Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Superpong ที่ ธันวาคม 09, 2022, 08:39:10
-
ขอเทสล่าอีกซักโพสนะครับ
เท่าที่ติดตามราคา Tesla, BMW, และ C class ในตลาดสหรัฐและยุโรป สามรุ่นนี้ราคาในพิกัดเดียวกัน แต่ทำไมในบ้านเรากลายเป็นว่าราคา Series 3 และ C class โดดหนี Model 3 ไปพอสมควรและอ็อปชั้นต่างๆก็สู้เวอร์ชั่นยุโรปหรือสหรัฐไม่ได้ ทั้งๆที่ประกอบใน หรือเพราะภาษี หรือปัจจัยอื่น?
-
อันนี้ ผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ
รอผู้ใช้ Benz , BMW เค้ามาให้ความเห็นดีกว่า ผมไม่เคยใช้ 2 ยี่ห้อนี้
-
ค่าแบรนด์ ค่าดีลเลอร์ ค่าโฆษณา ค่าการตลาด ที่สำคัญกำไรกับเอามาจัดโปร
-
tesla ไม่เสียภาษีนำเข้าครับ เพราะมี FTA กับจีน และเทศล่าก็มีนโยบายราคาเดียวทั่วโลก คือไม่ตั้งมาร์จิ้นต่างกันมากๆในแต่ละตลาด
บีเอ็มและเบ็น ต้องจ่ายภาษีนำเข้าชิ้นส่วนครับและมีการตั้งมาร์จิ้นตามเขาคิดว่าเหมาะสมในไทยคือเป็นสินค้าหรูครับ
-
น้ำส้มคั้นแท้ข้างถนน 50
อยู่ในร้านอาหาร 80
ในภัตตาคาร 120
โรงแรม 4 ดาว 180
โรงแรม 5 ดาว 250
เบ๊นซ์ทำการตลาดในไทยจนภาพลักษณ์คือโรงแรม 5 ดาว
ก็ไม่แปลกที่จะตั้งราคาขนาดนั้น
Lexus ยังทำได้เลยครับ
-
กฎข้อแรกของการทำรถหรูคือราคาต้องหรู ถ้าคุณทำรถหรูแต่ราคาต่ำมากจนใครๆก็ซื้อได้อันนี้มันไม่หรูแล้ว
-
ต้นทุนทำได้ต่ำกว่าครับ
1. นำเข้าทั้งคันจากจีน FTA ไม่โดนภาษี ในขณะที่ MB/BM CBU ก็โดนภาษี ทั้ง CKD/CBD
2. Scale การผลิตต่างกัน GigaFactory ที่จีน ผลิตรถได้ ปีละล้านคันTeslaมีรถ 4 รุ่น กับMotor 5ขนาด
ในขณะที่โรงงานของToyotaทั้งหมดในไทย ผลิตได้ปีละเกือบๆล้านคัน แต่มีรถ 7 รุ่นกับเครื่องยนต์อีก 9 ชนิด
ต้นทุน อะไหล่ในการผลิตไม่น่าจะทำราคาได้ต่ำเท่ากับ tesla
3. tesla ขายรถเองไม่ผ่าน ดีลเลอร์ อาจไม่ต้องมี Margin ให้ศูนย์ / เซลล์
4. เปิดตัวแบรนใหม่ ในไทย ไม่ได้มี position ของแต่ละรุ่นที่ต้องทำ ยังคิดว่าว่าถ้า Model S / X เข้ามาจะทำราคาเท่าไร่
-
ผมว่าราคารุ่นเริ่มต้นก็น่าสนใจจริงๆครับ (ถ้ามีเงิน)
จริงๆ ระดับความ premium ไม่น่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน
แต่ตอนเรา(บางกลุ่ม)อาจมอง Tesla เทียบชั้นแบรนด์หรูไปแล้ว ผมว่านานาจิตตังครับ คุณค่าต่างกัน
อย่างนาฬิกา Rolex กับ Seiko กับ Apple Watch เราเลือกอะไร คนนอกรู้สึกอย่างไรกับคนสวม Apple Watch
ผมว่าตอนนี้ก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกันกับคนขับ Tesla
-
ต้นทุนทำได้ต่ำกว่าครับ
1. นำเข้าทั้งคันจากจีน FTA ไม่โดนภาษี ในขณะที่ MB/BM CBU ก็โดนภาษี ทั้ง CKD/CBD
