Headlight Magazine : community

General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Lifeoflife ที่ มิถุนายน 05, 2020, 22:55:07

หัวข้อ: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Lifeoflife ที่ มิถุนายน 05, 2020, 22:55:07
ตามหัวข้อเลยครับ
เช่น​ รถ​ mazda​ 2.0​ที่ว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่​ skyactiv​ ทำไมยังอัตราเร่งช้ากว่า​  320i  ครับ?


ถ้าคำตอบคือแรงม้า​ แล้วทำไมรถญี่ปุ่นไม่ทำแรงม้าเท่ากันครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ซิ่งเข้าส้วม ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:03:25
เพราะ 320i ติดเทอร์โบ​ครับ

รถญี่ปุ่นไม่ติดเพราะไม่อยากเพิ่มต้นทุน
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Xtream@tom ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:04:34
Mazda3 เครื่อง 2000 NAครับ
ส่วนBMW 320i เครื่อง 2000 turbo
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: akewizard ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:11:59
ตามความเห็นที่บางท่านว่ามาครับ ค่ายญี่ปุ่นบางค่ายยังใช้เครื่อง 2000 NA อยู่
ในขณะที่ยุโรปอย่าง BMW จะเป็นเครื่อง Turbo ซะมาก ซึ่งให้แรงบิดที่รอบต่ำดีและมาต่อเนื่อง

แต่ค่ายญี่ปุ่นที่ทำรถ Turbo ในรุ่นปกติก็มีนะเช่น Subaru
นอกจาก line up รถบ้านเช่น XV , Forester , Outback รุ่นอื่นๆก็ใช้เครื่อง Turbo หมด แรงม้า 240-300 ม้าก็หลายรุ่นอยู่

แต่ก็อย่างว่าครับว่ารถมีเทอร์โบต้นทุนมันก็สูงขึ้น และราคาขายก็สูงตามไปด้วย ยิ่งรถนำเข้ายิ่งแพงเข้าไปใหญ่
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Mp4_007 ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:23:52
ไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไปหรอก. เอาเครื่อง NA ไปเทียบกับเครื่องturbo ก็ผิดแล้ว.  ถ้าลองเทียบเครื่อง turbo. ด้วยกันก็ไม่ได้ต่างกันนะ  ต้องดูเป็นรุ่นๆไป
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: n ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:40:40
ถ้าเทียบรุ่นต่อรุ่น เครื่องไม่มีเทอร์โบ ถึงมีก็เถอะ ผมว่าของJP จี๊ดกว่านะครับ. ดูcivic 1.5turbo หรือcx5 2.5เบนซินธรรมดา เจ้านี่ก็จี๊ดจ๊าดพอตัว รถยุโรปตามมีเหนื่อยแน่ครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: aumkung ที่ มิถุนายน 05, 2020, 23:47:13
นับที่ความจุกระบอกสูบไม่ได้หรอก เครื่องยนต์ F1 ยังแค่ 1.6 เลย ปัจจัยเยอะเกินไปครับ  คุณมาเทียบ madza3 กับ 320i ซึ่งต่อให้ใช้เครื่องแบบเดียวกัน น้ำหนักตัวรถต่างกัน ระบบส่งกำลังต่างกัน หน้ายางไม่เท่ากัน cd ไม่เท่ากัน มีผลต่ออัตราเร่ง(แรงบิด)ทั้งนั้น เครื่อง 1.5 turbo ของ civic ตัวใหม่ยังแรงกว่า 2.0 ตัวเก่าเลย

หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Peet Sayumpoo ที่ มิถุนายน 06, 2020, 00:03:46
ถ้าเปลี่ยนเป็นวัดกันตามแรงม้าน่าจะถูกต้องกว่านะครับ

ถ้าม้าพอๆกัน บอดี้พอๆกัน ยุโรปมักวิ่งดีกว่าญี่ปุ่นเสมอ ทั้งต้นทั้งปลาย เท่าที่เห็นนะครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Sit: ) ที่ มิถุนายน 06, 2020, 00:08:56
ขอเปลี่ยนเป็น k20 ของ honda แทน
เผื่อจะกลายเป็น ทำไม...
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: bingoman ที่ มิถุนายน 06, 2020, 01:37:07
loss รวมๆ ในระบบน้อยกว่า ม้าลงพื้นใกล้เคียงสเป็กมากกว่า

ลองเอารถ BMW E90 320i ที่เป็นเครื่อง 2.0 NA ก็ได้ครับ  อัตราเร่ง 0-100  9วิ  นี่ไม่มีโบนะครับ รถประมาณปี 2010   แล้ว top speed 220 km/h นะครับ

แต่ถ้าไปดู Altis, Civic 2.0 ยุค 2010   0-100 ก็ต้องมี 10-12 แล้ว   ส่วน top speed ยิ่งต่ำไปกันใหญ่  น่าจะ 200-210 ครับ 

ทั้งๆ ที่ BMW  หนักกว่า Altis, Civic น่าจะประมาณ 200-300 กิโลได้
(1.5-1.6 ตัน vs 1.2-1.3 ตัน)

แต่มายุคนี้  รถญี่ปุ่นอัตราเร่งดีขึ้นมากครับ  ส่วนนึงเพราะ CVT ด้วย  ที่จริงคือส่วนหลักๆ เลย    ถ้าพวก Benz, BMW ใช้ CVT ก็จะยิ่งแรงกว่าปัจจุบัน แต่เขาไม่ทำกัน เพราะมันคือเกียร์ลดต้นทุน (แต่ได้อัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น  มันยิ่งโกงทั้งต้นทุนและผลลัพท์เลยครับ)  แต่อัตราเร่งที่ดีจาก CVT  ไม่ได้ได้อารมณ์สุนทรีย์แบบ Auto หรือ Dual Clutch  (ฝรั่งเขาบอกไว้ ทั้ง Ford, Volkswagen และค่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช้กัน)
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TeslaX ที่ มิถุนายน 06, 2020, 05:51:53
รถยุโรปได้ twinturbo เลยนะราคาก็เทียบไม่ได้อยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PKS8 ที่ มิถุนายน 06, 2020, 06:05:03
อันนี้ผมก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถ้าเอา E90 320i ที่เป็น NA มาเทียบกับ Civic Fd, Altis 2.0, Mazda3 2.0 คือ 320i แรงกว่ากระจาย

