมาเป็นสูตร นี่คือที่มาของหลักการนั้น ส่วน law of one price กับ no arbitrage จะเป็น constraint ในการทำเพราะ 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นจริงเสมอ และเป็น definition
การมองอะไรให้เหมือนกันของนักการเงิน ไม่ได้หมายความว่าต้องคิดเหมือนกันขนาดนั้น คุณไม่เข้าใจเองแล้วตีความมั่วซั่วเอง ยกตัวอย่างเช่น ทำไมนักลงทุนถึงต้องมองการเลือกซื้อหุ้นให้เหมือนกับการเลือกซื้อของใช้ ทำไมประกันภัยรถยนต์ถึงมีลักษณะคล้าย put option ประเภทหนึ่ง ทำไมมูลค่าของ perpetual bond ถึงต้องมีค่า >= prefer stock เสมอ ; Kd = Kp ถ้ายังไม่ get ก็ฉลาดน้อยแล้วละครับ ถ้าเป็นทั่วไปผมจะอธิบายละเอียดกว่านี้นะ แต่เห็นโชว์พาวว่ามีความรู้ทางการเงิน ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอเข้าใจนะ

ส่วนเรื่อง geometric brownian motion equation ที่ผมเทียบเคียงกับ option เพราะดูเหมือนคุณจะรู้จัก ชอบพูดจัง black scholes model เนี่ย รู้หรือเปล่าว่าที่มามาจากอะไร? geometric brownian motion equation แล้วจำลองราคาอย่างง่ายออกมาเป็น ds = udt + zdw รู้หรือเปล่าว่า black scholes model ที่ใช้กันอยู่ราคาหลักทรัพย์ต้องเคลื่อนที่แบบ normal distribition เพราะมันมาจาก geometric brownian motion แล้วคำถาม? ราคาหลักทรัพย์ในปัจจุบันพิสูจน์ได้แล้วเหรอว่าเป็น random walk ถ้าคุณไม่รู้ที่มาของมันว่ามันมีส่วนประกอบเป็น weiner process คุณก็คงใช้มันแบบที่คุณ run model เก็บข้อมูลเองนั่นแหละ ไม่ได้เข้าใจถึงที่มาของมันเลย black scholes model ลบจุดอ่อนนี้ด้วยการใช้ central limit theorem ซึ่งอ่อนมาก เทียบเคียงได้กับการศึกษา nature ของสินทรัพย์ เนื่องจาก option มาจากสมมติฐานการจำลองราคาหลักทรัพย์ที่เป็นปกติ จึงเริ่มจาก geometric brownian motion equation เป็นตัวตั้งต้น แล้วใช้ law of one price กับ no arbitrage เป็น constraint ไม่พูดต่อนะ ไปหาอ่าน derive เอาเอง สินทรัพย์อื่นก็ทำแบบเดียวกัน ใช้แนวคิด stochastic discount factor ในการเริ่ม ศึกษา nature ของสินทรัพย์ ว่าจะเริ่มจากอะไร พูดแค่ option พอนะ ยาวขี้เกียจ ไอ้ dcf ที่ถาม เทียบเคียงให้แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว dcf ถ้าจำไม่ผิด เริ่มจาก capm กับ annuity พูดหลักการกว้างๆ น่าจะพอนะ ถ้าจะให้ถึงขนาด derive ให้ดูคงไม่ มาเปิดประเด็นใหม่เลยดีกว่า ไอ้คนที่ถามน่ะ ผมจะตอบคำถามนี้ยาวอันเดียวนะ อันอื่นจะตอบสั้นๆ แล้ว คือหัวข้อนี้ผมแย้งเรื่องรถไม่เป็นค่าใช้จ่ายไม่ใช่เหรอ นี่แหละนะ พวกคุณเล่นอะไรกันครับ อย่าขี้ขลาดนอกเรื่องแบบนี้ครับ ถ้าเป็นเจ้าตัวก็อย่ากลืนน้ำลายตัวเอง ออกทะเล ถ้าเป็นคนอื่นเปิดหัวข้อมาใหม่ครับ

- law of one price ใช้กับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่เหรอครับ  อยู่ในเนื้อหาวิชา Inter Fin  แล้วมันไปโยงกับการการลงทุน การประเมินมูลค่าทรัพย์สินยังงัยดีล่ะ  ถ้าคุณพูดจริงน่าสนใจนะครับ  แสดงให้ดูหน่อยครับ

คุณเคยเห็น option อย่างพวก hybrid security ที่ซับซ้อนไหม เวลาเขาจะบอกว่า option ที่ผสมออกมา ที่มี pay off เหมือนกัน ขนาดเท่ากัน เขาจะใช้ law of one price ในการอธิบายหามูลค่า หักล้างในส่วน "law of one price ใช้กับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เป็นการเงินระหว่างประเทศไม่ใช่เหรอครับ  อยู่ในเนื้อหาวิชา Inter Fin" นี่ก็นำมาใช้ใน derivative แล้วนะ เรื่องอื่นขี้เกียจยกตัวอย่างเพิ่ม ไปหาเอาเอง

 - อ้าง no arbitrage อีกด้วย    หลักๆ จะใช้กับ Inter Fin กับ Option นะครับ   ไหนลองเชื่อมโยงกับ Investment ให้ดูหน่อยครับ

ตัวอย่างง่ายๆ คือเวลามี arbitrage เกิดขึ้นในตลาด คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งผิดปกติ หรือเป็นสิ่งปกติทั่วไป? arbitrage เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกสินทรัพย์ ถ้าคุณตอบว่าผิดปกติ แล้วมันก็ต้องหายไปตามหลักทฤษฎีการเงินทั่วๆ ไป(ขี้เกียจอธิบาย) หักล้างนะ ที่พูดมาว่า "no arbitrage อีกด้วย    หลักๆ จะใช้กับ Inter Fin กับ Option นะครับ" arbitrage ไม่ได้มีแต่ที่ Inter Fin กับ Option ชัดนะ

ผมใช้แหล่งอ้างอิงในการอธิบายนะ ไม่ได้อ้างจากความคิดตัวเองเหมือนคุณเลยนะ   คุณบอกให้ผมแสดงคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายมา  ผมก็หาคำจำกัดความมาให้ ถ้าเอาตามคำจำกัดความของค่าใช้จ่าย มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้    มันเป็นคำจำกัดความที่ใช้เป็นการทั่วไปมีที่มาอ้างอิง  ทุกคนเข้าใจกันหมด  แต่ขนาดหาคำจำกัดความมาให้สวมทับขนาดนี้ยังบอกว่าใช้ไม่ได้อีกนี่   ใครกันอ่ะที่คุยภาษาคนไม่รู้เรื่อง  555+

ผมใช้แหล่งอ้างอิงในการอธิบายนะ ไม่ได้อ้างจากความคิดตัวเองเหมือนคุณเลยนะ   คุณบอกให้ผมแสดงคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายมา  ผมก็หาคำจำกัดความมาให้ ถ้าเอาตามคำจำกัดความของค่าใช้จ่าย มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้    มันเป็นคำจำกัดความที่ใช้เป็นการทั่วไปมีที่มาอ้างอิง  ทุกคนเข้าใจกันหมด  แต่ขนาดหาคำจำกัดความมาให้สวมทับขนาดนี้ยังบอกว่าใช้ไม่ได้อีกนี่   ใครกันอ่ะที่คุยภาษาคนไม่รู้เรื่อง  555+

เวลาไปซื้อรถยนต์หรือซื้ออะไรก็ตาม แล้วพอสรุปยอดเงินที่ต้องชำระ คนขายหรือเซลก็จะบอกว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3.2 ล้านบาทค่ะ    มีมนุษย์คนไหนใช้คำว่า ค่าสินทรัพย์ทั้งหมด 3.2 ล้านบาทแบบคุณบ้างครับ  ถ้ามีคนใช้ว่าค่าสินทรัพย์ ผมขอแหล่งอ้างอิงครับ  555+

อ้างอิงตามหลักบัญชีได้เลยครับ ไม่ต้องไปหาที่พิศดาร ดังนั้นเรื่องยางรถของคุณมันถูกเหมารวมเข้ากับรายการค่าใช้จ่ายของตัวรถ ถ้าหากทางบัญชีแยกส่วนประกอบรถออกมา รายการบัญชีคงจะมีเยอะมาก เข้าใจไหม? ดังนั้นถ้าหากแยกออกมาที่ถูกต้องยางรถก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์ "เวลาไปซื้อรถยนต์หรือซื้ออะไรก็ตาม แล้วพอสรุปยอดเงินที่ต้องชำระ คนขายหรือเซลก็จะบอกว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3.2 ล้านบาทค่ะ    มีมนุษย์คนไหนใช้คำว่า ค่าสินทรัพย์ทั้งหมด 3.2 ล้านบาทแบบคุณบ้างครับ  ถ้ามีคนใช้ว่าค่าสินทรัพย์" มันก็ลงเป็น สินทรัพย์(รถ) กับสินทรัพย์(เงินสด) ไงครับ ล้อตามบัญชีเลยครับ มันไม่มีผิดหรอก รถยนต์เป็นสินทรัพย์เนี่ย คุณกำลังจับผิดหลักการบัญชี แหมเก่งจังนะครับ ไม่ง่ายหรอกนะ เขายอมรับกันทั้งโลก มีแต่การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณนั่นแหละ ที่มันอธิบายยังไงก็ฟังไม่ขึ้นเลย แถมจี้ไปหลักการบัญชีก็แถต่อไปได้อีก ต้องจี้ไปความหมายของคำ ผมบอกแล้วว่ายึดหลักบัญชี หากคุณจะแถกลับมาจับผิดหลักบัญชี หาให้เจอนะครับ แล้วก็ให้มีเหตุผลด้วย เพราะมันคงต้องให้ทั้งโลกยอมรับสิ่งที่คุณจับผิดด้วย ไม่ง่ายนะ? มีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่าคุณน่ะ? หลักการบัญชีผิดได้ครับ แต่การที่จะให้ผิดแล้วมาสอดคล้องกับตรรกะของคุณเนี่ย ยากครับ

การที่ผมต้องการคำจำกัดความที่แน่นอนจากคุณก็เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องแถไปไหนอีก ถ้ายังจะคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ อธิบายตัวอย่างนี้ให้ได้นะ
คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ 1 ถ้ารถเป็นค่าใช้จ่ายได้ ก็แปลว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้
                                           2 รถยนต์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ จึงจัดหมวดหมู่ความคิดเป็นค่าใช้จ่าย นี่คือเหตุผลของคุณที่ใช้ในการอ้าง
ย้อนกลับมาที่คำถามตั้งต้น เหตุของการจัดหมวดหมู่ความคิดของคุณ "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"
"ถ้ามีคนที่ไม่ลงทุนอะไรเลย แต่มีบ้านราคา 20 ล้าน มีเงินสด 10 ล้านเก็บไว้ในเซฟ" ---> คนๆ นี้ ซื้อรถกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี?
คำตอบคือ หาค่าไม่ได้ เพราะคนๆ นี้มีสินทรัพย์เป็น 0 ----> จากการจัดระเบียบความคิดของคุณ คุณเห็นไหมว่าตรรกะคุณมันเพี้ยนแค่ไหน ทั้งบ้าน ทั้งเงินในเซฟ กลายเป็นค่าใช้จ่ายหมด ---> บ้านมีตัวตน ไม่สร้างรายได้ เงินสดในเซฟมีตัวตน ไม่สร้างรายได้ ----> คุณจะบอกว่าคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ ใช้ได้กับแค่รถยนต์ อย่างนั้นหรือ? มั่วไปไหม? ผมถึงได้บอกไง การพูดอะไรโดยไม่คิด มันจะดึงสินทรัพย์อย่างอื่นที่มีลักษณะเหมือนกับรถยนต์ไปเป็นค่าใช้จ่ายด้วย ถึงได้บอกไงว่าส่วนของรถยนต์ที่เป็นค่าใช้จ่ายน่ะ คือ ค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษา ตัวรถเป็นสินทรัพย์ ไม่ยอมรับแล้วแถไปเรื่อย มันก็เลยพาอย่างอื่นตามกันเละไปหมด เห็นไหม?

เฮ้ยคุณ  ขำอีกแล้วอ่ะ    ตกลงคุณรู้เรื่องบัญชีจริงหรือเปล่าเนี่ย  คุณไม่รู้เหรอว่า   ต้นทุนขาย  ก็เป็นหมวดหนึ่งของค่าใช้จ่าย  ไปเปิดงบการเงินดูสิ ค่าใช้จ่ายเป็นหมวดใหญ่ แล้วก็แบ่งเป็นออกเป็น ต้นทุนขาย กับ SG&A   คุณมาบอกว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช่จ่ายเนี่ยนะ เฮ้ย เอางั้นจริงดิ   แค่พื้นฐานบัญชี คุณก็เป๋หนักแล้วนะคุณ เมาหมัดเหรอครับ

ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณจงใจยกธุรกิจขายรถยนต์ มาเพื่อตอบกรณีนี้กรณีเดียว มันผิด คือไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พยายามอธิบายเลย ถ้าจะถูกมันต้องอธิบายได้ทุกกรณี ตัวอย่างนี้จงใจยกเกินไป เข้าใจไหม? (ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าพยายามหาไอ้ที่มันตอบได้ตรงกับตรรกะประหลาดๆ มันยาก)

เอาอีกล่ะ ถนัดแต่นึกคำจำกัดความเองเหรอครับ ผมก็ถามในสิ่งที่นักการเงินเค้าคุยกันเข้าใจเป็นปกติอยู่แล้ว  มีแต่คุณที่ไม่เข้าใจอีกแล้วล่ะ
- เรียนจบการเงิน เป็นนักการเงินไหม   --> ไม่เป็นสิครับ  สมมติ เคยเรียนวิชาการแสดงมา แต่ไม่ได้ทำงานด้านการแสดง มันจะเป็นนักแสดงได้ยังงัยล่ะคุณ โอ๊ยย ความคิดน่าเอ็นดู
- ทำงานการเงิน เป็นนักการเงินไหม --> เป็นสิครับ นักการเงินเค้าแบ่งกันเป็นสายๆ ตามประเภทงานที่ทำ นักการเงินมันเป็นอาชีพ ก็ต้องแบ่งตามอาชีพที่ทำสิครับ เค้าไม่ได้แบ่งตามวิชาที่ที่คุณเรียนครับคู้ณณณ  เรียนปุ๊บได้เป็นปั๊บเลยเหรอครับ ตลกอีกล่ะ  555+
คำตอบของคุณทำให้ผมรู้ล่ะว่าคุณไม่ใช่นักการเงินเป็นแน่แท้  นักการเงินสายไหนเค้าก็มีคำจำกัดความเข้าใจกันอยู่แล้ว ผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความเองครับ   เช่น   Banking , Corporate Finance , Investment Banking , Fund Management


ที่ถามก็เพราะผมไม่รู้ว่าคุณแบ่งแบบไหนไง ดูจากที่พูดมาน่าจะแบ่งตามอาชีพ คำว่าสายไหน มันไม่ได้เจาะจงเฉพาะอาชีพเท่านั้น คำถามคุณไม่เคลียร์ แต่ดันบอกว่าเคลียร์ กล้าพูดเนอะ แล้วถ้าผมแบ่งตามสาขาวิชาละ derivative, coperate fin, investment, economic, accouting, business, risk, fix income, time serie statistic, econometric, quantitative, ... บลาๆๆๆ มันก็แล้วแต่ แต่ละคนจะแบ่งไหม>? คุณอย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ
เอางี้แล้วกัน เพื่อไม่ให้เฉพาะเจาะจงเกินไป ผมตอบแค่ buy side แล้วกัน น่าจะพอนะ คนทั่วๆ ไปไม่น่าจะเข้าใจคำนี้ด้วยซ้ำ

ผมคุยกับคุณมีแหล่งอ้างอิงตลอดนะ คุณลองหาข้อมูลหรือแหล่งอ้างอิงมายืนยันคำกล่าวอ้างของคุณหน่อยสิครับ อย่าอ้างลอยๆ แบบที่คุณอ้างว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอะไรแบบเนี้ย มันน่าอายนะคุณ   555+

คือผมก็ยึดหลักบัญชีมาตลอดนะ คุณงงตรงไหนเหรอ มีแค่คุณพยายามแถเรื่องรถยนต์เป็นค่าใช้จ่าย ผมจึงอธิบายไปถึงความหมายของคำเพื่อไม่ให้ไถต่อ การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณผมอธิบายตัวอย่างไปแล้วนะ อย่าเปลี่ยนคำจำกัดความตัวเองแล้วกัน เบื่อไถแล้ว ชี้ให้เห็นถึงขนาดนี้แล้วว่ามันเพี้ยนแค่ไหน ถ้าบ้าน เงินสด และอย่างอื่นต้องมาเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยเนี่ย แล้วคุณยังคิดไม่ได้ ผมก็ว่าบัวใต้น้ำแล้วละ

แล้วก็เลิกซะนะไอ้พฤติกรรมหาเพื่อนน่ะ คุณบอกเพื่อนคุณไม่อยากคุย แต่ๆ ละคนก็ดึงออกไปเรื่องนู้นบ้าง นี้บ้าง มาเปิดประเด็นใหม่คุยกับผมตรงๆ เลยครับ ถ้าไม่กล้า ไม่อยากคุย ก็หยุดซะนะ ตรงนี้ผมคุยประเด็นไหน ให้มันเป็นความคิดของคุณพอ ผมจะได้รู้ว่าคุณตอบเอง ไม่ใช่มาดึงไปเรื่องนี้ที นั้นที คือชอบว่าคนอื่นออกทะเล ก็เลยมาให้เพื่อนทำแทนหรือไง ผมพยายามตอบให้รวบรัดแล้วจบ เพื่อกลับเข้าประเด็นเดิม แต่เพื่อนคุณก็ต่อยาวไปอีกเรื่อยๆ เพื่ออะไรครับ? มาคุยตรงๆ เลยถ้าจะทำแบบนี้ ถ้าไม่ก็หยุด และก็ป้องกันการสวมรอยด้วย เพราะผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนที่ชอบพูดว่าออกทะเลน่ะ ไม่รู้ว่าเป็นคนนอกประเด็นโดยอ้างคนอื่นรึเปล่าด้วย ผมรำคาญครับ ง่ายๆ เลย ทำให้มันถูกต้องหน่อยโตๆ กันแล้ว เปิดประเด็นใหม่มาเลย ถ้าไม่ก็อย่านอกเรื่อง ให้มันเป็นความคิดเห็นของแต่ละคนไป ไม่ใช่มั่วแบบเด็กเล่นแบบนี้