2. Scale การผลิตต่างกัน GigaFactory ที่จีน ผลิตรถได้ ปีละล้านคันTeslaมีรถ 4 รุ่น กับMotor 5ขนาด
ในขณะที่โรงงานของToyotaทั้งหมดในไทย ผลิตได้ปีละเกือบๆล้านคัน แต่มีรถ 7 รุ่นกับเครื่องยนต์อีก 9 ชนิด
ต้นทุน อะไหล่ในการผลิตไม่น่าจะทำราคาได้ต่ำเท่ากับ tesla
3. tesla ขายรถเองไม่ผ่าน ดีลเลอร์ อาจไม่ต้องมี Margin ให้ศูนย์ / เซลล์
4. เปิดตัวแบรนใหม่ ในไทย ไม่ได้มี position ของแต่ละรุ่นที่ต้องทำ ยังคิดว่าว่าถ้า Model S / X เข้ามาจะทำราคาเท่าไร่
เห็นด้วยมากๆครับ
ภาษีไม่เสีย
ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงงาน
ศูนย์บริการก็ไม่ต้องเยอะ เพราะว่ารถไม่ต้อง Service อะไรมาก
Tesla พยายามทำทุกอย่างให้เข้าถึงง่ายและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก
นับจากนี้ไป บริษัทรถที่มีโรงงานประกอบในไทย รวมไปถึง Supplier Chain ทั้งหลาย เตรียมตัวรับแรงกระแทกได้เลยครับ
ต่อไปรถจีน (Made in China) จะวิ่งกันเต็มบานเต็มเมือง ไทยจะขาดดุลการค้าเพิ่มอีก หลักหมื่นล้านบาทต่อปี
แค่นั้นยังไม่พอ ภาษีที่รัฐบาลจะเก็บได้จากยี่ห้อที่มีโรงงานที่ประกอบรถในไทยก็จะน้อยลงไปอย่างมีนัยยะ
ข้อดี คนไทยได้ใช้รถถูกลง
ข้อเสีย เศรษฐกิจเสียหายมหาศาล
-
ผมว่า xc40 recharge น่าคิดกว่า นะครับ ในตลาดโลก ถูกกว่า model Y หลายแสน
ได้ fta กับ จีน แต่ตั้งราคา แพงเกิน
-
ขอบคุณท่าน อีลอน มา set standard ใหม่ให้คนไทย ได้ใช้รถดีๆราคาถูก
;D ;D
-
ขอเทสล่าอีกซักโพสนะครับ
เท่าที่ติดตามราคา Tesla, BMW, และ C class ในตลาดสหรัฐและยุโรป สามรุ่นนี้ราคาในพิกัดเดียวกัน แต่ทำไมในบ้านเรากลายเป็นว่าราคา Series 3 และ C class โดดหนี Model 3 ไปพอสมควรและอ็อปชั้นต่างๆก็สู้เวอร์ชั่นยุโรปหรือสหรัฐไม่ได้ ทั้งๆที่ประกอบใน หรือเพราะภาษี หรือปัจจัยอื่น?
ราคาตอนนำเข้า ก็พอๆ กันครับ
แต่พอนำเข้าแบบ 0% (เรียกว่า เทียบกับราคาผลิตในไทย ละกัน) มันก็ต่างกันมาก
ทั้งที่ BMW กะ Benz ก็ผลิตไทย แต่ราคาไม่ได้ต่างจากตอนนำเข้าเลย
เข้าใจง่ายๆ เลยครับ ไม่ต้องอธิบายเยอะ
-
ฟันกำไรเยอะครับ อัพราคาทำให้ภาพดูแพง
ดู Audi นำเข้าทั้งคัน ยังทำราคาถูกกว่าได้
-
ผมว่า xc40 recharge น่าคิดกว่า นะครับ ในตลาดโลก ถูกกว่า model Y หลายแสน
ได้ fta กับ จีน แต่ตั้งราคา แพงเกิน
ตอนไม่มีเทสล่าก็ต้องตั้งราคาแบบนั้นแหละครับ..ไหนจะคนละสเกลการผลิตอีก ไม่เทียบกับรถไฟฟ้าของบีเอ็มล่ะครับ
ถ้าเทียบรถน้ำมันลอง xc40 เทียบกับ x1 ดูครับ เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน/ช่วยขับ ความปลอดภัย อำนวยความสะดวก
น่าสนใจกว่าก็คือหลังจากนี้แหละ มาดูกันว่าจะปรับตัวกันยังงัย...
