Sensor หน้า - หลัง แบบไม่เจาะกันชน พร้อมปุ่ม เปิด ปิด ในเมื่อ Honda ไม่ติดมาให้ เซลล์ก็แถมแค่ Sensor ด้านหลัง 2 จุด เราก็ต้องหาติดเอง และใน HR-V คันเดิม ผมก็ติด Sensor รอบคัน เพราะทุกๆวัน จะต้องขับผ่านมุมเลี้ยวหักซอกแคบๆที่อยู่ในคอนโดตัวเอง และเวลาจะจอดรถในโรงรถที่บ้าน ผมต้องจอดให้ข้างหน้าชิดกำแพง ไม่งั้นท้ายรถจะเลยหลังคา มันเลยช่วยได้เยอะและจำเป็นมากๆ ก็เลยว่าจะไปติดชุด Ultra sonic 8 จุด แบบเดียวกับคันเดิม แต่พอเช็คดูแล้ว มันติดปัญหาที่จอติดรถกับมาตรวัต มันไม่รองรับการแสดงผลของตัววัดระยะบนหน้าจอ (ต้องเปลี่ยนจอถึงจะแสดงผลได้) แล้วถ้าจะติดโดยไม่สนใจเรื่องการแสดงผลบนจอนั้น เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายก็รู้ว่ามันแพงไป (ชุดละประมาณ 10,000 บาท) ก็เลยลอง Search หาตัวเลือกใหม่ๆ ใน Internet และ กลุ่ม HR-V Club ใน Facebook
Search ไปเรื่อยก็เจอ Facebook Page ชื่อ เซนเซอร์ถอยหลัง ไม่เจาะกันชน ที่ขายและติดตั้ง Sensor หน้า - หลัง แบบไม่เจาะกันชน ลองเข้าไปดู Review เออ น่าสนใจดี ราคาก็ไม่แรงมากด้วย แถมไม่ต้องเจาะรถเป็นรูด้วย ก็เลยตัดสินใจ ยกเลิก Sensor แถม แล้วก็พอรับรถมา ก็ให้ร้านมาติดตั้งให้ โดยวิธีการติดตั้งนั้น ผมเข้าใจว่าจะคล้ายๆกับ กาติดตั้ง Sensor ถอยหลังทั่วไปๆ เพียงแต่ตัวรับ-ส่งคลื่นสัญญาณ จากตัวหัว Sensor ที่ต้องเจาะกันชน เป็นแผง Sensor ตรวจจับการเคลื่อนไหวติดอยู่บนพื้นผิวด้านหลังของกันชนหน้า - หลัง แทน โดยไม่ต้องเจาะรถ ติดตั้งแบบไม่ตัดต่อสายไฟ แถมยังยังไม่มีจุดอับสัญญาณตรงแนวแผงรับสัญญาณด้วย
การทำงานของ Sensor ชุดนี้นั้น ชุดหน้า - หลัง จะแยกกันโดยสิ้นเชิง โดยชุด Sensor หน้า จะมีปุ่มเปิด - ปิด การทำงานให้ โดยเราสามารถเลือกปุ่มให้มีขนาดตรงรุ่นกับช่องติดตั้งปุ่มของรถได้ (มีเฉพาะรถยนต์บางรุ่น) ส่วน Sensor หลัง ก็จะทำงานต่อเมื่อ เข้าเกียร์ถอยหลัง และตัดการทำงานเมื่อออกจากเกียร์ถอยหลัง เหมือน Sensor ถอยหลังทั่วๆไป และสำหรับหลักการวัดระยะของ Sensor ชุดนี้นั้น และมี 3 ระดับ สัมพันธ์กับการส่งสัญญาณเสียง (Beep) เตือน 3 รูปแบบ ดังนี้
- เมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวางในระยะต่ำกว่า 70 C.M. เสียงเตือนจะเริ่มเตือนด้วยเสียง Beep จังหวะห่างๆ กัน
- เมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวางในระยะต่ำกว่า 40 C.M. เสียงเตือนจะเตือนด้วยเสียง Beep จังหวะถี่ๆ
