Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: mamaman ที่ กุมภาพันธ์ 21, 2021, 11:54:45
-
ในที่สุด บ้านเราก็มี รถ EV มาขายในราคาต่ำล้าน
ในไม่กี่ปี ก้จะมี ราคาต่ำล้าน อีกหลายคัน
รถที่ บางคน บอกจะมาล้ม TOYOTA
ว่าแต่ทำไม ยอดขาย ไม่ได้ พุ่ง อาจ แป้กเสียด้วยซ้ำ
ส่วนตัวผม อย่างที่บอก
ตอนนี้ EV ก้เป็น แค่รถ ของเล่น คน มีเงินเท่านั้น
ยังไม่สามารถ ตอบโจทย์การใช้งาน คนทั่วๆไป ได้
ผมยังมองไม่เห็นความ คุ้มค่าที่จะซื้อ EV เลย ในฐานะ ลูกจ้าง ตาดำๆ ผู้ทำงาน ม 33 จำนวน 9 ล้านคน
นี่ไม่ รวม ตาสี ตา สา นอก ม 33 อีก กว่าหลายล้านคน
และไม่ รวม ผู้รับบัตร คนจน เด็กนักเรียนอีก หลายล้านคน
ตกลง กลุ่มเป้าหมาย EV ตอนนี้ คือใครกันแน่
ปล อย่าว่าแต่ต่ำล้านเลย
ล้านนิดๆ ยอดขายก้ยังไม่ดี
ผมยกต่ำล้านเพราะ ยอดขาย รถเกินล้าน ในไทยก้ต่ำมากครับ
-
ผมว่าคนเลือก EV น่าจะเป็นคันที่ 2 ในบ้านนะครับ
อย่างแรกเลยคือมันยังวิ่งทางไกลยาวๆ ไปเยี่ยมญาติ กลับบ้าน ตจว. ไม่ได้ จุดชาร์จกลางทางยังมีไม่เยอะ ตอนนี้อาจยังพอ แต่ถ้าคนใช้เยอะขึ้น หรือช่วงเทศกาล น่าจะแย่กว่า NGV
อีกอย่างคือ มันต้องชาร์จเกือบทุกวัน ต้องจอดรถในบ้าน พวกคอนโด/ตึกแถว ที่ต้องเช่าที่จอดหรือแชร์ที่จอดกันก็ลำบากตรงนี้
-
ใตรบอกจะมาล้มตอนนี้ครับ เค้าหมายถึงอนาคตมั้งครับ ในเมื่อพี่ใหญ่ของโลกอย่างอเมริกาและจีนมาทางนี้ ยังไงก็ต้องบีบให้ไปใช้รถไฟฟ้า
หลายๆยี่ห้อเริ่มมุ่งเน้นไปทาง ev กันมากขึ้น
อ่านแล้วอารมร์เหมือนมือถือทัชสกรีนออกมาใหม่ๆจริงๆ
-
อันนี้ผมคิดเองนะ
EV ตอนนี้มีคนอยากซื้ออยู่จำนวนนึง
แต่ระบบพื้นฐานต่างๆยังไม่ครอบคลุมมากพอ
คนที่จะซื้อตอนนี้ต้องมีสิ่งเหล่านี้ประกอบ
1.มีบ้านที่สามารถชาร์จได้ตอนกลางคืน คนที่อยู่คอนโดหรือหอพักยากที่จะซื้อ Ev
2.ใช้เดินทางในเส้นทางประจำ ถ้าต้องไปโน่นมานี่แบบไม่รู้ว่าจะไปไหนบ้าง มันยากในการวางแผน
3.มีรถมากกว่า 1 คัน เพราะถ้าต้องการใช้ไปไหนที่ ev ไม่ support ก็เอาคันน้ำมันไป
คนไทยส่วนใหญ่จะซื้อรถ จะซื้อแบบว่ามันต้องใช้ได้ทุกงาน พอรถ ev มันไม่สามารถตอบทุกการใช้งานได้ในคันเดียว ก็เลยไม่ซื้อ
ส่วนข้อที่ต้องพึ่งพารัฐหรือผู้ให้บริการก็คือ
ต้องมีสถานีชาร์จที่มากพอ
ต้องมีราคาค่าไฟที่ทำให้การใช้ ev ประหยัดกว่าน้ำมันอย่างเห็นได้ชัด
ควรมีการให้สิทธิพิเศษแก่รถ ev เช่นไม่ต้องเสียภาษีรายปี หรือวิ่งในเส้นทาง bus lane ได้
ผมเองก็อยากได้ ev แต่อยู่คอนโดไม่มีที่ชาร์จก็จบกัน
ถึงต่อไปจะมีสถานี supercharge ขึ้นเยอะ แต่ถ้าไม่สามารถชาร์จที่บ้านได้ มันก็คงลำบากที่จะใช้
-
ช่วงเปลี่ยนผ่าน hybrid น่าจะตอบโจทย์กว่า
-
มันมีกี่รุ่นกี่ยีห้อล่ะครับ ที่ต่ำล้าน
-
ตัวเลือกเริ่มมีมากขึ่นนะครับในราคาจับต้องได้รอมีผู้เล่นเพิ่มมาอีก.. นี่ถ้า.. Zs evเอาหน้าใหม่ตัวmcมา.. ยอดจะได้เยอะมากๆเชื่อสิ
-
ต่ำล้านมีตั้งหลายรุ่น. แต่ความเชื่อมั่นยังไม่พอ. ทุกวันนี้ใครคิดจะซื้อรถจีนยังโดนบอกให้ไปดูเพจอวยอยู่เลย
คนไทยซื้อรถคันนึงต้องไปได้ทุกที่. ตอนนี้ไปไหนไกลๆต้องมาเช็คว่ามีจุดชาร์จรึเปล่า
ไม่ต้องห่วงเจ้าใหญ่. เค้าคุ้มกับรถน้ำมัน +ทิศทางนโยบายบ้านเราชัดเจนเมื่อไหร่มีออกมาแน่
-
ลองไปอ่านดูเพจ MG EP สิครับ อาจจะเปลี่ยนมุมมองก็ได้นะครับ
-
ตอนนี้มีอยุ่ไม่กี่คันที่ต่ำกว่าล้านอะ แล้วรถก้ไม่ได้มีหน้าตาน่าสนใจแต่อย่างใด ผมไม่ทีมไหนนะ รถน้ำมันล้วน
ไฮบริด หรือจะ Ev ถ้าproduct ลงตัวก้โอเคหมด ไม่ได้คิดว่า ev จะล้ำแต่อย่างใด ลองให้พวกรถทั่วไป
Camry Accord Civic altis city cross อะไรพวกนี้มี ev ขายสิครับ เดี๋ยวก้ขายดีเอง ขายราคาแพงกว่า
รถน้ำมันซัก 1-2 แสนก้ยังขายได้ มันอยู่ที่ความน่าสนใจของรถและแบรนด์ ครับ ไม่ใช่แค่พลังขับเคลื่อน
อย่างเดียว
-
มันเป็นยี่ห้อของจีนไงครับ ถ้าลองแปะตรา TOYOTA Honda รับรองขายระเบิดเถิดเทิงยังกะแจกฟรี
-
ปัญหาหลักๆอยู่ที่การชาร์จนี่เเหละในทุกประเทศไม่เว้นเเม้กระทั่งประเทศผู้ผลิต ev ยังไม่เป็นคำตอบเท่าที่ควรเลยครับเพราะระยะทาง ความเร็วในการชาร์จความสาามรถในการชาร์จของตู้ชาร์จไฟมัยยังไม่เร็วเท่าที่ควรเเละจ่ายกระเเสไฟต่างกัน หรือกระทั่งรถตลาดหากราคาเครื่องยนต์ปกติถูกกว่าev ประมานเเสนนึงขึ้นไป คนก็ยังเลือกเครื่องยนต์ปกติอยู่ดี ตัวอย่างmg zsซึ่งการที่ยังไม่เป็นที่นิยมเเละผู้บริโภคไม่ยอมเสียเงินส่วนต่างก็จากเหตุผลข้างบน
-
ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่ยังไม่สะดวกพอ และอีกข้อนึงก็คือ ราคามือ 2 (ในอนาคต)
ขนาดรถใช้น้ำมัน บางยี่ห้อ ราคามือ 2 ร่วงแรงมาก :( :( :(
ถ้าเป็นรถรถไฟฟ้า แค่หาคนมาซื้อมือ 2 ก็คงเหนื่อยแล้วครับ :'( :'( :'(