แต่ถ้ามาเจอ K20 NA ที่ราคาเหมาะสมจะเป็นคู่ชกมากกว่า รับรอง 320i ดมฝุ่นยาวๆ ซึ่งก็น่าแปลกดีครับ ทำไมเครื่อง 2.0 NA เหมือนกันให้อัตราเร่งไม่เท่ากัน
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Tpol ที่ มิถุนายน 06, 2020, 07:58:16
บางคำสำหรับบางคน ดูงาย ถามทำไม. แต่บางคนก็ไม่รู้จริง. ช่วยกันตอบแบบสร้างสรรค์แบบนี้ เว็ปบอร์ดดูมีคุณค่าเป็นแหล่งความรู้ดีครับ. คำถามนี้เมื่อก่อนผมคนหนึ่งที่ไม่รู้ไม่เข้าใจเหมือนกัน.


ช่วยเสริมอีกคน. มันช่วยอัดอากาศเข้าห้องเผาไหม้ การจุดระเบิดจึงรุนแรงกว่าเครื่อง NA ทำให้ได้พลังงานจลน์มากกว่า แต่ก็ต้องตามมาด้วยเครื่องยนต์ที่ต้องแข็งแรงกว่ารับแรงระเบิดในห้องเผาไหม้ได้สูงกว่าเครื่อง NA ราคาเครื่องเลยสูงกว่า


อ๊อกซิเจนเยอะการติดไฟจึงรุนแรงกว่า
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: samaklen ที่ มิถุนายน 06, 2020, 09:54:50
ถ้าเมื่อก่อน ก็ใช่ครับ
อย่างเช่น เครื่องเยอรมัน ซีซีเท่า ๆ กัน กินเครื่องอิทาเลี่ยนไม่ลง
 
ยุคหลัง ๆ ทำเครื่องยนต์กันเก่ง ๆ ขึ้นแล้วครับ
พอๆ กันทั้งนั้นแล้วครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: YenChar ที่ มิถุนายน 06, 2020, 10:07:58
สมัยก่อน 320i เครื่อง NA เจอกับ Civic 2.0
BMW ตัวหนักกว่า 200-300 โล แต่เกียรซอยถี่กว่า 6-7 เกียร ประสิทธิภาพดีกว่า
ผลก็สูสีนะ ไม่ได้ทิ้งกันมากมาย

หรือ 318i เทียบกับ Civic 1.8 จริงๆก็ไม่ได้หนีกันเลยนะ เจ้า BMW ขับแล้วอึดอัดใจกว่าอีก

ทุกวันนี้ City 1.0T มาเทียบกับพวก A-Class เครื่อง 1.3 โบ ก็แรงสูสี ไม่ได้ทิ้งห่างกันโข
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: siwakorn ที่ มิถุนายน 06, 2020, 10:25:33
ถ้าปัจจุบันเป็นเพราะรถยุโรปมี Turbo นี่แหละครับ และระบบส่งกำลังเขาดีกว่านิดๆด้วย ถ้าเอา Turbo เหมือนกันเช่น NX200t หรือ Accord 2.0T มาเทียบ ผมว่าไม่ต่างกันหรอก ญี่ปุ่นตัวเลขม้าเยอะกว่าทำเวลาดีกว่าไม่มาก อาจจะมาจากเกียร์กินแรงมากกว่า
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Sleepy Boy ที่ มิถุนายน 06, 2020, 10:46:11
รถยุโรปรุ่นใหม่ตั้งแต่ 3000 ซีซีลงมาเล่นใส่เทอร์โบกันหมดแล้วครับ ส่วนญี่ปุ่นยังมีแค่ประปรายบางรุ่นเท่านั้น
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: kiwiwi ที่ มิถุนายน 06, 2020, 10:57:33
loss รวมๆ ในระบบน้อยกว่า ม้าลงพื้นใกล้เคียงสเป็กมากกว่า

ลองเอารถ BMW E90 320i ที่เป็นเครื่อง 2.0 NA ก็ได้ครับ  อัตราเร่ง 0-100  9วิ  นี่ไม่มีโบนะครับ รถประมาณปี 2010   แล้ว top speed 220 km/h นะครับ

แต่ถ้าไปดู Altis, Civic 2.0 ยุค 2010   0-100 ก็ต้องมี 10-12 แล้ว   ส่วน top speed ยิ่งต่ำไปกันใหญ่  น่าจะ 200-210 ครับ 

ทั้งๆ ที่ BMW  หนักกว่า Altis, Civic น่าจะประมาณ 200-300 กิโลได้
(1.5 ตัน vs 1.2-1.3 ตัน)

แต่มายุคนี้  รถญี่ปุ่นอัตราเร่งดีขึ้นมากครับ  ส่วนนึงเพราะ CVT ด้วย  ที่จริงคือส่วนหลักๆ เลย    ถ้าพวก Benz, BMW ใช้ CVT ก็จะยิ่งแรงกว่าปัจจุบัน แต่เขาไม่ทำกัน เพราะมันคือเกียร์ลดต้นทุน (แต่ได้อัตราเร่งและอัตราสิ้นเปลืองที่ดีขึ้น  มันยิ่งโกงทั้งต้นทุนและผลลัพท์เลยครับ)  แต่อัตราเร่งที่ดีจาก CVT  ไม่ได้ได้อารมณ์สุนทรีย์แบบ Auto หรือ Dual Clutch  (ฝรั่งเขาบอกไว้ ทั้ง Ford, Volkswagen และค่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช้กัน)