- เมื่อเข้าใกล้สิ่งกีดขวางในระยะต่ำกว่า 15 C.M. เสียงเตือนจะเตือนด้วยเสียง Beep ยาวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ก่อนติดตั้ง ทางร้านแจ้งว่า เนื่องจากชุด Sensor ใช้เป็นแบบตรวจจับการเคลื่อนไหว ดังนั้น ถ้ารถยนต์จอดนิ่งและวัตถุที่ Sensor จับได้ ไม่มีการเคลื่อนไหว เสียงเตือนจะไม่ดัง พูดง่ายๆคือ สมมุติว่าเราถอยรถเข้าหากำแพง ถ้ารถเคลื่อนที่ Sensor จะส่งเสียงเตือนปกติ แต่พอรถหยุดนิ่งเสียงเตือนจะเงียบ ซึ่งจะไม่เหมือนกับ Sensor ทั่วไปที่จะดังค้างตลอด ถ้าเข้าใจหลักการทำงานและรับได้ก็ไม่เป็นปัญหา ซึ่งผมเองก็เข้าใจและยอมรับได้
จากการใช้งานจริงนั้น มันก็ไว้ใจได้ในระดับนึงเลย เพียงแต่เวลาที่เสียงเตือนระดับแรกมันดัง มุมมองที่เราเห็นมันรู้สึกใกล้ว่ามากแล้วทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เทียบง่ายๆเลยจากเส้นกะระยะกล้องถอยหลัง เสียงเตือนระยะแรกจะดังเมื่อวัตถุหรือสิ่งกีดขวาง มันมาอยู่ที่เส้นประ เส้นสุดท้ายที่ใกล้กับกันชนมากที่สุด ทำให้เวลาใช้งานจริง พอใช้การกะระยะจากสายตาเราแล้ว หลายครั้งที่เราจอดรถหรือหยุดรถในระยะที่ Sensor ยังไม่แจ้งเตือนเลย ซึ่งผมคิดว่าหลายๆคนอาจจะรู้สึกไม่ชินหรือไม่ชอบลักษณะแบบนี้ แต่ส่วนตัวผมรับใช้และรู้สึกว่า เป็นแบบนี้ก็ดีนะ มันไม่ได้ดังคงน่ารำคาญเหมือนแบบเก่าๆบางคัน ที่ร้องเตือนตั้งแต่ยังห่างมากๆ แถมดังไม่หยุดด้วย
สำหรับค่าเสียหายของชุดนี้นั้น ชุด Sensor หลัง 1,850 บาท (สำหรับรถญี่ปุ่น), ชุด Sensor หน้า + ปุ่มเปิด - ปิด ตรงรุ่น 3,250 บาท ทั้งหมดก็ 5,100 บาท รวมค่าติดตั้งเรียบร้อยแล้ว และทางร้านมีบริการติดตั้งนอกสถานที่ด้วยนะ (มีค่าบริการเพิ่มเติม) ถ้าใครสนใจ ก็สามารถ Search หา Facebook Page เซนเซอร์ถอยหลัง ไม่เจาะกันชน ได้เลยครับ
กล้องบันทึกภาพ หน้า-หลัง Finevue รุ่น GX300 + Cellink B7 Powerpack บอกตรงๆว่า นี่เป็นอุปกรณ์ที่ผมใช้เวลาศึกษาหาข้อมูลนานมากๆ และก็ตัดสินใจเลือกนานมากๆ กว่าจะได้มา เพราะว่ากล้องหน้า - หลัง Thinkware X550 ที่อยู่ในรถคันเดิมนั้น มันสร้างมาตรฐานไว้สูงและดีมากๆ เพียงแต่ว่ามันใช้งานมานานมากแล้ว ก็เลยไม่ได้ถอดออกตอนขายรถไป พอได้รถคันใหม่ ก็อยากจะหากล้องที่คุณภาพดีและตอบโจทย์การใช้งานแบบชุดเดิม ซึ่งโจทย์การใช้งานนั้นมีดังนี้
- ต้องเป็นชุดกล้องบันทึกภาพหน้า - หลัง
- ตัวกล้องหน้า อยากได้แบบที่มีจอและต่อ Wi-Fi ดูภาพจาก App ได้
- กล้องหลัง ต้องติดอยู่ที่ในตัวรถเท่านั้น
- คุณสมบัติมาตรฐานต้องมีมาครบถ้วน เช่น บันทึกต่อเนื่อง โดยทับไฟล์เก่าไปเรื่อยๆ , มี Crash Detection หรือ G- Sensor และเก็บไฟล์ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญแยกจากไฟล์บันทึกต่อเนื่อง
- คุณภาพของภาพนั้น ขอให้ชัดทั้งกลางวันและกลางคืน มองเห็นรายละเอียดรอบข้างและป้ายทะเบียนได้ชัดเจน ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้อง 4K 2K หรือ Full HD