-
สำหรับผม รถ EV ไม่ตอบโจทย์ครับ
-
หลักๆคือสถานีชาร์จยังน้อยมากๆครับ
และเรื่องระยะทางที่จำกัด
ที่นี้พอเอาเรื่องการใช้งานมาคุยกัน เป้าหมายของ EV มันเหมาะกับใช้ในเมือง ขับไปทำงาน ขับกลับ ไปรับลูก ซื้อของเข้าบ้าน ชาร์จได้ทั้งที่ทำงาน ห้าง บ้าน แต่ไม่มีปั้มให้เติม กับออกต่างจังหวัดต้องคิดหนัก กับรถราคาล้าน บวกลบ
การใช้งานนี้ถ้าเราประหยัดงบซื้อแค่ eco car หรือ b-seg จะมีเงินเหลือ 3-4 แสนแล้วแต่รุ่นเลยนะครับ เงินขนาดนี้เก็บไว้ทั้งเติมน้ำมัน ดูแลรถในช่วงใช้งานสบายๆเลย และออกต่างจังหวัดได้
เมื่อ facility ยัฃไม่ตอบโจทย์ยังไงก็ไม่เกิดครับ
มันก็จะเป็นรถคันที่ 2 ที่ 3 ของคนมีสตางค์เหลือกันต่อไป
-
EV
ค่าบำรุงรักษาไม่มี แค่ถ้าเจอทีก็จ็ากเลย
แล้วถ้าไม่ซ่อมอาจจะวิ่งไม่ได้เลย 10ปีนี่ยังไงก็ต้องเปลี่ยนแบต
ICE
ซ่อมผ่อนส่ง 10 ปีขับดีๆอาจจะซ่อมแค่ช่วงล่าง
เครื่องอาจจะลากยาวไป 15 ปี สบายยิ่งพวก NA น่ะ
-
ยังไม่มี EV ต่ำกว่าล้านที่ดึงดูดพอ
มีแต่ EV ที่แค่ฉันต่ำกว่า 1ล้านแล้วนะ ซื้อฉันสิ ก็แค่เท่านั้น
-
กลุ่มเป้าหมายรถEVในเมืองไทยปี2019-2021 คือ คนฐานะรวย-เศรษฐี
ที่ต้องการซื้อใช้ขับเองวันหยุด ให้เมียไปจ่ายตลาด(ตลาดในห้าง) ให้ลูกหลานขับไปเรียน ฯลฯ
ที่หลายสื่อบอกว่า รถevเป็นของเล่นคนมีตังเหลือ เป็นรถส่วนตัวคันที่3 ก็ถูกอย่างที่เขาว่าแหละ
มันยังมีปัญหาหลักๆคือ สถานีชาร์ตไฟฟ้าน้อย(ภาพรวมทั้งประเทศไทย)
แก้ปัญหาแบตเตอรี่ เรื่องระยะเวลาการชาร์ตไฟ และ ระยะทางการวิ่งไม่ได้
อาจจะต้องรอแบตเตอรี่เจนเนอเรชั่นหน้า(solid state battery) 8)
-
สำหรับผม มนุษย์เงินเดือน ถ้ามีรถคันเดียว เลือกใหม่ยังไงก็ยังเป็นรถน้ำมัน หรือไฮบริดครับ
EV มันมีข้อจำกัดเรื่องที่ชาร์จ ซึ่งบ้านเราไม่พร้อมเลย และคิดว่ายังไม่พร้อมในอีก 5 ปีนี้แน่ๆ
ขับรถไปเที่ยวแล้วต้องหาที่ชาร์จระหว่างทาง แถมจอดรอชาร์จอีก ไม่สนุกเลยครับ
แต่ก่อนว่า NGV แย่แล้ว แต่ถ้าคิวยาวๆมันยังใช้น้ำมันได้
แต่อันนี้ไม่ได้เลยนะครับ จอดอย่างเดียว
-
EV ต่ำล้านนี่มีรุ่นอะไรบ้างครับ
-
ส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ตัวต่ำล้านมันไม่น่าสนใจด้วยตัวผลิตภัณฑ์ ถ้าแบรนด์หลักมีขายถึงผมจะไม่ได้ร่ำรวยก็คงอยากจะหาซื้อมาใช้ เพราะรถหลักมีแล้ว ระยะทางที่กะว่าจะวิ่งไปกลับที่ทำงานวันละ 100Km ก็ไม่ไกลเกินระยะ วิ่งไปแล้วกลับมาชาร์จที่บ้านได้พอดีคงจะประหยัดค่าน้ำมันได้พอสมควร แต่ตอนนี้ถ้าอยากประหยัดค่าเดินทาง นะหว่าง mg Ep หรือ zs ผมยอมเลือก 1.0T แล้วเอาส่วนต่างค่ารถมาเติมน้ำมันดีกว่า เหตุผลเพราะความไม่มั่นใจในแบรนด์อย่างเดียวเลย
-
1. มันไม่เหมือนมือถือหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆที่เดินเข้าไปเสียบปลั๊กไฟบ้านได้เลย ต้องดูทั้งระบบไฟ ทั้งขนาดสายไฟ
ซึ่งโอเค บางรุ่นมันไม่ถึงกับต้องการไฟแรงมากขนาดนั้น แต่ถ้าให้มันปลอดภัยจริงๆก็ต้องทำ
2. นอกจากที่บ้าน สถานีบริการด้านนอกยังไงก็ไม่พอ ยิ่งในกทม.โดยมากออฟฟิศเป็นแนวอยู่ในตึกสูงๆ มีปลั๊กให้เสียบชาร์จได้กี่คันเอง?
หนำซ้ำยังต้องมานั่งแย่งกับพวกรถเสียบปลั๊กได้ยี่ห้ออื่นอีก อารมณ์เหมือนเข้าร้านกาแฟแล้วปลั๊กมีให้เสียบแค่มุมเดียว ก็แย่งกันตาย
3. ดับกลางทางคือจบ เข็นลากก็ต้องระวังอีก (ยี่ห้อที่ว่าเข็นได้ แต่ต้องเข้า N => คนขับต้องอยู่ในรถ) อาการหนักกว่าพวกรถ Hybrid อีก
ดังนั้นรถ ICE (ทั้งปกติและ Hybrid) ก็ยังได้เปรียบกว่า ขอแค่มีน้ำมันมากรอกลงไปก็สตาร์ทแล้วพยุงไปปั๊ม ของไฟฟ้าถ้ามี Hot Swap ได้เหมือนแบตมือถือสมัยก่อนก็คงดี
แต่ก็นั่นแหละ แบตเป็นร้อยๆโล Hot Swap ก็คงยากมั้ง)
ผมมองว่ารถ EV ไม่ว่ายุคไหน ตั้งแต่ Nissan Leaf หรือก่อนหน้านั้น มันเป็นรถที่ต้องพึ่งพาสาธารณูปโภคค่อนข้างเยอะครับ
ซึ่งมันก็เหมือนรถน้ำมันสัก 50-60 ปีก่อนนู้นที่ต้องคำนวณเรื่องปั๊มน้ำมันกันดีๆเวลาเดินทาง อันนี้ก็เปลี่ยนแค่เป็นจุดชาร์จไฟ
ตอนนี้ผมเริ่มสนับสนุนรถพวก Hybrid มากขึ้นนะ แต่กับพวก EV ผมว่าอย่างน้อยๆไม่ใช่ 5 ปี แต่อาจจะเป็น 10 ปี - 20 ปีเลยก็ได้
ปล. จริงๆที่เราควร concern อีกเรื่องสำหรับรถ EV จริงๆไม่ใช่แค่ว่าเรื่องการปล่อยไอเสียนะครับ แต่ต้อง concern ว่า ตัวรถ EV (หลักๆก็แบตฯ) รวมถึงเชื้อเพลิงที่เอามาผลิตไฟฟ้าเนี่ย
เทียบกับพวกรถ ICE แล้ว อันไหนมันเป็นมิตรกับโลกมากกว่ากัน เพราะเท่าที่ทราบ การผลิตไฟฟ้าบ้านเราก็ยังพึ่งพาพวก unsustainable energy sources เป็นหลัก (70-80% ยังเป็น NG กับถ่านหิน)
-
EVต่ำล้าน กับแบรนด์รองที่ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
การออกแบบก็ไม่สวย..