แล้วการที่คุณมาคุยแทนคนอื่นแบบนี้ ผมยังต้องอธิบายเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์อีกเหรอครับ ถ้าหากเป็นเพื่อนผม ความเห็นก็มาทางนี้ เพื่อนคุณก็มาทางนั้น มันเป็นอิสระตรงไหน? แค่นี้มองไม่ออกเหรอ มาให้ผมอธิบาย conflict of interest ทั้งๆ ที่ชัดแบบนี้อะนะ คุณคงไม่ฉลาดแบบที่ผมพูดจริงๆ นั่นแหละ แต่ยังไม่ได้พูดถึงความเห็นพวกคุณ ที่อาจจะ bias ได้อีกนะ มันมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องเลย จะเล่นอะไรแบบเด็กๆ ก็เล่นไป แต่ให้มันถูกต้องหน่อย ไม่มีใครเตือนพวกคุณเหรอครับ จรรยาบรรณถ้ามันมีน้อยก็พยายามทำบ้างนะ แค่ความเห็นที่ bias หรือ การที่ตัวเองมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในการแสดงความเห็น ก็น่าจะครอบคลุมนะ
จะคุยกับใครก็เอาความเห็นของคุณมาชนกับความเห็นของผมตรงๆ เลย ไม่ใช่มาแสดงความเห็นแทนคนอื่นแบบนี้มันออกจะขี้ขลาด แล้วประเด็นนี้ก็แค่คุณกับผมเท่านั้น ผมบอกเลยคุยแล้วงงครับ ไม่รู้ใครเป็นใคร บางคนไปเรื่องนี้บ้าง เรื่องนั้นบ้าง แตกประเด็นออกมาเลยครับ ถ้าไม่ก็หยุดซะ ส่วนเจ้าตัวถ้าออกทะเลจะได้ซัดได้ว่าออกทะเล กลืนน้ำลายตัวเองอยู่เรื่อย มันจะได้จบ และกลับเข้าประเด็นสักที

ปล ไม่ต้องห่วงว่าจะหายไปไหน อาจจะตอบช้าเพราะยุ่งๆ พอดีช่วงนี้ มี capital gain ระดับ 50-60% เลยไปตระเวนหาซื้อคอนโด เพราะราคาลดเกือบครึ่ง พอดีช่วงก่อนหน้ามี cash เหลือ 30% รู้สึกว่าเยอะไป เลยคิดว่ามี exposure กับอสังหาโดยตรงบ้าง ให้เหลือ cash สัก 10% พอ เพราะดูเหมือน Q2 อาจจะลงไม่ลึกแล้ว แล้วเงินก็พอที่จะซื้อคอนโด upper class ได้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการ switch
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ มิถุนายน 13, 2020, 14:10:45


ผมอธิบายไปแล้วไงครับ เพื่อนคุณเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์โดยตรงเลย คุณไม่เข้าใจตรงไหนหรือ? ....
--> คุณกล่าวหามาเองนะครับ  กล่าวหามาได้ก็ต้องอธิบายให้ได้ครับ อธิบายให้เข้าองค์ประกอบสิครับ อธิบายแบบนี้เท่ากับไม่ได้อธิบายอะไรเลย ยกลอยๆ อีกแล้ว   ผมจะลองอธิบายเรื่องละเมิดตามที่คุณเคยกล่าวอ้างให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ แล้วคุณอธิบายของคุณมาด้วยว่าเพื่อนผมเข้าองค์ประกอบของ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังงัยนะครับ
ผมยกตัวอย่างให้ดูนะ องค์ประกอบของการกระทำที่เป็นละเมิด ที่สามารถเรียกร้องเอาทางกฎหมายได้ มี 4 ข้อ
1.กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ   --> มีคนคนหนึ่งกระทำโดยจงใจกล่าวอ้าง พาดพิงเพื่อนของผม
2.กระทำโดยผิดกฎหมาย  -->  กระทำโดยพิมพ์ความเท็จ และหมิ่นประมาทผู้อื่น กล่าวหาว่า เพื่อนผมเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ โดยไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงหรือหาหลักฐานสนับสนุนให้เห็นจริงได้
3.การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น  -->  พิมพ์หมิ่นประมาทผู้อื่น กล่าวหาว่า เพื่อนผมเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง   ฎีกาเคยบอกแล้วนะครับว่าไม่จำเป็นต้องเกิดความเสียหายจริง แค่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ก็ถือเป็นความเสียหายแล้ว 
4. ความเสียหายเป็นผลมาจากการกระทำดังกล่าวนั้น  --> ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการกล่าวอ้าง พาดพิง  เพื่อนผมเป็นผู้ที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์

ไหนลองแสดงให้ดูหน่อยครับว่าเพื่อนผมเข้าองค์ประกอบ conflict of interest อย่างไรบ้าง แยกให้ชัด จะกล่าวหาใครก็ต้องแสดงออกมาครับ  หล่าวหาลอยๆ เข้าข่ายหมิ่นประมาท เป็นความผิดทางอาญานะครับ
[/color]



 

ผมบอกไปแล้วนะว่ามันนอกประเด็น จะตอบแบบรวบรัดให้น้อยที่สุด ......ยกตัวอย่างแค่นี้น่าจะพอเข้าใจนะ

ส่วนเรื่อง geometric brownian motion equation ที่ผมเทียบเคียงกับ option...
...ถ้าเป็นเจ้าตัวก็อย่ากลืนน้ำลายตัวเอง ออกทะเล ถ้าเป็นคนอื่นเปิดหัวข้อมาใหม่ครับ
-->แล้วนี่อธิบายอะไรมาครับเนี่ย  ไม่เข้าใจคำถามอีกแล้วใช่ป่าวครับ   อธิบายมาอย่างยาวเหยียดแต่ไม่ได้คำตอบตามที่ผมถามอีกแล้วนะครับ  ผมต้องการให้คุณเชื่อมโยงให้ได้ตามที่คุณอ้างมา ไม่ใช่โยงนั่นนิดโยงนี่นี่หน่อย ยกเรื่องโน่นนี่มาพูด แต่ไม่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น แล้วก็ไม่ต้องใช้คำว่า “ไม่พูดต่อนะ ไปหาอ่าน derive เอาเอง”  พูดแบบนี้ไม่ได้สิครับ คุณมีหน้าที่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น    แล้วอยู่ๆ ผมไม่ได้สงสัยขึ้นมาเองนะ ผมก็สงสัยจากคำกล่าวอ้างของคุณนั่นแหละ ไมได้นอกเรื่องอะไรเลย คุณกล่าวอ้างมา ผมก็สงสัย แล้วผมก็ถามกลับ แต่พอถามแล้วแทนที่จะอธิบายที่ผมถาม ดันไปอธิบายเรื่องที่ไม่ตรงคำถาม อันนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่านอกประเด็น    อ้างมาแล้วก็อธิบายให้สุดสิครับ อย่าขี้เกียจ  ผมถามจากที่คุณกล่าวอ้างเลยนะ ไม่ได้นอกประเด็นขึ้นมาเองนะครับ
  1.เริ่มต้นจาก law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง stochastic discount factor ได้ยังงัย  จนมาถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio   ของแบบนี้ ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ 
 2  เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับว่ามันโยงไปถึง  geometric brownian motion equation เอาแค่นี้ก็ได้ครับ   อธิบายเชื่อมโยงมา อย่าไล่ให้ไปหาเองสิครับ คุณเป็นคนกล่าวอ้างมาก็ต้องหาหลักฐานหรือแสดงให้เห็นสิครับ ถ้าไปศาลคุณต้องแสดงให้ศาลเห็นหมดนะครับ ไม่ใช่ให้ศาลหรืออีกฝ่ายคิดเองหาเอง
3. สินทรัพย์อื่นก็ทำแบบเดียวกัน ใช้แนวคิด stochastic discount factor ในการเริ่ม ศึกษา nature ของสินทรัพย์ ว่าจะเริ่มจากอะไร  --> ขอสินทรัพย์ประเภทที่ดิน กับสิทธิการเช่าหน่อยครับ ว่ามันเชื่อมโยงยังงัย
สิ่งที่ต้องการคือคุณควรจะเชื่อมโยงทั้งหมดตามที่คุณกล่าวอ้างว่ามันไปถึงกันได้อย่างไร  ไม่ใช่ให้ผมไปหาเองครับ  ผู้ใดกล่าวอ้าง  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบครับ     

ปล. อย่างประกันภัยรถยนต์ถึงมีลักษณะคล้าย put option ประเภทหนึ่ง แล้วมีจุดที่ไม่เหมือนตรงไหนบ้างครับ
ปล้วชีวิตจริงไม่มีใครใช้ black scholes model มารันโมเดลหรอกครับ มันมีจุดอ่อนที่ใช้ไม่ได้กับตราสารในไทย แต่จุดอ่อนที่สำคัญมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่คุณอ้างมาเลย 
[/color]

อ้างอิงตามหลักบัญชีได้เลยครับ ไม่ต้องไปหาที่พิศดาร ดังนั้นเรื่องยางรถของคุณมันถูกเหมารวมเข้ากับรายการค่าใช้จ่ายของตัวรถ ถ้าหากทางบัญชีแยกส่วนประกอบรถออกมา รายการบัญชีคงจะมีเยอะมาก เข้าใจไหม? ดังนั้นถ้าหากแยกออกมาที่ถูกต้องยางรถก็ต้องลงเป็นสินทรัพย์ "เวลาไปซื้อรถยนต์หรือซื้ออะไรก็ตาม แล้วพอสรุปยอดเงินที่ต้องชำระ คนขายหรือเซลก็จะบอกว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3.2 ล้านบาทค่ะ    มีมนุษย์คนไหนใช้คำว่า ค่าสินทรัพย์ทั้งหมด 3.2 ล้านบาทแบบคุณบ้างครับ  ถ้ามีคนใช้ว่าค่าสินทรัพย์" มันก็ลงเป็น สินทรัพย์(รถ) กับสินทรัพย์(เงินสด) ไงครับ ล้อตามบัญชีเลยครับ มันไม่มีผิดหรอก รถยนต์เป็นสินทรัพย์เนี่ย คุณกำลังจับผิดหลักการบัญชี แหมเก่งจังนะครับ ไม่ง่ายหรอกนะ เขายอมรับกันทั้งโลก มีแต่การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณนั่นแหละ ที่มันอธิบายยังไงก็ฟังไม่ขึ้นเลย แถมจี้ไปหลักการบัญชีก็แถต่อไปได้อีก ต้องจี้ไปความหมายของคำ ผมบอกแล้วว่ายึดหลักบัญชี  --> อ่าว ไหนตอนแรกบอกว่าจะเอาความหมายของคนทั่วไปเข้าใจก็ได้งัยครับ  แล้วใครกันน้อที่พูดเองว่าเอาความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจก็ได้อ่ะ ตอนนี้กลับคำ จะให้มายึดตามหลักบัญชีซะแร้ว ได้ครับ ตามหลักบัญชีก็แสดงให้ดูได้ครับ เดี๋ยวแสดงให้ดูด้านล่าง   

คำจำกัดความทางบัญชี  ค่าใช้จ่าย คือ ต้นทุนส่วนที่หักออกจากรายได้ในรอบระยะเวลาที่ดำเนินการงานหนึ่ง

ผมซื้อรถมาตั้งใจจะใช้รถ 10 ปี ซื้อรถมา 1.2 ล้านบาท  แล้วอาจจะขายทิ้งหรือปล่อยทิ้งไว้เป็นรถสำรองที่บ้าน   เพื่อความ conservative  ผมอาจจะยังไม่คิดถึงราคาขายใน 10 ปีข้างหน้า   
ดังนั้น ผมก็กำหนดให้รอบระยะเวลาที่ดำเนินการงานหนึ่งเท่ากับ 10 ปี ต้นทุนการได้มาซึ่งรถนต์ 1 คันเท่ากับ 1.2 ล้านบาท  จึงเป็นค่าใช้จ่ายในรอบระยะเวลา 10 ปีของผม   หรือ หากจะคิดย้อนกลับเป็นรายปีผมก็จับมันหาร 10 เพื่อคำนวณเป็นต่อปี  แล้วมันไม่ตรงกับคำจำกัดความทางบัญชีตรงไหนครับ

หากคุณจะแถกลับมาจับผิดหลักบัญชี หาให้เจอนะครับ แล้วก็ให้มีเหตุผลด้วย เพราะมันคงต้องให้ทั้งโลกยอมรับสิ่งที่คุณจับผิดด้วย ไม่ง่ายนะ? มีความสามารถขนาดนั้นหรือเปล่าคุณน่ะ? หลักการบัญชีผิดได้ครับ แต่การที่จะให้ผิดแล้วมาสอดคล้องกับตรรกะของคุณเนี่ย ยากครับ --> พิมพ์อะไรมา จะสื่ออะไรครับ เรียบเรียงใหม่เหอะคุณ   555 [/color]

การที่ผมต้องการคำจำกัดความที่แน่นอนจากคุณก็เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องแถไปไหนอีก ถ้ายังจะคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ อธิบายตัวอย่างนี้ให้ได้นะ
คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ 1 ถ้ารถเป็นค่าใช้จ่ายได้ ก็แปลว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้ ได้   -->โดยที่ไม่ต้องเกี่ยวกับว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายได้    ค่าใช้จ่ายมันมีตัวตนได้อยู่แล้วครับคุณ   ถามจริงๆ เหอะ คุณเอามาจากที่ไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ขอที่มาหน่อยสิ [/color]
                                           2 รถยนต์เป็นสินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ จึงจัดหมวดหมู่ความคิดเป็นค่าใช้จ่าย นี่คือเหตุผลของคุณที่ใช้ในการอ้าง --> ไม่สร้างรายได้มันแค่จุดพิจารณาอย่างหนึ่งครับ แต่ไม่ใช่เอาไปตัดสินทั้งหมด  คนที่คิดตื้นๆ มักจะคิดว่าเรื่องทุกเรื่องมีแค่เหตุผลข้อเดียวแบบนี้เลย  แล้วมาจับเชื่อมโยงมั่วๆ แบบนี้เสมอ     มันจะมีคนจำพวกหนึ่งที่นะเวลานักวิเคราะห์ตอบคำถามว่าหุ้นค้าปลีก A  ขึ้น  เพราะเหตุผล ก   แล้วก็จะไปตีความเอาเองว่า หุ้นค้าปลีก B จะต้องขึ้นด้วยเหตุผล ก ด้วยเช่นกัน  พอหุ้น B ไม่วิ่งเหมือนหุ้น A ก็มาโวยวาย    คนแบบนี้เค้าเรียกกันว่าแมงเม่าชั้นล่างเลยนะครับ
ย้อนกลับมาที่คำถามตั้งต้น เหตุของการจัดหมวดหมู่ความคิดของคุณ "เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี"
"ถ้ามีคนที่ไม่ลงทุนอะไรเลย แต่มีบ้านราคา 20 ล้าน มีเงินสด 10 ล้านเก็บไว้ในเซฟ" ---> คนๆ นี้ ซื้อรถกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี? --> ซื้อรถราคาเท่าไรก็ไม่บอก จะคิดเปอร์เซ็นต์ยังงัยละครับคุณ ตลกอีกแล้ว 555+ 
คำตอบคือ หาค่าไม่ได้ เพราะคนๆ นี้มีสินทรัพย์เป็น 0 ----> จากการจัดระเบียบความคิดของคุณ คุณเห็นไหมว่าตรรกะคุณมันเพี้ยนแค่ไหน ทั้งบ้าน ทั้งเงินในเซฟ กลายเป็นค่าใช้จ่ายหมด ---> บ้านมีตัวตน ไม่สร้างรายได้ เงินสดในเซฟมีตัวตน ไม่สร้างรายได้ ----> คุณจะบอกว่าคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ ใช้ได้กับแค่รถยนต์ อย่างนั้นหรือ? มั่วไปไหม?  --> อ่าว คิดเอาเอง แล้วหาไม่ได้เอง เจอทางตันเอง แล้วมาโทษผมทำไมล่ะครับ ตลกอีกล่ะ คุณนี่โทษคนอื่นตลอดเลยนะครับ คิดไม่ออกเองก็โทษคนอื่น อันนี้คุณนั่นแหละครับที่คิดแบบมั่วๆ แบบผิดๆ เพี้ยนๆ เองครับ  ผมไม่ได้คิดแบบนี้เลยครับ  อย่างดึงผมไปเพี้ยนกับคุณเลยครับ 555+   แล้วผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายขึ้นมาเองครับ ต้องให้ย้ำอีกแล้วนะ คำจำกัดความผมไม่เคยสร้างเองเลย    แต่ถ้าการใช้เป็นการใช้มุมมองคล้ายๆ กัน ผมก็ใช้กับอย่างอื่นนอกจากรถยนต์ก็ได้ครับ เช่น โทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ใช่บ้านกับเงินสดแบบที่คุณเพี้ยนมาครับ 555+
 ผมถึงได้บอกไง การพูดอะไรโดยไม่คิด มันจะดึงสินทรัพย์อย่างอื่นที่มีลักษณะเหมือนกับรถยนต์ไปเป็นค่าใช้จ่ายด้วย ถึงได้บอกไงว่าส่วนของรถยนต์ที่เป็นค่าใช้จ่ายน่ะ คือ ค่าเสื่อม ค่าบำรุงรักษา ตัวรถเป็นสินทรัพย์ ไม่ยอมรับแล้วแถไปเรื่อย มันก็เลยพาอย่างอื่นตามกันเละไปหมด เห็นไหม? --> ไม่เห็นอะไรเลยครับ แล้วก็ไอ้ที่ผมถามไปที่สงสัยไปคุณยังไม่แสดงให้เห็นเลยด้วยครับ สรุปแล้วผมยังไม่เห็นอะไรที่ผมอยากเห็นจากคุณในรอบนี้เลย  555+


เฮ้ยคุณ  ขำอีกแล้วอ่ะ    ตกลงคุณรู้เรื่องบัญชีจริงหรือเปล่าเนี่ย  คุณไม่รู้เหรอว่า   ต้นทุนขาย  ก็เป็นหมวดหนึ่งของค่าใช้จ่าย  ไปเปิดงบการเงินดูสิ ค่าใช้จ่ายเป็นหมวดใหญ่ แล้วก็แบ่งเป็นออกเป็น ต้นทุนขาย กับ SG&A   คุณมาบอกว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช่จ่ายเนี่ยนะ เฮ้ย เอางั้นจริงดิ   แค่พื้นฐานบัญชี คุณก็เป๋หนักแล้วนะคุณ เมาหมัดเหรอครับ

ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณจงใจยกธุรกิจขายรถยนต์ มาเพื่อตอบกรณีนี้กรณีเดียว มันผิด คือไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พยายามอธิบายเลย ถ้าจะถูกมันต้องอธิบายได้ทุกกรณี ตัวอย่างนี้จงใจยกเกินไป เข้าใจไหม? (ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าพยายามหาไอ้ที่มันตอบได้ตรงกับตรรกะประหลาดๆ มันยาก)   --> เฮัยคุณ เมาหมัดหนักจริงๆ ด้วยสิ อาการหนักมาก  ต้นทุนขายน่ะถือเป็นค่าใช้จ่ายในธุรกิจผลิตสินค้า ค้าส่ง ค้าปลีก แทบทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายรถยนต์แค่อย่างเดียวซะหน่อย    ธุรกิจขายอาหาร วัตถุดิบอาหารก็จัดเป็นค้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายในงบการเงินด้วย   ค้าส่ง-ค้าปลีก  ต้นทุนสินค้าที่รับมาจากผู้ผลิตก็ลงเป็นต้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายด้วย  คุณไปเอามาจากไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตั้งสติก่อนตอบนะคุณ ไม่ต้องรีบ


เอาอีกล่ะ ถนัดแต่นึกคำจำกัดความเองเหรอครับ ผมก็ถามในสิ่งที่นักการเงินเค้าคุยกันเข้าใจเป็นปกติอยู่แล้ว  มีแต่คุณที่ไม่เข้าใจอีกแล้วล่ะ
- เรียนจบการเงิน เป็นนักการเงินไหม   --> ไม่เป็นสิครับ  สมมติ เคยเรียนวิชาการแสดงมา แต่ไม่ได้ทำงานด้านการแสดง มันจะเป็นนักแสดงได้ยังงัยล่ะคุณ โอ๊ยย ความคิดน่าเอ็นดู
- ทำงานการเงิน เป็นนักการเงินไหม --> เป็นสิครับ นักการเงินเค้าแบ่งกันเป็นสายๆ ตามประเภทงานที่ทำ นักการเงินมันเป็นอาชีพ ก็ต้องแบ่งตามอาชีพที่ทำสิครับ เค้าไม่ได้แบ่งตามวิชาที่ที่คุณเรียนครับคู้ณณณ  เรียนปุ๊บได้เป็นปั๊บเลยเหรอครับ ตลกอีกล่ะ  555+
คำตอบของคุณทำให้ผมรู้ล่ะว่าคุณไม่ใช่นักการเงินเป็นแน่แท้  นักการเงินสายไหนเค้าก็มีคำจำกัดความเข้าใจกันอยู่แล้ว ผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความเองครับ   เช่น   Banking , Corporate Finance , Investment Banking , Fund Management


ที่ถามก็เพราะผมไม่รู้ว่าคุณแบ่งแบบไหนไง ดูจากที่พูดมาน่าจะแบ่งตามอาชีพ คำว่าสายไหน มันไม่ได้เจาะจงเฉพาะอาชีพเท่านั้น คำถามคุณไม่เคลียร์ แต่ดันบอกว่าเคลียร์ กล้าพูดเนอะ แล้วถ้าผมแบ่งตามสาขาวิชาละ derivative, coperate fin, investment, economic, accouting, business, risk, fix income, time serie statistic, econometric, quantitative, ... บลาๆๆๆ มันก็แล้วแต่ แต่ละคนจะแบ่งไหม>? คุณอย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ
เอางี้แล้วกัน เพื่อไม่ให้เฉพาะเจาะจงเกินไป ผมตอบแค่ buy side แล้วกัน น่าจะพอนะ คนทั่วๆ ไปไม่น่าจะเข้าใจคำนี้ด้วยซ้ำ  --> ผมไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ เค้าก็เข้าใจกันอย่างนี้ในวงการนั่นแหละ  ผมไม่ได้แบ่งเองนะครับ ผมถึงบอกงัยว่าคุณน่าจะไม่ใช่นักการเงินแน่ๆ  ถึงไม่เข้าใจตรงนี้   ยิ่งพิมพ์มาเยอะ ผมยิ่งเข้าใจชัดว่าคุณไม่ใช่นักการเงินแน่ๆ แต่ทำมาอ้างนักการเงินเค้าคิดอย่างโน้นอย่างนี้     ไอ้ที่คุณแบ่งน่ะ  บางอันมันเป็นสายย่อยๆ ของสายหลักอยู่แล้ว ส่วนบางอันมันไม่มีแบ่งเป็นสายอาชีพแบบนี้ เค้าแบ่งกันตามสายอาชีพไม่ใช่แบ่งวิชาเรียนครับ  ขำได้อีกนะคุณ

ผมคุยกับคุณมีแหล่งอ้างอิงตลอดนะ คุณลองหาข้อมูลหรือแหล่งอ้างอิงมายืนยันคำกล่าวอ้างของคุณหน่อยสิครับ อย่าอ้างลอยๆ แบบที่คุณอ้างว่าต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่ายอะไรแบบเนี้ย มันน่าอายนะคุณ   555+

คือผมก็ยึดหลักบัญชีมาตลอดนะ --> อ้าวว ไหนว่าเอาความหมายของคนทั่วไปเข้าใจงัย  พลิกลิ้นเหรอ 555+     คุณงงตรงไหนเหรอ มีแค่คุณพยายามแถเรื่องรถยนต์เป็นค่าใช้จ่าย ผมจึงอธิบายไปถึงความหมายของคำเพื่อไม่ให้ไถต่อ การจัดหมวดหมู่ความคิดคุณผมอธิบายตัวอย่างไปแล้วนะ อย่าเปลี่ยนคำจำกัดความตัวเองแล้วกัน เบื่อไถแล้ว ชี้ให้เห็นถึงขนาดนี้แล้วว่ามันเพี้ยนแค่ไหน ถ้าบ้าน เงินสด และอย่างอื่นต้องมาเป็นค่าใช้จ่ายหมดเลยเนี่ย แล้วคุณยังคิดไม่ได้ ผมก็ว่าบัวใต้น้ำแล้วละ --> ผมพยายามแถเรื่องรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายตรงไหนเหรอ   เรื่องของเรื่องคือ บังเอิญมีคนมาทำเก๋า คาดเดาความคิดผม แต่เดาผิด เข้าใจผิดไปตั้งเยอะ  คุยกันมาหลายรอบขนาดนี้ อธิบายไปเสียเยอะ ยังไม่เข้าใจวิธีคิดผมเลย   แล้วก็เอาความคิดมั่วๆ ความคิดผิดๆ  ที่ตัวเองคิดขึ้นมาเองไปวิจารณ์ แล้วมายัดเยียดว่าเป็นความคิดของผม     ผมก็ออกมาชี้แจงว่าผมไม่ได้คิดแบบที่คุณคิดเท่านั้นเอง อย่าทำเก๋าแล้วเดาผิด ไม่เข้าใจตรงไหนให้ถามมาสิครับ แต่เห็นทำเก๋าเดาผิดให้ขำกันได้ตลอด   ส่วนความคิดคุณเป็นยังงัย ผมไม่ได้สนใจเลยครับ ผมอ่านข้ามๆ ไปด้วยซ้ำ  ผมสนใจเฉพาะที่คุณพาดพิงหาว่าเป็นความคิดของผม กับส่วนที่ผมถามก็แค่นั้นครับ

แล้วก็เลิกซะนะไอ้พฤติกรรมหาเพื่อนน่ะ คุณบอกเพื่อนคุณไม่อยากคุย แต่ๆ ละคนก็ดึงออกไปเรื่องนู้นบ้าง นี้บ้าง มาเปิดประเด็นใหม่คุยกับผมตรงๆ เลยครับ ถ้าไม่กล้า ไม่อยากคุย ก็หยุดซะนะ ตรงนี้ผมคุยประเด็นไหน ให้มันเป็นความคิดของคุณพอ ผมจะได้รู้ว่าคุณตอบเอง ไม่ใช่มาดึงไปเรื่องนี้ที นั้นที คือชอบว่าคนอื่นออกทะเล ก็เลยมาให้เพื่อนทำแทนหรือไง ผมพยายามตอบให้รวบรัดแล้วจบ เพื่อกลับเข้าประเด็นเดิม แต่เพื่อนคุณก็ต่อยาวไปอีกเรื่อยๆ เพื่ออะไรครับ? มาคุยตรงๆ เลยถ้าจะทำแบบนี้ ถ้าไม่ก็หยุด และก็ป้องกันการสวมรอยด้วย เพราะผมไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนที่ชอบพูดว่าออกทะเลน่ะ ไม่รู้ว่าเป็นคนนอกประเด็นโดยอ้างคนอื่นรึเปล่าด้วย ผมรำคาญครับ ง่ายๆ เลย ทำให้มันถูกต้องหน่อยโตๆ กันแล้ว เปิดประเด็นใหม่มาเลย ถ้าไม่ก็อย่านอกเรื่อง ให้มันเป็นความคิดเห็นของแต่ละคนไป ไม่ใช่มั่วแบบเด็กเล่นแบบนี้ --> เพื่อนผมเป็นแค่คนดูครับ ไม่มีใครมาคุยกับคุณเลยสักคน เค้าแค่ขำกับการอวดอ้างการเป็นนักการเงินด้วยวิชาที่เรียนมาก็เท่านั้นเองครับ   คิดเองอีกแล้วเหรอครับว่ามีคนมาถามแทน พิมพ์แทนเหรอครับ  ผมถามเองทุกคำถามครับ  พอผมถามไปแล้วคุณอธิบายไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเพื่อนผมมาช่วยพิมพ์ ช่วยถามเหรอครับ  พูดถึงประเด็นนี้ทุกครั้งเลยนะครับ   พูดแบบนี้ทุกครั้งแบบนี้มันแสดงอะไรบางอย่างได้นะครับ ปกติพฤติกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเป็นกลไกปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง เวลาที่คนเรารู้สึกว่าแพ้ แต่ยังต้องการการนับถือตัวเองอยู่ เพื่อป้องกันความรู้สึกพ่ายแพ้ ก็จะหาเหตุผลมา Support ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้แพ้ แต่ที่แพ้เป็นเพราะเหตุผล 1-2-3     พูดบ่อยๆ แบบนี้ทั้งที่อธิบายไปหมดแล้ว แสดงว่าอะไรเหรอครับ   ผมบอกคุณทุกครั้งว่าเพื่อนผมอ่านอย่างเดียว (ลืมไป ไม่ใช่แค่อ่านแต่มีแอบขำกันด้วย)  ผมพิมพ์เองถามเองหมดครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อธิบายแล้วครับ  อธิบายยังงัยก็คงไม่ชนะกลไกปกป้อง Self Esteem ของคนอื่นครับ

แล้วการที่คุณมาคุยแทนคนอื่นแบบนี้ ผมยังต้องอธิบายเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์อีกเหรอครับ ถ้าหากเป็นเพื่อนผม ความเห็นก็มาทางนี้ เพื่อนคุณก็มาทางนั้น มันเป็นอิสระตรงไหน? แค่นี้มองไม่ออกเหรอ มาให้ผมอธิบาย conflict of interest ทั้งๆ ที่ชัดแบบนี้อะนะ คุณคงไม่ฉลาดแบบที่ผมพูดจริงๆ นั่นแหละ แต่ยังไม่ได้พูดถึงความเห็นพวกคุณ ที่อาจจะ bias ได้อีกนะ มันมีอะไรหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องเลย จะเล่นอะไรแบบเด็กๆ ก็เล่นไป แต่ให้มันถูกต้องหน่อย ไม่มีใครเตือนพวกคุณเหรอครับ จรรยาบรรณถ้ามันมีน้อยก็พยายามทำบ้างนะ แค่ความเห็นที่ bias หรือ การที่ตัวเองมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ในการแสดงความเห็น ก็น่าจะครอบคลุมนะ
 --> อธิบายให้เข้าองค์ประกอบเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ให้ดูสิครับ   แล้วอ้างมาว่าผิดจรรยาบรรณ  แสดงออกมาสิครับ  อย่ามาอ้างว่าคนอื่นไม่ฉลาด ไม่ใช่หน้าที่ของคนที่ถูกกล่าวหาที่ต้องพิสูจน์ครับ คนที่กล่าวหาอย่างคุณต้องเป็นผู้พิสูจน์ครับ อย่างสมมติถ้าผมไปศาล  ผมก็แค่บอกว่าคุณละเมิดอะไรไปบ้าง หมิ่นประมาทผมและเพื่อนๆ ด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง ผมก็จะแสดงในส่วนนั้น
 ส่วนคุณกล่าวอ้างเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์เรื่องผิดจรรยาบรรณ ก็ต้องแยกองค์ประกอบเป็นข้อๆ ออกมาให้ดูสิครับ  แล้วเอาพฤติกรรมที่คุณกล่าวอ้างวางลงในองค์ประกอบให้เห็น  เหมือนที่ผมแสดงเรื่องละเมิดให้คุณดูอ่ะครับ อย่างอ้างลอยๆ มั่วๆ  แบบนี้ อย่าอ้างเอาคำว่าไม่ฉลาด มาบิดเบือนหน้าที่ในการนำสืบนะครับ เป็นหน้าที่ที่คุณต้องแสดงให้เห็นตามที่กล่าวอ้างครับ  เวลาไปที่ศาล  ศาลก็ต้องให้คุณแสดงให้ครบว่าเข้าองค์ประกอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังงัย  แล้วมันผิดจรรยาบรรณยังงัย  ศาลไม่อวดฉลาดคิดเองครับ  อ้างออกมาเองก็ต้องอธิบายได้ครับ ถ้าอ้างลอยๆ ออกมาแต่อธิบายไม่ได้มันก็คือการหมิ่นประมาท มีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญานะคุณ

จะคุยกับใครก็เอาความเห็นของคุณมาชนกับความเห็นของผมตรงๆ เลย ไม่ใช่มาแสดงความเห็นแทนคนอื่นแบบนี้มันออกจะขี้ขลาด แล้วประเด็นนี้ก็แค่คุณกับผมเท่านั้น ผมบอกเลยคุยแล้วงงครับ ไม่รู้ใครเป็นใคร บางคนไปเรื่องนี้บ้าง เรื่องนั้นบ้าง แตกประเด็นออกมาเลยครับ ถ้าไม่ก็หยุดซะ ส่วนเจ้าตัวถ้าออกทะเลจะได้ซัดได้ว่าออกทะเล กลืนน้ำลายตัวเองอยู่เรื่อย มันจะได้จบ และกลับเข้าประเด็นสักที --> ตรงไหนที่นอกประเด็นบ้างครับ  คำสนทนาเริ่มจากคำกล่าวอ้างของคุณทั้งนั้นนะครับ   

ปล ไม่ต้องห่วงว่าจะหายไปไหน อาจจะตอบช้าเพราะยุ่งๆ พอดีช่วงนี้ มี capital gain ระดับ 50-60% เลยไปตระเวนหาซื้อคอนโด เพราะราคาลดเกือบครึ่ง พอดีช่วงก่อนหน้ามี cash เหลือ 30% รู้สึกว่าเยอะไป เลยคิดว่ามี exposure กับอสังหาโดยตรงบ้าง ให้เหลือ cash สัก 10% พอ เพราะดูเหมือน Q2 อาจจะลงไม่ลึกแล้ว แล้วเงินก็พอที่จะซื้อคอนโด upper class ได้ ก็เป็นทางเลือกที่ดีในการ switch   --> ผมไม่เคยห่วงคุณเลยครับ คุณสำคัญตัวผิดอีกแล้วสินะ 555+   ส่วนคุณจะทำอะไร เป็นอะไรผมไม่ได้สนใจเลยครับ   ผมสนใจเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผมเท่านั้น แต่หายไปนานขนาดนี้ แล้วตอบไม่ครบ แต่พิมพ์ตอบอะไรมาก็ไม่รู้  ไอ้ที่ไม่ได้ถามก็พูดมาเยิ่นเย้อ แต่ตรงที่ถามก็ตอบไม่ตรงคำถาม ตอบไม่ครบอีก น่าผิดหวังครับ   อ้อ Captital Gain น่ะเค้าวัดกันตอนขาย ไม่ได้วัดที่ตอนซื้อ ตลกอีกแล้ว 555+





สรุปว่าคำถามหลัก ของผม ไม่ได้คำตอบเลยสักข้อนะครับ  ขอถามใหม่จนกว่าจะได้คำตอบครับ

2 ข้อแรก ตามที่คุณกล่าวอ้างมาว่า 

1. ที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้   เอามาจากไหนครับ  ขอที่มาด้วยครับ  ค่าใช้จ่ายที่มีตัวตนได้มีเยอะแยะครับ   ต้นทุนวัตถุดิบก็เป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  พวงหรีดงานศพก็ลงเป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  ผมได้แสดงให้ดูแล้วว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้   ส่วนของคุณ ข้อนี้ผมขอแหล่งอ้างอิงที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้อ่ะครับ 

2. ที่คุณอ้างว่ารถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   อันนี้คุณประกาศกร้าวเองนะ    ผมได้แสดงให้ดูพร้อมแหล่งที่มาแล้วว่า รถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนคุณเถียงอย่างเดียว     แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจขายรถก็เอารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้นะครับ ธุรกิจขายรถยนต์ผมแค่ยกตัวอย่าง 1 ตัวอย่าง  ส่วนคุณประกาศกร้าวมาแต่แรกแบบฟันธง  ถ้าคุณจะยืนยันความเห็นขัดแย้งของคุณเอง  คุณต้องหาหลักฐานมาแย้งแล้วครับ  ไม่งั้นก็ยอมรับไปครับว่ารถยนต์สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายได้  อย่าข้าม อย่าหนีสิครับ

กลับมาที่คุณอ้าง  “รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้”   ถ้ายังยืนยันคำพูดนี้อยู่ ผมขอให้คุณแสดงที่มาและแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ    ผมเชื่อว่าคุณไม่ยอมรับว่าคุณคิดผิดแต่แรกอยู่แล้ว   ดังนั้นข้อนี้ขอแหล่างอ้างอิงคำอ้างคุณครับ


3.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   3.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ  ข้อนี้ขอคำตอบครับ
 

4.  คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   4.1 ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  4.2 แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน   ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   4.3  แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ  4.4 ถ้าคุณเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ     
นี่ผมแบ่งคำถามให้ขนาดนี้เลยเหรอ  ลองย้อนขึ้นไปอ่านดูคุณตอบอะไรมาวะครับเนี่ย ไม่ได้คำตอบสักข้อ  ถ้าเอาข้อมูลจากนักการเงินมาที่ไหนก็ตอบมา ถ้าไม่ได้เอาจากไหนมา กล่าวอ้างขึ้นมาเอง ก็ยอมรับมาครับ ว่าคิดเอง ไม่ได้ไปถามนักกากรเงินที่ไหนมา   อย่าข้าม อย่าหนีคำกล่าวอ้างของคุณเองสิครับ

5.   แล้วที่ประกาศกร้าวว่า ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย!!!     ทำไมไม่หาที่มาหรือแหล่งอ้างอิงมาสักทีครับ     ธุรกิจทั่วๆ ไป ขายปากกา  ขายอาหาร ก็ลงต้นทุนขายไว้เป็นค่าใช้จ่ายเหมือนกันหมดครับ  ไปเปิดงบการเงินดูได้ครับ    ถ้ายังยืนยันอยู่ว่า   ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย  ผมขอที่มาและแหล่งอ้างอิงด้วยครับ  อย่าหนีสิครับ 
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ มิถุนายน 23, 2020, 00:05:17
ไหนลองแสดงให้ดูหน่อยครับว่าเพื่อนผมเข้าองค์ประกอบ conflict of interest อย่างไรบ้าง แยกให้ชัด จะกล่าวหาใครก็ต้องแสดงออกมาครับ  หล่าวหาลอยๆ เข้าข่ายหมิ่นประมาท เป็นความผิดทางอาญานะครับ

ผมบอกไปแล้วไงครับว่าอธิบายไปแล้ว คุณไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ? ความหมายตามตัวอักษรเลย เพื่อนคุณไม่เป็นอิสระจากคุณ หรือจะเอาอีกคำ มีผลประโยชน์ร่วมกับคุณเพราะรู้จักกัน ตายๆ ครับต้องอธิบายศัพท์ที่มันง่ายอยู่แล้ว จะอธิบายยังไงให้ง่ายขึ้นอีกครับ?