- ต้องมี Packing Mode เพราะปกติรถต้องจอดซ้อนคันเกือบทุกวัน
ช่วงระหว่างที่รอรถ ผมก็หาข้อมูลใน Internet ดู Review หลายๆรุ่น จะกลับไป Thinkware ก็ดีแต่ราคาก็แพงเหลือเกินและถ้าเอารุ่นมีจอ มันก็ต่อ Wi-Fi ไม่ได้ เลยพยายามหายี่ห้ออื่นๆ ที่ดูราคาย่อมเยาลงมาหน่อย ซึ่งเท่าลองที่ดูๆก็จะมี iRoad, G-net, 70mai, DDPAI, FineVu, AZDOME, Viofo, Proof ฯลฯ และหลังจากศึกษาข้อมูลของกล้อง พร้อมหาร้านติดตั้งที่ดูน่าเชื่อถืออยู่สักพัก สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลือก ด้วยเหตุผลสุด Classic นั่นก็คือ Promotion Set สุดคุ้ม นั่นเอง แต่ก็อยู่ในตัวเลือกที่ดูๆไว้อยู่ ไม่ใช่เอาแต่ราคาเท่านั้น
และ Promotion Set ที่ผมเลือกนั้น ประกอบด้วย ชุดกล้องหน้า - หลัง ของ FineVu รุ่น GX300 และ Power pack ของ Cellink รุ่น B7 โดยทั้งหมดนี้ จัดจำหน่ายและติดตั้งที่ร้าน Premium Store by Carcamkorea ซึ่งเป็นร้านเดียวกับที่ติดตั้งชุดกล้อง ของ Thinkware ใน HR-V คันเก่าผม เมื่อ 5 ปีก่อนนั่นเอง และผมก็ค่อนข้างมั่นใจกับร้านนี้ เพราะตั้งแต่ติดตั้งในคันเก่ามา ไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลย
สำหรับ FineVu GX300 นั้น เป็นชุดกล้องหน้า-หลัง ที่ผลิตในเกาหลีใต้ Design ของตัวกล้องด้านหน้าเป็นแบบไร้จอภาพ มีเพียงปุ่ม ช่องใส่ Memory Card Shortcut ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการใช้งาน ไฟแสดงสถานะต่างๆ เท่านั้น ส่วนกล้องหลังเป็นแบบที่ติดอยู่ภายในตัวรถบนกระจกบานหลัง และเชื่อมต่อการบันทึกและพลังงานการตัวกล้องหน้าโดยตรง ตัวกล้องทำจากพลาสติกที่สามารถทนความร้อนได้สูง
- ความละเอียดในการบันทึกภาพ : กล้องหน้า 2K QHD / กล้องหลัง Full HD
- ใช้ Sensor บันทึกภาพของ Sony Starvis IMX335 (กล้องหน้า)
- มีระบบ HDR ช่วยปรับภาพให้มีความสว่างชัดเจนทั่วทั้งภาพ และมี Auto Night Vision ช่วยปรับคุณภาพวิดีโอที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติ สำหรับการบันทึกภาพช่วงกลางคืน
- มี Parking Mode บันทึกภาพขณะจอดรถ โดยทำงานร่วมกับการตรวจจับการเคลื่อนไหว และ G-Sensor
- มีระบบ Smart Time Lapse เพิ่มประสิทธิภาพหน่วยความจำสูงสุด จะลดอัตราเฟรมการบันทึกโดยอัตโนมัติเมื่อไม่มีเหตุการณ์ในขณะที่กู้คืนการบันทึกอัตราเฟรมเต็ม (30fps) เมื่อตรวจพบเหตุการณ์ที่อาจเกิดความเสียหายกับรถ
- Build in GPS / G-Sensor ในตัว
- มีระบบแจ้งเตือนต่างๆ เช่น บอกเวลาตอนต้นชั่วโมง, เตือนให้จอดพักเมื่อขับขี่ต่อเนื่องนานๆ (2 ชั่วโมง/ครั้ง) เตือนกล้องจับความเร็ว (เฉพาะในบางประเทศที่มี Firmware ให้ติดตั้ง)