-
ซื้อ Tesla ตอนนี้ราคาถูกกว่าเบนซ์หรือบีเอ็มก็จริง แต่ซื้อ Tesla มาแล้ว ใช้ไป 9 ปี ต้องเสียเงินค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ 900,000 บาท ถ้าจะขายต่อตอนนั้นก็ไม่มีคนซื้อ จะทิ้งก็เสียดาย ถ้าใช้เบนซ์หรือบีเอ็มเครื่องดีเซล ใช้ไป 9 ปีก็ยังไม่เสีย ใช้ต่อไปได้ หรือถ้าจะขายต่อก็ยังมีราคา
-
ผมว่า xc40 recharge น่าคิดกว่า นะครับ ในตลาดโลก ถูกกว่า model Y หลายแสน
ได้ fta กับ จีน แต่ตั้งราคา แพงเกิน
ตอนไม่มีเทสล่าก็ต้องตั้งราคาแบบนั้นแหละครับ..ไหนจะคนละสเกลการผลิตอีก ไม่เทียบกับรถไฟฟ้าของบีเอ็มล่ะครับ
ถ้าเทียบรถน้ำมันลอง xc40 เทียบกับ x1 ดูครับ เครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน/ช่วยขับ ความปลอดภัย อำนวยความสะดวก
น่าสนใจกว่าก็คือหลังจากนี้แหละ มาดูกันว่าจะปรับตัวกันยังงัย...
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด XC40 recharge และ IX3 ก็นำเข้าจากจีนทั้งคู่ แต่ราคาก็ยังไม่ได้ถูกลงมาเลย
ผมว่า Tesla ทำให้เห็นราคาที่แท้จริงมากกว่า ซึ่งจุดที่มันควรจะเป็น ควรเป็นตรงนี้แหละ
-
ซื้อ Tesla ตอนนี้ราคาถูกกว่าเบนซ์หรือบีเอ็มก็จริง แต่ซื้อ Tesla มาแล้ว ใช้ไป 9 ปี ต้องเสียเงินค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ 900,000 บาท ถ้าจะขายต่อตอนนั้นก็ไม่มีคนซื้อ จะทิ้งก็เสียดาย ถ้าใช้เบนซ์หรือบีเอ็มเครื่องดีเซล ใช้ไป 9 ปีก็ยังไม่เสีย ใช้ต่อไปได้ หรือถ้าจะขายต่อก็ยังมีราคา
ว่าจะตั้งกระทู้ถามเหมือนกัน
แต่นั่งคิดๆ หากผมมีความจำเป็นที่จะขายรถช่วง 6-7 ปีแล้วเอาไปดาวน์คันใหม่
ยังไงผมก็ต้องเลือก gla อย่างหลีกหนีไม่ได้ จากเหตุผลนี้
ถอยมา 2 ล้านทั้งคู่ อีก 7-8 ปีข้างหน้า จะมีรถคันนึงที่อาจจะไม่มีราคาเลย
ส่วนอีกคัน ยังเหลือพอควร
เว้นแต่ตอนนั้น น้ำมันจะทะลุลิตรละ 60-70บาท
-
ซื้อ Tesla ตอนนี้ราคาถูกกว่าเบนซ์หรือบีเอ็มก็จริง แต่ซื้อ Tesla มาแล้ว ใช้ไป 9 ปี ต้องเสียเงินค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ 900,000 บาท ถ้าจะขายต่อตอนนั้นก็ไม่มีคนซื้อ จะทิ้งก็เสียดาย ถ้าใช้เบนซ์หรือบีเอ็มเครื่องดีเซล ใช้ไป 9 ปีก็ยังไม่เสีย ใช้ต่อไปได้ หรือถ้าจะขายต่อก็ยังมีราคา
ถ้ายังไม่ได้เคลมแบต รถอายุ 9-10 ปี ผมว่าเหลือราคาอยู่ 2-3 แสน
-
รถเมืองไทยบวกกันหลายทอดมากกว่าจะถึง end user เลยต้องบวกเยอะๆ หน่อย ยกตัวอย่าง mbth
MB > MBTH > ธนบุรีประกอบยนต์ > dealer ต่างๆ ที่ลงทุนกัน 500-600 ล้าน > เซล์ ค่าการตลาด จัดทริป, จัดคอนเสิต, test drive ที่สนามแข่ง, จ้าง presenter, ลงโฆษณาตามช่องทางต่างๆ
คิด margin ที่โดนแต่ละทอดรวมๆ กันแล้วคิดว่าเกิน 30% ถ้าขายแบบ tesla ผมว่า c class คันละ 3 ล้าน เหลือ 2 ต้นๆ ได้