ใครจะกล้าซื้อครับ
-
ตัวเลือกต่ำล้านนี่มันมีเยอะแค่ไหนคับ แบบต่ำล้านปริ่มๆ ลดสเปค ดีไซน์ ;D แบบ EP ผมก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
ES11, R1, GM Wuling Hongguang ที่จะนำเข้ามาจากเมืองจีนมาขายปีนี้ พวกนี้ยังน่าเรียกว่า ต่ำล้าน จริงๆมากกว่า
จากการใช้อีวีคันแรกมาเกือบสองปี คันต่อไปซื้อปีนี้ก็อีวี และต้องเป็นรถนำเข้าเท่านั้น up จากคันปัจจุบันไปเล่นพวกล้านกว่าๆอัพไปเลยอย่าง MG Marvel (นำเข้าจากจีน), Volvo XC40 EV (นำเข้าจากจีน) หรือ Hyundai Ioniq 5 (นำเข้าจากสิงค์โปร์)
หลังจากนี้ค่อยถอยเพิ่มอีกคันพวก Tesla Model Y ผลิตจีน, Xpeng P7, Nio EC6
-
คนน่ะมีเงิน แต่รถมันยังไม่ดีพอและพวกสถานีชาร์ตยังไม่พร้อม
-
ตอนนี้ไฮบริดมันสะดวกกว่าอ่ะครับ
ผมไปห้างทีไรเจอ cross hybrid ทุกที phev ก็เริ่มเยอะ
-
ต่ำกว่าล้านนี่ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่แปลกครับ
ลองให้แบรนด์ปกติต่ำกว่าล้านสิ
-
ผมรอแค่สถานีชาร์จมีมากขึ้นกว่านี้ครับ คงน่าจะอีกไม่นาน เบื่อราคาน้ำมันครับ
-
เห็นพวกเชียร์ให้รัฐบาลสนับสนุนรถไฟฟ้า ไปด่า TOYOTA กั๊กบ้าง ไม่ยอมทำบ้าง แต่พอมันมีมาจริง ๆ ก็อ้างเรื่องที่ชาร์จสาธารณะ
เรื่องพวกนี้ค่ายใหญ่รายนี้เคยออกตัวแล้วว่าบ้านเรามันยังไม่ถึงเวลาขนาดนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เวลา ที่ทุกคนจะเปลี่ยนรถไปเป็น EV
-
ปัญหาหลักๆตอนนี้คือจุดเติมไฟ ยังมีไม่มากพอไม่ใช่แค่มีเท่าปั๊มน้ำมัน ต้องมีมากกว่าปั้มน้ำมันหลายเท่าตัวครับ
ปัญหารองคือ ระยะการวิ่งที่ยังไปได้ไม่ไกลพอ+กับสถานีชาร์จที่น้อยมากๆ ยิ่งไม่สนับสนุนกันไปอีก
ปัญหาสุดท้ายคือ ระยะเวลาการชาร์จที่นานกว่าเติมน้ำมันแต่วิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าน้ำมันเต็มถัง
ถามว่า ปัญหาต่างๆเหล่านี้ที่ต้องเจอแน่ๆควรขายราคาเท่าไหร่ครับ ถึงจะเหมาะสมให้ซื้อมากกว่า ::) ::) ::)
-
จริงๆเอาแค่ว่าเติมแล้วใช้ได้ระยะทางน้อยกว่าน้ำมันก็เคืองแล้วนะ
ตั้งแต่รถใช้แก๊สแล้วครับ ถังนึงวิ่งได้น้อยกว่าน้ำมันครึ่งนึงยังเบื่อต้องคอยหาปั๊มเลยครับ ทั้งๆที่ก็ใช้เวลานิดเดียว
รถอีวีตอนนี้ระยะก็น้อย การเติมก็นาน คนไม่เคยใช้แล้วคิดจะเอาเป็นคันเดียวในบ้านผมว่ายังไม่เหมาะ
ถ้าระยะเวลาเติมนาน ผมว่าชาร์จครั้งนึงควรวิ่งได้มากกว่า 600 km
หรือถ้าชาร์จได้เร็วแล้วก็ยังไม่ควรน้อยกว่า 400 km ต่อครั้งครับถึงจะน่าใช้
-
ผมว่า รถ EV มันเป็นกระแสที่ความเป็นจริงแล้วมันใช้งานได้ไม่ 100% กับสถานะการของผู้ใช้นะ
.
ดูจากประเทศชั้นนำ อย่างอังกฤษ หรือ อเมริกา คนใช้รถ EV ก็ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป ...
บางคนหลงกระแส คิดว่ารถ EV จะมาแทนที่ในอนาคต ผมว่าอาจจะใช่ แต่ไม่ใช่ใน 10 ปีนี้แน่นอน ...
ตราบใดที่ การชาจน์ไฟจาก 0-100% ยังทำได้ช้ากว่า การเติมน้ำมัน 1 ถัง
ตราบในที่ พลังงาน EV 100% ยังทำระยะทางได้น้อยกว่ารถน้ำมัน เครื่อง 1.5 เทอร์โบ
มันไม่มีทางเกิดหรอก ...
เดียวก็มีคนบอกที นอร์เวย์ ยังเกิดเลย อย่าลืมว่านอร์เวย์ มีพื้นที่ แค่ 60%ของไทย และมีประชากรแค่ 5 ล้านคน การเดินทางไกล จากเหนือลงใต้ นิยมนั่งรถไฟมากกว่าขับรถข้ามจังหวัดแบบคนไทย
และเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 25 ของราคาสินค้า(ถึงจะยกเว้นการเก็บจากรถยนต์แต่สินค้าอื่น เก็บ 25% ทั้งหมด) ซึ่งนั่นทำให้เค้าสามารถนำเงินมาอุดหนุนรถ EV ได้มาก
-
ผมรอทุกอย่างมันเสถียรกว่านี้หน่อย ดูแล้วอย่างน้อยไม่น่าต่ำกว่า 10 ปีนะ ถึงจะซื้อมาขับ
-
ดู time line แล้วน่าจะเกิน 20 ปีถึงจะจำนวนแซงรถน้ำมัน+ hybrid ครับ ทุกวันนี้เติมน้ำมันรอคันหน้ารูดบัตรนาทีเดียวยังบีบแตรไล่เลย ถ้าต้องรอชาร์ตคันละ 45 นาทีจะโกลาหลขนาดไหน
-
ผมว่าคงไม่มีปัจจัยเร่งเท่าไรในขณะนี้ นโยบายรัฐก็พอมีแต่ก็ยังไม่เห็นอะไรจริงจัง
ผมขอยกตัวอย่างซึ่งเจอกะตัวมาคือ ผมโทรไปถามการไฟฟ้านครหลวงว่าจะขอมิเตอร์เพิ่ม เพื่อจะไปติดตั้งwall box (ไม่ต้องการเข้าไปแก้ไขกับระบบไฟฟ้าเดิมที่อยู่ในตัวบ้าน) เจ้าหน้าที่บอกทำไม่ได้เพราะไม่อนุญาตให้ทำ แต่ที่แปลกใจคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกลับอนุญาตให้ทำได้ โดยนำหน่วยที่ใช้ไปรวมกับมิเตอร์เดิม ผมมองว่าการที่ขอมิเตอร์ตัวใหม่สำหรับwall box ไม่ได้ของกฟน.เป็นตัวถ่วงในการที่ประชาชนหันมาให้รถไฟฟ้า (ทั้งที่หน่วยงานลักษณะเดียวกันกลับทำได้)
เรื่องเล็กๆที่ผมเล่า มันทำให้ผมสะดุด เพราะผมต้องพึ่งพาตนเองในการชาร์จไฟฟ้าที่บ้านเป็นหลัก
ตลาดรถEVจะเกิดขึ้นได้จริงตอนนี้ต้องอาศัยความเสียสละ ทั้งบริษัทรถที่ทำตลาดเองก็ต้องยอมลดมาจิ้นลง ผู้ซื้อก็ต้องเสียสละความไม่สะดวกในการใช้งาน และก็สังคมก็ต้องเสียสละความเห็นแก่ตัวที่จะไม่นำรถประเภทอื่นไปจอดในช่องรถEV
ถ้าสังคมยังไม่รู้สึกร่วมช่วยกันผลักดันและส่งเสริมการใชัรถEV ในสภาวะที่ภาครัฐเองก็เฉื่อยชา ตลาดรถEVคงเกิดไม่ได้เร็วๆนี้
-
สำหรับผมนะครับ รอดู R1 ครับ
ราคาน่าจะถูกและพอคบหาได้
ช้าไม่เป็นไร เพราะรถไฟฟ้าถึงจะวิ่งทางไกลได้ 300-400 กิโล ผมก็เอาไว้วิ่งในเมืองอยู่ดี
ดังนั้นความเร็วที่ใช้ ยังไงก็คงไม่ถึง 80 90 ครับ
-
ที่จีนทำได้เพราะรัฐบาลเค้าสั่งจริง ต้องเปลี่ยน
คุณภาพเป็นอย่างไรไปวัดเอา แต่ที่แน่ๆ ถ้าเค้าไม่เริ่ม มลพิษที่นั่นวิกฤต
ผมยังยืนยันเหตุผลส่วนตัว คุณภาพใช้ยาวต้องถนอมหน่อย และผมไม่ชอบอะไรที่
ก๊อปกันง่ายๆ เช่นงานอิเล็กทรอนิกส์ ถ้ายี่ห้อจีนที่มีคุณภาพ น่าจะมีการทดสอบการชนที่ยุโรปด้วย คำว่าขายดีที่สุดในโลก ในบ้่นเค้าปาไปกี่คัน
-
ผมมองที่ความคุ้มค่า ของเงิน ที่จ่ายไปในระยะยาวมากกว่า
เงินมันไม่น้อย สำหรับรถหนึ่งคัน เมื่อเทียบกับรายได้
คนส่วนมากก็ยังไม่พร้อมที่จะเสี่ยง กับ ev นะ
ไปไหนได้ไม่ไกล ไปไกลลำบาก
ต้องมีที่จอด ต้องทำที่ชาร์จ
ต้องปรับตัวเรียนรู้ในการใข้รถ
เสีย พัง เจ้ง ซ่อมจุก ซ่อมยาก อะใหล่ มีไหม ช่างทั่วไป ลืมไปก่อน
รถยังต้องผ่อน ขายต่อไม่ได้ราคา
เทียบกับความประหยัด มลพิษ มันยังไม่ตอบโจทย์
Hybrid ยังไม่ค่อยจะรอด
EV ตอนนี้ ที่ขายได้ คงขายได้เฉพาะ กลุ่มคนที่อยากได้ อยากลองจริงๆ พอคนเหล่านี้หมดไป
ยอดขายคงเบาลง อารมณ์ ยุค บิ๊คไบค์ บุมๆ ขายแบบเททิ้ง
ตอนนี้ เงียบสนิท เพราะ กลุ่มที่เคยอยากมี อยากได้ มีไปหมดละ ที่เหลืออยู่ เค้าไม่ต้องการ อ่ะนะ
-
30ปีก่อน ใครจะคิดว่าทุกคนจะมีมือถือกันหมด มือถือก้อไม่มีปุ่ม..