- บันทึกข้อมูลด้วย Micro SD Card รองรับความจุสูงสุดที่ 128GB (ควรเลือกใช้ Micro SD Card ที่ Class สูงๆ หน่อย)
- เชื่อมต่อกับ Smart Phone ด้วย Wi-Fi Direct ผ่าน Application FineVu Wi-Fi เพื่อเรียกดูภาพที่กำลังบันทึกอยู่แบบ Real Time และ เรียกดู Video ย้อนหลังและสามารถ Download File มาเก็บไว้ใน Smart Phone ของเราได้ รวมถึงการ Update Firmware ของตัวกล้องด้วย
- เปิดดูภาพและ Clip VDO ด้วยการเชื่อมต่อ Micro SD Card กับ Computer ผ่าน Program : FineVu Player ซึ่งสามารถเลือกดูภาพได้จากมุมมอง หน้า หลัง และ Multi-view หน้า-หลัง พร้อมกัน พร้อม Function แสดงความเร็ว แรงG และตำแหน่งของรถ ณ ขณะนั้นอีกด้วย
จากการใช้งานนั้น คุณภาพของภาพและเสียงที่บันทึกได้ ถือว่าดีในระดับนึงเลยทีเดียว เอาเรื่องเสียงก่อน ตัวไมค์รับเสียงที่เกิดขึ้นในห้องโดยสารได้ชัดเจน ไม่ว่าคุณจะฟังเพลงอะไร พูดคุยกันในรถ หรือ คุยโทรศัพท์ในรถ ทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมดควบคู่ไปกับภาพเลย ซึ่งถ้าใครไม่ชอบก็สามารถเลือกปิดไมค์และการบันทึกเสียงได้นะ
ส่วนเรื่องภาพ ที่กล้องหน้าเคลมไว้ว่าเป็น 2K QHD นั้น เท่าที่ผม Download Video มาลง Computer แล้ว Capture มาลง Web Board ทั้งภาพที่ขับขี่ในช่วงกลางวัน ช่วงโผล้เผล้ (แสงน้อย) และ ช่วงกลางคืน ผมว่ามันก็ทำได้ดีนะ ความชัดถือว่าโอเคเลย มองเห็นทัศนวิสัยต่างๆได้ชัดเจน กลางคืนยังดูออกว่ารอบๆข้างเราเป็นที่ไหน มีรถอะไรบ้าง แล้วมีเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นบ้าง ส่วนกลางวันก็ไม่เจออาการแสงจ้าจนมองไม่รู้เรื่องนะ และอีก 1 จุดที่สำคัญมากคือ ป้ายทะเบียนคันหน้า ซึ่งถ้าอยู่ในระยะที่ไม่ไกลมาก ก็จะมองเห็นทะเบียนได้ชัดเจนเลย ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่า เวลาเกิดเหตุการณ์ที่ต้องใช้ ภาพ หรือ Clip VDO เราสามารถหวังผลจากมันได้ โดยที่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย
สำหรับกล้องหลังที่เป็น Full HD นั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้ชัดเท่ากล้องหน้า ทำให้ทัศนวิสัยในระยะไกลๆ อาจจะไม่ได้คมชัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นระยะที่เราหวังผล เช่น รถคันหลัง หรือรถคันอยู่ข้างๆคันหลังในเลนอื่นๆ ก็ยังมองเห็นป้ายทะเบียนและลักษณะของรถคันนั้นๆ ได้ชัดเจน เอาภาพ และ VDO ไปใช้ได้แน่นอน
เรื่องของการเชื่อมต่อกับ Application FineVu Wi-Fi ผ่าน Direct Wi-Fi นั้น เท่าที่ผมลองใช้กับ iPhone ถือว่ามีความเสถียรดีมากๆ ระหว่างใช้ App ไม่มีหลุดเลย แล้วถ้าไม่มีการขยับใน App นานๆ กล้องก็จะตัดการเชื่อมต่อให้อัตโนมัติ ซึ่งก็โอเคนะ กันเราลืมได้ดี ส่วน User Interface ของ App นั้น ใช้งานได้ง่ายมากๆ ซึ่ง Functions หลักๆจะมี 5 แบบดังนี้