อีกประเด็นที่ต้องคำนึงคือปริมาณรถที่ขายไป 1 รุ่นของเรา ขายทั้งปียังไม่เท่าอเมริกาขาย 1 เดือนเลย ดังนั้นถ้าการลงทุนพอๆ กัน ประเทศไทยที่ขายได้น้อยกว่า ก็ต้อง +% มากกว่า เพื่อให้ cover ต้นทุนที่ลงทุนไป คิดเล่นๆ ถ้าขายรถ margin 5% จากรถราคา 3 ลบ. เท่ากับต้องขายรถให้ได้ขั้นต่ำ 66,667 คัน เพื่อให้ cover เงินลงทุน 1 หมื่นล้าน (ปีที่ผ่านๆ มา benz bm ขายได้ยี่ห้อละ 1x,xxx คัน)
สุดท้ายถึงแม้ว่าผมจะพยายามเข้าใจผู้ประกอบการ แต่ในฐานะผู้บริโภค ก็ต้องบอกว่าการมาของ Tesla นั้น อาจช่วยให้ยี่ห้ออื่นๆ คิดหน้าคิดหลังก่อนตั้งราคา ต้องยอมลด margin ลง แต่ถ้าการมาของ Tesla ไม่ส่งผลต่อยอดขายของแบรนหรูละก่อน ราคาขายก็จะยังเป็นแบบนี้ต่อไป
-
ไม่ได้สนใจและไม่คิดจะซื้อรถไฟฟ้านะครับ อย่างน้อย 5-7 ปีนี้
แต่สงสัยว่าที่พูดๆ ว่าอีก 6-7 ปี 9 ปี รถไฟฟ้าไม่มีราคา บลาๆ นี่ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหมครับ
ไม่ได้คิดว่าต่อไปแบตจะถูก อะหลั่ยจะถูก หรืออื่นๆ
ดูอย่างไฮบริดตอนนี้ ราคาก็ไม่เละนะ บางรุ่นราคาแข็งหรือรถหายยากขึ้นด้วย
สงสัยๆ 555
-
Benz เพิ่งประกาศจะขึ้นราคา ปีหน้า
เจอ tesla ทำราคาแบบนี้ จะถูกเต่ะตัดขาบ้างมั้ยนะ
-
คงฟันกำไรแหละครับ แต่ผมจะบอกว่าใครบอกภายในเบนซ์ บีเอมพรีเมี่ยมนี่ ผมใช้เอง 3-4 ปีแล้วรู้สึกว่ามันแย่กว่าญี่ปุ่นอีก อากาศบ้านเราร้อน ภายในรถพวกนี้ละลายเละหมด สภาพนี่ดูไม่ได้เลย ที่จะดีกว่าผมจะมีแค่การประกอบกับการเก็บเสียงแค่นั้นครับ
ส่วนเรื่องใช้ไปแล้ว 9 ปี ผมลองคำนวนจากเบนซ์บีเอมที่บ้าน ที่ใช้มา 10 ปีแล้ว รวมค่าซ่อม ค่าน้ำมันหลังหมดประกันแล้ว ต่อให้ราคาขายต่อได้แพงกว่ารถ EV แต่พอบวกค่าซ่อมค่าน้ำมันแล้วออกมามันเท่าๆกับ EV มูลค่าที่เหลือเลยครับ มันแทบไม่ต่างกันเลย แต่เราดูแค่ราคาขายมือสองมันก็เหมือนรถน้ำมันคุ้มกว่า จริงๆมันพอๆกันครับ ไม่มีหรอกครับมูลค่าเหลือศูนย์ แล้วแบตเทสล่ามันไม่ได้ใช้ได้แค่ 9 ปี สามแสนโล ตปททะลุไปแล้ว 4-5 แสนโล
ต้องยกความดีความขอบให้เทสล่าเลยครับ ตั้งราคามาแบบนี้ บ้านผมก็เปลี่ยนใจจากยุโรปมา 3 LR เรียบร้อย
-
เอาตรงๆ อยากเห็น MB BMทีาประกาศขึ้นราคาไปจะเป็นยังไงต่อ แต่เชื่อว่า เค้าไม่สะเทือนใดๆ เพราะลูกค้าเค้ามีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนครับ
รอดูกันไปครับ
-
ตลาดรถทุกวันนี้ฟันกำไรมากไปหรือเปล่า
ไม่ใช่แค่รถยุโรปนะ พวก PPV คันนึงเกือบสองล้าน แคมรี่ล้านปลายๆ
วันนี้ Tesla มา เหมือน Set standard ใหม่เลยว่าขายเท่านี้ก็พออยู่ได้
ส่วนมากขายแพง เพราะเอา margin ไปจุนเจิองบการตลาด ค่าแรง เงินเดือนผู้บริหารทั้งนั้น
ตกถึงพนักงานที่เป็นฐานไม่เท่าไหร่ ไม่ก็โดนห่วงโซ่อุปทานรับทานไปหมด