-->แล้วนี่อธิบายอะไรมาครับเนี่ย  ไม่เข้าใจคำถามอีกแล้วใช่ป่าวครับ   อธิบายมาอย่างยาวเหยียดแต่ไม่ได้คำตอบตามที่ผมถามอีกแล้วนะครับ  ผมต้องการให้คุณเชื่อมโยงให้ได้ตามที่คุณอ้างมา ไม่ใช่โยงนั่นนิดโยงนี่นี่หน่อย ยกเรื่องโน่นนี่มาพูด แต่ไม่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น แล้วก็ไม่ต้องใช้คำว่า “ไม่พูดต่อนะ ไปหาอ่าน derive เอาเอง”  พูดแบบนี้ไม่ได้สิครับ คุณมีหน้าที่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น    แล้วอยู่ๆ ผมไม่ได้สงสัยขึ้นมาเองนะ ผมก็สงสัยจากคำกล่าวอ้างของคุณนั่นแหละ ไมได้นอกเรื่องอะไรเลย คุณกล่าวอ้างมา ผมก็สงสัย แล้วผมก็ถามกลับ แต่พอถามแล้วแทนที่จะอธิบายที่ผมถาม ดันไปอธิบายเรื่องที่ไม่ตรงคำถาม อันนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่านอกประเด็น    อ้างมาแล้วก็อธิบายให้สุดสิครับ อย่าขี้เกียจ  ผมถามจากที่คุณกล่าวอ้างเลยนะ ไม่ได้นอกประเด็นขึ้นมาเองนะครับ
  1.เริ่มต้นจาก law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง stochastic discount factor ได้ยังงัย  จนมาถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio   ของแบบนี้ ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ
 2  เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับว่ามันโยงไปถึง  geometric brownian motion equation เอาแค่นี้ก็ได้ครับ   อธิบายเชื่อมโยงมา อย่าไล่ให้ไปหาเองสิครับ คุณเป็นคนกล่าวอ้างมาก็ต้องหาหลักฐานหรือแสดงให้เห็นสิครับ ถ้าไปศาลคุณต้องแสดงให้ศาลเห็นหมดนะครับ ไม่ใช่ให้ศาลหรืออีกฝ่ายคิดเองหาเอง
3. สินทรัพย์อื่นก็ทำแบบเดียวกัน ใช้แนวคิด stochastic discount factor ในการเริ่ม ศึกษา nature ของสินทรัพย์ ว่าจะเริ่มจากอะไร  --> ขอสินทรัพย์ประเภทที่ดิน กับสิทธิการเช่าหน่อยครับ ว่ามันเชื่อมโยงยังงัย
สิ่งที่ต้องการคือคุณควรจะเชื่อมโยงทั้งหมดตามที่คุณกล่าวอ้างว่ามันไปถึงกันได้อย่างไร  ไม่ใช่ให้ผมไปหาเองครับ  ผู้ใดกล่าวอ้าง  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบครับ     

ปล. อย่างประกันภัยรถยนต์ถึงมีลักษณะคล้าย put option ประเภทหนึ่ง แล้วมีจุดที่ไม่เหมือนตรงไหนบ้างครับ
ปล้วชีวิตจริงไม่มีใครใช้ black scholes model มารันโมเดลหรอกครับ มันมีจุดอ่อนที่ใช้ไม่ได้กับตราสารในไทย แต่จุดอ่อนที่สำคัญมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่คุณอ้างมาเลย

ok ผม get ละ ว่าคุณไม่ได้มีความรู้เฉพาะเรื่องนี้เลย จริงๆ ผมอธิบายบอกแล้วว่ารวบรัด methodology 1 2 3 4 เลยด้วยซ้ำ แต่คุณยังไม่เข้าใจ แปลว่า ในรายละเอียดคุณไม่รู้อะไรเลย ให้อธิบายว่าแต่ละตัวคืออะไรมันไม่ไหว แถมบอกวิธี หลักการก็ยังเชื่อมโยงไม่ได้ คือขาดความรู้เพียงพอที่จะเข้าใจได้แล้วครับ ผมจะไม่อธิบายเพิ่ม ผมบอกไปแล้ว ว่าจะทำยังไง ถ้าเป็นเพื่อนคุณ --> ไปเปิดประเด็นมาใหม่ ถ้าเป็นตัวคุณเอง อย่าออกทะเลครับ คำตัวเองจำไว้ด้วยก็ดี? ผมบอกแล้วว่าผมตอบพอสมควรถ้าไม่จบ อย่ากลืนน้ำลายตัวเองที่ว่าออกทะเล มันจะย้อนเข้าตัว

การที่ผมต้องการคำจำกัดความที่แน่นอนจากคุณก็เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องแถไปไหนอีก ถ้ายังจะคิดว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ อธิบายตัวอย่างนี้ให้ได้นะ
คำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายของคุณ 1 ถ้ารถเป็นค่าใช้จ่ายได้ ก็แปลว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้ ได้   -->โดยที่ไม่ต้องเกี่ยวกับว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายได้    ค่าใช้จ่ายมันมีตัวตนได้อยู่แล้วครับคุณ   ถามจริงๆ เหอะ คุณเอามาจากที่ไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ขอที่มาหน่อยสิ [/color]

ผมไม่รู้นะใครพิมพ์ ไปเคลียร์กันให้รู้เรื่องก่อนไหม? --->
ผมขายรถยนต์มือ2--->ผมขายค่าใช้จ่ายเหรอ?  ---> แบบนี้ต้องขายสินทรัพย์สิคุณ งงอะไรครับคุณ
รถยนต์ผมมีมูลค่า 3 แสน--->ค่าใช้จ่ายมีมูลค่า 3 แสน?    ---> ไม่ใช่ครับ
ผมขับรถยนต์--->ผมขับค่าใช้จ่าย? --> ไม่ใช่ครับ  ขับรถยนต์ก็ต้องขับรถยนต์สิครับคุณ อะไรครับคุณ รถยนต์ก็คือรถยนต์ ค่าใช้จ่ายก็คือค่าใช้จ่ายสิครับ ไปกันใหญ่แล้ว เปิดหาความหมายของคำว่ารถยนต์ในพจนานุกรมตามที่คุณบอกก็ได้ครับ  แต่เดี๋ยวนี้เสริจกูเกิ้ลก็เจอครับ
สงสัยแมวพิมพ์? ตรงนี้ขัดแย้งนะ เวลาตอบ ตอบให้เหมือนกันตลอดครับ ตกลงรถเป็นค่าใช้จ่าย? มีตัวตน? ผมให้คุณบอกคำจำกัดความให้หมด เพื่อที่จะไม่ให้คุณแถอีก ตอนนี้คุณมาเพิ่มคำจำกัดความ? ผมรู้แล้วละครับว่าไถเป็นไง

"ถ้ามีคนที่ไม่ลงทุนอะไรเลย แต่มีบ้านราคา 20 ล้าน มีเงินสด 10 ล้านเก็บไว้ในเซฟ" ---> คนๆ นี้ ซื้อรถกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี? --> ซื้อรถราคาเท่าไรก็ไม่บอก จะคิดเปอร์เซ็นต์ยังงัยละครับคุณ ตลกอีกแล้ว 555+

คุณจบวิศวะใช่ไหม แล้วทำไมถึงคิดไม่ได้ครับ? ผมจำเป็นต้องบอกไหมว่ารถราคาเท่าไร ในเมื่อประเด็นมันอยู่ที่ สินทรัพย์เป็น 0 ตามตรรกะคุณ ราคารถมันจะเท่าไร หาร 0 มันมีค่าเหรอ? จบวิศวะ? เลข ป6?
เอางี้แล้วกัน ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคุณมีความรู้ทางการเงินมากพอ วิศวะมีเรียน irr การเงินเชิงบริหารอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ลึกอะไรมากมาย หรือความรู้บางอย่าง google หรือถามเพื่อนได้ ไอ้เรื่องเกี่ยวกับลงทุนเหมือนคุณจะรู้แค้เรื่องทั่วๆ ไปแค่นั้น ลองตอบอะไรที่คนเรียนการเงินต้องรู้ดูหน่อย อย่าไปถามเพื่อนที่จบการเงินนะคุณ

"capm มาโควิชพูดถึงกลุ่มหลักทรัพย์ที่เป็นไปได้ efficient frontier ในการสร้างโค้งลูกกระสุน efficient frontier สามารถใช้ทฤษฎีอะไรมาสร้างได้หากไม่สามารถรู้ถึงผลตอบแทน และความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์ทุกกลุ่มได้ และต้องใช้กลุ่มหลักทรัพย์กี่กลุ่มถึงสร้างได้"? --> ตอบอันนี้ไม่ได้ คงไม่ได้จบการเงินแล้วคุณน่ะ (อยู่ในวิชา investment theory) ไม่ต้องตอบยาวครับ แค่ชื่อทฤษฎี และตัวเลขกี่กลุ่มหลักทรัพย์ ไม่ออกทะเลแน่นอน

อ่าว คิดเอาเอง แล้วหาไม่ได้เอง เจอทางตันเอง แล้วมาโทษผมทำไมล่ะครับ ตลกอีกล่ะ คุณนี่โทษคนอื่นตลอดเลยนะครับ คิดไม่ออกเองก็โทษคนอื่น อันนี้คุณนั่นแหละครับที่คิดแบบมั่วๆ แบบผิดๆ เพี้ยนๆ เองครับ  ผมไม่ได้คิดแบบนี้เลยครับ  อย่างดึงผมไปเพี้ยนกับคุณเลยครับ 555+   แล้วผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายขึ้นมาเองครับ ต้องให้ย้ำอีกแล้วนะ คำจำกัดความผมไม่เคยสร้างเองเลย    แต่ถ้าการใช้เป็นการใช้มุมมองคล้ายๆ กัน ผมก็ใช้กับอย่างอื่นนอกจากรถยนต์ก็ได้ครับ เช่น โทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ใช่บ้านกับเงินสดแบบที่คุณเพี้ยนมาครับ 555+

นี่ก็ไถ ที่มันตอบไม่ได้เพราะคุณไปคิดเพี้ยนๆ เป็นค่าใช้จ่ายไงครับ ผมไม่ได้ต้องการหาคำตอบ แต่ผมชี้ให้เห็นว่าความคิดนี้มันเพี้ยน ถ้าคุณตอบไม่ได้ งั้นตรรกะคุณมันก็เพี้ยนไงครับ เรื่องง่ายๆ ทำไมถึงไม่เข้าใจที่สื่อเลย ทั้งการหาพวก เล่นอะไรแปลกๆ เหมือนเด็กมากครับ

ออ อีกเรื่อง คุณถามผม ผมยึดบัญชี แต่ที่ยึดความหมายคำ เพราะมีคนแถ แตกต่างกันนะ ดังนั้นแยกแยะด้วยครับ การที่คุณถามมา ผมตอบยึดบัญชี การถามคุณไปตามความหมายคำ มั่วมากเอามารวมกันได้? คุณถามผม กับผมถามชี้คุณ เนื่องจากแถ เลยต้องใช้ความหมายกว้าง คุณถามผม ผมไม่ได้แถ ผมก็ตอบได้เฉพาะเจาะจงขึ้น ไม่เข้าใจตรงไหนหรือ? บัญชีมันก็เป็นซับเซทของความหมายตามพจนานุกรมอยู่แล้วไง

ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณจงใจยกธุรกิจขายรถยนต์ มาเพื่อตอบกรณีนี้กรณีเดียว มันผิด คือไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พยายามอธิบายเลย ถ้าจะถูกมันต้องอธิบายได้ทุกกรณี ตัวอย่างนี้จงใจยกเกินไป เข้าใจไหม? (ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าพยายามหาไอ้ที่มันตอบได้ตรงกับตรรกะประหลาดๆ มันยาก)   --> เฮัยคุณ เมาหมัดหนักจริงๆ ด้วยสิ อาการหนักมาก  ต้นทุนขายน่ะถือเป็นค่าใช้จ่ายในธุรกิจผลิตสินค้า ค้าส่ง ค้าปลีก แทบทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายรถยนต์แค่อย่างเดียวซะหน่อย    ธุรกิจขายอาหาร วัตถุดิบอาหารก็จัดเป็นค้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายในงบการเงินด้วย   ค้าส่ง-ค้าปลีก  ต้นทุนสินค้าที่รับมาจากผู้ผลิตก็ลงเป็นต้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายด้วย  คุณไปเอามาจากไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตั้งสติก่อนตอบนะคุณ ไม่ต้องรีบ

บอกไปแล้วไงครับ ถ้าไม่ใช่ธุรกิจรถยนต์ รถยนต์มันก็ไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายไหม แล้วมันตอบคำถามว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ตรงไหน? คุณจะบอกว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายกรณีนี้กรณีเดียวงั้นเหรอ แบบนี้สิเรียกตลก ถ้ามันถูก มันจะต้องเป็นจริงเสมอ นี่อะไร 99999 กรณี รถไม่ใช่ค่าใช้จ่าย 1 กรณี(แถมจงใจยกด้วย) คิดว่าตรรกะมันเพี้ยนไหมที่จะนำมาใช้อธิบายน่ะ

ผมไม่ได้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งครับ เค้าก็เข้าใจกันอย่างนี้ในวงการนั่นแหละ  ผมไม่ได้แบ่งเองนะครับ ผมถึงบอกงัยว่าคุณน่าจะไม่ใช่นักการเงินแน่ๆ  ถึงไม่เข้าใจตรงนี้   ยิ่งพิมพ์มาเยอะ ผมยิ่งเข้าใจชัดว่าคุณไม่ใช่นักการเงินแน่ๆ แต่ทำมาอ้างนักการเงินเค้าคิดอย่างโน้นอย่างนี้     ไอ้ที่คุณแบ่งน่ะ  บางอันมันเป็นสายย่อยๆ ของสายหลักอยู่แล้ว ส่วนบางอันมันไม่มีแบ่งเป็นสายอาชีพแบบนี้ เค้าแบ่งกันตามสายอาชีพไม่ใช่แบ่งวิชาเรียนครับ  ขำได้อีกนะคุณ

แล้วแต่คุณจะคิดครับ ผมไม่ได้แคร์หรือใส่ใจ อะไรที่ถามก็ตอบไปแล้ว จบนะ ว่าอยู่ buy side

เพื่อนผมเป็นแค่คนดูครับ ไม่มีใครมาคุยกับคุณเลยสักคน เค้าแค่ขำกับการอวดอ้างการเป็นนักการเงินด้วยวิชาที่เรียนมาก็เท่านั้นเองครับ   คิดเองอีกแล้วเหรอครับว่ามีคนมาถามแทน พิมพ์แทนเหรอครับ  ผมถามเองทุกคำถามครับ  พอผมถามไปแล้วคุณอธิบายไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเพื่อนผมมาช่วยพิมพ์ ช่วยถามเหรอครับ  พูดถึงประเด็นนี้ทุกครั้งเลยนะครับ   พูดแบบนี้ทุกครั้งแบบนี้มันแสดงอะไรบางอย่างได้นะครับ ปกติพฤติกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเป็นกลไกปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง เวลาที่คนเรารู้สึกว่าแพ้ แต่ยังต้องการการนับถือตัวเองอยู่ เพื่อป้องกันความรู้สึกพ่ายแพ้ ก็จะหาเหตุผลมา Support ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้แพ้ แต่ที่แพ้เป็นเพราะเหตุผล 1-2-3     พูดบ่อยๆ แบบนี้ทั้งที่อธิบายไปหมดแล้ว แสดงว่าอะไรเหรอครับ   ผมบอกคุณทุกครั้งว่าเพื่อนผมอ่านอย่างเดียว (ลืมไป ไม่ใช่แค่อ่านแต่มีแอบขำกันด้วย)  ผมพิมพ์เองถามเองหมดครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อธิบายแล้วครับ  อธิบายยังงัยก็คงไม่ชนะกลไกปกป้อง Self Esteem ของคนอื่นครับ

แค่คนดู? ผมเห็นคุณพิมพ์ชื่อนะ ว่าใครตอบอะไร สรุปตอบเอง? มันไม่มีแพ้หรอกครับ คุณน่ะเอาเพื่อนมาอ้าง งั้นก็ตอบเองนะ อย่ามาอ้างอะไรอีก คือที่พูดมามันเข้าตัวเองหมดเลยคุณ เอาเพื่อนมา support ความคิดตัวเอง ผมโต้แย้งกับคุณแค่ 2 คน ผมยังไม่ได้ทำอะไร แบบคุณเลย พูดด้วยความคิดตัวเองล้วนๆ มันก็แฟร์แล้วนี่
ตรงนี้จับได้เต็มๆ เลย ถ้าเพื่อนคุณแค่ดู สรุปคนออกทะเลนี่อยู่เรื่อยๆ นี่คุณใช่ไหม พวกกลืนน้ำลายตัวเองเนอะ มีสิทธิไปว่าคนอื่นไหมเนี่ย?

