Headlight Magazine : community
General => Discussion Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: solo ที่ มีนาคม 19, 2023, 07:47:10
-
ไม่ใช่หนังออสการ์ แต่เป็นการแทนที่รถน้ำมันด้วยรถไฟฟ้า ไม่ทราบว่าผมแทรกแผ่นสไลด์ได้ถูกไหม, ขอให้ดูSlide แผ่นที่สามกับแผ่นที่สี่พอ
https://enconfund.go.th/content/knowledge/1/20181019163618_CLEAN%20DISRUPTION%20Why%20current%20energy%20and%20transportation%20will%20be%20obsolete%20by%202030.pdf
-
คือ ต้นทางอยากสื่อว่า 2030 รถน้ำมันจะหายจากกรุงเทพใช้ไหมครับ
เหมือน NYC ที่ 1900 รถม้าเต็มเมืองพอ 1913 เหลือรถม้าคันเดียว
ส่วนตัวผมว่า 2030 เร็วไปมากสำหรับกรุงเทพครับ(เอาแค่กรุงเทพพอไม่เอาทั้งประเทศ)
ช่วง 1900 รถม้า รถยนต์น่าจะเป็นของสำหรับคนมี ฐานะ จนถึงช่วง 1910 ทึ Ford Model T ออกมา ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงได้หน่อย
"The average assembly line worker could purchase one with four months' pay in 1914."
ถ้าเงินเดือน 4 หมื่น ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานแล้ว ยังตัวให้เวลา เป็นปี กว่าจะจ่ายหมดสำหรับรถทั่วไป 1 คัน
การเปลี่ยนจากรถม้าเป็นรถยนต์อาจ สะดวกขึ้นด้วยนะครับ มีน้ำมันก็ขับได้แล้ว ไม่ต้องกลัวม้าป่วย ม้าไม่พร้อม
แต่การเปลี่ยนจากรถน้ำมันเป็นไฟฟ้า ณ ตอนนี้ผมว่ามันทำให้ลำบากขึ้นครับ รถน้ำมันถ้าน้ำมันใกล้หมดก็แวะเติม ส่วนรถไฟฟ้าแต่ลืมเสียบไฟทีบ้าน ต้องแวะหาที่ชาร์จซึ่งว่างไหม... ไม่รู้ได้
อย่างเทสล่าก็เริ่มขายมา 10 ปีแล้ว ใน NYC ตอนนี้ก็ใช้ว่าตอนนี้รถไฟฟ้าจะเต็มเมืองครับ
-
เห็นด้วยกับคุณ Qwerty ครับและคิดว่า การแทนที่ด้วยรถไฟฟ้าทั้งหมดคงเป็นเรื่องยาก และแทบเป็นไปไม่ได้เลย
อุตสาหกรรมรถยนต์มีหลายมิติมากที่เกี่ยวข้อง และหลักๆเลยคือน้ำมัน การที่รถน้ำมันหายไป มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยเพราะกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันที่มีอิทธิพลสูงพอตัวในโลกใบนี้ คงไม่อยู่เฉยแน่
ดังนั้น สำหรับผม คงมองอเมริกา เป็นตัวบ่งบอกอนาคตของรถ EV เลย ถ้าประเทศนี้ มี EV 100% ได้เมื่อไร นั่นแหละถึงจะกล้าพูดได้ว่า EV จะมาแทนที่ ซึ่งตอนนี้ก็เห็นๆกันว่าเปอร์เซ็นรถ EV ในอเมริกาเทียบกับรถน้ำมัน มันน้อยนิดมากๆ
-