ก้อเหมือนกับรถนั่นแหละครับ ก่อนจะก้าวผ่านเทคโนโลยี คงต้องมีการปรับพื้นฐาน ทั้งความเข้าใจ ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง
แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน รถสันดาปคงหมดไปเอง เหมือนที่มือถือแบบมีปุ่มเหลือคนใช้อยู่แค่ไม่กี่คน
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในอนาคตรถไฟฟ้าก้ออาจจะไม่มีล้อ วิ่งลอยเหนือผิวถนนก้อได้ครับ
-
ปัญหาหลักๆตอนนี้คือจุดเติมไฟ ยังมีไม่มากพอไม่ใช่แค่มีเท่าปั๊มน้ำมัน ต้องมีมากกว่าปั้มน้ำมันหลายเท่าตัวครับ
ปัญหารองคือ ระยะการวิ่งที่ยังไปได้ไม่ไกลพอ+กับสถานีชาร์จที่น้อยมากๆ ยิ่งไม่สนับสนุนกันไปอีก
ปัญหาสุดท้ายคือ ระยะเวลาการชาร์จที่นานกว่าเติมน้ำมันแต่วิ่งได้ระยะทางน้อยกว่าน้ำมันเต็มถัง
ถามว่า ปัญหาต่างๆเหล่านี้ที่ต้องเจอแน่ๆควรขายราคาเท่าไหร่ครับ ถึงจะเหมาะสมให้ซื้อมากกว่า ::) ::) ::)
เห็นด้วยครับ และยิ่งใครที่สามารถซื้อรถได้แค่คันเดียว ก็คิดหนักแล้วครับ
-
EV ยังเน้นขับได้แค่ในเมืองไง
-
ผมอยู่คอนโด ไม่มีที่จอดชาร์จ ก็จบแล้วครับ
ถ้าอยากปลุกกระแสจริง รัฐบาลต้องสนับสนุนมากกว่านี้ครับ เช่น ลดภาษี เพิ่มจุดชาร์จสาธารณะ
-
คน ตจว.อย่า่งผม
หาจุดเด่นของรถแบบนี้ไม่เจอเลยครับ
-
ถ้าต่ำล้านแบบไม่กี่พันอย่าเอามาเลย คนหนีไปเล่นรถ ice หมด
-
ผมอยู่ ตจว การใช้รถวันนึงเฉลี่ย 100 ก.ม. ถ้าใช้ EV ก็ต้องทำที่ชาร์จที่บ้านเพิ่ม ที่ทำงานไม่มีที่ชาร์จ แถมผมมีรถคันเดียว มันเลยไม่ตอบโจทย์ผมในขณะนี้ครับ
-
ปัญหาหลักๆอยู่ที่การชาร์จนี่เเหละในทุกประเทศไม่เว้นเเม้กระทั่งประเทศผู้ผลิต ev ยังไม่เป็นคำตอบเท่าที่ควรเลยครับเพราะระยะทาง ความเร็วในการชาร์จความสาามรถในการชาร์จของตู้ชาร์จไฟมัยยังไม่เร็วเท่าที่ควรเเละจ่ายกระเเสไฟต่างกัน หรือกระทั่งรถตลาดหากราคาเครื่องยนต์ปกติถูกกว่าev ประมานเเสนนึงขึ้นไป คนก็ยังเลือกเครื่องยนต์ปกติอยู่ดี ตัวอย่างmg zsซึ่งการที่ยังไม่เป็นที่นิยมเเละผู้บริโภคไม่ยอมเสียเงินส่วนต่างก็จากเหตุผลข้างบน
ก่อนที่ MG ZS EV จะขายดีหรือก่อนที่ MG EP มาจำหน่ายในราคาต่ำกว่าล้านบาท Fomm One เข้ามาจำหน่ายในราคาแค่ 6 แสนกว่าบาทเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ขายน้อยไปหน่อยและมีให้วิ่งบนถนนน้อย สาเหตุหลักก็คือ คันเร่งเป็นแป้นมือ แทนที่จะใช้เท้าเหยียบคันเร่ง ซึ่งไม่ถนัดอย่างแรงสำหรับคนขับเพราะต้องใช้มือกดคันเร่ง ภายในคับแคบ พลาสติกทั้งดุ้น สาเหตุรองลงมา เมื่อ 3 ปีก่อนที่ Fomm One ยังจำหน่ายอยู่ สถานีชาร์จรถ EV ยังน้อยอยู่ แต่ในปัจจุบันสถานีชาร์จรถ EV ก็มีมากถึงประมาณ 5,000 สถานีทั้งหมด
-
ปัญหาหลักๆอยู่ที่การชาร์จนี่เเหละในทุกประเทศไม่เว้นเเม้กระทั่งประเทศผู้ผลิต ev ยังไม่เป็นคำตอบเท่าที่ควรเลยครับเพราะระยะทาง ความเร็วในการชาร์จความสาามรถในการชาร์จของตู้ชาร์จไฟมัยยังไม่เร็วเท่าที่ควรเเละจ่ายกระเเสไฟต่างกัน หรือกระทั่งรถตลาดหากราคาเครื่องยนต์ปกติถูกกว่าev ประมานเเสนนึงขึ้นไป คนก็ยังเลือกเครื่องยนต์ปกติอยู่ดี ตัวอย่างmg zsซึ่งการที่ยังไม่เป็นที่นิยมเเละผู้บริโภคไม่ยอมเสียเงินส่วนต่างก็จากเหตุผลข้างบน
ก่อนที่ MG ZS EV จะขายดีหรือก่อนที่ MG EP มาจำหน่ายในราคาต่ำกว่าล้านบาท Fomm One เข้ามาจำหน่ายในราคาแค่ 6 แสนกว่าบาทเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว แต่น่าเสียดายที่ขายน้อยไปหน่อยและมีให้วิ่งบนถนนน้อย สาเหตุหลักก็คือ คันเร่งเป็นแป้นมือ แทนที่จะใช้เท้าเหยียบคันเร่ง ซึ่งไม่ถนัดอย่างแรงสำหรับคนขับเพราะต้องใช้มือกดคันเร่ง ภายในคับแคบ พลาสติกทั้งดุ้น สาเหตุรองลงมา เมื่อ 3 ปีก่อนที่ Fomm One ยังจำหน่ายอยู่ สถานีชาร์จรถ EV ยังน้อยอยู่ แต่ในปัจจุบันสถานีชาร์จรถ EV ก็มีมากถึงประมาณ 5,000 สถานีทั้งหมด
เคยได้ไปสังเกตการณ์ focus group ของคนใช้ Fomm One แต่ละคนเรียกรถตัวเองว่า รถกอล์ฟจดทะเบียนวิ่งออกถนนได้คับ ต้องมา DIY ใส่อุปกรณ์เองเยอะมาก นี่ SAIC Wuling Mini EV จะมาขายกลางปีนี้ 250,000-350,000 บาท Fomm จะอยู่ยังไงคับ
-
มันเป็นยี่ห้อของจีนไงครับ ถ้าลองแปะตรา TOYOTA Honda รับรองขายระเบิดเถิดเทิงยังกะแจกฟรี
ถ้าแปะตราโตต้าแล้วมันขายดีแน่นอน เพราะไรเหรอครับ? เพราะเขามั่นใจในแบรนด์ไง อยู่มาครึ่งศรรตวรรษความมั่นใจไว้วางใจมีเต็มเปี่ยม เสียมาก็มี0เต็มประเทศคอยดูแล ไม่ใช่ภาคละที่สองที่ พังมาก็มีอะหลั่ยเปลี่ยน ความคุ้มค่าคงทนก็ยาวนานกว่า แล้วที่สำคัญ วันเวลาผ่านไปนานๆ ไม่มีลอยแพลูกค้า นี่แหละฮะที่ทำให้แปะตราโตต้าแล้วมันขายดี อิอิ
-
มีคนสนใจเข้ามาอ่าน และตอบมากพอสมควรเลย
-
จุดชาจไม่ได้น้อยเลย ในกรุงเทพ นี่ ล่อไป 400 จุด นี่เรียกว่าน้อยเหรอครับ ปั้มน้ำมันยังมีไม่มากเท่านี้เลย
ส่วนการชาจช้า มันขึ้นกับ รถคุณว่า จะ interface กับตู้ได้ หรือเปล่า เพราะตู้ DC มันจ่ายได้ 100 kw แต่ รถคุณนะ รับได้เท่าไร ? ปัญหามันอยู่ที่รถ ไม่ใช่อยู่ที่ตู้