--> อธิบายให้เข้าองค์ประกอบเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ให้ดูสิครับ   แล้วอ้างมาว่าผิดจรรยาบรรณ  แสดงออกมาสิครับ  อย่ามาอ้างว่าคนอื่นไม่ฉลาด ไม่ใช่หน้าที่ของคนที่ถูกกล่าวหาที่ต้องพิสูจน์ครับ คนที่กล่าวหาอย่างคุณต้องเป็นผู้พิสูจน์ครับ อย่างสมมติถ้าผมไปศาล  ผมก็แค่บอกว่าคุณละเมิดอะไรไปบ้าง หมิ่นประมาทผมและเพื่อนๆ ด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง ผมก็จะแสดงในส่วนนั้น
 ส่วนคุณกล่าวอ้างเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์เรื่องผิดจรรยาบรรณ ก็ต้องแยกองค์ประกอบเป็นข้อๆ ออกมาให้ดูสิครับ  แล้วเอาพฤติกรรมที่คุณกล่าวอ้างวางลงในองค์ประกอบให้เห็น  เหมือนที่ผมแสดงเรื่องละเมิดให้คุณดูอ่ะครับ อย่างอ้างลอยๆ มั่วๆ  แบบนี้ อย่าอ้างเอาคำว่าไม่ฉลาด มาบิดเบือนหน้าที่ในการนำสืบนะครับ เป็นหน้าที่ที่คุณต้องแสดงให้เห็นตามที่กล่าวอ้างครับ  เวลาไปที่ศาล  ศาลก็ต้องให้คุณแสดงให้ครบว่าเข้าองค์ประกอบความขัดแย้งทางผลประโยชน์ยังงัย  แล้วมันผิดจรรยาบรรณยังงัย  ศาลไม่อวดฉลาดคิดเองครับ  อ้างออกมาเองก็ต้องอธิบายได้ครับ ถ้าอ้างลอยๆ ออกมาแต่อธิบายไม่ได้มันก็คือการหมิ่นประมาท มีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญานะคุณ

conflict of interest อยู่ในจรรยาบรรณของนักการเงินอยู่แล้ว นี่แหละที่มันไม่ฉลาด ก็เพราะองค์ประกอบข้อ ไม่เป็นเป็นอิสระ ข้อเดียว มันก็เป็น conflict of interest แล้ว มันไม่ต้องเข้าองค์ประกอบทุกข้อ ดังนั้นทำไมผมถึงต้องร่ายทุกข้อ? ถ้าจะบอกไม่เป็น conflict of interest สิถึงต้องเข้าทุกข้อ แต่ไม่เข้าข้อใดข้อนึงมันก็เป็นแล้ว คุณ iq ต่ำเหรอครับ? มันเข้าใจยากตรงไหนเนี่ย?

ผมไม่เคยห่วงคุณเลยครับ คุณสำคัญตัวผิดอีกแล้วสินะ 555+   ส่วนคุณจะทำอะไร เป็นอะไรผมไม่ได้สนใจเลยครับ   ผมสนใจเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผมเท่านั้น แต่หายไปนานขนาดนี้ แล้วตอบไม่ครบ แต่พิมพ์ตอบอะไรมาก็ไม่รู้  ไอ้ที่ไม่ได้ถามก็พูดมาเยิ่นเย้อ แต่ตรงที่ถามก็ตอบไม่ตรงคำถาม ตอบไม่ครบอีก น่าผิดหวังครับ   อ้อ Captital Gain น่ะเค้าวัดกันตอนขาย ไม่ได้วัดที่ตอนซื้อ ตลกอีกแล้ว 555+

ผมขายแล้วไปซื้อคอนโดครับ มั่วนะคุณ?(อย่าวิจารณ์ ถ้ายังฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ผมไม่ได้บอกทั้งหมด ดังนั้นอย่าเดามั่วเอาเอง ผมขายหุ้นที่เพิ่งมี capital gain 50-60% ไม่นานมานี้ แล้วบวกเงินอีกนิดหน่อย เพื่อให้เงินสดเหลือแค่ 10-20% ไปซื้อคอนโด แบบนี้เรียก capital gain ยัง? ผมจำได้ว่าไม่ได้บอกว่าทั้งพอร์ทนะ? แค่หุ้นที่เพิ่งซื้อมาตอนมีนาตัวเดียว พวกเดาสุ่มมั่วๆ ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย เงียบดีกว่าครับ อันนี้มันเรื่องส่วนตัว แล้วผมก็ไม่ได้พูดตัวเลข แถมคุณก็ไม่ได้สนใจด้วย คุณบอกเอง จะ สะ....เอ....อะ ไปทำไมครับ) ไม่สนใจก็ดีครับ ผมพูดเพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าช้า แต่เหมือนเห็นแมวพิมพ์นะ "แต่หายไปนานขนาดนี้ แล้วตอบไม่ครบ" ถือว่าพูดให้หมาฟังแล้วกันครับ ดีกว่าไม่บอกอะไร

1. ที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้   เอามาจากไหนครับ  ขอที่มาด้วยครับ  ค่าใช้จ่ายที่มีตัวตนได้มีเยอะแยะครับ   ต้นทุนวัตถุดิบก็เป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  พวงหรีดงานศพก็ลงเป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  ผมได้แสดงให้ดูแล้วว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้   ส่วนของคุณ ข้อนี้ผมขอแหล่งอ้างอิงที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้อ่ะครับ


ตามบัญชีเลย อธิบายยังงี้ บัญชีมี 2 ฝั่ง เดบิต เครดิต คุณดูรายการดีๆ นะ อย่าเหมารวม ต้นทุนขาย อยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย บัญชีไม่ได้ใช้คำว่าค่าใช้จ่ายนะ พวงรีด ถ้าลงรายการมันจะเป็นค่าพวงหรีด ไม่ได้ใช้คำว่าพวงหรีดนะ คุณอย่าเหมารวม ทางบัญชีถ้าพวงหรีดก็ต้องเป็นสินทรัพย์ ส่วนต้นทุนขาย มันไม่ได้ใช้คำว่าค่าใช้จ่ายเพราะมันเกี่ยวกับกิจการค้า แยกแยะหน่อย อย่าเหมารวมไปตามตรรกะเพี้ยนๆ ของตัวเองครับ? ทางบัญชีเขาละไว้ เข้าใจได้

2. ที่คุณอ้างว่ารถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   อันนี้คุณประกาศกร้าวเองนะ    ผมได้แสดงให้ดูพร้อมแหล่งที่มาแล้วว่า รถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนคุณเถียงอย่างเดียว     แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจขายรถก็เอารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้นะครับ ธุรกิจขายรถยนต์ผมแค่ยกตัวอย่าง 1 ตัวอย่าง  ส่วนคุณประกาศกร้าวมาแต่แรกแบบฟันธง  ถ้าคุณจะยืนยันความเห็นขัดแย้งของคุณเอง  คุณต้องหาหลักฐานมาแย้งแล้วครับ  ไม่งั้นก็ยอมรับไปครับว่ารถยนต์สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายได้  อย่าข้าม อย่าหนีสิครับ

กลับมาที่คุณอ้าง  “รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้”   ถ้ายังยืนยันคำพูดนี้อยู่ ผมขอให้คุณแสดงที่มาและแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ    ผมเชื่อว่าคุณไม่ยอมรับว่าคุณคิดผิดแต่แรกอยู่แล้ว   ดังนั้นข้อนี้ขอแหล่างอ้างอิงคำอ้างคุณครับ


คุณนี่เพี้ยนนะครับ ถามซ้ำๆ เดิมๆ ผมก็ตอบไปแล้วไง ยึดตามบัญชี ทั้งโลกเขาก็เห็นกันหมดว่า รถยนต์เป็นสินทรัพย์ และไม่มีบัญชีที่ไหนลงรถเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตามพจนานุกรมเลย ความหมายมันไม่มีตัวตน มันคือค่าอะไรสักอย่าง คุณอย่าเอาแค่คำตามหลังมาอ้าง เขาใช้คำว่าค่านำหน้าสินทรัพย์มันถึงเป็นค่าใช้จ่าย ตัวมันจริงๆ ไม่ใช่

3.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   3.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ  ข้อนี้ขอคำตอบ
ครับ

เปลี่ยนมุมมองได้ครับ แต่ต้องไม่ขัดกับข้อเท็จจริงไง คุณเหมือนเด็กอะ ถามซ้ำๆ เดิม จะให้ผมตอบใหม่กี่รอบกันครับ ความคิดคุณมันขัดหลักบัญชี ขัดแย้งความหมายคำ ยกตัวอย่างไปแล้วนี่ คนบ้าบอกหมาเป็นแมว นี่เปลี่ยนมุมมองเหรอ? บ้าละ อันนี้เรียกเพี้ยนครับ ถ้ามันขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอ แต่นี่อะไร กุจะมองแบบนี้ ข้าจะเอาแบบนี้ อันนี้คนบ้าครับ

4.  คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   4.1 ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  4.2 แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน   ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   4.3  แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ  4.4 ถ้าคุณเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ     
นี่ผมแบ่งคำถามให้ขนาดนี้เลยเหรอ  ลองย้อนขึ้นไปอ่านดูคุณตอบอะไรมาวะครับเนี่ย ไม่ได้คำตอบสักข้อ  ถ้าเอาข้อมูลจากนักการเงินมาที่ไหนก็ตอบมา ถ้าไม่ได้เอาจากไหนมา กล่าวอ้างขึ้นมาเอง ก็ยอมรับมาครับ ว่าคิดเอง ไม่ได้ไปถามนักกากรเงินที่ไหนมา   อย่าข้าม อย่าหนีคำกล่าวอ้างของคุณเองสิครับ

4.1 คุณถามสายไหนมันก็สายนั้นมาตอบไหม ถาม option ก็สาย derivative ถามบัญชี ก็สายบัญชี ตลกนะคุณ?
4.2 ไม่ได้เอาข้อมูลจากใครนะ หรือคุณทำแบบนั้น? ผมก็ตอบตามความรู้ตัวเองไหม หรือคุณความรู้ไม่พอโต้แย้งเลยต้องหาเพื่อนมาดูเลย? ผมละงง ผมก็ตอบเองไหม จะไปเอาจากใครทำไม? ที่บอกเหมือนกันไม่ได้หมายความว่าไปถามใครมา คิดว่าตอบไปแล้วนะ สงสัย eq ต่ำ ไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าคุณเป็นนักการเงิน ก็ควรมองอะไรๆ ให้เหมือนๆ กัน ไม่ได้หมายความว่าให้ไปถามใครแบบนั้น เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งเศสไหม "มีหลายยอย่างไม่เคยเปลี่ยน แต่หลายอย่างก็เปลี่ยนมากกว่า" เอาเข้าไป เอาคำเปรียบเทียบ ไปไล่ถามคนเหรอ? ปัญญาอ่อนครับ แยกแยะให้ได้ครับ
4.3 ถ้า buy side ไม่ใช่นักการเงินก็แล้วแต่คุณเลยครับ ผมเบื่อกับการจัดแบ่งของคุณที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
4.4 ไปดู 4.3

5.   แล้วที่ประกาศกร้าวว่า ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย!!!     ทำไมไม่หาที่มาหรือแหล่งอ้างอิงมาสักทีครับ     ธุรกิจทั่วๆ ไป ขายปากกา  ขายอาหาร ก็ลงต้นทุนขายไว้เป็นค่าใช้จ่ายเหมือนกันหมดครับ  ไปเปิดงบการเงินดูได้ครับ    ถ้ายังยืนยันอยู่ว่า   ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย  ผมขอที่มาและแหล่งอ้างอิงด้วยครับ  อย่าหนีสิครับ

จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง ยึดตามบัญชีเลยครับ ต้นทุนขาย เขาใช้คำว่า หมวดค่าใช้จ่าย อย่าเหมารวมว่าเป็นค่าใช้จ่ายครับ เขาใช้คำว่าต้นทุนขาย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของกิจการ ไม่งั้นเขาคงใช้ชื่อรายการเป็นค่าใช้จ่ายไปแล้ว ไม่แยกออกมาใช้ชื่อรายการว่าต้นทุนขายหรอก ค่าใช้จ่ายมันอยู่ล่างลงไปจากต้นทุนขายโน้น ใช้ชื่อรายการว่าค่าใช้จ่ายตรงๆ เลย แต่มันอยู่หมวดค่าใช้จ่ายน่ะใช่ ถ้าจะพูดจริงๆ ต้นทุนขายมันคือต้นทุนสินค้าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่มีใครบอกว่ามันคือค่าใช้จ่ายสินค้าหรอกครับ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ จึงใช้ชื่อรายการว่าต้นทุนขาย เป็นคนเข้าใจอะไรยากเนอะ เรื่องง่ายๆ จะทำให้ยากทำไม เพื่อตะแบง?
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: D Water Law ที่ มิถุนายน 23, 2020, 17:06:05
ไหนลองแสดงให้ดูหน่อยครับว่าเพื่อนผมเข้าองค์ประกอบ conflict of interest อย่างไรบ้าง แยกให้ชัด จะกล่าวหาใครก็ต้องแสดงออกมาครับ  หล่าวหาลอยๆ เข้าข่ายหมิ่นประมาท เป็นความผิดทางอาญานะครับ

ผมบอกไปแล้วไงครับว่าอธิบายไปแล้ว คุณไม่เข้าใจตรงไหนเหรอ? ความหมายตามตัวอักษรเลย เพื่อนคุณไม่เป็นอิสระจากคุณ หรือจะเอาอีกคำ มีผลประโยชน์ร่วมกับคุณเพราะรู้จักกัน ตายๆ ครับต้องอธิบายศัพท์ที่มันง่ายอยู่แล้ว จะอธิบายยังไงให้ง่ายขึ้นอีกครับ?   
--> ไม่ใช่ครับ คุณต้องไปหาองค์ประกอบของ conflict of interest มาวางครับ แล้ววางสิ่งที่คุณกล่าวหาว่ามัน conflict of interest ว่ามันครบองค์ประกอบหรือไม่ เช่น องค์ประกอบที่ 1 ต้องมีการปฏิบัติหน้าที่  คุณก็ต้องอธิบายมาว่าเพื่อนๆ หรือ ผมมีการปฏิบัติหน้าที่ตรงไหน แล้วไอ้ข้อที่คุณอ้างมันเป็นแค่องค์ประกอบที่ 2   แล้วคุณไปหาต่อว่ามีอีกกี่องค์ประกอบ แล้วจับพฤติกรรมที่ว่าให้เข้าองค์ประกอบครับ  ย้อนกลับขึ้นไปดูแบบที่ผมวางองค์ประกอบละเมิดให้คุณดูน่ะครับ เวลาคุณไปศาลคุณก็ต้องอธิบายให้ได้แบบนี้ ไม่งั้นคำกล่าวอ้างคุณคือไม่มีน้ำหนัก และถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทครับ


-->แล้วนี่อธิบายอะไรมาครับเนี่ย  ไม่เข้าใจคำถามอีกแล้วใช่ป่าวครับ   .... ไม่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น แล้วก็ไม่ต้องใช้คำว่า “ไม่พูดต่อนะ ไปหาอ่าน derive เอาเอง”  พูดแบบนี้ไม่ได้สิครับ คุณมีหน้าที่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น    แล้วอยู่ๆ ผมไม่ได้สงสัยขึ้นมาเองนะ ผมก็สงสัยจากคำกล่าวอ้างของคุณนั่นแหละ ไมได้นอกเรื่องอะไรเลย คุณกล่าวอ้างมา ผมก็สงสัย แล้วผมก็ถามกลับ แต่พอถามแล้วแทนที่จะอธิบายที่ผมถาม ดันไปอธิบายเรื่องที่ไม่ตรงคำถาม อันนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่านอกประเด็น    อ้างมาแล้วก็อธิบายให้สุดสิครับ อย่าขี้เกียจ  ผมถามจากที่คุณกล่าวอ้างเลยนะ ไม่ได้นอกประเด็นขึ้นมาเองนะครับ
  1.เริ่มต้นจาก law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio   ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ
 2  เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับ อธิบายเชื่อมโยงมาถึง BS Model ยังงัย  อย่าไล่ให้ไปหาเองสิครับ คุณเป็นคนกล่าวอ้างมาก็ต้องหาหลักฐานหรือแสดงให้เห็นสิครับ
3. สินทรัพย์อื่นก็ทำแบบเดียวกัน ใช้แนวคิด stochastic discount factor ในการเริ่ม ศึกษา nature ของสินทรัพย์ ว่าจะเริ่มจากอะไร  --> ขอสินทรัพย์ประเภทที่ดิน กับสิทธิการเช่าหน่อยครับ ว่ามันเชื่อมโยงยังงัย
 
 

ok ผม get ละ ว่าคุณไม่ได้มีความรู้เฉพาะเรื่องนี้เลย จริงๆ ผมอธิบายบอกแล้วว่ารวบรัด methodology 1 2 3 4 เลยด้วยซ้ำ แต่คุณยังไม่เข้าใจ แปลว่า ในรายละเอียดคุณไม่รู้อะไรเลย ให้อธิบายว่าแต่ละตัวคืออะไรมันไม่ไหว แถมบอกวิธี หลักการก็ยังเชื่อมโยงไม่ได้ คือขาดความรู้เพียงพอที่จะเข้าใจได้แล้วครับ ผมจะไม่อธิบายเพิ่ม ผมบอกไปแล้ว ว่าจะทำยังไง ถ้าเป็นเพื่อนคุณ --> ไปเปิดประเด็นมาใหม่ ถ้าเป็นตัวคุณเอง อย่าออกทะเลครับ คำตัวเองจำไว้ด้วยก็ดี? ผมบอกแล้วว่าผมตอบพอสมควรถ้าไม่จบ อย่ากลืนน้ำลายตัวเองที่ว่าออกทะเล มันจะย้อนเข้าตัว

--> ไม่ต้องมาทำวางฟอร์ม Get เพื่อเบี่ยงประเด็นครับ อยู่ที่ประเด็นเดิมนี่แหละครับ   เอาที่คุณกล่าวอ้างมานี่แหละ law of one price กับ no arbitrage   ที่บอกว่าการคิดมูลค่าหุ้น มูลค่าตราสารหนี้ มูลค่า asset back security หรือสินทรัพย์อื่นๆ อีกมากมาย ต้นตอมาจากวิธีเดียวกันหมดว่า  ผมก็เลยอยากให้คุณแสดงว่า law of one price กับ no arbitrage    มันเชื่อมโยงมาถึง ถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio ยังงัย   แล้วโยงไปถึงการประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ยังงัย  คุณแค่ยกตรงโน้นมา ยกตรงนี้มา  มั่วไปมั่วมา แต่ยังเชื่อมโยงไม่ถึงเลยนะครับ แบบนี้ก็เหมือนกับกำก้อนกรวดเป็นสิบก้อน ขว้างออกไปทีเดียวยังงัยก็มีสัก 1-2 ก้อนถูกเป้าครับ ปาถูกเป้าอยู่บ้างแบบมั่วๆ แต่เชื่อมโยงไม่ได้ครับ  เอาเป็นว่าถ้าเชื่อมโยงให้เห็นเป็นลำดับจนถึงปลายทางได้ก็แสดงมาครับ อย่าเอาแต่อ้างว่าเชื่อมโยงได้ แต่แสดงให้ดูไม่ได้สิครับ ยกโน่นยกนี่มามันไม่ใช่การเชื่อมโยงครับ      การเชื่อมโยงคือเริ่มตั้งต้นตอตามไปตามลำดับ 1-2-3-4-5-6-7... ไปจนถึงการคิดมูลค่าตราสารแต่ละอย่าง ไม่ใช่ยกตรงโน้น ตรงนี้มา แต่เชื่อมโยงให้เห็นไม่ได้  แล้วโบ้ยว่าไปเสริจเอาเอง แบบนี้มันไม่ใช่การอธิบายเชื่อมโยงครับ ไอ้ที่ทำมาทั้งหมดถ้าเรียกว่าการอธิบายครับ  แบบนี้ผมต้องบ้วนน้ำลายลงพื้นแล้วตะโกนว่า "ถุย" ด้วยไหมครับ  เอาใหม่อธิบายใหม่นะครับ   รออ่านรอขำกันอยู่ครับ           