1. Live View : สามารถดูภาพสดจากกล้องได้แบบ Real Time
2. Dashcam Files : สามารถเรียกดู File VDO ที่บันทึกอยู่ใน Micro SD Card ที่อยู่ในกล้อง โดยแยกดูเป็นหมวดได้ ทั้ง Normal, Parking, Event, Motion เป็นต้น
3. Download Files : สามารถเรียกดู File VDO ที่เราได้ Download มาเก็บใน Smartphone ของเราแล้ว ซึ่งเราสามารถดูได้แม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับกล้องอยู่
4. Setting : Menu สำหรับตั้งค่าการทำงานของกล้อง ทั้ง เรื่องภาพ เรื่องเสียง เรื่องการจัดการพื้นที่ของ Micro SD Card และการ Set Function อื่นของกล้อง
5. Summary Event : สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับ Driving Time / ระยะทาง / ความเร็วเฉลี่ย และเส้นทางที่เราขับขี่ได้ โดยสามารถดูเป็นช่วงเวลาได้ 3 รูปแบบหลักคือ 3 วันล่าสุด / สัปดาห์ล่าสุด / เดือนล่าสุด นอกจากนี้เรายังเลือกดูเป็นช่วงวันที่ตามที่เราต้องการได้ โดยเลือก Start Date และ End Date รวมถึงยังสามารถดูได้แม้ไม่ได้เชื่อมต่อกับกล้องอยู่ โดยข้อมูลที่แสดงนั้น จะเป็นข้อมูล ณ ครั้งล่าสุดที่เราเชื่อมต่อกับกล้องและเปิดเข้าไปดูหน้าจอนี้
พูดถึงแต่สิ่งที่ชอบไปแล้ว ขอบ่นเรื่องที่ไม่ชอบบ้าง ซึ่งผมเจอปัญหาอยู่ 2 เรื่องหลักๆ คือ
1. สวิตช์เปิด - ปิด กล้อง นั้นเป็นกลไกแบบเลื่อนขึ้น ลง ทำให้เวลาที่จอดรถแล้วเกิดปิดกล้อง พอ Start รถใหม่ มันจะไม่เปิดเองอัตโนมัติแบบกล้องรุ่นอื่นๆ ต้องเลื่อนสวิตช์เปิดเอง แล้วปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นคือ ลืมเปิดกล้อง ซึ่งบางครั้งก็รู้สึกตัวเร็ว แต่บางครั้งก็ผ่านมา 2 3 วันแล้ว โชคดีที่ไม่ได้เกิดเหตุอะไร
2. ระบบแจ้งเตือนกล้องจับความเร็ว ซึ่งผมเข้าใจว่ามันทำงานร่วมกันระหว่าง Firmware ของกล้องกับ GPS Sensor เท่าที่ใช้มามันก็พอจะไว้ใจได้นะ โดยเวลาแจ้งเตือน ก็จะเป็นเสียงพูดเป็นประโยคดังนี้
Speed Camera in ...(ระยะห่างจากกล้อง) , Speed limit is ...(ความเร็วที่จำกัด)... Kilometer per hour
ทีนี้ ถ้าขับเร็วสักประมาณ 100 K.M./H มันจะเตือน 2 ระยะ คือ 600 Meter / ahead แต่ถ้าช้ากว่านั้น จะเพิ่มเป็น 3 ระยะ ที่ 600 Meter / 300 Meter / ahead ปัญหาที่เจอคือ บางจังหวะมันจะทำงานแปลกๆ เมื่อมัน Error โดยมันจะเตือน 3 ระยะ แบบต่อเนื่องยาวๆเลย เท่ากับว่าคุณจะได้ยินกล้องพูดประโยคข้างบนติดกันหลายรอบ ซึ่งมันน่ารำคาญมาก และกว่าจะครบนี่ เผลอๆขับเลยกล้องไปสักพักแล้ว ดังนั้น ถ้าใครขี้รำคาญ แนะนำว่า ปิดการแจ้งเตือนไปเลยเถอะ