-
เมื่อวานแวะเติมน้ำมันที่บางจากพิษณุโลก เห็นมีตู้ชาร์จไฟด้วย แต่ไม่ขึ้นป้ายบอกตรงป้ายใหญ่ของปั๊ม ถ้าไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นก็คงไม่รูว่ามี
-
ถ้า Toyota ทำ Altis , Cross หรือ Vios , Yaris ที่เป็น EV ขาย
ตอนนั้นคงไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว
ตอนนี้กลุ่มนี้มีแค่ MG ก็คงไม่เสี่ยงด้วยครับ
-
ผมว่ากลับมามองความจริงกันก่อน ถ้ามองภาพรวมทั้งตลาดรถทุกเครื่องทุกประเภท ผมว่ารถไฟฟ้าราคามันก็ยังสูงสำหรับคนทุกกลุ่มครับ และรถไม่ใช่สิ่งของที่ถูกๆนะครับ รองจากที่อยู่อาศัยมันก็คือรถยนต์นั้นแหละ และภายใต้ราคาที่เท่ากันนั้นรถ ICE ยังให้เรื่องความคุ้มค่ามากกว่าในภาพรวมอยู่ดีเมื่อเทียบในทุกๆด้าน จะมีชนะก็แค่เรื่องลดควันพิษและอัตราเร่งที่ชัดเจน คนซื้อรถไฟฟ้าตอนนี้ส่วนใหญ่คือคนที่มีเงินเหลือประมาณนึงพร้อมและไม่ใช่รถเดียวในบ้าน
แต่รถไฟฟ้ายอดมันก็เพิ่มขึ้นนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่าต้องใช้ระยะเวลาในการเปลี่ยน และวันนึง ICE มันจะหายไปแน่นอน เพราะทุกๆประเทศทั่วโลกจะทยอยเลิกผลิตรถ ICE
-
ถ้ามันเข้าสู่งวงจรหรือวัฏจักรของการ
ดาวน์ ---> ผ่อน ---> ขายต่อ ---> เอาเงินที่ได้มาก้อนหนึ่งไปวนลูปเดิมได้ โดยที่รถคันนั้นต้อง
ขายมือ 2 แล้วใช้ได้อีกซัก 5 ปี โดยที่รถมือ 2 ก็อาจจะต้องเป็นลักษณะการ ดาวน์ ---> ผ่อน
ตลาดรถของไทยเรามาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ผมจำความเรื่องการเล่นรถได้ ก็ร่วมๆ 20-30 ปีแล้วมั๊งครับ
ถ้าวิเคราะห์แบบละเอียด
สมมติว่าซื้อดาวน์+ผ่อนรถน้ำมัน กับ รถไฟฟ้ามาทั้งคู่ที่ 900,000
ใช้ไป 5หรือ6 ปี รถน้ำมันขายได้ 4แสน รถไฟฟ้าโดนกดเพิ่ม 1แสน-2แสน จากเหตุผลคนรับซื้อว่า รถต้องไปเปลี่ยนแบตแล้วขายต่อ คนเข้าก็เลือกได้ไม่ยาก
ทฤษฎีนี้ ผมคิดของผมขึ้นมาเองแหละครับ อาจมีผิดมีถูก ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
-
แต่ที่แน่ๆ คนไม่มีบ้านส่วนตัว คงไม่สะดวกแน่ๆ ถ้าจะให้ขับไปชาร์จตามจุดชาร์จ ตอนนี้ก็ยังไม่เยอะ คงลำบากครับ อย่างหอหักก็ไม่รู้จะไปเสียบชาร์จที่ไหน
-
จุดชาจไม่ได้น้อยเลย ในกรุงเทพ นี่ ล่อไป 400 จุด นี่เรียกว่าน้อยเหรอครับ ปั้มน้ำมันยังมีไม่มากเท่านี้เลย
ส่วนการชาจช้า มันขึ้นกับ รถคุณว่า จะ interface กับตู้ได้ หรือเปล่า เพราะตู้ DC มันจ่ายได้ 100 kw แต่ รถคุณนะ รับได้เท่าไร ? ปัญหามันอยู่ที่รถ ไม่ใช่อยู่ที่ตู้
กรุงเทพ 400 จุด แต่รถมีกันกี่คัน แล้วชาร์ตครั้งละกี่นาที
ถ้ายังไม่ทำ quick charge ที่มันไวแบบน้ำมันได้ หรือระยะทางยาวมากๆจริงๆ ผมว่าลำบาก
มันมาแน่แต่เวลามันยังมาไม่ถึง
แอบสงสัย ดูรายการนึง BMW จะเปิดตัว X5 พลังไฮโดรเจน ค่ายรถทางญี่ปุ่น ยุโรป เขาเห็นอะไรในพลังงานไฮโดรเจนมากกว่าน้ำมันหรือเปล่า
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือจุดชาร์จไฟ ต่อจุด มี youtuber คนนึงลงไว้ว่าแท่นชาร์จเร็วราคาสูงมาก มากจริงๆ เลยทำให้คิดว่า เรื่องจุดชาร์จถ้ารัฐไม่สนับสนุน ภาคเอกชนก็ยังคิดหนักอยู่
-
คันต่อไปของผมต้องรถไฟฟ้าแน่นอน แต่ผมรอให้แบตอึดกว่านี้ครับ และมาพร้อมอัตราเร่ง 0-100 ไม่เกิน
7 วินาที เล็งๆ MG MARVEL ใว้ครับ เห็นข่าวว่าจะมา
-
จุดชาจไม่ได้น้อยเลย ในกรุงเทพ นี่ ล่อไป 400 จุด นี่เรียกว่าน้อยเหรอครับ ปั้มน้ำมันยังมีไม่มากเท่านี้เลย
ส่วนการชาจช้า มันขึ้นกับ รถคุณว่า จะ interface กับตู้ได้ หรือเปล่า เพราะตู้ DC มันจ่ายได้ 100 kw แต่ รถคุณนะ รับได้เท่าไร ? ปัญหามันอยู่ที่รถ ไม่ใช่อยู่ที่ตู้
กรุงเทพ 400 จุด แต่รถมีกันกี่คัน แล้วชาร์ตครั้งละกี่นาที
ถ้ายังไม่ทำ quick charge ที่มันไวแบบน้ำมันได้ หรือระยะทางยาวมากๆจริงๆ ผมว่าลำบาก
มันมาแน่แต่เวลามันยังมาไม่ถึง
แอบสงสัย ดูรายการนึง BMW จะเปิดตัว X5 พลังไฮโดรเจน ค่ายรถทางญี่ปุ่น ยุโรป เขาเห็นอะไรในพลังงานไฮโดรเจนมากกว่าน้ำมันหรือเปล่า
อีกเรื่องที่ผมสงสัยคือจุดชาร์จไฟ ต่อจุด มี youtuber คนนึงลงไว้ว่าแท่นชาร์จเร็วราคาสูงมาก มากจริงๆ เลยทำให้คิดว่า เรื่องจุดชาร์จถ้ารัฐไม่สนับสนุน ภาคเอกชนก็ยังคิดหนักอยู่
เห็นราคาแก๊สไฮโดรเจน หน้าหัวจ่าย 300-400 บาทต่อกิโลกรัม ก็เงิบกันแล้ว รถคันนึงเติม 5 กิโลกรัม ลองดีดลูกคิดดูว่ามันประหยัดกว่าน้ำมันตรงไหนหว่า
-
EV ราคาต่ำกว่า 1 ล้าน คงขับไปไหนได้ไม่ไกลนัก 200-300 km. น่าจะราวๆนี้กับราคา อยากได้ขับไกลเกิน 300 km. ราคาคงแพงกว่านี้
โดยส่วนตัวราคาประมาณ 1 ล้าน ผมคงซื้อ e-power มาใช้ดีกว่าครับ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แต่มีเครื่องยนต์มาปั่นไฟ ไม่ต้องเสียเวลารอชาร์จแบต
แต่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน บางคนอาจมีรถหลายคัน เดินทางต่างหวัดก็เอารถคันอื่นไป รถ EV ขับแค่ไปทำงานใกล้ๆ 40-50 km.