แบบนี้ต้องลองหารถญี่ปุ่นที่มีระบบวาล์วแปรผัน​คล้ายๆ double vanos มาเทียบกันครับ

คือแต่ละยุคๆ รถญี่ปุ่นมักจะทำตามหลังรถยุโรปเสมอ แต่ผมไม่ได้มองว่ารถญี่ปุ่นด้อยกว่าเลย

ผมแค่มองว่า ทำเท่าที่จำเป็นในการใช้งานก็พอ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Peet Sayumpoo ที่ มิถุนายน 06, 2020, 11:07:09
อันนี้ผมก็สงสัยเหมือนกัน เพราะถ้าเอา E90 320i ที่เป็น NA มาเทียบกับ Civic Fd, Altis 2.0, Mazda3 2.0 คือ 320i แรงกว่ากระจาย

แต่ถ้ามาเจอ K20 NA ที่ราคาเหมาะสมจะเป็นคู่ชกมากกว่า รับรอง 320i ดมฝุ่นยาวๆ ซึ่งก็น่าแปลกดีครับ ทำไมเครื่อง 2.0 NA เหมือนกันให้อัตราเร่งไม่เท่ากัน

หมายถึง K20A ที่เป็นตัว 220 ม้าใช่มั๊ยครับ ไม่ใช่เวอร์ชั่น A3-A7 ที่เป็น 150-160ม้า ถ้าเป็นแบบหลังเวอร์ชั่น A3-A7 K20 อาจจะเป็นฝ่ายที่ดมฝุ่นก็ได้น่ะครับ

แต่ถ้าพูดถึง K20A อันนี้ไม่แปลกนะครับ เพราะ K20A ถูกจูนมาซิ่ง เครื่องรอบจัดแนวรถซิ่ง แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 6000-7000 rpm
แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 8000 rpm redline ประมาณ 8500-9000 rpm ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ต้องเน้นเบา กระโปรงลูกสูบตั้องสั้น วาล์วต้องตัวใหญ่
ระยะเปิดเยอะ ท่อไอดีต้องใหญ่ และไม่ยาวมาก หัวฉีดต้องใหญ่ตาม เพราะอากาศเข้าเยอะ น้ำมันต้องมากตาม เครื่องประเภทนี้ทำมาเน้นเหยียบ
ลากรอบ อันนี้คือวัตถุประสงค์หลัก ไม่เหมาะกับใช้งานในชีวิตประจำวันในสภาพที่หลากหลายครับ (จริงๆก็ใช้ได้ แต่แค่ไม่เหมาะ)
ถ้าเร่งไม่ถึง 4500 rpm แรงจะไม่ค่อยมี ถ้าต่ำกว่า 4000 rpm นี่ห่วยเลยครับ ไม่เหมาะกับรถตัวถังหนัก ภาระเยอะ ถ้ารถมีภาระเพิ่มขึ้นเช่นคนนั่งหลายคน
อัตราเร่งจะลดลงมากแบบรู้สึกได้เยอะ เกียร์ต้องทดจัด เพราะเรี่ยวแรงอยู่ที่รอบสูงมาก เกียร์สุดท้ายวิ่งความ 100 km/h รอบปาเข้าไป 3200-3300 rpm
เครื่องทำงานเยอะ ซดน้ำมันมากกว่าปกติ สึกหรอเร็วกว่าปกติ (ถ้าเทียบกับเครื่องปกติที่ที่เน้นใช้งานชีวิตประจำวัน จะใช้รอบที่ 2000-2500 rpm)
และเครื่องประเภทนี้ไม่เหมาะกับเกียร์ออโต้ลูกทอร์คทั้งหลาย ต้องเกียร์ MT เท่านั้น แล้วอัตราทดต้องจัด ต้องชิด สับขึ้นเกียร์ต่อไป รอบต้องไม่หล่นมาก
เดี๋ยวไม่งั้นแรงหาย

ส่วนเครื่อง N43B20 ใน E90 320i 168 ม้า จะเป็นเครื่องที่จูนมาแบบทั่วไปครับ redline แค่ 6000 rpm กว่าหน่อยๆ
คือเน้น Daily use ขับ Cruising นอกเมือง หรือในเมืองก็ดี ไม่ต้องเค้นรอบมากก็มีแรง วิ่ง 100 km/h รอบแค่ประมาณ 2200-2300 rpm
เครื่องแบบนี้จะจับคู่กับเกียร์ MT หรือ AT ก็ใช้งานได้ดีครับ

สรุป N43B20 ใน E90 320i 168 ม้า นี่ไม่ใช่คู่ชกกับ K20A นะครับ เพราะเครื่องถูกผลิตมาใช้งานคนละจุดประสงค์ (จริงๆสมควรจะเป็น K20A3-A7)

แต่ถ้าจะเทียบเล่นๆ K20A จะทิ้ง E90 320i ให้ดมฝุ่นได้ ต้องอยู่ในเงื่อนไข

1. เร่งออกไปพร้อมกันตั้งแต่หยุดนิ่งเลย แต่ถ้าเร่งตั้งแต่ลอยลำอยู่แล้ว เช่นขับอยู่ 100 km/h แล้วเร่งแข่งกันออกไป
อาจไม่ได้ห่างกันขนาดนั้น เพราะ 320i ช่วงปลายสุดก็ได้ 225-230 ส่วน K20A ถ้าอยู่ใน integra type r ก็คงได้ราวๆ 235-240 ครับ
แต่ K20A ชนะแหละครับ แต่คงไม่ใช่ห่างแบบเรียกว่า 320i ดมฝุ่น