อีก 1 อุปกรณ์ที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ Power-pack ของ Cellink รุ่น B7 ที่ทำหน้าที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงานให้กล้องสามารถบันทึกภาพใน Parking Mode ได้นานขึ้น โดยหลักการทำงานของมันก็จะเหมือนกับ Power Bank ที่เราใช้ชาร์จมือถือนั่นเอง โดยระหว่างที่เราขับรถยนต์นั้น ตัว Powerpack ก้อนนี้ก็จะชาร์จไฟเก็บไว้ และเมื่อเราดับเครื่องยนต์ อุปกรณ์ตัวนี้ก็จะทำหน้าที่จะจ่ายไฟฟ้าเป็นพลังงานให้กับตัวกล้อง ช่วยให้สามารถบันทึก Parking Mode ได้ยาวนานและไม่ต้องพึ่งพา Battery ของรถยนต์
ส่วนการติดตั้งนั้น จะคล้ายกับการติดตั้งกล้องบันทึกภาพในรถยนต์ผ่าน Fuse Tab เพียงแต่มี Powerpack ก้อนนี้มาคั่นอยู่ตรงกลาง โดยต่อสายไฟ Fuse Tab มาที่ตัว Powerpack แล้วต่อสายไฟของชุดกล้องให้รับไฟจาก Powerpack นั่นเอง ส่วนตำแหน่งที่ติดตั้งนั้น ทางร้านเขาติดตั้งไว้ที่ใต้เบาะหนังฝั่งคนขับ ซึ่งผมก็เป็นตำแหน่งที่ดีนะไม่เกะกะและไม่มีอะไรไปโดนมันเลย แถมไม่โดนแดดเวลาจอดรถกลางแจ้งด้วย
สำหรับการใช้งานจริง ลักษณะการใช้งานรถยนต์ของผมในทุกๆวัน ก็จะขับรถออกจากคอนโดประมาณ 8.30น. ถึงที่ทำงานและจอดรถประมาณ 9.15น. ยิงยาวถึงประมาณ 19.45น. ก็จะ Start รถขับกลับคอนโด ถึงที่หมายพร้อมจอดรถประมาณ 20.30น. แล้วก็จอดยาวๆถีง 8.30น. ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ที่ใช้กล้องเดิมกับแบตของรถในรถคันเก่า ถ้าพึ่งเปลี่ยนแบตมาก็จะเข้า Parking Mode ได้ประมาณ 8 ชั่วโมงและลดลงเลยๆตามประสิทธิภาพของแบต พอมาใช้กล้องพร้อม Power pack ชุดนี้ บันทึก Parking Mode ได้ยาวต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนเลย และถ้าจอดไว้เกิน 24 ชั่วโมงโดยไม่มีการ Start รถ มันก็จะตัดไฟให้กล้องหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ รวมๆแล้วก็ทำงานได้ดีไม่มีปัญหาอะไรเลย
ปัจจุบันผมไม่มั่นใจว่า Promotion นี้ยังมีอยู่มั้ย ถ้ายังมีนะผมจะแนะนำให้คนที่ต้องจอดรถซ้อนคันบ่อยๆ (แบบผม) จอดรถในที่เสี่ยงๆ หรือจอดรถในพื้นที่เปิดและพื้นที่สาธารณะเป็นประจำ ควรจะไปจัดมาสักชุดนึง อย่างน้อยๆมันก็ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ในเวลาที่คุณจอดรถ แต่ถ้าคุณจอดรถในบ้าน ในพื้นที่ปิดอ อยู่แล้ว ถ้าสนใจก็ติดทั้งชุดได้ หรืออย่างน้อยๆ ติดกล้องหน้า หลังก็ เพียงพอในระดับนึงแล้ว