การเปลี่ยนแปลงใดๆในโลกไม่สามารถมาใช้กับประเทศไทยได้ครับ ถ้าอยากรู้ว่าคนไทยจะปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้ากันหมดเมื่อไร ต้องมาเก็บข้อมูลจากคนไทยครับ ลักษณะพิเศษของเมืองไทยที่ผมนึกออกคือ
> ตลาดเก๋ง กับกระบะ พอๆกัน
> มีโครงสร้าง สรรพสามิต ซับซ้อนซ่อนกล
> โครงสร้างราคาน้ำมันดี้เซล เบนซินที่แปลกๆ
> คนไทยซื้อรถดาวน์ 0% ก็ได้
> รถคันนึงใช้กันเฉลี่ยนานมากๆ แต่ถ้ามีเงินก็ซื้อเพิ่มได้ไม่มีข้อห้าม
> รถใหม่แพง แต่รถมือสองก็ถือว่าถ้าเป็นรุ่นยอดนิยมก็ขายได้ราคา
> ค่าซ่อมรถน้ำมันไม่แพง เพราะมีทางเลือก
ผมเคยคิดว่ารถ ev จะกินสัดส่วนได้เรื่อยๆ
แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจ เพราะนับวันยิ่งมีอุปสรรค์ที่งอกออกมา
-
นับตั้งแต่ Nissan Leaf ออกขายครั้งแรกในปี 2010
จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแล้ว 13 ปี รถไฟฟ้าก็ยังไม่ได้แทนที่รถน้ำมันขนาดนั้นครับ
ส่วนแบ่งตลาดของรถ BEV ทั้งโลกในปี 2022 ยังอยู่ ที่เกือบๆ 10% เท่านั้น
กว่าจะเยอะจนเกิน 95% ผมว่าคงหลังปี 2040 ไปอีก
-
สิ่งที่น้ำมันทำได้ดีมากๆ และยังหาอะไรมาแทนไม่ค่อยได้ คือ การเก็บพลังงานในรูปแบบที่ง่ายและถูก (มีถังก็จบแล้ว)
แบต ยังคงเป็น challenge อันดับแรกของรถไฟฟ้า ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่แบตที่อยู่กับรถนะครับ ไฟฟ้าผลิตแล้วเก็บได้ยาก ถ้าไม่มีวิธีจัดเก็บไว้ใช้ทีหลังที่มีประสิทธิภาพมันก็ยากที่จะเกลี่ยกำลังการผลิต ไหนจะวิธีการส่งอีก (ใช้สายไฟ ซึ่งถ้าคนใช้กันเยอะๆก็ไม่พออีก เทียบกับท่อส่ง)
ยังมีอีกหลายโจทย์ที่ต้องแก้ครับ
-
ยังไงก็ยากมากครับ เรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยจะดีกว่า ตอนนี้น้ำมันเบนซิลโซฮอล 95 ลิตรละ 34-37 บาทโดยประมาน มันเลยทำให้รถไฟฟ้าพอฟัดพอเหวี่ยงได้ เพราะคิดเป็น กิโลเมตร / บาท ได้ถูกกว่าแบบมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าจะใช้เวลาชาจแบตนานก็ตาม
แต่ลองนึกภาพตาม หากน้ำมันมีราคาถูกลงเรื่อยๆ ไม่ต้องเอาถึงลิตรละ 20 บาทหรอกครับ เอาแค่เหมือนตอนโควิดก็พอ น้ำมันโซฮอล 95 ลิตรละ 28-30 บาท ผมคนนึงแหละที่จะกลับไปใช้รถ Hybrid อย่างแน่นอน เผลอๆตอนนั้นค่าไฟของรถไฟฟ้าจะแพงกว่าค่าน้ำมันเสียอีก แถมรถน้ำมันทำการเติมพลังงานแค่ 10 นาทีเท่านั้น ก็วิ่งได้ 600+ กิโลเมตรแล้วครับ
-
เมืองใหญ่ คนอยู่ตึกกันเยอะ ไม่ว่าจะพักอาศัย หรือทำงาน ชีวิตต้องแข่งกับเวลา ถ้าการชาร์ตไฟยังไม่สะดวก หรือใช้เวลานานไป ยังไงรถใช้น้ำมันก็ยังอยู่ครับ
-