2. K20A ต้องอยู่ในตัวถัง integra type r หรือ Civic ซึ่งเบากว่า 320i E90 อยู่ถึง 200-300 kg แต่ถ้าตั้งกติกาแบบว่า
เอาแฟร์ๆ เอาคนหรือของไปถ่วง integra type r หรือ Civic 200-300 kg ให้หนักเท่า E90 320i
แล้วไปวิ่งใหม่ K20A อาจไม่ได้ทิ้ง 320i อย่างที่คิดครับ...
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Slipknot` ที่ มิถุนายน 06, 2020, 11:10:12
ท้ายที่สุดแล้ว อยู่ที่ผู้ผลิตทั้งนั้นแหละครับว่าจะเซ็ท/จูน/รีด มาให้แค่ไหนแบบไหน คิดได้แบบง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: U9WS ที่ มิถุนายน 06, 2020, 11:48:35
ดูที่ขนาดเครื่องยนต์ไม่ได้แล้วครับ ต้องเทียบกลุ่มราคา แรงม้าแรงบิด
ที่สำคัญคืออัตราเร่งจริง และบริโภคเชื้อเพลิงจริง

คร่าวๆอย่าง 1.0turbo จะอยู่กลุ่มเดียวกับ 1.5-1.8na
1.5-1.6turbo จะอยู่กลุ่ม 2.0-2.5na
2.0turbo จะอยู่กลุ่ม 2.5-3.0na ++
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TCP ที่ มิถุนายน 06, 2020, 12:04:05
อ่านคำตอบข้างล่างของผมแล้ว อย่าเพิ่งโกรธนะ

อ่านคำถามของคุณเสร็จ แล้วอ่านคำตอบแรกแล้ว ... (ซึ่งผมเองก็ไม่รู้คำตอบนี้มาก่อนนะ)

แสดงว่า .. ความรู้เรื่องรถยนต์ / เครื่องยนต์คุณน้อยมากเลยครับ

เริ่มต้นง่ายๆ ... ในเว็บ Headlightmag นี้ มีบทรีวิวรถไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น

ลองอ่านซัก 10 รุ่น อย่างละเอียดละออ โดยเฉพาะแถวๆ ระบบเครื่องยนต์ / เกียร์ ครับ

แล้วเดี่ยวคุณจะรู้เรื่องมากขึ้นเองครับ ..


ปล. ขนาดรถยนต์พอๆ กัน ไม่ว่าจะเครื่องเบนซิน หรือดีเซล ก็ตาม

ถ้าเป็นเครื่องหายใจธรรมดา (ไม่มีระบบ อัดอากาศ / อัดไอดีอะไรเลย) สมมติ ให้แรงม้า 100 แรงม้า

พอมาติดระบบอัดอากาศ  ไม่ว่าจะ ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ หรือ เทอร์โบชาร์จเจอร์ ก็ตาม

มันจะสามารถ เพิ่มแรงม้าได้ขึ้นเป็นราวๆ 160 - 250 แรงม้า ได้  แล้วแต่การปรับจูนจากผู้ออกแบบ / ปรับตั้ง .. ครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: DiKiBoyZ ที่ มิถุนายน 06, 2020, 14:35:13
ตอบตามคำถาม

Mazda 3 Sky 2.0 NA vs 320i 2.0 Turbo แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรที่ต่างกัน

ถ้าตอบโดยทั่วไป

เครื่องยนต์ 1 ตัว เทคโนโลยีแบบเดียวกัน จะญี่ปุ่น ยุโรป หรือ เมกา มันก็ได้ output พอๆ กันนั้นละ

เพราะพละกำลังที่ได้ มาจาก อากาศ + น้ำมัน + ไฟ (เบนซิน) แค่นี้เลย และเพิ่มเติมคือ Turbo หรือ Compressor เข้ามาที่เพิ่มแรงม้า แรงบิด ตามที่เห็น

แต่ที่ต่างกัน ไม่ว่าจะข้ามยี่ห้อเอย ยุโรป ญี่ปุ่น เมกา คือ เทคโนโลยี วัสดุ และมันจะแปรผันตรงกับ cost ที่เพิ่มเข้ามา และสูตรของแต่ค่ายในการออกแบบ ไม่ว่าจะ แคม วาล์ว หัวฉีด ไอดี ไอเสีย

และอีกอย่างคือ ระบบส่งกำลัง ที่ต่างกันชัดเจนเลย จะมี lost ก็ตรงนี้แหละ

ตัวอย่างง่ายๆ

Accord 1.5T แรงม้า 190 ม้า/แรงบิด 260 Nm กับ 320i 2.0T (F30) แรงม้า 184 แรงม้า/แรงบิด 270 Nm

หรือถ้าจะเทียบ Accord 2.0T เวอร์ชั่นเมืองนอก มี 252 ม้าเลย ซึ่งเยอะกว่า 2.0 ยุโรปอีกซะด้วยซ้ำ

ถ้าเทียบแค่นี้ ก็เห็นแล้วว่า เครื่องยนต์ ไม่ได้แพ้กันเลย มองว่า Accord 1.5T ดีกว่าด้วยซ้ำ มันไม่ใช่แรงม้าญี่ปุ่นมากกว่าต้องเป็นตัวเลขโม้ หรือ ตัวเลขปลอมๆ ซะที่ไหน

สุดท้าย ตัวเลขที่ได้ แบบ 0-100 หรือ top speed มันก็ขึ้นอยู่กับ ระบบส่งกำลัง หรือ เกียร์ และ น้ำหนักตัวของแต่ละคัน

ปล.มีการล๊อคความเร็วอีกนะ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: turbo lover ที่ มิถุนายน 06, 2020, 14:43:08
เครื่อง เทอร์โบ กับ เครื่องnaไงครับ
ต่อให้แรงม้า ใกล้เคียงกัน
เทอรโบ ได้เปรียบเสมอครับ เทอรโบแรงบิดเป็น แฟลตทอค
ส่วน naมาในรอบสูงแค่ช่วงเดียว
ลองเอา เครื่อง ccเท่ากัน มีเทอร์โบ
ผมว่าเดี๋ยวนี้ รถญี่ปุ่น วิ่งไม่แพ้ รถยุโรปแล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TCP ที่ มิถุนายน 06, 2020, 15:06:56
กลับมาที่กระทู้นี้อีกรอบ ..  กลับมารอบนี้ ได้อ่าน คห.ข้างบนทั้งหมดแล้ว มันขัดลูกกะตา เลยมาตอบเพิ่ม ..