กิน margin กันหลายทอดตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มันเลยดันราคาให้สูงลิบเกินจริง
-
ผมก็เปลี่ยนจาก bm 3 lci เป็น tesla 3 เรียบร้อยครับ เพราะที่บ้านก็มี benz bm อย่างละคัน ถ้าจะขึ้นราคาก็ขึ้นไปครับ เห็นชอบขึ้นจังเลยราคา แถมไม่ค่อยปรับปรุงอะไรให้สมกับความพรีเมี่ยม มีแต่ราคาอย่างเดียวที่พรีเมี่ยมมั้ง
-
โครงสร้างต้นทุนที่ต่างกัน ราคาก็ออกมาต่างกันนะครับ
อีกอย่าง Tesla ยังไม่ได้ทำตลาดในไทยอะไรมากมายเลยนะครับ ต้นทุนก็ยังไม่มีมาก รายจ่ายก็ยังไม่เยอะ หลังจากนี้ต่อไปอาจจะขอปรับราคาขึ้นก็ได้ครับ :P :P :P :P
-
ขายแพงได้จะขายถูกทำไมครับ แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่แน่แล้ว
-
ไม่ได้สนใจและไม่คิดจะซื้อรถไฟฟ้านะครับ อย่างน้อย 5-7 ปีนี้
แต่สงสัยว่าที่พูดๆ ว่าอีก 6-7 ปี 9 ปี รถไฟฟ้าไม่มีราคา บลาๆ นี่ มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหมครับ
ไม่ได้คิดว่าต่อไปแบตจะถูก อะหลั่ยจะถูก หรืออื่นๆ
ดูอย่างไฮบริดตอนนี้ ราคาก็ไม่เละนะ บางรุ่นราคาแข็งหรือรถหายยากขึ้นด้วย
สงสัยๆ 555
ไม่รู้ว่าตอนนั้นแบตจะพัฒนาไปถึงไหนแล้ว หรือใช้กับรุ่นเก่าไม่ได้ หรือ รถไฮโดรเจน เกิดทีหลังนิยมกว่า หรือ ขาดแคลนวัตถุทำแบต มันก็สุดจะเดานะครับ การที่ราคาตก ก็คือเรื่องแบตแหละครับ หัวใจหลักรถไฟฟ้าเลย เทสล่า เปิดตัวมาหลายปีแล้ว แบตทนจริงแต่ถ้าต้องเปลี่ยน ก็ราคาสูงพอสมควร ส่วนรถไฮบริดผมมองว่ามันคือรถน้ำมันที่มีแบตมาช่วยนะครับ อย่างวอลโว่ ก่อนล็อคความเร็วคนต้องการมาก ราคาไม่ตกมาก
-
อย่าลืมว่ารถที่ได้ FTA 0% มันคือ 0% ทั้งคันทุกชิ้นส่วน
รถประกอบในประเทศจากชิ้นส่วนนำเข้า FTA แยกเป็นของแต่ละชิ้นส่วน บางชิ้นส่วน 0% บางชิ้นไม่ได้ก็หลายสิบ % บางชิ้นอาจโดนภาษีนำเข้าสูงถึง 80%
พวกรถที่ส่งออกไปขายต่างประเทศทำราคาได้ดีกว่ารถในประเทศกรณีไม่ทีภาษีก็เป็นเรื่องปกติครับ
เช่นรถญี่ปุ่น รถเมกันที่ผลิตส่งออก พวกนี้ชิ้นส่วนนำเข้าหลายอย่างก็ขอคืนภาษีที่เสียตอนนำเข้ามาได้ ตามแต่ข้อกำหนดของชนิดชิ้นส่วนนั้นๆ
ถ้าเทียบกันคันต่อคัน ในความเห็นผม ถึงรถยุโรบที่ประกอบในไทยยอมลดกำไร ยังไงก็ทำราคาสู้รถที่ได้ FTA 0% ทั้งคันไม่ได้ครับ
(เหตุผลดังกล่าวไม่รวมถึงแบรนด์ยุโรปที่นำเข้าบางรุ่นจากจีนจากมาเลย์แล้วยังขายแพงๆนะครับ อันนั้นกำไรต่อคันคงเยอะมากจริงๆ)
-
อย่าลืมว่ารถที่ได้ FTA 0% มันคือ 0% ทั้งคันทุกชิ้นส่วน
รถประกอบในประเทศจากชิ้นส่วนนำเข้า FTA แยกเป็นของแต่ละชิ้นส่วน บางชิ้นส่วน 0% บางชิ้นไม่ได้ก็หลายสิบ % บางชิ้นอาจโดนภาษีนำเข้าสูงถึง 80%
พวกรถที่ส่งออกไปขายต่างประเทศทำราคาได้ดีกว่ารถในประเทศกรณีไม่ทีภาษีก็เป็นเรื่องปกติครับ