"ถ้ามีคนที่ไม่ลงทุนอะไรเลย แต่มีบ้านราคา 20 ล้าน มีเงินสด 10 ล้านเก็บไว้ในเซฟ" ---> คนๆ นี้ ซื้อรถกี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี? --> ซื้อรถราคาเท่าไรก็ไม่บอก จะคิดเปอร์เซ็นต์ยังงัยละครับคุณ ตลกอีกแล้ว 555+

คุณจบวิศวะใช่ไหม แล้วทำไมถึงคิดไม่ได้ครับ? ผมจำเป็นต้องบอกไหมว่ารถราคาเท่าไร ในเมื่อประเด็นมันอยู่ที่ สินทรัพย์เป็น 0 ตามตรรกะคุณ ราคารถมันจะเท่าไร หาร 0 มันมีค่าเหรอ? จบวิศวะ? เลข ป6? -->โอ๊ยย เค้ามองข้ามจุดนั้นกันไปแล้ว  มีแต่คุณคนเดียวที่คิดว่าสินทรัพย์เป็น 0 อยู่คนเดียว  คิดเองติดกับเองอยู่คนเดียว  คนอื่นไม่มีใครคิดว่าเป็นเป็นศูนย์สักคน 555+


อ่าว คิดเอาเอง แล้วหาไม่ได้เอง เจอทางตันเอง แล้วมาโทษผมทำไมล่ะครับ ตลกอีกล่ะ คุณนี่โทษคนอื่นตลอดเลยนะครับ คิดไม่ออกเองก็โทษคนอื่น อันนี้คุณนั่นแหละครับที่คิดแบบมั่วๆ แบบผิดๆ เพี้ยนๆ เองครับ  ผมไม่ได้คิดแบบนี้เลยครับ  อย่างดึงผมไปเพี้ยนกับคุณเลยครับ 555+   แล้วผมไม่เคยสร้างคำจำกัดความคำว่าค่าใช้จ่ายขึ้นมาเองครับ ต้องให้ย้ำอีกแล้วนะ คำจำกัดความผมไม่เคยสร้างเองเลย    แต่ถ้าการใช้เป็นการใช้มุมมองคล้ายๆ กัน ผมก็ใช้กับอย่างอื่นนอกจากรถยนต์ก็ได้ครับ เช่น โทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ใช่บ้านกับเงินสดแบบที่คุณเพี้ยนมาครับ 555+

นี่ก็ไถ ที่มันตอบไม่ได้เพราะคุณไปคิดเพี้ยนๆ เป็นค่าใช้จ่ายไงครับ ผมไม่ได้ต้องการหาคำตอบ แต่ผมชี้ให้เห็นว่าความคิดนี้มันเพี้ยน ถ้าคุณตอบไม่ได้ งั้นตรรกะคุณมันก็เพี้ยนไงครับ เรื่องง่ายๆ ทำไมถึงไม่เข้าใจที่สื่อเลย ทั้งการหาพวก เล่นอะไรแปลกๆ เหมือนเด็กมากครับ --> ถ้าคิดเพี้ยนเองแล้วไม่เข้าใจเอง   อย่าไปโทษคนอื่นครับ คิดไม่ออกเองต้องโทษตัวเองครับ   55+


ออ อีกเรื่อง คุณถามผม ผมยึดบัญชี แต่ที่ยึดความหมายคำ เพราะมีคนแถ แตกต่างกันนะ ดังนั้นแยกแยะด้วยครับ การที่คุณถามมา ผมตอบยึดบัญชี การถามคุณไปตามความหมายคำ มั่วมากเอามารวมกันได้? คุณถามผม กับผมถามชี้คุณ เนื่องจากแถ เลยต้องใช้ความหมายกว้าง คุณถามผม ผมไม่ได้แถ ผมก็ตอบได้เฉพาะเจาะจงขึ้น ไม่เข้าใจตรงไหนหรือ? บัญชีมันก็เป็นซับเซทของความหมายตามพจนานุกรมอยู่แล้วไง --> พิมพ์มาใหม่ เรียบเรียงความคิดมาใหม่ครับ นอนน้อยเกินไปหรือเปล่าครับ ทีหลังพิมพ์ตอนสมองแจ่มใสดีกว่าครับ

ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณจงใจยกธุรกิจขายรถยนต์ มาเพื่อตอบกรณีนี้กรณีเดียว มันผิด คือไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พยายามอธิบายเลย ถ้าจะถูกมันต้องอธิบายได้ทุกกรณี ตัวอย่างนี้จงใจยกเกินไป เข้าใจไหม? (ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าพยายามหาไอ้ที่มันตอบได้ตรงกับตรรกะประหลาดๆ มันยาก)   --> เฮัยคุณ เมาหมัดหนักจริงๆ ด้วยสิ อาการหนักมาก  ต้นทุนขายน่ะถือเป็นค่าใช้จ่ายในธุรกิจผลิตสินค้า ค้าส่ง ค้าปลีก แทบทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายรถยนต์แค่อย่างเดียวซะหน่อย    ธุรกิจขายอาหาร วัตถุดิบอาหารก็จัดเป็นค้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายในงบการเงินด้วย   ค้าส่ง-ค้าปลีก  ต้นทุนสินค้าที่รับมาจากผู้ผลิตก็ลงเป็นต้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายด้วย  คุณไปเอามาจากไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตั้งสติก่อนตอบนะคุณ ไม่ต้องรีบ

บอกไปแล้วไงครับ ถ้าไม่ใช่ธุรกิจรถยนต์ รถยนต์มันก็ไม่ได้เป็นค่าใช้จ่ายไหม แล้วมันตอบคำถามว่ารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ตรงไหน? คุณจะบอกว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายกรณีนี้กรณีเดียวงั้นเหรอ แบบนี้สิเรียกตลก ถ้ามันถูก มันจะต้องเป็นจริงเสมอ นี่อะไร 99999 กรณี รถไม่ใช่ค่าใช้จ่าย 1 กรณี(แถมจงใจยกด้วย) คิดว่าตรรกะมันเพี้ยนไหมที่จะนำมาใช้อธิบายน่ะ  --> ถ้าบอกว่าไม่มีทาง ก็คือต้องไม่มีแม้แต่สักกรณี  ดังนั้นมีแค่ 1 กรณีก็พียงพอแล้ว สำหรับการโต้แย้งคำกล่าวที่ว่า  “รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้”  ถ้ากล้าประกาศขนาดนี้ว่าไม่มีทาง ก็แสดงว่ามันต้องไม่มีจริงๆ แต่นี่คือมันมีงัยครับ  แล้วก็ไม่ใช่แค่ 1 กรณีซะด้วย  บริษัททดสอบรถยนต์  บริษัทสร้างภาพยนต์  บริษัททั่วๆไปที่แจกรถยนต์เป็นของรางวัล  ที่ว่ามาทั้งหมดเค้าก็ลงรถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายกันนะ  มีกรณีเยอะมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนประกาศกร้าวว่ารถยนต์ยังงัยเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้  ตกลงยังไม่มีทางอยู่มั้ยครับ55+

เพื่อนผมเป็นแค่คนดูครับ ไม่มีใครมาคุยกับคุณเลยสักคน เค้าแค่ขำกับการอวดอ้างการเป็นนักการเงินด้วยวิชาที่เรียนมาก็เท่านั้นเองครับ   คิดเองอีกแล้วเหรอครับว่ามีคนมาถามแทน พิมพ์แทนเหรอครับ  ผมถามเองทุกคำถามครับ  พอผมถามไปแล้วคุณอธิบายไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเพื่อนผมมาช่วยพิมพ์ ช่วยถามเหรอครับ  พูดถึงประเด็นนี้ทุกครั้งเลยนะครับ   พูดแบบนี้ทุกครั้งแบบนี้มันแสดงอะไรบางอย่างได้นะครับ ปกติพฤติกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเป็นกลไกปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง เวลาที่คนเรารู้สึกว่าแพ้ แต่ยังต้องการการนับถือตัวเองอยู่ เพื่อป้องกันความรู้สึกพ่ายแพ้ ก็จะหาเหตุผลมา Support ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้แพ้ แต่ที่แพ้เป็นเพราะเหตุผล 1-2-3     พูดบ่อยๆ แบบนี้ทั้งที่อธิบายไปหมดแล้ว แสดงว่าอะไรเหรอครับ   ผมบอกคุณทุกครั้งว่าเพื่อนผมอ่านอย่างเดียว (ลืมไป ไม่ใช่แค่อ่านแต่มีแอบขำกันด้วย)  ผมพิมพ์เองถามเองหมดครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อธิบายแล้วครับ  อธิบายยังงัยก็คงไม่ชนะกลไกปกป้อง Self Esteem ของคนอื่นครับ

แค่คนดู? ผมเห็นคุณพิมพ์ชื่อนะ ว่าใครตอบอะไร สรุปตอบเอง? มันไม่มีแพ้หรอกครับ คุณน่ะเอาเพื่อนมาอ้าง งั้นก็ตอบเองนะ อย่ามาอ้างอะไรอีก คือที่พูดมามันเข้าตัวเองหมดเลยคุณ เอาเพื่อนมา support ความคิดตัวเอง ผมโต้แย้งกับคุณแค่ 2 คน ผมยังไม่ได้ทำอะไร แบบคุณเลย พูดด้วยความคิดตัวเองล้วนๆ มันก็แฟร์แล้วนี่  --> คิดไปไกลอีกแล้ว ไม่เอาน่ะ อย่าคิดเยอะ คุณคิดเยอะทีไร คิดเตลิดทุกที   เพื่อนๆ ผมน่ะ เค้าทายกันแค่ว่าคุณจะมีพฤติกรรมตอบสนองในแต่ละรอบอย่างไรบ้างแค่นั้นแหละ ใครทายถูกกี่ข้อก็เก็บคะแนนกันไป พฤติกรรมที่ทายก็เช่น ถามอย่างปิ๋มตอบอีกอย่าง  ปิ๋มหายเฮด ปิ๋มจับแพะชนแกะ ปิ๋มสำคัญตัวเองผิด แต่ที่รอบล่าสุดที่ทำเอาขำกันหมดคือคุณเฉลยมาตรงกับชอยส์เองเลยว่า ปิ๋มโชว์พาว  อันนี้คุณมาเฉลยพฤติกรรมตัวเองให้เองเลย พวกผมไม่ต้องมาตัดสินกันเอง  แล้วรอบนี้ก็เฉลยตรงชอยส์ให้อีกว่า ปิ๋มไม่ยอมแพ้    ขอบคุณมากๆ ครับ ไว้เฉลยมาเองมาอีกเรื่อยๆ นะครับ     555+

ตรงนี้จับได้เต็มๆ เลย ถ้าเพื่อนคุณแค่ดู สรุปคนออกทะเลนี่อยู่เรื่อยๆ นี่คุณใช่ไหม พวกกลืนน้ำลายตัวเองเนอะ มีสิทธิไปว่าคนอื่นไหมเนี่ย? --> ถ้าไม่กลืนน้ำลายตัวเอง แล้วคุณบ้วนน้ำลายทิ้งตลอดเลยเหรอครับ ประหลาดคนจัง ถ้าบ้วนน้ำลายทิ้งตลอด อย่าบ้วนน้ำลายลงพื้นซี้ซั้วนะครับ เดี๋ยวทำคนอื่นติดโควิด บาปเสียเปล่าๆ 55+ 


ผมไม่เคยห่วงคุณเลยครับ คุณสำคัญตัวผิดอีกแล้วสินะ 555+   ส่วนคุณจะทำอะไร เป็นอะไรผมไม่ได้สนใจเลยครับ   ผมสนใจเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับผมเท่านั้น แต่หายไปนานขนาดนี้ แล้วตอบไม่ครบ แต่พิมพ์ตอบอะไรมาก็ไม่รู้  ไอ้ที่ไม่ได้ถามก็พูดมาเยิ่นเย้อ แต่ตรงที่ถามก็ตอบไม่ตรงคำถาม ตอบไม่ครบอีก น่าผิดหวังครับ   อ้อ Captital Gain น่ะเค้าวัดกันตอนขาย ไม่ได้วัดที่ตอนซื้อ ตลกอีกแล้ว 555+

ผมขายแล้วไปซื้อคอนโดครับ มั่วนะคุณ?(อย่าวิจารณ์ ถ้ายังฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด ผมไม่ได้บอกทั้งหมด ดังนั้นอย่าเดามั่วเอาเอง ผมขายหุ้นที่เพิ่งมี capital gain 50-60% ไม่นานมานี้ แล้วบวกเงินอีกนิดหน่อย เพื่อให้เงินสดเหลือแค่ 10-20% ไปซื้อคอนโด แบบนี้เรียก capital gain ยัง? ผมจำได้ว่าไม่ได้บอกว่าทั้งพอร์ทนะ? แค่หุ้นที่เพิ่งซื้อมาตอนมีนาตัวเดียว พวกเดาสุ่มมั่วๆ ทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย เงียบดีกว่าครับ อันนี้มันเรื่องส่วนตัว --> เรื่องส่วนตัวแล้วเอามาพูดทำไมครับ 555+   แล้วผมก็ไม่ได้พูดตัวเลข แถมคุณก็ไม่ได้สนใจด้วย คุณบอกเอง จะ สะ....เอ....อะ ไปทำไมครับ) ไม่สนใจก็ดีครับ ผมพูดเพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าช้า แต่เหมือนเห็นแมวพิมพ์นะ "แต่หายไปนานขนาดนี้ แล้วตอบไม่ครบ" ถือว่าพูดให้หมาฟังแล้วกันครับ ดีกว่าไม่บอกอะไร   
--> ผมไม่ได้วิจารณ์อะไรนิครับ แค่ก่อนหน้านี้ผมประเมินคุณสูงไปหน่อย คือถ้าจะมาโม้ว่าลงทุนในอสังหาฯ แล้วโม้ว่าได้  capital gain 50-60% ก็ฟังดูโอเคอยู่นะ แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนกล้าเอา capital gain แค่นี้  มาโม้กับการลงทุนในหุ้น  อย่าไปโม้กับคนอื่นต่อหน้าเค้านะครับ เดี๋ยวเค้ากลั้นหัวเราะไม่อยู่  เกรงใจคนอื่นที่ต้องกลั้นหัวเราะบ้าง อันนี้ขำจริงครับ ขำกันครบทุกคนเลย   ภูมิใจกับ  capital gain ในหุ้นที่ 50-60% ถึงกระทั่งเอามาอวดกับคนที่ไม่รู้จัก เอ้าให้กำลังใจกันหน่อยครับ Cheer!! สู้ๆสู้ๆนะครับ 555+



1. ที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้   เอามาจากไหนครับ  ขอที่มาด้วยครับ  ค่าใช้จ่ายที่มีตัวตนได้มีเยอะแยะครับ   ต้นทุนวัตถุดิบก็เป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  พวงหรีดงานศพก็ลงเป็นค่าใช้จ่ายครับ มีตัวตนด้วยครับ  ผมได้แสดงให้ดูแล้วว่า ค่าใช้จ่ายมีตัวตนได้   ส่วนของคุณ ข้อนี้ผมขอแหล่งอ้างอิงที่คุณอ้างว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้อ่ะครับ


ตามบัญชีเลย อธิบายยังงี้ บัญชีมี 2 ฝั่ง เดบิต เครดิต คุณดูรายการดีๆ นะ อย่าเหมารวม ต้นทุนขาย อยู่ในหมวดค่าใช้จ่าย บัญชีไม่ได้ใช้คำว่าค่าใช้จ่ายนะ พวงรีด ถ้าลงรายการมันจะเป็นค่าพวงหรีด ไม่ได้ใช้คำว่าพวงหรีดนะ คุณอย่าเหมารวม ทางบัญชีถ้าพวงหรีดก็ต้องเป็นสินทรัพย์ ส่วนต้นทุนขาย มันไม่ได้ใช้คำว่าค่าใช้จ่ายเพราะมันเกี่ยวกับกิจการค้า แยกแยะหน่อย อย่าเหมารวมไปตามตรรกะเพี้ยนๆ ของตัวเองครับ? ทางบัญชีเขาละไว้ เข้าใจได้  --> ไม่ได้ขอให้อธิบายอะไรแล้วครับ เครดิตคุณป่นปี้หมดแล้ว ผมแค่ขอแหล่งที่มาครับ ขอแบบที่มีโควทตามที่คุณบอกเลยนะครับว่า  “ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้”  หาหนังสือหรือลิงค์ที่น่าเชื่อถือที่มีคำกล่าวนี้มาครับ ไฮไลท์มาให้ดูทีครับ
--> แล้วก็ขอตัวอย่างอ้างอิงมาสัก 1 บริษัทฯ นะครับ  ที่บริษัทฯ ลงพวงหรีดเป็นสินทรัพย์ขอดูเป็นบุญตาหน่อยครับ  พวงหรีดของคุณซื้อให้ตัวเอง ซื้อเอาไว้ใช้เองเหรอครับ ขำได้อีก 555+
--> สรุปนะ ข้อนี้ขอ 2 เรื่อง  ขอแหล่งอ้างอิง   ไม่ได้ขอให้ตอบอะไรเป็นครั้งที่สองแล้วนะ อย่าเสร่อตอบอะไรมาอีก
1.1 ขอหนังสือหรือลิงค์ที่น่าเชื่อถือที่มีคำกล่าวอย่างที่คุณอ้างว่า  “ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้”   หามาให้ดูหน่อยครับ
1.2 ขอตัวอย่างอ้างอิงของบริษัทฯ ที่มีการลงบัญชีว่าลงพวงหรีดเป็นสินทรัพย์  หาให้ดูหน่อยครับ 

ถ้าหาไม่ได้ก็ยอมรับมาว่าหาไม่ได้ครับ   
 



2. ที่คุณอ้างว่ารถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้   อันนี้คุณประกาศกร้าวเองนะ    ผมได้แสดงให้ดูพร้อมแหล่งที่มาแล้วว่า รถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนคุณเถียงอย่างเดียว     แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจขายรถก็เอารถยนต์เป็นค่าใช้จ่ายได้นะครับ ธุรกิจขายรถยนต์ผมแค่ยกตัวอย่าง 1 ตัวอย่าง  ส่วนคุณประกาศกร้าวมาแต่แรกแบบฟันธง  ถ้าคุณจะยืนยันความเห็นขัดแย้งของคุณเอง  คุณต้องหาหลักฐานมาแย้งแล้วครับ  ไม่งั้นก็ยอมรับไปครับว่ารถยนต์สามารถลงเป็นค่าใช้จ่ายได้  อย่าข้าม อย่าหนีสิครับ