ที่มีหลายคน บอก / ยกย่องพวกค่ายรถเยอรมัน / อิตาลี ว่า ดีเด่นักหนา ... ผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เชื่อนะครับ

วัดกันง่ายๆ เลยนะ ...

การแข่งขัน Formula 1  ช่วงปี 1986 - 1992  ทีม Williams (2) + McLaren (4) ได้แชมป์นานต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน

(6 ปีที่ว่านั้น  ทั้ง 2 ทีม เลือกใช้เครื่องยนต์ Honda มาเป็นเครื่องยนต์ของรถ F-1 ของตัวเอง)

เพราะเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ของ Honda ทั้งเรื่อง VTEC และ Twin Turbo

(ที่จำได้  ช่วงนั้น Honda Automobile Thailand เริ่มต้นทำตลาดในไทย เลยต้องพยายามส่งเสริมภาพพจน์

เลยเอาเครื่องยนต์ตัวที่ว่า มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์อยู่หลายครั้ง  ผมจำรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า

- เครื่องยนต์ V10 สูบ 90 องศา

- VTEC ทั้งปรับองศา และระยะยกของวาล์ว

- Twin Turbo

- ปริมาตรกระบอกสูบแค่ 1,500cc  แต่แรงม้าสูงสุด ราวๆ 7-800 แรงม้า

ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมัยนั้น VW , Benz , BMW , ฯลฯ มาร่วมลงแข่ง F-1 กะเค้าด้วยหรือเปล่า  แต่รู้แค่ว่า มี Ferrari ด้วยแน่นอน ...

หลังจากปี 1992 เป็นต้นมา ทางคณะผู้จัดการแข่งขัน F-1 มีการเปลี่ยนกฎใหม่ - " ห้ามใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ "

ให้กลับไปใช้ เครื่องยนต์ระบบหายใจธรรมดาซะแทน ... แล้วหลังจากนั้น ทีมที่ได้แชมป์ F-1 ก็กลายเป็นทีมอื่นๆ หมด

ลองไปดูข้อมูลตาม link ข้างล่างนี้ดูละกัน

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Formula_One_World_Constructors'_Champions

แต่แค่จะบอกว่า ... ถ้าใครคิดว่า  Honda กระจอกเรื่องเทคโนโลยี่เครื่องยนต์  /  สู้พวกบริษัทรถยนต์ เยอรมัน / อิตาลี่ ไม่ได้ ...

คุณคิดผิดมหันต์ ครับ ...


ปล. ได้ยินว่า  ไม่นานนี้  แม้แต่ Mercedes Benz ก็ซื้อลิขสิทธิ์ ระบบ Hybrid ของ Toyota ไป เพื่อจะไปผลิตรถยนต์ขายในยุโรป

เพราะมาตรฐานมลพิษที่ยุโรป เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หาทางออกไม่ได้แล้ว ต้องมาใช้ระบบรถไฟฟ้า+แบตเตอรี่ เท่านั้น
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: basterias ที่ มิถุนายน 06, 2020, 15:11:45
กลับมาที่กระทู้นี้อีกรอบ ..  กลับมารอบนี้ ได้อ่าน คห.ข้างบนทั้งหมดแล้ว มันขัดลูกกะตา เลยมาตอบเพิ่ม ..

ที่มีหลายคน บอก / ยกย่องพวกค่ายรถเยอรมัน / อิตาลี ว่า ดีเด่นักหนา ... ผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เชื่อนะครับ

วัดกันง่ายๆ เลยนะ ...

การแข่งขัน Formula 1  ช่วงปี 1998 - 1992  ทีม McLaren Honda ได้แชมป์นานต่อเนื่อง 5 ปีติดต่อกัน

เพราะเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ของ Honda ทั้งเรื่อง VTEC และ Twin Turbo

(ที่จำได้  ช่วงนั้น Honda Automobile Thailand เริ่มต้นทำตลาดในไทย เลยต้องพยายามส่งเสริมภาพพจน์

เลยเอาเครื่องยนต์ตัวที่ว่า มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์อยู่หลายครั้ง  ผมจำรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า

- เครื่องยนต์ V10 สูบ 90 องศา

- VTEC ทั้งปรับองศา และระยะยกของวาล์ว

- Twin Turbo

- ปริมาตรกระบอกสูบแค่ 1,500cc  แต่แรงม้าสูงสุด ราวๆ 7-800 แรงม้า

ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมัยนั้น VW , Benz , BMW , ฯลฯ มาร่วมลงแข่ง F-1 กะเค้าด้วยหรือเปล่า  แต่รู้แค่ว่า ...

หลังจากปี 1992 เป็นต้นมา ทางคณะผู้จัดการแข่งขัน F-1 มีการเปลี่ยนกฎใหม่ - " ห้ามใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ "

ให้กลับไปใช้ เครื่องยนต์ระบบหายใจธรรมดาซะแทน ... แล้วหลังจากนั้น ทีมที่ได้แชมป์ F-1 ก็กลายเป็นทีมอื่นๆ หมด

ลองไปดูข้อมูลตาม link ข้างล่างนี้ดูละกัน



แต่แค่จะบอกว่า ... ถ้าใครคิดว่า  Honda กระจอกเรื่องเทคโนโลยี่เครื่องยนต์  /  สู้พวกบริษัทรถยนต์ เยอรมัน / อิตาลี่ ไม่ได้ ...