เช่นรถญี่ปุ่น รถเมกันที่ผลิตส่งออก พวกนี้ชิ้นส่วนนำเข้าหลายอย่างก็ขอคืนภาษีที่เสียตอนนำเข้ามาได้ ตามแต่ข้อกำหนดของชนิดชิ้นส่วนนั้นๆ
ถ้าเทียบกันคันต่อคัน ในความเห็นผม ถึงรถยุโรบที่ประกอบในไทยยอมลดกำไร ยังไงก็ทำราคาสู้รถที่ได้ FTA 0% ทั้งคันไม่ได้ครับ
(เหตุผลดังกล่าวไม่รวมถึงแบรนด์ยุโรปที่นำเข้าบางรุ่นจากจีนจากมาเลย์แล้วยังขายแพงๆนะครับ อันนั้นกำไรต่อคันคงเยอะมากจริงๆ)
นั่นละครับบางคนยังไม่เข้าใจ นึกว่ารถประกอบในไม่โดนภาษี ลืมไปว่าโดนภาษีอะไหล่
-
ทำราคารถยุโรปมือ2ตกหนัก
-
ถ้าคิดว่าเทสล่าจะเป็นพลานุภาพพลิกโลก ทำให้แบรนด์ที่หลายคนว่ากำไรเกินควรจะเจ็บจุกๆ ถ้าทำได้จริงๆผู้บริโภคก็ได้ประโยชน์
ไม่แน่ใจว่าในประเทศแม่เอง เทสล่าเอฟเฟ็กมีผลแค่ไหน
-
ทำราคารถยุโรปมือ2ตกหนัก
ถ้าพวก Hybrid/PHEV ยังไงก็ร่วงแหละครับ มันมีแบตที่อนาคตต้องเปลี่ยนอยู่ยังไงก็หลายแสน
แต่ถ้าเครื่องสันดาบล้วนผมว่ายังไงราคาก็ยังได้อยู่
ยังมองว่ารถไฟฟ้าล้วนเหมาะกับคนที่มีที่จอดที่ชาร์จได้ชัวๆ คอนโดที่ไม่ได้fixที่จอดที่จะตั้งจุดชาร์จเอง อาจไม่ตอบโจทย์
ยังไงคงมาแย่งยอดขายจาก D-seg C-SUV / Premium Compact ต้องดูระยะยาวครับ
คิดว่าหลายๆคนไปดูคันจริงลูบๆคลำๆอาจไม่ชอบครับ
สุดท้ายยังคิดว่ามันเหมาะกับการเป็นรถคันที่สองมากกว่า รถคันเดียวในบ้าน
-
เพราะผมว่ามันคือ benz ครับ มันเหมือนเครื่องประดับไปแล้ว
เอาไว้เสริมบารมี เอามาจอดในบ้านก็ดูดี ก็ตั้งราคาตามกำลังคนซื้อแหละ
ส่วนรถไฟฟ้า ผมอยู่ ตจว นะครับ บอกเลยว่าห่างไกลกับการมองหามาใช้มากๆ
แค่วิ่งจากออฟฟิตไปกินข้าวในเมืองไปกลับแป๊บๆก็ 50-60 km แล้ว
ไปกลับบ้านอีก
แล้วที่สำคัญ สอดส่องดูสถานีชาร์จตามปั้มแล้ว ผมว่าคนบ้านเราวินัยยังห่างไกลกับการบริโภคบริการสาธารณะมาก
มีทั้งกระบะทั้งฟอจูนเนอร์จอดคาในช่องชาร์จบ่อยครั้งมาก คิวก็ไม่มี ต้องแย่งกันเอง
-
จะบอกว่า รถยุโรปที่มาประกอบในไทย ไทยได้แค่ประกอบจริงนะครับชิ้นส่วนที่บอกว่า สามหมื่นกว่าชิ้นเนี้ยมีไม่กี่ชิ้นเองที่เอาจากวัสดุและโรงงานในไทยทำให้ เช่นกระจกรอบคันมาจากเยอรมันนะครับ บานหนึ่งห้าหมื่นกว่าบาท ถ้าไทยทำเหลือหลักพันทั้งทีโรงงานผลิตกระจกในไทยก็เยอะที่ได้มาตราฐานสากล รถยุโรปไม่เหมือนรถญี่ปุ้นที่พยายามใช้ชิ้นส่วนในไทยเพราะว่า โรงงานชิ้นส่วนพวกนี้ญี่ปุ่นมีหุ้น รถยุโรปถึงแพงแบบไร้เหตุผล เอาไปทุกวัน ออฟชั่นแทบจะโล้นเลยก็ว่าได้ จนมียุคหนึ่งที่ตลาดเกรย์เติมโตด้วยเพราะ ออฟชั่นแถมราคาก็ดีด้วย
-
Mind setคนขายต่างกันครับ
ค่ายยุโรป เค้าเองต้องการกำไรสูงสุด
แต่elon เค้าต้องการdisruptionการใช้รถ คือทำให้มันดึงดูดที่สุด ทั้งราคา สมรรถนะ เทคโนโลยี
แล้วคนจะเข้ามาใช้กันเอง