กลับมาที่คุณอ้าง  “รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้”   ถ้ายังยืนยันคำพูดนี้อยู่ ผมขอให้คุณแสดงที่มาและแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ    ผมเชื่อว่าคุณไม่ยอมรับว่าคุณคิดผิดแต่แรกอยู่แล้ว   ดังนั้นข้อนี้ขอแหล่างอ้างอิงคำอ้างคุณครับ


คุณนี่เพี้ยนนะครับ ถามซ้ำๆ เดิมๆ ผมก็ตอบไปแล้วไง ยึดตามบัญชี ทั้งโลกเขาก็เห็นกันหมดว่า รถยนต์เป็นสินทรัพย์ และไม่มีบัญชีที่ไหนลงรถเป็นค่าใช้จ่าย ส่วนค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตามพจนานุกรมเลย ความหมายมันไม่มีตัวตน มันคือค่าอะไรสักอย่าง คุณอย่าเอาแค่คำตามหลังมาอ้าง เขาใช้คำว่าค่านำหน้าสินทรัพย์มันถึงเป็นค่าใช้จ่าย ตัวมันจริงๆ ไม่ใช่   --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ  ผมไม่ได้ขอให้คุณอธิบายอะไรแล้วนะครับ เอาแค่ประโยคที่ว่า  “รถยนต์ยังงัยก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้”  เอาแหล่งอ้างอิงมาครับ  กล้าอ้างทั้งโลก ก็เอาแหล่งอ้างอิงมาสิครับ  แหล่งอ้างอิงก็เช่น หนังสือ เวบไซต์  แล้วไฮไลท์มาครับ   



3.1  ตกลงว่า คุณรู้จักคำว่า "เปลี่ยนมุมมอง"  หรือเปล่าครับว่าการเปลี่ยนมุมมองมันคืออะไร   3.2  ตอนเด็กๆ เคยเล่นต่อบลอคไม้ป่าวครับ  ข้อนี้ขอคำตอบ
ครับ

เปลี่ยนมุมมองได้ครับ แต่ต้องไม่ขัดกับข้อเท็จจริงไง คุณเหมือนเด็กอะ ถามซ้ำๆ เดิม จะให้ผมตอบใหม่กี่รอบกันครับ ความคิดคุณมันขัดหลักบัญชี ขัดแย้งความหมายคำ ยกตัวอย่างไปแล้วนี่ คนบ้าบอกหมาเป็นแมว นี่เปลี่ยนมุมมองเหรอ? บ้าละ อันนี้เรียกเพี้ยนครับ ถ้ามันขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอ แต่นี่อะไร กุจะมองแบบนี้ ข้าจะเอาแบบนี้ อันนี้คนบ้าครับ --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ตอบใหม่ครับ ไม่รู้จัก "เปลี่ยนมุมมอง"   ไม่เคยเล่น “ต่อบลอคไม้” ก็ยอมรับมาครับ ตอบเท่าที่ถามแค่นั้นครับ ตอบใหม่นะครับ 





4.  คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่า   4.1 ไปเอาข้อมูลจากนักการเงินสายไหนมา  4.2 แล้วเอาข้อมูลมาจากสายละกี่คน   ถึงได้บอกว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมด   4.3  แล้วตัวคุณเอง คุณจัดตัวเองเป็นนักการเงินหรือเปล่าครับ  4.4 ถ้าคุณเป็นนักการเงินนี่อยู่สายไหนครับ     
นี่ผมแบ่งคำถามให้ขนาดนี้เลยเหรอ  ลองย้อนขึ้นไปอ่านดูคุณตอบอะไรมาวะครับเนี่ย ไม่ได้คำตอบสักข้อ  ถ้าเอาข้อมูลจากนักการเงินมาที่ไหนก็ตอบมา ถ้าไม่ได้เอาจากไหนมา กล่าวอ้างขึ้นมาเอง ก็ยอมรับมาครับ ว่าคิดเอง ไม่ได้ไปถามนักกากรเงินที่ไหนมา   อย่าข้าม อย่าหนีคำกล่าวอ้างของคุณเองสิครับ

4.1 คุณถามสายไหนมันก็สายนั้นมาตอบไหม ถาม option ก็สาย derivative ถามบัญชี ก็สายบัญชี ตลกนะคุณ? --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ผมถามคนที่คุณอ้างมาครับ  ส่วนของผม ผมรู้ของผมเองอยู่แล้ว ผมจะถามคุณไปทำไมครับ  มึนเหรอครับ นอนน้อยเหรอครับ
4.2 ไม่ได้เอาข้อมูลจากใครนะ หรือคุณทำแบบนั้น? ผมก็ตอบตามความรู้ตัวเองไหม หรือคุณความรู้ไม่พอโต้แย้งเลยต้องหาเพื่อนมาดูเลย? ผมละงง ผมก็ตอบเองไหม จะไปเอาจากใครทำไม? ที่บอกเหมือนกันไม่ได้หมายความว่าไปถามใครมา คิดว่าตอบไปแล้วนะ สงสัย eq ต่ำ ไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าคุณเป็นนักการเงิน ก็ควรมองอะไรๆ ให้เหมือนๆ กัน ไม่ได้หมายความว่าให้ไปถามใครแบบนั้น เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งเศสไหม "มีหลายยอย่างไม่เคยเปลี่ยน แต่หลายอย่างก็เปลี่ยนมากกว่า" เอาเข้าไป เอาคำเปรียบเทียบ ไปไล่ถามคนเหรอ? ปัญญาอ่อนครับ แยกแยะให้ได้ครับ    --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ แต่สรุปได้ว่าไม่ได้เก็บข้อมูลจากใครมาเลย แต่ยกขึ้นมาอ้างเฉยเลยว่านักการเงินคิดเห็นเหมือนกันหมด   เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้  ไม่เคยไปถามนักการเงินคนอื่นเลยสักคนแต่อ้างได้ใหญ่โตว่านักการเงินคิดเหมือนกันหมด จบกัน   ความน่าเชื่อถือ เครดิตอะไรยอมทิ้งไปหมดเลยเหรอครับ   คุยกับคุณมันสนุกตรงนี้นี่แหละ  สุดท้ายก็ยอมรับว่าไม่ได้ถามใครมา กล่าวอ้างเอาเอง 55+
4.3 ถ้า buy side ไม่ใช่นักการเงินก็แล้วแต่คุณเลยครับ ผมเบื่อกับการจัดแบ่งของคุณที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง  --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ถ้าจัดว่าตัวเองเป็นก็ตอบมาสิครับว่าเป็น แค่คำถาม Yes-No ยังตอบไม่ถูกเลยเหรอครับ
4.4 ไปดู 4.3  --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ



5.   แล้วที่ประกาศกร้าวว่า ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย!!!     ทำไมไม่หาที่มาหรือแหล่งอ้างอิงมาสักทีครับ     ธุรกิจทั่วๆ ไป ขายปากกา  ขายอาหาร ก็ลงต้นทุนขายไว้เป็นค่าใช้จ่ายเหมือนกันหมดครับ  ไปเปิดงบการเงินดูได้ครับ    ถ้ายังยืนยันอยู่ว่า   ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย  ผมขอที่มาและแหล่งอ้างอิงด้วยครับ  อย่าหนีสิครับ

จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง ยึดตามบัญชีเลยครับ ต้นทุนขาย เขาใช้คำว่า หมวดค่าใช้จ่าย อย่าเหมารวมว่าเป็นค่าใช้จ่ายครับ เขาใช้คำว่าต้นทุนขาย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของกิจการ ไม่งั้นเขาคงใช้ชื่อรายการเป็นค่าใช้จ่ายไปแล้ว ไม่แยกออกมาใช้ชื่อรายการว่าต้นทุนขายหรอก ค่าใช้จ่ายมันอยู่ล่างลงไปจากต้นทุนขายโน้น ใช้ชื่อรายการว่าค่าใช้จ่ายตรงๆ เลย แต่มันอยู่หมวดค่าใช้จ่ายน่ะใช่ ถ้าจะพูดจริงๆ ต้นทุนขายมันคือต้นทุนสินค้าที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่มีใครบอกว่ามันคือค่าใช้จ่ายสินค้าหรอกครับ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจ จึงใช้ชื่อรายการว่าต้นทุนขาย เป็นคนเข้าใจอะไรยากเนอะ เรื่องง่ายๆ จะทำให้ยากทำไม เพื่อตะแบง?  --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ  ผมไม่ได้ขอให้คุณอธิบายอะไรแล้ว เพราะคุณอ้างว่ารู้ทุกอย่าง แต่อธิบายอะไรไม่ตรงประเด็นเลยสักอย่าง  เป่ไปเป๋มา ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้วครับเสียเวลาอ่าน   แค่ขอแหล่งอ้างอิงครับ เอาแหล่งที่มาพร้อมไฮไลท์ข้อความที่บอกว่า “ต้นทุนขายไม่ใช่ค่าใช้จ่าย” มาแสดงครับ  ไม่เอาคำอธิบายมั่วๆ เสร่อๆ  แบบนี้ครับ    ไอ้ที่คุณอธิบายมาแบบนี้ทำให้เครดิตตัวคุณเองแย่ลงไปอีกเยอะเลยไม่น่าเชื่อว่าจะมีคำอธิบายเสร่อๆ แบบนี้ออกมาจากคุณ    แต่ก็เอาครับ ขำดี ยิ่งคุยยิ่งเห็นความอ่อนแอครับ   555+

รอบนี้คุณหายไปนาน แล้วก็ตอบผิดฟอร์มไปเยอะเลยนะครับ อ่านคำถามดีดี ตอบให้ตรงคำถามครับ  หลายๆ ข้อ ผมไม่ได้ต้องการให้คุณอธิบายแล้ว คุณอธิบายได้มั่วมาก ข้อ 5 ข้อสุดท้ายนี่อาการหนักเลย มวยวัดชัดๆ ขอให้ได้ชกลมก็เอาเหรอครับ 555+
ไม่ชกกับมวยวัดแล้วครับ ไร้สาระ    ขอเป็นแหล่งอ้างอิงดีกว่าครับ  ยกตัวอย่างเช่น

ต้นทุนขายถือเป็นค่าใช้จ่ายรายการแรกในงบกำไรขาดทุน     อ้างอิงตามเพจดังนี้

https://board.thaivi.org/viewtopic.php?t=51649
 

หรือ สามารถแบ่งค่าใช้จ่ายของกิจการได้ดังนี้
1.ต้นทุนสินค้าที่ขาย (Cost of Goods Sold) หมายถึง ราคาต้นทุนของสินค้าที่ขายไปซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่กิจการจ่ายไปเพื่อให้สินค่าอยู่ในสภาพพร้อมขาย
2.ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expenses)
3.ค่าใช้จ่ายในการบริหาร
4.ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ

https://sites.google.com/site/khachicaynikarkardarngchiph/8-bth-thi-2


ขอคำอธิบายประกอบแหล่งอ้างอิง   เอาประมาณแบบนี้นะครับ  แล้วตอบให้เร็วๆ หน่อยครับ หายไปที 10 วันบ้าง ข้ามเดือนบ้าง  ทีตอนอ้างเพื่อโชว์พาวนี่ แปบเดียวอ้างได้ แต่พอขอให้หาแหล่งอ้างอิง หายเฮดเลยนะครับ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: pim_cute ที่ กรกฎาคม 14, 2020, 18:59:10
--> ไม่ใช่ครับ คุณต้องไปหาองค์ประกอบของ conflict of interest มาวางครับ แล้ววางสิ่งที่คุณกล่าวหาว่ามัน conflict of interest ว่ามันครบองค์ประกอบหรือไม่ เช่น องค์ประกอบที่ 1 ต้องมีการปฏิบัติหน้าที่  คุณก็ต้องอธิบายมาว่าเพื่อนๆ หรือ ผมมีการปฏิบัติหน้าที่ตรงไหน แล้วไอ้ข้อที่คุณอ้างมันเป็นแค่องค์ประกอบที่ 2   แล้วคุณไปหาต่อว่ามีอีกกี่องค์ประกอบ แล้วจับพฤติกรรมที่ว่าให้เข้าองค์ประกอบครับ  ย้อนกลับขึ้นไปดูแบบที่ผมวางองค์ประกอบละเมิดให้คุณดูน่ะครับ เวลาคุณไปศาลคุณก็ต้องอธิบายให้ได้แบบนี้ ไม่งั้นคำกล่าวอ้างคุณคือไม่มีน้ำหนัก และถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทครับ

เหมือนคุณจะไม่เข้าใจที่ผมพูดนะ คำว่าจรรยาบรรณ ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติหน้าที่ ผมผ่านการสอบมา คุณผ่านการสอบมารึเปล่า? แค่ไม่เข้า ก็ถือว่าผิดแล้ว ข้อห้าม เข้าใจไหม? เวลาคุณเป็นผู้พิพากษา นอกเวลางานก็ไม่ต้องมีจรรยาบรรณอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ละ

-->แล้วนี่อธิบายอะไรมาครับเนี่ย  ไม่เข้าใจคำถามอีกแล้วใช่ป่าวครับ   .... ไม่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น แล้วก็ไม่ต้องใช้คำว่า “ไม่พูดต่อนะ ไปหาอ่าน derive เอาเอง”  พูดแบบนี้ไม่ได้สิครับ คุณมีหน้าที่แสดงการเชื่อมโยงให้เห็น    แล้วอยู่ๆ ผมไม่ได้สงสัยขึ้นมาเองนะ ผมก็สงสัยจากคำกล่าวอ้างของคุณนั่นแหละ ไมได้นอกเรื่องอะไรเลย คุณกล่าวอ้างมา ผมก็สงสัย แล้วผมก็ถามกลับ แต่พอถามแล้วแทนที่จะอธิบายที่ผมถาม ดันไปอธิบายเรื่องที่ไม่ตรงคำถาม อันนี้แหละครับที่เค้าเรียกว่านอกประเด็น    อ้างมาแล้วก็อธิบายให้สุดสิครับ อย่าขี้เกียจ  ผมถามจากที่คุณกล่าวอ้างเลยนะ ไม่ได้นอกประเด็นขึ้นมาเองนะครับ
  1.เริ่มต้นจาก law of one price กับ no arbitrage  เลยนะครับ  ว่ามันกล่าวไปถึง DCF ยังงัย  จนไปถึง FCFF  FCFE  หรือ P/E Ratio   ถ้าอ้างมาได้ ก็ควรต้องอธิบายได้ครับ
 2  เริ่มต้นที่ law of one price กับ no arbitrage   อีกทีนะครับ อธิบายเชื่อมโยงมาถึง BS Model ยังงัย  อย่าไล่ให้ไปหาเองสิครับ คุณเป็นคนกล่าวอ้างมาก็ต้องหาหลักฐานหรือแสดงให้เห็นสิครับ
3. สินทรัพย์อื่นก็ทำแบบเดียวกัน ใช้แนวคิด stochastic discount factor ในการเริ่ม ศึกษา nature ของสินทรัพย์ ว่าจะเริ่มจากอะไร  --> ขอสินทรัพย์ประเภทที่ดิน กับสิทธิการเช่าหน่อยครับ ว่ามันเชื่อมโยงยังงัย

เหมือนคุณจะไม่มีความรู้ทางด้าน option เพียงพอที่จะเข้าใจได้นะ คือรู้แค่ผิวเผินเท่านั้น คุณคงไม่ได้อ่าน paper ของ black scholes ด้วยซ้ำ ผมพูดถึง geomatric brownian motion ก็ไม่รู้เรื่อง weiner process ก็ไม่รู้เรื่อง จะให้อธิบายหมด ตลกไหมครับ จะให้ผมโชว์ทำไม ในเมื่อไปหาอ่านเองได้ มันคงใช้หนังสือเป็นเล่มในการอธิบาย คุณเล่นไม่รู้เรื่องอะไรเลย พูดอ้าง black scholes แต่กลับไม่เคยอ่าน paper รู้แค่ผิวเผิน ใครจะไปสอนคุณครับ ให้ผมเปิด class เลยไหม ความรู้ไม่พอ ผมก็อธิบายแบบรวบรัดให้คนที่พอรู้ เคยอ่าน paper เข้าใจได้ แต่แบบนี้คือความรู้ไม่ถึงแล้วคุณน่ะ เลิกพูดถึง option เถอะ ผมจะไปต่อที่ path dependent ด้วยซ้ำ แต่แค่ option คุณก็ไม่เข้าใจแล้ว

แล้วไอ้ law of one price กับ no arbitrage ผมบอกแล้วว่ามันคือ constraint เป็นกฎที่เป็นจริง ใช้ในการฟอร์ม portfolio แล้วที่คุณเอาแต่พูดถึง dcf คุณก็ไม่ระบุว่า dcf ของหลักทรัพย์อะไร fcff fcfe มันเป็นของ equity คุณยังจับประเด็นไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่ผมกำลังพูดถึง option คุณบอกให้ผมโยงไป equity? ผมตอบไปแล้วไงว่า ถ้าจะเริ่ม stochastic discount factor ของ equity ให้เริ่มจาก capm ซึ่งผมไม่ได้บอกวิธีไป เอามาปนกันทำไมครับ? มีสติหน่อย นี่ผมพูดถึง option อยู่

ข้ามจุดนั้นกันไปแล้ว  มีแต่คุณคนเดียวที่คิดว่าสินทรัพย์เป็น 0 อยู่คนเดียว  คิดเองติดกับเองอยู่คนเดียว  คนอื่นไม่มีใครคิดว่าเป็นเป็นศูนย์สักคน 555+

ไม่ใช่เพราะการมองรถเป็นค่าใช้จ่ายของคุณหรอกเหรอไง คุณให้นิยามค่าใช้จ่ายมาแบบนั้น แล้วบอกสินทรัพย์ไม่เป็น 0 ถ้าบ้าน เงินสดเป็นสินทรัพย์ งั้นรถก็ต้องเป็นสินทรัพย์ด้วย(มาตรฐานเดียวกัน) เห็นไหมว่ามันก็ย้อนกลับมาแย้งตรรกะคุณเอง คือไม่อยากจะพูดนะ IQ คุณต่ำมาก ผมแย้งไปว่าสินทรัพย์เป็น 0 ไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามีสินทรัพย์เท่าไร คุณก็พูดบ่ายเบี่ยงไปเรื่อง สินทรัพย์ไม่เป็นเป็น 0 แล้วไอ้นิยามค่าใช้จ่ายคุณไปไหนแล้ว? แล้วการที่มันเป็น 0 ต้องรู้ไหมว่ามีเท่าไร เลข ป6 นะคุณ ใช้สมองหน่อย