คุณคิดผิดมหันต์ ครับ ...


ปล. ได้ยินว่า  ไม่นานนี้  แม้แต่ Mercedes Benz ก็ซื้อลิขสิทธิ์ ระบบ Hybrid ของ Toyota ไป เพื่อจะไปผลิตรถยนต์ขายในยุโรป

เพราะมาตรฐานมลพิษที่ยุโรป เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หาทางออกไม่ได้แล้ว ต้องมาใช้ระบบรถไฟฟ้า+แบตเตอรี่ เท่านั้น

เห็นด้วยครับ เครื่องที่เป็นตำนานฝั่งญี่ปุ่นมีมากมาย ถ้าญี่ปุ่นไม่จับมือกันจำกัดแรงม้าในรถที่นั่งส่วนบุคคลเราคงเห็นตัวจี้ดอีกเยอะแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Peet Sayumpoo ที่ มิถุนายน 06, 2020, 15:50:57
กลับมาที่กระทู้นี้อีกรอบ ..  กลับมารอบนี้ ได้อ่าน คห.ข้างบนทั้งหมดแล้ว มันขัดลูกกะตา เลยมาตอบเพิ่ม ..

ที่มีหลายคน บอก / ยกย่องพวกค่ายรถเยอรมัน / อิตาลี ว่า ดีเด่นักหนา ... ผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เชื่อนะครับ

วัดกันง่ายๆ เลยนะ ...

การแข่งขัน Formula 1  ช่วงปี 1986 - 1992  ทีม Williams (2) + McLaren (4) ได้แชมป์นานต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน

(6 ปีที่ว่านั้น  ทั้ง 2 ทีม เลือกใช้เครื่องยนต์ Honda มาเป็นเครื่องยนต์ของรถ F-1 ของตัวเอง)

เพราะเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ของ Honda ทั้งเรื่อง VTEC และ Twin Turbo

(ที่จำได้  ช่วงนั้น Honda Automobile Thailand เริ่มต้นทำตลาดในไทย เลยต้องพยายามส่งเสริมภาพพจน์

เลยเอาเครื่องยนต์ตัวที่ว่า มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์อยู่หลายครั้ง  ผมจำรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า

- เครื่องยนต์ V10 สูบ 90 องศา

- VTEC ทั้งปรับองศา และระยะยกของวาล์ว

- Twin Turbo

- ปริมาตรกระบอกสูบแค่ 1,500cc  แต่แรงม้าสูงสุด ราวๆ 7-800 แรงม้า

ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมัยนั้น VW , Benz , BMW , ฯลฯ มาร่วมลงแข่ง F-1 กะเค้าด้วยหรือเปล่า  แต่รู้แค่ว่า มี Ferrari ด้วยแน่นอน ...

หลังจากปี 1992 เป็นต้นมา ทางคณะผู้จัดการแข่งขัน F-1 มีการเปลี่ยนกฎใหม่ - " ห้ามใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ "

ให้กลับไปใช้ เครื่องยนต์ระบบหายใจธรรมดาซะแทน ... แล้วหลังจากนั้น ทีมที่ได้แชมป์ F-1 ก็กลายเป็นทีมอื่นๆ หมด

ลองไปดูข้อมูลตาม link ข้างล่างนี้ดูละกัน

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Formula_One_World_Constructors'_Champions

แต่แค่จะบอกว่า ... ถ้าใครคิดว่า  Honda กระจอกเรื่องเทคโนโลยี่เครื่องยนต์  /  สู้พวกบริษัทรถยนต์ เยอรมัน / อิตาลี่ ไม่ได้ ...

คุณคิดผิดมหันต์ ครับ ...


ปล. ได้ยินว่า  ไม่นานนี้  แม้แต่ Mercedes Benz ก็ซื้อลิขสิทธิ์ ระบบ Hybrid ของ Toyota ไป เพื่อจะไปผลิตรถยนต์ขายในยุโรป

เพราะมาตรฐานมลพิษที่ยุโรป เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หาทางออกไม่ได้แล้ว ต้องมาใช้ระบบรถไฟฟ้า+แบตเตอรี่ เท่านั้น

ผมย้อนกลับไปอ่านมาใหม่ ก็ยังไม่เห็นใครบอกว่าญี่ปุ่นกระจอกเลยนะครับ ก็อธิบายกันตามเนื้อผ้า บางเม้นอาจไม่มีสาระอะไรมาก
แต่ก็ไม่มีใครบอกว่าญี่ปุ่นทำรถห่วยกว่าน่ะครับ ไม่รู้ท่านไปโมโหใครมา....แต่เรื่องคันไหนวิ่งดีกว่าเนี่ย มันมีหลายปัจจัย อย่างรถญี่ปุ่นจะทำให้ดีเท่ายุโรปเค้าก็ทำได้ครับ
ดูอย่าง NISSAN GTR , Lexus , Toyota crown ฯลฯ ของดีทั้งนั้น แต่ด้วยส่วนมากรถญี่ปุ่นหลายรุ่นมักมีเรื่องต้นทุนมีค้ำคอ(เพื่อจะได้ขายไม่แพง)
บางอย่างก็อาจถูกบั่นทอนลงไปบ้าง เช่นระบบกำลัง ก็อาจไม่ได้ดีเท่าทางฝั่งยุโรปที่ใช้ของที่มีต้นทุนสูงกว่า การส่งกำลังไปที่ล้อเลยทำได้ดีกว่า
ทำให้วิ่งดีกว่าในแรงม้าเท่ากัน รวมถึงหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นต้น