Blind Spot Monitoring System (BSM) ระบบที่ทุกคนสาปส่ง Honda Thailand ว่า ทำไมไม่ยอมใส่มาให้สักที ซึ่งผมเองก็เป็น 1 ในนั้น แถมรถใหม่ๆสมัยนี้ที่เป็นยี่ห้ออื่นๆ ก็ใส่มาให้กันเกือบหมดแล้ว แม้ Honda ยังยืนยันที่จะให้ Lane Watch ที่กระจกมองข้างด้านซ้ายมา แต่มันก็ทดแทนกันไม่ได้ ในเมื่อไม่ยอมที่จะใส่มาให้ ไปหาติดเองก็ได้ เดี๋ยวนี้ในวงการประดับยนต์เริ่มพัฒนาและคิดค้นสินค้าและวิธีการที่จะติดตั้ง ระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัยในรถยนต์ เพื่อจำหน่ายเป็นอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติมได้แล้ว และ Blind Spot Monitoring System หรือ BSM ก็เป็น 1 ในนั้นด้วย
หลังจากลองค้นหาข้อมูลของการติดตั้งระบบ BSM มาสักพัก ก็เริ่มเห็นว่า ปัจจุบันนี้เริ่มมีหลายร้านที่รับทำ มีอุปกรณ์และ Option ให้เลือกอยู่หลากหลายแบบ ส่วนราคาของแต่ละร้านนั้น จะไม่ได้หนีห่างกันมาก จะอยู่ที่ประมาณปลายๆหลักพัน ถึงหมื่นต้นๆ แล้วแต่อุปกรณ์ที่เลือกและชื่อเสียงของร้าน ซึ่งพอลองเปรียบเทียบกันไปแล้ว ผมก็ตัดสินใจเลือกร้าน NTCar888 แถวย่านรังสิต คลอง 5 เนื่องจากร้านเขาดูน่าเชื่อถือประกอบกับใน FB Page ของร้านนั้น มีผลงานการทำรถ HR-V e:HEV มาหลายคันมากๆ และมีงานที่เข้าไปทำตามศูนย์บริการด้วย ก็เลยเชื่อมั่นว่าจะทำรถผมออกมาได้ดี รวมถึง ราคาของระบบ BSM ที่ร้านนี้ อยู่ที่ 8,900 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ชุดอุปกรณ์ของระบบ BSM ที่จะติดตั้งในรถผมนั้น หลักๆจะมีอยู่ 6 ส่วนหลักๆ คือ ตัวรับ ส่งสัญญาณ Radar 2 ตัว , ชุดสายไฟทั้งระบบ, ชุดไฟสัญญาณแจ้งเตือนที่กระจกมองข้าง, ชุดลำโพงเสียงเตือน และสวิตช์เปิด - ปิดระบบภายในรถยนต์ ส่วนตัวกระจกนั้น ทางร้านใช้วิธีการ Laser ตัวกระจกเดิมให้เป็นรูปสัญลักษณ์แจ้งเตือนแบบเดียวกับของ Honda Japan เพื่อให้ไฟสัญญาณแจ้งเตือนสามารถติดสว่างออกมาตามรูปสัญลักษณ์ได้ ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกันกับการทำงานระบบ BSM ในรถหลายๆรุ่น หลายๆยี่ห้อง ที่มีการติดตั้งมาจากโรงงานนั่นเอง
เรื่องวิธีการติดตั้ง ผมเองไม่ได้เข้าไปดูทุกกระบวนการ แต่พอจะอธิบายได้ว่า ทางร้านจะถอดกันชนหลังออก เพื่อติดตั้ง ตัวรับ ส่งสัญญาณ Radar ไว้ที่มุมกันชนทั้ง 2 ข้าง จากนั้นก็เดินสายไฟแบบ Plug & Play เต็มระบบ แล้วถึงจะดำเนินเชื่อมต่อกับชุดอุปกรณ์ส่วนที่เหลือ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ส่วนเรื่องงานประกอบและความเนี๊ยบนั้น เท่าที่มองดูด้วยตาเปล่า ผมว่าเนี๊ยบและแน่นหนาดี ไม่มีตรงไหนไม่สนิท
เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาทดสอบการใช้งานกัน โดยหลักการทำงานและ Function ของที่ติดตั้งมานั้น ก็จะมี 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
- Blind spot detection (BSD) : จะทำงานต่อเมื่อมีรถเข้าใกล้ในระยะ4-12 เมตร โดยไฟจะขึ้นค้าง และ ไม่มีเสียงเตือน