EV กว่าจะรอชาร์จแบตจนเต็ม ถ้าเดินทางไกล ไปไหนก็ต้องวางแผนเส้นทางให้พร้อม มีแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ถึงจุดชาร์จแบต
-
ต่ำล้านนิดเดียว ครึ่งล้านดูซิ รู้เรื่องเลย ละอีกอย่าง วันไหนลืมชารจ ตื่นเช้ามาจะไปทำงานทันไหม
-
30ปีก่อน ใครจะคิดว่าทุกคนจะมีมือถือกันหมด มือถือก้อไม่มีปุ่ม..
ก้อเหมือนกับรถนั่นแหละครับ ก่อนจะก้าวผ่านเทคโนโลยี คงต้องมีการปรับพื้นฐาน ทั้งความเข้าใจ ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง
แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน รถสันดาปคงหมดไปเอง เหมือนที่มือถือแบบมีปุ่มเหลือคนใช้อยู่แค่ไม่กี่คน
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในอนาคตรถไฟฟ้าก้ออาจจะไม่มีล้อ วิ่งลอยเหนือผิวถนนก้อได้ครับ
+1 ครับ ผมก็เชื่อว่าเวลาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปค่อยๆ หายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ เหมือนกับที่รถยนต์เคยฆ่ารถม้ามาแล้ว
เกือบ 20 ปีก่อน สมัยที่คนยังนิยมใช้โนเกีย 8850 มีบริษัทนึง คิดจะเขียนแอพบนมือถือ จึงไปทำสำรวจตลาดว่า ถ้ามีโทรศัพท์มือถือจอสี หน้าจอสัมผัส ต่อเนตได้ แล้วสามารถใช้โปรแกรมบางอย่างคล้ายๆ คอมพิวเตอร์ ราคาอาจจะแพงกว่าโทรศัพท์แบบเดิมๆ ไปบ้าง ท่านจะสนใจซื้อมาใช้งานมั้ย คำตอบเกิน 80% คือไม่สนใจกันเลยครับ เหตุผลก็ประมาณว่า
- โทรศัพท์มีไว้โทร อย่างมากก็อ่าน SMS จอสีไม่ใช่เรื่องจำเป็น ใช้จอสีแล้วกลัวไม่ทน ถ้าจอสีเสียแล้วกลัวค่าซ่อมแพง
- จอสัมผัสไม่เหมือนปุ่มกด ฟิลลิ่งการใช้งานมันไม่ได้ บางคนก็กลัวไปว่าถ้าเกิดโทรศัพท์แฮงค์ขึ้นมาจะแก้ไขปัญหายังงัย
- ทำไม่ต้องใช้โปรแกรมบนโทรศัพท์ด้วย ใช้บนคอมพิวเตอร์ก็สะดวกอยู่แล้ว จอใหญ่ๆ สบายตากว่าตั้งเยอะ
- จะให้ใช้แชท ท่องเวบผ่านมือถือเหรอ ไม่เอาหรอก ค่าดาต้ามันแพง Operator คิดราคาตาม MB สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขอใช้งาน MSN บนพีซีต่อไปดีกว่า
- บางคนที่ Expert ทางด้านไอทีมาก ถึงกับปรามาสว่ามันไม่มีทางเกิดได้เพราะ โทรศัพท์มือถือที่ดีต้องเครื่องเล็กๆ พกพาสะดวก แบตอึดๆ อยู่ได้หลายๆ วัน และต้องทนทานตกแล้วไม่พังง่ายๆ จอสีใหญ่ๆ เครื่องจะใหญ่และหนัก แถมต้องกินแบตมาก เบตอยู่ได้ไม่ถึงวัน ถ้าทำออกมาขายคงไปไม่รอดแน่นอน
ผ่านมา 20 ปี ตลาดตอบรับกับโทรศัพท์มือถือจอสัมผัสที่มีการใช้งานแอพและเนตผ่านคลื่นมือถือกันอย่างไร คงไม่ต้องบอกแล้ว ปัญหาที่ Expert หลายๆ คนตั้งประเด็นไว้มันถูกแก้ปัญหาไปหมดแล้ว
- เรื่องขนาดเครื่องที่ใหญ่ พกลำบากก็แทบจะไม่มีใครบ่นกันอีกแล้ว คนส่วนใหญ่รับกับขนาดของมันได้ ทุกวันนี้รุ่นเรือธงคือรุ่นที่จอใหญ่และมีขนาดและน้ำหนักใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ
- เครื่องตกแล้วหน้าจอแตก พังง่าย ก็มีเคส มีฟิลม์กระจกมาช่วย
- แบตไม่ทน ใช้ได้ไม่ถึงวัน ก็มีพาวเวอร์แบงค์มาช่วย แถมมีระบบฟาสต์ชาร์จ 30 นาทีได้แบตมา 5-70% ล่ะ
- เครื่องไม่ทนเหมือนปุ่มกดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีใหม่มันมาไวมาก เด็กรุ่นใหม่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิมได้ถึง 2-3 ปีก็ถือว่าเก่งมากแล้ว บางคนเปลี่ยนทุก 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่หาซื้อโทรศัพท์แบบปุ่มกดได้ยากเต็มที กับเรื่องรถยนต์ผมก็คิดว่าไม่ต่างกันมาก อยู่ที่ว่าจะเมื่อไรเท่านั้นเอง
-
Fomm เล็กเกิน
ศูนย์ mg แบรนด์ยังน่าเป็นห่วงเรื่องคุณภาพ
-
30ปีก่อน ใครจะคิดว่าทุกคนจะมีมือถือกันหมด มือถือก้อไม่มีปุ่ม..