จะญี่ปุ่นหรือยุโรปสมัยนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ก็ทำได้ดีไม่ต่างกันหรอกครับ ถ้าไม่ห่วงเรื่องต้นทุน ทุกวันนี้ยุโรปกับญี่ปุ่นเค้าก็แชร์เทคโนโลยีถึงกันหมดครับ
ผมว่าหลายๆคนก็รู้ดี ดูอย่าง BMW Z4 กับ TOYOTA SUPRA เป็นต้นครับ พี่น้องกันเลย
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: turbo lover ที่ มิถุนายน 06, 2020, 16:45:48
เอาให้เห็นภาพง่ายๆ เลยนะครับ
เปรียบเทียบ เหมือน ก็อกน้ำ2ก็อกขนาดเท่ากัน ก็อกนึง ต่อปั้มน้ำ
อีก ก็อกนึง ไม่มีปั้มน้ำ
แน่นอนครับ อีกก็อกที่ต่อปั้มน้ำย่อมความแรงที่มากกว่า ครับ
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: AkE ที่ มิถุนายน 06, 2020, 19:08:35
NA VS Turbo ยังไงฝ่ายหลังก้ได้เปรียบครับ ลองเปลี่ยนเป็น Honda 1.5T VS BMW 2.0T ดูครับ

Remap ด้วยกันทั้งคู่สูสีนะครับ ลองหาคลิปดูของอเมริกาครับ BMW 2.0T VS Honda 2.0T cc เท่าๆกัน

สูสีๆ ผมไม่เชียร์ใครผมว่าดีงามทั้ง2 ประเทศครับ สำหรับเทคโนโลยีเครื่องยนต์
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: PabU ที่ มิถุนายน 06, 2020, 20:27:21
- รถญี่ปุ่น 2.0 ส่วนใหญ่ NA ครับ คงสู้พวก ยุโรปยัดหอยมาไม่ได้หรอกครับ แถมเดี๋ยวนี้มีรถถ่านมาอีก..แรงจริงจัง Volvo นี่ไป 400 กว่าม้า (วัดกันแค่รถบ้านเดิมๆที่ขายในไทยนะครับ ไม่นับพวกรถ High Performance)
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Sakutaro ที่ มิถุนายน 06, 2020, 20:28:12
 :) ไม่ขอเปรียบ na vs turbo
แต่ปัญหาส่วนนึงของรถญี่ปุ่นคือ ระบบส่งกำลัง
ที่ถ่ายทอดม้าจากเครื่องลงพื้นได้น้อย คือสูญเสีย
ไปในระบบเยอะ ผมเคยเอารถขึ้นไดโนสมัยเฟี้ยวๆ
ม้าหายไปจากคอก 36% จากสเปค
เป็นที่มาของคำว่า ม้าญี่ปุ่นตัวเล็กกว่าม้ายุโรป 8)
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: EVA01 ที่ มิถุนายน 06, 2020, 21:07:54
จริงๆ ผมว่าแพ้กันที่เกียร์นะครับ อย่างผมเคยขับ G7 V6 เครื่อง 3.0  ตอนนั้นรถผมขึ้นไดโน่ก็ได้ 230 ม้าที่ล้อ จะเห็นว่าเครื่องแรงม้าพอๆกับ e46 330i เลย แต่พอขับจริง ต่างกันที่ระบบส่งกำลังและช่วงล่างนี่แหละครับที่สู้ไม่ได้


หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: raygun ที่ มิถุนายน 07, 2020, 00:27:24
กลับมาที่กระทู้นี้อีกรอบ ..  กลับมารอบนี้ ได้อ่าน คห.ข้างบนทั้งหมดแล้ว มันขัดลูกกะตา เลยมาตอบเพิ่ม ..

ที่มีหลายคน บอก / ยกย่องพวกค่ายรถเยอรมัน / อิตาลี ว่า ดีเด่นักหนา ... ผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เชื่อนะครับ

วัดกันง่ายๆ เลยนะ ...

การแข่งขัน Formula 1  ช่วงปี 1986 - 1992  ทีม Williams (2) + McLaren (4) ได้แชมป์นานต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน

(6 ปีที่ว่านั้น  ทั้ง 2 ทีม เลือกใช้เครื่องยนต์ Honda มาเป็นเครื่องยนต์ของรถ F-1 ของตัวเอง)

เพราะเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ของ Honda ทั้งเรื่อง VTEC และ Twin Turbo

(ที่จำได้  ช่วงนั้น Honda Automobile Thailand เริ่มต้นทำตลาดในไทย เลยต้องพยายามส่งเสริมภาพพจน์

เลยเอาเครื่องยนต์ตัวที่ว่า มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์อยู่หลายครั้ง  ผมจำรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า

- เครื่องยนต์ V10 สูบ 90 องศา

- VTEC ทั้งปรับองศา และระยะยกของวาล์ว

- Twin Turbo

- ปริมาตรกระบอกสูบแค่ 1,500cc  แต่แรงม้าสูงสุด ราวๆ 7-800 แรงม้า

ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมัยนั้น VW , Benz , BMW , ฯลฯ มาร่วมลงแข่ง F-1 กะเค้าด้วยหรือเปล่า  แต่รู้แค่ว่า มี Ferrari ด้วยแน่นอน ...

หลังจากปี 1992 เป็นต้นมา ทางคณะผู้จัดการแข่งขัน F-1 มีการเปลี่ยนกฎใหม่ - " ห้ามใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ "

ให้กลับไปใช้ เครื่องยนต์ระบบหายใจธรรมดาซะแทน ... แล้วหลังจากนั้น ทีมที่ได้แชมป์ F-1 ก็กลายเป็นทีมอื่นๆ หมด

ลองไปดูข้อมูลตาม link ข้างล่างนี้ดูละกัน

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Formula_One_World_Constructors'_Champions

แต่แค่จะบอกว่า ... ถ้าใครคิดว่า  Honda กระจอกเรื่องเทคโนโลยี่เครื่องยนต์  /  สู้พวกบริษัทรถยนต์ เยอรมัน / อิตาลี่ ไม่ได้ ...