ผมบอกแล้วไงครับ ว่าคุณจงใจยกธุรกิจขายรถยนต์ มาเพื่อตอบกรณีนี้กรณีเดียว มันผิด คือไม่ได้เข้าใจสิ่งที่พยายามอธิบายเลย ถ้าจะถูกมันต้องอธิบายได้ทุกกรณี ตัวอย่างนี้จงใจยกเกินไป เข้าใจไหม? (ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ ว่าพยายามหาไอ้ที่มันตอบได้ตรงกับตรรกะประหลาดๆ มันยาก)   --> เฮัยคุณ เมาหมัดหนักจริงๆ ด้วยสิ อาการหนักมาก  ต้นทุนขายน่ะถือเป็นค่าใช้จ่ายในธุรกิจผลิตสินค้า ค้าส่ง ค้าปลีก แทบทั้งนั้นแหละครับ ไม่ใช่แค่ธุรกิจขายรถยนต์แค่อย่างเดียวซะหน่อย    ธุรกิจขายอาหาร วัตถุดิบอาหารก็จัดเป็นค้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายในงบการเงินด้วย   ค้าส่ง-ค้าปลีก  ต้นทุนสินค้าที่รับมาจากผู้ผลิตก็ลงเป็นต้นทุนขาย และถือเป็นค่าใช้จ่ายด้วย  คุณไปเอามาจากไหนเหรอว่าค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้ ตั้งสติก่อนตอบนะคุณ ไม่ต้องรีบ

ผมกำลังพูดถึงรถยนต์ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย ออกทะเลไปไหนมิทราบ ไม่ได้รู้เรื่องเล้ย

เพื่อนผมเป็นแค่คนดูครับ ไม่มีใครมาคุยกับคุณเลยสักคน เค้าแค่ขำกับการอวดอ้างการเป็นนักการเงินด้วยวิชาที่เรียนมาก็เท่านั้นเองครับ   คิดเองอีกแล้วเหรอครับว่ามีคนมาถามแทน พิมพ์แทนเหรอครับ  ผมถามเองทุกคำถามครับ  พอผมถามไปแล้วคุณอธิบายไม่ได้ ก็เลยคิดว่าเพื่อนผมมาช่วยพิมพ์ ช่วยถามเหรอครับ  พูดถึงประเด็นนี้ทุกครั้งเลยนะครับ   พูดแบบนี้ทุกครั้งแบบนี้มันแสดงอะไรบางอย่างได้นะครับ ปกติพฤติกรรมแบบนี้จะเกิดขึ้นเพราะเป็นกลไกปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง เวลาที่คนเรารู้สึกว่าแพ้ แต่ยังต้องการการนับถือตัวเองอยู่ เพื่อป้องกันความรู้สึกพ่ายแพ้ ก็จะหาเหตุผลมา Support ว่าจริงๆ แล้วไม่ได้แพ้ แต่ที่แพ้เป็นเพราะเหตุผล 1-2-3     พูดบ่อยๆ แบบนี้ทั้งที่อธิบายไปหมดแล้ว แสดงว่าอะไรเหรอครับ   ผมบอกคุณทุกครั้งว่าเพื่อนผมอ่านอย่างเดียว (ลืมไป ไม่ใช่แค่อ่านแต่มีแอบขำกันด้วย)  ผมพิมพ์เองถามเองหมดครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อธิบายแล้วครับ  อธิบายยังงัยก็คงไม่ชนะกลไกปกป้อง Self Esteem ของคนอื่นครับ

ใครกันแน่ที่หาพวก หาเหตุผลปกป้องตัวเองครับ หลักฐานง่ายๆ เลย ไม่เห็นลงชื่อเพื่อนมาช่วยตอบแล้วเหรอ? ถ้าสิ่งที่ผมพูดมันผิด ทำไมไม่ทำต่อละครับ ถ้าคุณทำถูกต้องแล้ว แล้วนี่ทำไมกาละเล่นของคุณหายไป? เริ่มไม่แน่ใจว่ามันถูกหรือไง? คำพูดไม่ยอมรับว่าผิด แต่การกระทำกลับเลิกไปซะงั้น โดยปกติแล้วถ้าทำถูกต้องก็ไม่ต้องกลัวอะไรจริงไหม ทำไมหยุด? ผมไม่เข้าใจคนอย่างคุณจริงๆ การกระทำกับคำพูด ขัดแย้งกัน เหมือนว่า เริ่มรู้ตัวว่าทำผิด เลยหยุด แต่ปากไม่ยอมรับ แถไปเรื่อยๆ บอกว่าถูกๆๆๆ มันไม่เป็นธรรมชาติครับคุณ

ผมไม่ได้วิจารณ์อะไรนิครับ แค่ก่อนหน้านี้ผมประเมินคุณสูงไปหน่อย คือถ้าจะมาโม้ว่าลงทุนในอสังหาฯ แล้วโม้ว่าได้  capital gain 50-60% ก็ฟังดูโอเคอยู่นะ แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีคนกล้าเอา capital gain แค่นี้  มาโม้กับการลงทุนในหุ้น  อย่าไปโม้กับคนอื่นต่อหน้าเค้านะครับ เดี๋ยวเค้ากลั้นหัวเราะไม่อยู่  เกรงใจคนอื่นที่ต้องกลั้นหัวเราะบ้าง อันนี้ขำจริงครับ ขำกันครบทุกคนเลย   ภูมิใจกับ  capital gain ในหุ้นที่ 50-60% ถึงกระทั่งเอามาอวดกับคนที่ไม่รู้จัก เอ้าให้กำลังใจกันหน่อยครับ Cheer!! สู้ๆสู้ๆนะครับ 555+

ผมบอกเหตุผลที่ผมตอบช้า ไม่ฟังก็ช่างคุณ แต่คุณวิจารณ์เรื่องส่วนตัวที่คุณไม่รู้จริง "อ้อ Captital Gain น่ะเค้าวัดกันตอนขาย ไม่ได้วัดที่ตอนซื้อ ตลกอีกแล้ว 555+" คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมขายหรือไม่ขาย? แล้วพูดมาทั้งๆ ที่ไม่รู้อะนะ แบบนี้เป็นเท็จรึเปล่าครับ? ผมไม่ใช่บุคคลสาธารณะ วิจารณ์ก็เสี่ยงนะ แถมยังเป็นเท็จอีก ผมถึงถามไงคุณรู้ได้อย่างไร มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม แล้วถ้ามันไม่เป็นจริง แบบนี้นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมหรือไม่?

ได้ขอให้อธิบายอะไรแล้วครับ เครดิตคุณป่นปี้หมดแล้ว ผมแค่ขอแหล่งที่มาครับ ขอแบบที่มีโควทตามที่คุณบอกเลยนะครับว่า  “ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้”  หาหนังสือหรือลิงค์ที่น่าเชื่อถือที่มีคำกล่าวนี้มาครับ ไฮไลท์มาให้ดูทีครับ
--> แล้วก็ขอตัวอย่างอ้างอิงมาสัก 1 บริษัทฯ นะครับ  ที่บริษัทฯ ลงพวงหรีดเป็นสินทรัพย์ขอดูเป็นบุญตาหน่อยครับ  พวงหรีดของคุณซื้อให้ตัวเอง ซื้อเอาไว้ใช้เองเหรอครับ ขำได้อีก 555+
--> สรุปนะ ข้อนี้ขอ 2 เรื่อง  ขอแหล่งอ้างอิง   ไม่ได้ขอให้ตอบอะไรเป็นครั้งที่สองแล้วนะ อย่าเสร่อตอบอะไรมาอีก
1.1 ขอหนังสือหรือลิงค์ที่น่าเชื่อถือที่มีคำกล่าวอย่างที่คุณอ้างว่า  “ค่าใช้จ่ายมีตัวตนไม่ได้”   หามาให้ดูหน่อยครับ
1.2 ขอตัวอย่างอ้างอิงของบริษัทฯ ที่มีการลงบัญชีว่าลงพวงหรีดเป็นสินทรัพย์  หาให้ดูหน่อยครับ

บอกแล้วยึดตามหลักบัญชี ไปหาหนังสือบัญชีมาอ้างอิงเองสิครับ มีอยู่ทั่วไป พูดซ้ำๆ นะ ผมว่าคุณไม่มีสติที่จะเข้าใจได้นะ ผมบอกว่ามันมีความต่าง ถ้าคุณลงว่าค่า... มันก็เป็นค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ตัวพวงหรีดเป็นสินทรัพย์ ไม่เข้าใจตรงไหนเนี่ย

 --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ตอบใหม่ครับ ไม่รู้จัก "เปลี่ยนมุมมอง"   ไม่เคยเล่น “ต่อบลอคไม้” ก็ยอมรับมาครับ ตอบเท่าที่ถามแค่นั้นครับ ตอบใหม่นะครับ

ผมบอกไปแล้วไงว่าการคิดแบบนั้นมันทำให้คุณลากบ้าน เงินสด และสินทรัพย์อื่นๆ ไปเป็นค่าใช้จ่ายหมด คุณจะใช้ตรรกะของคุณแค่รถยนต์อย่างเดียวอย่างงั้นหรือ? คุณก็ไม่ตอบ ได้แต่แถไปเรื่อย ว่าสินทรัพย์ไม่เป็น 0 แล้วไอ้ที่นิยามมาว่า สินทรัพย์ที่ไม่สร้างรายได้ บลาๆๆๆ ไม่ใช้แล้วเหรอ? ตกลง สินทรัพย์เป็น 0 ไหม ตามตรรกะคุณน่ะ ตอบคำถามได้ไหม ตอบอะไรไม่ได้เลย แล้วยังจะคิดว่ารถเป็นค่าใช้จ่ายถูกต้องอีกเหรอ คนเราอะนะ จะแถก็ให้มันมีเหตุผลหน่อยดีไหม

4.1 คุณถามสายไหนมันก็สายนั้นมาตอบไหม ถาม option ก็สาย derivative ถามบัญชี ก็สายบัญชี ตลกนะคุณ? --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ผมถามคนที่คุณอ้างมาครับ  ส่วนของผม ผมรู้ของผมเองอยู่แล้ว ผมจะถามคุณไปทำไมครับ  มึนเหรอครับ นอนน้อยเหรอครับ
4.2 ไม่ได้เอาข้อมูลจากใครนะ หรือคุณทำแบบนั้น? ผมก็ตอบตามความรู้ตัวเองไหม หรือคุณความรู้ไม่พอโต้แย้งเลยต้องหาเพื่อนมาดูเลย? ผมละงง ผมก็ตอบเองไหม จะไปเอาจากใครทำไม? ที่บอกเหมือนกันไม่ได้หมายความว่าไปถามใครมา คิดว่าตอบไปแล้วนะ สงสัย eq ต่ำ ไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าคุณเป็นนักการเงิน ก็ควรมองอะไรๆ ให้เหมือนๆ กัน ไม่ได้หมายความว่าให้ไปถามใครแบบนั้น เคยได้ยินสุภาษิตฝรั่งเศสไหม "มีหลายยอย่างไม่เคยเปลี่ยน แต่หลายอย่างก็เปลี่ยนมากกว่า" เอาเข้าไป เอาคำเปรียบเทียบ ไปไล่ถามคนเหรอ? ปัญญาอ่อนครับ แยกแยะให้ได้ครับ    --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ แต่สรุปได้ว่าไม่ได้เก็บข้อมูลจากใครมาเลย แต่ยกขึ้นมาอ้างเฉยเลยว่านักการเงินคิดเห็นเหมือนกันหมด   เพิ่งรู้ว่าคุณเป็นคนแบบนี้  ไม่เคยไปถามนักการเงินคนอื่นเลยสักคนแต่อ้างได้ใหญ่โตว่านักการเงินคิดเหมือนกันหมด จบกัน   ความน่าเชื่อถือ เครดิตอะไรยอมทิ้งไปหมดเลยเหรอครับ   คุยกับคุณมันสนุกตรงนี้นี่แหละ  สุดท้ายก็ยอมรับว่าไม่ได้ถามใครมา กล่าวอ้างเอาเอง 55+
4.3 ถ้า buy side ไม่ใช่นักการเงินก็แล้วแต่คุณเลยครับ ผมเบื่อกับการจัดแบ่งของคุณที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง  --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ ถ้าจัดว่าตัวเองเป็นก็ตอบมาสิครับว่าเป็น แค่คำถาม Yes-No ยังตอบไม่ถูกเลยเหรอครับ
4.4 ไปดู 4.3  --> ตอบไม่ตรงคำถามครับ

ผมรู้ละ ว่าคุณไม่ได้เข้าใจคำว่า buy side เลยแม้แต่น้อย คุณถึงถามคำถามเดิมอยู่นั่นแหละ buy side มันตอบทุกอย่างอยู่แล้ว นี่เหรอคนที่ถาม ไม่มีความรู้พอจะเข้าใจด้วยซ้ำ แล้วก็มาบอกว่าตอบไม่ตรงคำถาม เข้าใจคำว่า buy side ไหมละนั่น แปลความให้เอาบุญนะ คุณบอกผมไม่น่าเชื่อถือ ลองเทียบผมกับตัวคุณนะ คุณมีอะไรบ้าง ใครน่าเชื่อถือกว่ากัน? ผมมีเลขที่ใบอนุญาตจาก กลต (ทำงานด้านการเงิน?) ผมผ่านการสอบจรรยาบรรณจาก กลต ทุก 2 ปี(ถามหาองค์ประกอบ conflict of interest? คุณละเข้าใจแค่ไหน? ผิดจรรยาบรรณแล้วยังไถไปเรื่อย) ความรู้ option ที่ผิวเผินของคุณมาจากไหน? พูดลึกลงไปใน paper คุณก็ไม่รู้เรื่องแล้ว มีตรงไหนบอกที่มาความรู้ด้านการเงินของคุณได้บ้าง ว่าน่าเชื่อถือ ผมผ่านการสอบมาอย่างถูกต้องจาก กลต ใครน่าเชื่อถือกว่ากันครับ?(ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ แต่เกรงใจ กลต เขาหน่อย) ไม่ต้องถามนะว่าจบการเงินหรือเปล่า buy side คุณยังไม่รู้จัก ผมว่าคุณรู้ด้านการเงินไม่จริงแล้วละ คงเป็นพวกหาอ่านไปเรื่อย ไปอ่าน paper black scholes ก่อนไหมคุณน่ะ เอาแค่ฟังที่ผมพูดให้เข้าใจก่อนดีไหม

ขอคำอธิบายประกอบแหล่งอ้างอิง   เอาประมาณแบบนี้นะครับ  แล้วตอบให้เร็วๆ หน่อยครับ หายไปที 10 วันบ้าง ข้ามเดือนบ้าง  ทีตอนอ้างเพื่อโชว์พาวนี่ แปบเดียวอ้างได้ แต่พอขอให้หาแหล่งอ้างอิง หายเฮดเลยนะครับ   

ผมบอกไปแล้วว่าผมยุ่งเพราะอะไร คุณไม่ฟังผมก็ไม่ได้สนใจ ผมก็ใช้เสรีภาพของผมไหม? การอธิบายให้กับบัวใต้น้ำมันไม่ใช่สาระที่ต้องใส่ใจขนาดนั้น แหล่งอ้างอิงไม่จำเป็นต้องตาม internet เสมอไป ผมก็บอกแหล่งอ้างอิงไปแล้ว หลักการบัญชี paper black scholes มันมีอยู่ทั่วไป คุณกลับบอกผมไม่มีแหล่งอ้างอิงเนี่ยนะ เห้อ กบในกะลาเนอะ ถ้าหากคุณไม่มีความรู้พอที่จะรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดมันมีอยู่จริงไหม ถ้าฉลาดอยู่บ้างก็หัดไปหาหนังสือที่เกี่ยวข้องอ่านดูก็ได้ว่ามีจริงไหม คนที่เขารู้ไม่ต้องถามหาแหล่งอ้างอิงหรอกครับ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนผ่านมากันทั้งนั้นหากมีความรู้เพียงพอละก็นะ ผมไม่ใช่พวกสิงอ่านอยู่ตามออนไลน์ รู้แค่ผิวเผินแบบคุณนะ ผมเรียน สอบ ทำงานเป็นเล่มๆ ผมถึงได้บอกไง paper black scholes อ่านให้จบก่อนดีไหม หนังสืออ้างอิงมีเยอะแยะ อ้างแต่ออนไลน์มันไร้สาระ มันไม่ละเอียดพอ แค่เห็น link thaivi ก็รู้แล้วละ ว่ารู้ไม่จริง ผมไม่อ่านหรอก link พวกนั้น มันสำหรับคนที่ไม่ได้มีความรู้ด้านการเงินมากพอ มันเป็นเรื่องทั่วๆ ไปที่หาอ่านที่ไหนก็ได้ ถ้าจะให้ลึกกว่านั้นหัดอ่านหนังสือบ้างนะคุณ คุณไม่รู้จริงสักอย่าง รู้แค่ผิวเผินเท่านั้น เอาแค่ option คุณก็ง่อยแดกแล้ว พูดอะไรไปไม่รู้เรื่องสักอย่าง

อ้อสรุป คำถาม investment theory ตอบไม่ได้สินะ? ถ้าไม่มีเพื่อนช่วย ถ้าไม่รวมหัวกัน ช่วยกันคิด จบวิดวะสินะ แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าคุณไม่มีความรู้ทางด้านการลงทุนสมัยใหม่เลย ไอ้เรื่อง dcf หุ้น คงหาอ่านเอาตาม thaivi เอาสินะ คือที่คุณอ้างมามันเป็นความรู้แบบผิวเผินทั้งนั้น นี่ผมเจาะลงไปในวิชาการเงิน ซึ่งหากเรียนมาก็ควรจะตอบได้ไหม ไปถามเพื่อนไปคุณ ผมให้หลายหัวเลย มันต้องมีคนจบการเงินตรงๆ บ้างสิน่า เห็นเก่งกันนักเพื่อนๆ คุณน่ะ
หัวข้อ: Re: เพื่อนๆ ซื้อรถแต่ละคันตั้งงบไว้ที่กี่เปอร์เซนต์ของสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี
เริ่มหัวข้อโดย: Pan Paitoonpong ที่ กรกฎาคม 14, 2020, 22:41:35
เนื่องจากเจ้าของกระทู้ได้คำตอบไปพอสมควรแล้ว ผมขอล็อคนะครับ

ถ้าจะเล่นดอกยาว กันต่อ ขอเชิญใช้ฟังก์ชั่น Inbox ส่งข้อความโต้ตอบกันเองครับ คนที่เข้ามาอ่าน มาอ่านความรู้ ไม่ได้มาอ่านคุณเถียงกัน ผมไม่ได้ห้ามเถียงกัน แต่เนื่องจากสิ่งที่คุณเถียงกันช่วงหลังๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับคำถามที่เจ้าของกระทู้ถาม จึงรบกวน ขอให้ย้ายไปเถียงกันเองสองคนครับ