-
อย่าลืมว่ารถที่ได้ FTA 0% มันคือ 0% ทั้งคันทุกชิ้นส่วน
รถประกอบในประเทศจากชิ้นส่วนนำเข้า FTA แยกเป็นของแต่ละชิ้นส่วน บางชิ้นส่วน 0% บางชิ้นไม่ได้ก็หลายสิบ % บางชิ้นอาจโดนภาษีนำเข้าสูงถึง 80%
พวกรถที่ส่งออกไปขายต่างประเทศทำราคาได้ดีกว่ารถในประเทศกรณีไม่ทีภาษีก็เป็นเรื่องปกติครับ
เช่นรถญี่ปุ่น รถเมกันที่ผลิตส่งออก พวกนี้ชิ้นส่วนนำเข้าหลายอย่างก็ขอคืนภาษีที่เสียตอนนำเข้ามาได้ ตามแต่ข้อกำหนดของชนิดชิ้นส่วนนั้นๆ
ถ้าเทียบกันคันต่อคัน ในความเห็นผม ถึงรถยุโรบที่ประกอบในไทยยอมลดกำไร ยังไงก็ทำราคาสู้รถที่ได้ FTA 0% ทั้งคันไม่ได้ครับ
(เหตุผลดังกล่าวไม่รวมถึงแบรนด์ยุโรปที่นำเข้าบางรุ่นจากจีนจากมาเลย์แล้วยังขายแพงๆนะครับ อันนั้นกำไรต่อคันคงเยอะมากจริงๆ)
นั่นละครับบางคนยังไม่เข้าใจ นึกว่ารถประกอบในไม่โดนภาษี ลืมไปว่าโดนภาษีอะไหล่
อย่างผมไม่ได้ลืมนะครับ แต่แค่คิดว่าในฐานะผู้ซื้อเงินเราจ่ายเองก็เลือกได้ว่าจะซื้อแพงไปทำไมในเมื่อส่วนต่างนั้นคือภาษีไม่ใช่โปรดักซ์ ในขณะที่มีทางเลือกที่มีการนำเข้ามาอย่างถูกต้องตามกฏหมายเช่นกัน เงินที่เราจ่ายไปเป็นค่าให้กับโปรดักซ์ และ เทคโนโลยีจริงๆ
-
เห็นบอก mb bm ราคานำเข้าแล้ว กรณี ประกอบไทย ทำไม ราคา แพงกว่า
-
มันมีค่า Appearance value และค่าการตลาดที่ต้องรักษา Brand image ไว้ถึงแม้ต้นทุนจะลดแค่ไหนก็ไม่สามารถลดไปแข่งกับตลาดได้ เพราะเขาเจาะกลุ่ม niche market ดีไม่ดีสวยไม่สวยมันก็ขายได้ด้วยตัวมันเองมั้งครับ ราคาเมืองนอก d seg ญี่ปุ่นท๊อปๆ v6 แพงกว่ากว่าด้วยซ้ำแต่ในเมืองไทยกลับถูกกว่า
-
เทียบคนละพิกัดได้มั้ยครับ
เช่น ix3
-
ส่วนตัวผมว่ากระทบครับ
ผมกำลังตัดสินใจซื้อ D-SEGMENT/C-SUV/PREMIUM COMPACT
ยังหยุดแผน แล้วจะไปจอง TESLA เลยครับ สาเหตุคือ ราคา เทียบกับสิ่งที่ได้
คนไทยเคยชินกับรถราคาแพง เนื่องจาก การตั้งราคาของค่ายรถที่มองว่า expensive = good
การมาของ Tesla พอมาดูเชิง Business Model แล้ว เรียกว่า ฉีกตำราของคนทำ บริษัทรถเลยครับ
- การตั้งราคา = ใช้นโยบาย One Price สำหรับการตั้งราคารถทั่วโลก ความจริง Model 3 มาตั้งเทียบกับ Series 3 หรือ C-Class ก็คงทำได้
- การผลิต = ใช้ Giga Factory ที่จีนไปเลยไม่ต้องลงทุนที่เมืองไทย FTA 0% สรรพสามิตร 6%
- การขายสินค้า = เป็นแบบ D2C คือสั่งออนไลน์และส่งมอบรถเลย ไม่ต้องมีการลงทุน ดีลเลอร์
- การส่งมอบรถ = ถ้าเอาแบบที่ US คือ ขับรถไปส่งหน้าบ้านเลย ไม่ต้องมารับที่โชว์รูม
- การบริการ = ถ้าเอาแบบที่ US คือเป็น Mobile Service แบบไปซ่อมรถที่บ้านลูกค้า ยกเว้นจะมีปัญหา Engine Battery
ด้วยประการทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่าเงินไม่เข้า chain ในไทยเลย ถ้าคนไทยซื้อเยอะๆกระทบกับการผลิตของค่ายรถในไทยแน่ๆ