ถ้าต้องขับทางไกลบ่อยๆ ผมว่ารถน้ำมันยังตอบโจทย์ดีกว่ารถไฟฟ้า ไม่ต้องมาเสียเวลากับการรอชาร์จแบตฯ
ส่วนตัวเชื่อว่า ภายใน 10 ปีนี้ ยังไงรถน้ำมันก็ยังมีสัดส่วนมากกว่ารถไฟฟ้า แต่หลังจากนั้นค่อยมาดูมาตรการของทางภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาระบบจ่ายไฟ การเก็บพลังงานของรถไฟฟ้าว่าจะทำได้ดีขึ้นขนาดไหน
-
ปี 2030 ยากครับ ลึกๆแล้วผมเชื่อว่าปัจจัยที่จะทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้ามากที่สุดคือ
1) ราคารถ
2) ค่าใช้จ่าย บาทต่อกิโลเมตร
3) ความสะดวก
4) ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา
หรือไม่ก็เป็นนโยบายออกไปเลย เช่น รับซื้อคืนและให้เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าตามประเภท
20xx รถยนตืนั่งทั้งหมด
20xx มอเตอร์ไซค์
20xx รถเพื่อการพาณิชย์
โดยส่วนตัวผมยังไม่เห็น critical factor ที่จะทำให้ต้องเปลี่ยนเป้นรถไฟฟ้าในเร็วๆนี้ นอกจากแรงจูงจต่างๆ ซื่งก็ยังไม่ impact พอ
ในแง่มลภาวะหรือพลังงาน ผมก็ยังมีคำถามประมาณนึง เช่น
- กระบวนการผลิตรถไฟฟ้า ใช้พลังงานอย่างไร และปล่อยมลพิษเท่าไหร่
- กระบวนการผลิตแบตเตอรี่ใช้พลังงานอย่างไรและปล่อยมลพิษเท่าไหร่
- กระบวนการกำจัดแบตเตอรี่หรือการปรับปรุงให้สามารถเอากลับมาใช้ได้ใหม่ ใช้พลังงานอย่างไร และปล่อยมลพิษเท่าไหร่
- กระบวนการผลิตไฟฟ้า ใช้เชื้อเพลิงจากไหน ใช้พลังงานอย่างไร และปล่อยมลพิษเท่าไหร่
ทั้งหมดที่กล่าวมาแตกต่างกับรถน้ำมันแค่ไหนอย่างไร
-
เชื่อเถอะว่า ประเทศต่างๆ ที่ตั้งเป้าแบนรถ ICE ในปี 2030 น่ะ
พอใกล้ถึงวันนั้นจริงๆ ก็ต้องประกาศเลื่อนการบังคับใช้ หรือไม่ก็ออกข้อยกเว้น
เพิ่มเติมให้ เพราะทางฝั่งตะวันตกเองก็ใช่ว่าจะมีแนวโน้มว่าพร้อม
เมื่อถึงเวลานั้นน่ะครับ
-
เชื่อเถอะว่า ประเทศต่างๆ ที่ตั้งเป้าแบนรถ ICE ในปี 2030 น่ะ
พอใกล้ถึงวันนั้นจริงๆ ก็ต้องประกาศเลื่อนการบังคับใช้ หรือไม่ก็ออกข้อยกเว้น
เพิ่มเติมให้ เพราะทางฝั่งตะวันตกเองก็ใช่ว่าจะมีแนวโน้มว่าพร้อม
เมื่อถึงเวลานั้นน่ะครับ
ถ้าให้แบนการขายหน่ะ คงพอทำได้ แต่ถ้าจะแบนการใช้ด้วยนี่ คงเกิดจลาจลแน่ๆ เว้นเสียแต่ว่าตอนนั้นรถไฟฟ้ามันคุ้มและสะดวกกว่าในทุกๆ ด้านแล้วจริงๆ
-
คนรอบข้างหลายๆคนจะถอยEV แต่เจอรายจ่ายในอนาคตหลายอย่าง ก็เริ่มลังเลกันแล้วเหมือนกัน ยิ่งถ้าใช้รถน้อยจุดคุ้มทุนก็นาน
-
เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด พอๆกับนกว่ายน้ำได้