ก้อเหมือนกับรถนั่นแหละครับ ก่อนจะก้าวผ่านเทคโนโลยี คงต้องมีการปรับพื้นฐาน ทั้งความเข้าใจ ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง
แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน รถสันดาปคงหมดไปเอง เหมือนที่มือถือแบบมีปุ่มเหลือคนใช้อยู่แค่ไม่กี่คน
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในอนาคตรถไฟฟ้าก้ออาจจะไม่มีล้อ วิ่งลอยเหนือผิวถนนก้อได้ครับ
+1 ครับ ผมก็เชื่อว่าเวลาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปค่อยๆ หายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ เหมือนกับที่รถยนต์เคยฆ่ารถม้ามาแล้ว
เกือบ 20 ปีก่อน สมัยที่คนยังนิยมใช้โนเกีย 8850 มีบริษัทนึง คิดจะเขียนแอพบนมือถือ จึงไปทำสำรวจตลาดว่า ถ้ามีโทรศัพท์มือถือจอสี หน้าจอสัมผัส ต่อเนตได้ แล้วสามารถใช้โปรแกรมบางอย่างคล้ายๆ คอมพิวเตอร์ ราคาอาจจะแพงกว่าโทรศัพท์แบบเดิมๆ ไปบ้าง ท่านจะสนใจซื้อมาใช้งานมั้ย คำตอบเกิน 80% คือไม่สนใจกันเลยครับ เหตุผลก็ประมาณว่า
- โทรศัพท์มีไว้โทร อย่างมากก็อ่าน SMS จอสีไม่ใช่เรื่องจำเป็น ใช้จอสีแล้วกลัวไม่ทน ถ้าจอสีเสียแล้วกลัวค่าซ่อมแพง
- จอสัมผัสไม่เหมือนปุ่มกด ฟิลลิ่งการใช้งานมันไม่ได้ บางคนก็กลัวไปว่าถ้าเกิดโทรศัพท์แฮงค์ขึ้นมาจะแก้ไขปัญหายังงัย
- ทำไม่ต้องใช้โปรแกรมบนโทรศัพท์ด้วย ใช้บนคอมพิวเตอร์ก็สะดวกอยู่แล้ว จอใหญ่ๆ สบายตากว่าตั้งเยอะ
- จะให้ใช้แชท ท่องเวบผ่านมือถือเหรอ ไม่เอาหรอก ค่าดาต้ามันแพง Operator คิดราคาตาม MB สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขอใช้งาน MSN บนพีซีต่อไปดีกว่า
- บางคนที่ Expert ทางด้านไอทีมาก ถึงกับปรามาสว่ามันไม่มีทางเกิดได้เพราะ โทรศัพท์มือถือที่ดีต้องเครื่องเล็กๆ พกพาสะดวก แบตอึดๆ อยู่ได้หลายๆ วัน และต้องทนทานตกแล้วไม่พังง่ายๆ จอสีใหญ่ๆ เครื่องจะใหญ่และหนัก แถมต้องกินแบตมาก เบตอยู่ได้ไม่ถึงวัน ถ้าทำออกมาขายคงไปไม่รอดแน่นอน
ผ่านมา 20 ปี ตลาดตอบรับกับโทรศัพท์มือถือจอสัมผัสที่มีการใช้งานแอพและเนตผ่านคลื่นมือถือกันอย่างไร คงไม่ต้องบอกแล้ว ปัญหาที่ Expert หลายๆ คนตั้งประเด็นไว้มันถูกแก้ปัญหาไปหมดแล้ว
- เรื่องขนาดเครื่องที่ใหญ่ พกลำบากก็แทบจะไม่มีใครบ่นกันอีกแล้ว คนส่วนใหญ่รับกับขนาดของมันได้ ทุกวันนี้รุ่นเรือธงคือรุ่นที่จอใหญ่และมีขนาดและน้ำหนักใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ
- เครื่องตกแล้วหน้าจอแตก พังง่าย ก็มีเคส มีฟิลม์กระจกมาช่วย
- แบตไม่ทน ใช้ได้ไม่ถึงวัน ก็มีพาวเวอร์แบงค์มาช่วย แถมมีระบบฟาสต์ชาร์จ 30 นาทีได้แบตมา 5-70% ล่ะ
- เครื่องไม่ทนเหมือนปุ่มกดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีใหม่มันมาไวมาก เด็กรุ่นใหม่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิมได้ถึง 2-3 ปีก็ถือว่าเก่งมากแล้ว บางคนเปลี่ยนทุก 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่หาซื้อโทรศัพท์แบบปุ่มกดได้ยากเต็มที กับเรื่องรถยนต์ผมก็คิดว่าไม่ต่างกันมาก อยู่ที่ว่าจะเมื่อไรเท่านั้นเอง
คุณพี่เปรียบเทียบรถ ICE กับ EV แบบโทรศัพท์ปุ่มกดกับสมาร์ตโฟน มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวกรอกครับ
กรณีสมาร์ตโฟน มันไม่ได้มาแทนมือถือแบบปุ่มกด แต่มันมาแทน โทรศัพท์+PC+Compact Digi Came +
เกมพกพา ในตัวเดียว
ถ้าจะมองแบบนั้น EV ต้องเป็นทั้งรถ + PC + Robot + Autonomous Driver + Delivery boy + etc.
ถึงจะแทน ICE แบบโทรศัพท์ปุ่มกดอ่ะครับ
-
ผมว่า smart phone กับ EV เทียบกันยาก เพราะ switching cost ต่างกัน มือถือ ราคาช่วงเปลี่ยนยุค ราคาไม่แพงมาก รุ่นถูกๆยังมี samsung pocket ไม่กี่พัน แต่รถ EV ราคาเกือบล้าน แพงกว่า Eco car เยอะ คนจะทดลองเล่น หรือ อยากเปลี่ยนต้องมีเงินล้าน ยังมีไม่มาก แต่ถ้า Good Cat ราคาไม่แรงอาจจะนิยมมากขึ้นก็ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการชาร์จอยู่ดี ทั้งเวลา และ สถานที่
-
ผมว่า smart phone กับ EV เทียบกันยาก เพราะ switching cost ต่างกัน มือถือ ราคาช่วงเปลี่ยนยุค ราคาไม่แพงมาก รุ่นถูกๆยังมี samsung pocket ไม่กี่พัน แต่รถ EV ราคาเกือบล้าน แพงกว่า Eco car เยอะ คนจะทดลองเล่น หรือ อยากเปลี่ยนต้องมีเงินล้าน ยังมีไม่มาก แต่ถ้า Good Cat ราคาไม่แรงอาจจะนิยมมากขึ้นก็ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องการชาร์จอยู่ดี ทั้งเวลา และ สถานที่
ใช่ครับ อย่างกรณี smart phone มันมีบาง features ที่ถ้าไม่ใช้มัน โทรศัพท์ปุ่มกดมันทำให้ไม่ได้
เช่นปัจจุบันจะเห็นชัดจากแอปตระกูลชนะต่างๆ คนที่ต้องการใช้แอป ยังไงก็ต้องมาทาง smartphone
ในขณะที่ EV กับ ICE ในวันนี้ มันยังไม่มีอะไรที่ EV ทำได้ แต่ ICE ทำไม่ได้ แถมยังตรงกันข้ามอีกต่างหากครับ
-
ฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่า ในวันที่ EV จะแพร่หลายบนโลกนี้ มันคงไม่ได้มาในฐานะที่มันต่างจากรถ ICE ที่ตัวเครื่องยนต์
แต่มันจะมาในฐานะ Gadget หรืออะไรบางอย่างที่รถ ICE มันไปต่อไม่ได้
ลองนึกนะครับว่าถ้าในเวลานึง รถยนต์ในวันนั้น มันจะวิ่งด้วยตัวเอง...
- มันต้องสื่อสารกันตลอดเวลากับศูนย์ควบคุมจราจร
- มันต้องสื่อสารกับรถบนถนนด้วยกัน ให้สัญญาณหลบหลีกกัน
- มันต้องติดต่อนัดหมายปลายทางเพื่อจองที่จอดรถ
- มันจะต้องวิเคราะห์ความบกพร่องในตัวมันเองพร้อมทั้งนัดหมาย สั่งอะไหล่เพื่อเข้าเปลี่ยน
- ในบางสถานที่หรือบางสถานการณ์บนท้องถนนไม่อนุญาตให้คนขับรถเองยกเว้นรถอัตโนมัติ
- มันคัดกรอง คัดแยกคนโดยสาร ที่ประสงค์ร้าย มีโรคร้าย หรือเมื่อเกิดเหตุร้าย มันจะวิ่งไปโรงพยาบาล
หรือสถานีตำรวจที่ใกล้เคียง
อะไรทำนองนี้ ซึ่งในวันข้างหน้ามี feature เหล่านี้เกิดขึ้นที่ไม่มีอยู่ในรถ ICE จะกระตุ้นให้คนอยากใช้
ไปจนถึงอาจมีข้อบังคับ หรือความจำเป็นบางประการที่ทำให้คนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้มัน เหมือน ๆ กับในวันที่
smartphone เข้ามาถึง แล้วโทรศัพท์ปุ่มกดมันเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์คไม่ได้ และทำอะไรไม่ได้อีกตั้งหลายอย่าง
อ่ะครับ จริง ๆ แล้วทุกวันนี้ การมี smartphone และ tablet ทำให้พวกเราต้องพก power bank
เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนด้วยซ้ำ เพราะอุปกรณ์เหล่านี้ก็มีอุปสรรคด้าน battery คล้าย ๆ กับ EV เหมือนกันครับ
-
30ปีก่อน ใครจะคิดว่าทุกคนจะมีมือถือกันหมด มือถือก้อไม่มีปุ่ม..