เมื่อถึงเวลานั้น ก็ต้องมาดู การปรับตัวของ ค่ายจีน ค่ายญี่ปุ่น และ ค่ายยุโรปในไทย เพื่อรับมือสถาณการณ์นี้
-
ต้องบอกว่าโครงสร้างราคาของไทย มันไม่เหมือนกับต่างประเทศครับ ทำให้หลายๆแบรนด์ฟันราคากันโหด
ทำไมไทยถึงใช้รถราคาแพงกว่าประเทศอื่นขนาดนี้ ก็ต้องย้อนกลับไปดูนโยบายของภาครัฐ และ Brand Position ที่แบกไว้ครับ
การมาของ Tesla และการทำราคาแบบ One Price ส่งผลกระทบต่อตลาดเกรย์ที่นำ Tesla เข้ามาขายตรงๆ ตอนนี้ใครเหลือค้างในสต๊อก คงต้องรีบเทระบายของออกมาให้มากที่สุด เพราะยังไม่มีความแน่นอนใดๆเลยด้วยว่ารถเกรย์จะได้อัพ SW ให้ใช้ เนวิ ในไทยได้ หรือจะเข้า Service อะไรได้บ้าง
แต่สำหรับแบรนด์ยุโรป ผมมองว่า ถ้าตัวบนๆ ไม่ค่อยกระทบครับ เพราะในไทย Brand Position มันแบ่งชัดเจนมาก แต่ถ้าตัว Entry Level ของแบรนด์ยุโรป กระทบเต็มๆครับ เพราะคนที่เล่นกลุ่มนี้ คือชนชั้นกลาง ที่กำลังทรัพย์ไม่ได้สุงมาก แต่อยากได้รถยุโรปมาครอบครอง
คิดดูละกันครับ ราคา 1.8 - 2.5 mb ใน Tesla ทั้ง 3 และ Y คาบเกี่ยวกับพวก Series2 X1 GLA Aseries XC40 S60 V60
เช่นครอบครัวผม ก็กะเล็ง S60 ตัว 2.19 MB ไว้ เพราะกำลังทรัพย์เราไหวเท่านี้ แต่พอ Tesla เปิดราคามา บอกตามตรง ความสนใจหันไปหา Tesla หมดเลยครับ
ราคา = ความคุ้มค่า
ถ้าไม่เหลือเงินถุงเงินถังจริงๆ ยังไง Tesla ก็คุ้มค่ากว่าครับ อีกอย่างภาพลักษณ์แบรนด์ผมมองว่าดูดีกว่าใช้ D segment ญี่ปุ่นครับ
-
คงฟันกำไรแหละครับ แต่ผมจะบอกว่าใครบอกภายในเบนซ์ บีเอมพรีเมี่ยมนี่ ผมใช้เอง 3-4 ปีแล้วรู้สึกว่ามันแย่กว่าญี่ปุ่นอีก อากาศบ้านเราร้อน ภายในรถพวกนี้ละลายเละหมด สภาพนี่ดูไม่ได้เลย ที่จะดีกว่าผมจะมีแค่การประกอบกับการเก็บเสียงแค่นั้นครับ
ส่วนเรื่องใช้ไปแล้ว 9 ปี ผมลองคำนวนจากเบนซ์บีเอมที่บ้าน ที่ใช้มา 10 ปีแล้ว รวมค่าซ่อม ค่าน้ำมันหลังหมดประกันแล้ว ต่อให้ราคาขายต่อได้แพงกว่ารถ EV แต่พอบวกค่าซ่อมค่าน้ำมันแล้วออกมามันเท่าๆกับ EV มูลค่าที่เหลือเลยครับ มันแทบไม่ต่างกันเลย แต่เราดูแค่ราคาขายมือสองมันก็เหมือนรถน้ำมันคุ้มกว่า จริงๆมันพอๆกันครับ ไม่มีหรอกครับมูลค่าเหลือศูนย์ แล้วแบตเทสล่ามันไม่ได้ใช้ได้แค่ 9 ปี สามแสนโล ตปททะลุไปแล้ว 4-5 แสนโล
ต้องยกความดีความขอบให้เทสล่าเลยครับ ตั้งราคามาแบบนี้ บ้านผมก็เปลี่ยนใจจากยุโรปมา 3 LR เรียบร้อย
หรูคือสวย วัสดุนุ่ม น่ามอง น่าจับ ไม่เกี่ยวกับความทนครับ ไม่งั้น Toyota Izuzu ควรถโคตรหรูแล้ว ผมว่าคุณก็เข้าใจว่าหรูแปลว่าอะไร
ไม่ต้องอะไรครับ พวก Bentley, Rolls Royce. ก้เป็นคือพอผ่านไปหลายปี มันเปื่อย ย่น ลอดก เหนียว เยิ้ม ฉะนั้นมันไม่หรูเหรอ ไม่ใช่ครับ