คุณคิดผิดมหันต์ ครับ ...


ปล. ได้ยินว่า  ไม่นานนี้  แม้แต่ Mercedes Benz ก็ซื้อลิขสิทธิ์ ระบบ Hybrid ของ Toyota ไป เพื่อจะไปผลิตรถยนต์ขายในยุโรป

เพราะมาตรฐานมลพิษที่ยุโรป เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หาทางออกไม่ได้แล้ว ต้องมาใช้ระบบรถไฟฟ้า+แบตเตอรี่ เท่านั้น

ย้อนอดีตซะไกลเลย งั้นเราลองมาดูปัจจุบันกันไหมครับ
ก่อนหน้านี้ก็ toyota ลง F1 แล้วก็หายจ้อยเลย
ตอนนี้ honda ก็กลับมาแล้ว
ผมเห็นก็ยังแพ้ Benz นะครับ แพ้เยอะด้วย
เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย้อนไปตอนที่ค่ายยุโรป
แทบไม่ได้ลง F1
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง​ 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า​ 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: Lancer ที่ มิถุนายน 08, 2020, 11:22:18
เพราะเกียร์ครับ   ::)
หัวข้อ: Re: ทำไมเครื่อง 2.0ของรถยุโรปถึงสามารถทำให้อัตราเร่งแรงกว่า 2.0 ของรถญี่ปุ่นครับ
เริ่มหัวข้อโดย: TorMoo ที่ มิถุนายน 08, 2020, 12:59:05
กลับมาที่กระทู้นี้อีกรอบ ..  กลับมารอบนี้ ได้อ่าน คห.ข้างบนทั้งหมดแล้ว มันขัดลูกกะตา เลยมาตอบเพิ่ม ..

ที่มีหลายคน บอก / ยกย่องพวกค่ายรถเยอรมัน / อิตาลี ว่า ดีเด่นักหนา ... ผมขอบอกตรงๆ เลยว่า ไม่เชื่อนะครับ

วัดกันง่ายๆ เลยนะ ...

การแข่งขัน Formula 1  ช่วงปี 1986 - 1992  ทีม Williams (2) + McLaren (4) ได้แชมป์นานต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน

(6 ปีที่ว่านั้น  ทั้ง 2 ทีม เลือกใช้เครื่องยนต์ Honda มาเป็นเครื่องยนต์ของรถ F-1 ของตัวเอง)

เพราะเทคโนโลยี่เครื่องยนต์ของ Honda ทั้งเรื่อง VTEC และ Twin Turbo

(ที่จำได้  ช่วงนั้น Honda Automobile Thailand เริ่มต้นทำตลาดในไทย เลยต้องพยายามส่งเสริมภาพพจน์

เลยเอาเครื่องยนต์ตัวที่ว่า มาโชว์ในงานมอเตอร์โชว์อยู่หลายครั้ง  ผมจำรายละเอียดคร่าวๆ ได้ว่า

- เครื่องยนต์ V10 สูบ 90 องศา

- VTEC ทั้งปรับองศา และระยะยกของวาล์ว

- Twin Turbo

- ปริมาตรกระบอกสูบแค่ 1,500cc  แต่แรงม้าสูงสุด ราวๆ 7-800 แรงม้า

ผมจำไม่ได้แล้วว่า สมัยนั้น VW , Benz , BMW , ฯลฯ มาร่วมลงแข่ง F-1 กะเค้าด้วยหรือเปล่า  แต่รู้แค่ว่า มี Ferrari ด้วยแน่นอน ...

หลังจากปี 1992 เป็นต้นมา ทางคณะผู้จัดการแข่งขัน F-1 มีการเปลี่ยนกฎใหม่ - " ห้ามใช้เครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ "

ให้กลับไปใช้ เครื่องยนต์ระบบหายใจธรรมดาซะแทน ... แล้วหลังจากนั้น ทีมที่ได้แชมป์ F-1 ก็กลายเป็นทีมอื่นๆ หมด

ลองไปดูข้อมูลตาม link ข้างล่างนี้ดูละกัน

https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Formula_One_World_Constructors'_Champions

แต่แค่จะบอกว่า ... ถ้าใครคิดว่า  Honda กระจอกเรื่องเทคโนโลยี่เครื่องยนต์  /  สู้พวกบริษัทรถยนต์ เยอรมัน / อิตาลี่ ไม่ได้ ...

คุณคิดผิดมหันต์ ครับ ...


ปล. ได้ยินว่า  ไม่นานนี้  แม้แต่ Mercedes Benz ก็ซื้อลิขสิทธิ์ ระบบ Hybrid ของ Toyota ไป เพื่อจะไปผลิตรถยนต์ขายในยุโรป

เพราะมาตรฐานมลพิษที่ยุโรป เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หาทางออกไม่ได้แล้ว ต้องมาใช้ระบบรถไฟฟ้า+แบตเตอรี่ เท่านั้น

ย้อนอดีตซะไกลเลย งั้นเราลองมาดูปัจจุบันกันไหมครับ
ก่อนหน้านี้ก็ toyota ลง F1 แล้วก็หายจ้อยเลย
ตอนนี้ honda ก็กลับมาแล้ว
ผมเห็นก็ยังแพ้ Benz นะครับ แพ้เยอะด้วย
เลยไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย้อนไปตอนที่ค่ายยุโรป
แทบไม่ได้ลง F1

นั่นสินนะครับแม้แต่รายการอย่าง Nur24 ที่มีคลาสสำหรับเครื่องไม่ Modify ค่ายญี่ปุ่นก็ยังล้มพวกยุโรปยากเลยนะครับ