ก้อเหมือนกับรถนั่นแหละครับ ก่อนจะก้าวผ่านเทคโนโลยี คงต้องมีการปรับพื้นฐาน ทั้งความเข้าใจ ทั้งองค์ประกอบหลายอย่าง
แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน รถสันดาปคงหมดไปเอง เหมือนที่มือถือแบบมีปุ่มเหลือคนใช้อยู่แค่ไม่กี่คน
และหลังจากนั้นอีกไม่นาน ในอนาคตรถไฟฟ้าก้ออาจจะไม่มีล้อ วิ่งลอยเหนือผิวถนนก้อได้ครับ
+1 ครับ ผมก็เชื่อว่าเวลาจะเป็นฆาตกรที่ทำให้เครื่องยนต์สันดาปค่อยๆ หายไปจากโลกนี้อย่างช้าๆ เหมือนกับที่รถยนต์เคยฆ่ารถม้ามาแล้ว
เกือบ 20 ปีก่อน สมัยที่คนยังนิยมใช้โนเกีย 8850 มีบริษัทนึง คิดจะเขียนแอพบนมือถือ จึงไปทำสำรวจตลาดว่า ถ้ามีโทรศัพท์มือถือจอสี หน้าจอสัมผัส ต่อเนตได้ แล้วสามารถใช้โปรแกรมบางอย่างคล้ายๆ คอมพิวเตอร์ ราคาอาจจะแพงกว่าโทรศัพท์แบบเดิมๆ ไปบ้าง ท่านจะสนใจซื้อมาใช้งานมั้ย คำตอบเกิน 80% คือไม่สนใจกันเลยครับ เหตุผลก็ประมาณว่า
- โทรศัพท์มีไว้โทร อย่างมากก็อ่าน SMS จอสีไม่ใช่เรื่องจำเป็น ใช้จอสีแล้วกลัวไม่ทน ถ้าจอสีเสียแล้วกลัวค่าซ่อมแพง
- จอสัมผัสไม่เหมือนปุ่มกด ฟิลลิ่งการใช้งานมันไม่ได้ บางคนก็กลัวไปว่าถ้าเกิดโทรศัพท์แฮงค์ขึ้นมาจะแก้ไขปัญหายังงัย
- ทำไม่ต้องใช้โปรแกรมบนโทรศัพท์ด้วย ใช้บนคอมพิวเตอร์ก็สะดวกอยู่แล้ว จอใหญ่ๆ สบายตากว่าตั้งเยอะ
- จะให้ใช้แชท ท่องเวบผ่านมือถือเหรอ ไม่เอาหรอก ค่าดาต้ามันแพง Operator คิดราคาตาม MB สู้ค่าใช้จ่ายไม่ไหว ขอใช้งาน MSN บนพีซีต่อไปดีกว่า
- บางคนที่ Expert ทางด้านไอทีมาก ถึงกับปรามาสว่ามันไม่มีทางเกิดได้เพราะ โทรศัพท์มือถือที่ดีต้องเครื่องเล็กๆ พกพาสะดวก แบตอึดๆ อยู่ได้หลายๆ วัน และต้องทนทานตกแล้วไม่พังง่ายๆ จอสีใหญ่ๆ เครื่องจะใหญ่และหนัก แถมต้องกินแบตมาก เบตอยู่ได้ไม่ถึงวัน ถ้าทำออกมาขายคงไปไม่รอดแน่นอน
ผ่านมา 20 ปี ตลาดตอบรับกับโทรศัพท์มือถือจอสัมผัสที่มีการใช้งานแอพและเนตผ่านคลื่นมือถือกันอย่างไร คงไม่ต้องบอกแล้ว ปัญหาที่ Expert หลายๆ คนตั้งประเด็นไว้มันถูกแก้ปัญหาไปหมดแล้ว
- เรื่องขนาดเครื่องที่ใหญ่ พกลำบากก็แทบจะไม่มีใครบ่นกันอีกแล้ว คนส่วนใหญ่รับกับขนาดของมันได้ ทุกวันนี้รุ่นเรือธงคือรุ่นที่จอใหญ่และมีขนาดและน้ำหนักใหญ่ที่สุดด้วยซ้ำ
- เครื่องตกแล้วหน้าจอแตก พังง่าย ก็มีเคส มีฟิลม์กระจกมาช่วย
- แบตไม่ทน ใช้ได้ไม่ถึงวัน ก็มีพาวเวอร์แบงค์มาช่วย แถมมีระบบฟาสต์ชาร์จ 30 นาทีได้แบตมา 5-70% ล่ะ
- เครื่องไม่ทนเหมือนปุ่มกดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีใหม่มันมาไวมาก เด็กรุ่นใหม่ใช้โทรศัพท์เครื่องเดิมได้ถึง 2-3 ปีก็ถือว่าเก่งมากแล้ว บางคนเปลี่ยนทุก 6 เดือนด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่หาซื้อโทรศัพท์แบบปุ่มกดได้ยากเต็มที กับเรื่องรถยนต์ผมก็คิดว่าไม่ต่างกันมาก อยู่ที่ว่าจะเมื่อไรเท่านั้นเอง
คุณพี่เปรียบเทียบรถ ICE กับ EV แบบโทรศัพท์ปุ่มกดกับสมาร์ตโฟน มันก็ไม่ถูกซะทีเดียวกรอกครับ
กรณีสมาร์ตโฟน มันไม่ได้มาแทนมือถือแบบปุ่มกด แต่มันมาแทน โทรศัพท์+PC+Compact Digi Came +
เกมพกพา ในตัวเดียว
ถ้าจะมองแบบนั้น EV ต้องเป็นทั้งรถ + PC + Robot + Autonomous Driver + Delivery boy + etc.
ถึงจะแทน ICE แบบโทรศัพท์ปุ่มกดอ่ะครับ
ใช่แล้วครับ ผมมองแบบนั้นแหละครับ ผมถึงยกตัวอย่าง Smartphone ขึ้นมา เพราะถ้าการพัฒนาโทรศัพท์มันแค่เปลี่ยนจากปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัส โดยที่ตัวเครื่องยังทำได้แค่รับเข้า-โทรออก โทรศัพท์จอสัมผัสคงจะมาแทนที่โทรศัพท์แบบปุ่มกดไม่ได้หรอกครับ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนจากปุ่มกดมาเป็นจอสัมผัสงัยครับมันต่อยอดได้อีกเยอะเลย เมื่อก่อนก็คงมีแค่น้อยคนที่คิดว่าโทรศัพท์มือถือจะเอามาใช้แทนกล้องถ่ายรูปและถ่ายวีดีโอ แต่ตอนนี้ มันก็ทำได้แล้วนะครับ แม้กระทั่ง Social Media อย่างเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ไลน์ ตอนนั้นก็ไม่มีใครนึกออกหรอกว่าจะเอาโทรศัพท์มาใช้ยังงัย
ในทำนองเดียวกันผมก็เชื่อว่ารถไฟฟ้าจะไม่ใช่แค่มาแทนที่รถยนต์ แค่ในเรื่องของเครื่องยนต์หรือระบบขับเคลื่อน แต่น่าจะสามารถเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ เข้าไปได้มากกว่านั้น เพราะข้อจำกัดของรถเครื่องยนต์ก็มีไม่น้อย เช่น ต้องมีห้องเครื่องยนต์ ต้องมีเกียร์ ต้องมีล้อเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ต้องมีระบบช่วงล่างเพราะล้อต้องสัมผัสพื้น แต่ถ้ายังคงพัฒนารถไฟฟ้าต่อๆ ไป ยานพาหนะในอนาคตอาจจะไม่จำเป็นต้องยาว 4-5 เมตรเพื่อให้นั่งได้ 5-7 คนแบบปัจจุบันก็ได้ หรือหากมี AI พัฒนาพอที่จะสร้างยานพาหนะไร้คนขับได้ สามารถสื่อสารกับปลายทางสื่อสารกับยานพาหนะคันอื่นๆ ได้ และถ้าหากรถไฟฟ้าสามารถพัฒนาถึงขั้นล้อไม่ต้องสัมผัสพื้นได้ นักพัฒนาก็น่าจะสามารถสร้าง Solution อื่นๆ นอกเหนือจากข้อจำกัดของรถยนต์ในปัจจุบันได้ ถ้าถึงตอนนั้นรถยนต์ที่ต้องใช้ล้อยางวิ่งสัมผัสพื้นจะยังเป็นที่นิยมเหรอครับ
เมื่อข้อจำกัดหลายๆ อย่างหายไป นักพัฒนาอาจจะเพิ่มฟีเจอร์อีกหลายๆ อย่างเข้าไปได้ ซึ่งอาจจะยังไม่ใช่ความต้องการของคนยุคนี้ หรือคนในยุคนี้ก็ยังนึกความต้องการในอนาคตไม่ออก แต่เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมาจนรถไฟฟ้าทำอะไรได้มากขึ้น ความต้องการของคนในอนาคตจะบอกเองว่ารถไฟฟ้าจะพัฒนาไปในทางใด
การนำระบบไฟฟ้าเข้ามาแทนเครื่องยนต์น้ำมัน ผมมองว่ามันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง
ทั้งหมดทั้งปวงคือความเห็นส่วนตัว ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ถ้าเราถอยห่างออกมาไม่ได้มองแค่ว่ารถคือรถ แต่มองว่ารถคือ Solution ในการเคลื่อนที่คนและสิ่งของจากที่แห่งหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นรถมีล้อยางวิ่งบนถนนแบบปัจจุบัน มันยังมีช่องทางในการพัฒนา Solution ในการเคลื่อนที่คนและสิ่งของได้อีกมากเลยนะครับ
-
ผมว่า ราคาอาจจะยังสุงอยู่
แต่สำหรับผม ที่ขับวันละ 100km ขับจากย่านละหาร > เข้าเมืองย่านพระราม9 ไป-กลับ
น่าเป็นกลุ่มเป้าหมายของ EV ชัดเจน แน่นอนครับ
คันต่อไป ถ้าการเงินเอื้อเฟื้อ ก็คงจะ ใช้บริการ EV ราคาย่อมเยาว์ไว้ใช้เดินทางทำงานสักคัน คงเลิกซื้อรถน้ำมันแล้ว แต่ก็คงเหมาะกับคนที่มีคันที่ใช้น้ำแล้วด้วย แบบ ซื้อเพิ่มงี้มากกว่า