- Lane change assistance (LCA) : เมื่อเปิดไฟเลี้ยว หากมีรถเข้ามาในระยะเรดาร์ 4-12 เมตร จะส่งเสียงเตือน และ ไฟที่กระจกจะกระพริบเตือนทันที ว่าโปรดระวัง หรือ ไม่ปลอดภัย
- Rear cross traffic alert (RCTA) : จะมีระยะเตือนฝั่งซ้ายและขวา ด้านละ 2 และ 5 เมตร ขณะที่ถอยออกจากบ้านหรือที่จอดทั่วไปที่เอาหน้ารถเข้า
บอกก่อนกว่า ส่วนตัวผมยังไม่เคยได้ขับรถที่ติดตั้งระบบ BSM ไม่ว่าจะมาจากโรงงานหรือทำเพิ่มเองมาก่อนเลย ดังนั้น นี่คือครั้งแรกที่ได้ใช้ระบบนี้แบบจริงๆจังๆ ซึ่งผมรู้สึกว่า
แล้วถ้าเอามาเทียบกับ Lane Watch ที่ Honda Thailand เขาภูมิใจและขยันใส่มาให้ในรถของเขาหละ ส่วนตัวผมอยู่กับ Lane Watch มา 4 ปีกว่าๆ ซึ่งผมก็ค่อนข้างชอบมันและมีหลายๆจังหวะที่ได้ใช้แล้วมันช่วยได้จริงๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า BSM มันคลอบคลุมได้มากกว่าและช่วยได้มากกว่า อย่างแรกเลยคือ BSM มันมี 2 ข้าง แต่ Lane Watch มันมีข้างเดียว อย่างที่สอง ระยะการทำงานของ BSM เยอะกว่า อย่างที่ 3 BSM มีทั้งไฟแจ้งเตือนและเสียงเตือน แต่ Lane Watch มีแต่ภาพบนจอ และอีกอย่างนึงคือ จะใช้ Lane Watch ได้ รถต้องมีจอ แต่ BSM แสดงผลบนกระจกมองข้างซึ่งทุกคันต้องมี ผมเลยไม่แน่ใจว่าจริงๆแล้วต้นทุนของ 2 ระบบนี้ BSM อาจจะถูกกว่า Lane Watch นะ (เดาเอา)
ทีนี้ BSM จะมาแทน Lane Watch ได้แบบ 100% มั้ย เชื่อว่าคำตอบของหลายๆคนคือ ได้แน่นอน แต่สำหรับผมว่าคิดว่า มันทดแทนได้ประมาณ 90% เพราะจากที่ใช้งานมา แม้ BSM จะมีหลายความสามารถมากกว่า แต่มันมีบางสถานการณ์ที่ภาพจากกล้อง Lane Watch ช่วยให้ผมได้เยอะมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เจอทางแยกตัว Y แล้วจะดูรถที่มาจากทางซ้าย เพื่อเบี่ยงเข้าถนนหลัก ซึ่งผมจะต้องเจอสถานการณ์นี้ทุกวัน แล้วกล้อง Lane Watch ที่อยู่ที่ใต้กระจกมองข้างด้านซ้าย มันจะหันออกไปในมุมที่เห็นรถจากถนนอีกเส้นพอดี แล้วผมจะเห็นผ่านจอได้ชัดๆเลยว่า มีรถมาหรือไม่ ถ้าออกไปจะอันตรายมั้ย ซึ่งสถานการณ์นี้มันอยู่นอกเหนือการทำงานของ BSM
ดังนั้น สำหรับความเห็นของผมแล้ว ผมขอสรุปเลยว่า Honda Thailand ครับ โปรดติดตั้ง BSM ที่คุณใช้ชื่อทางการตลาดคุณว่า Blind Spot Information System (BSI) ในรถยนต์ Honda ที่ขายในประเทศไทย สักทีเถอะครับ ส่วน Lane Watch เนี่ย ถ้าอยากใส่ก็ใส่เพิ่มมาให้มีทั้ง 2 อย่างเลย แต่ถ้าต้องเลือกเพียงอย่างเดียว ยังไง BSI ก็สมเหตุสมผลมากกว่า แล้วทุกคนจะเลือกสาปส่งคุณเรื่องนี้และจะได้ไม่ต้องไปหาติดตั้งเองข้างนอก จบนะครับ Honda
ท้ายที่สุด ถ้าใครใช้ Honda หรือรถที่ไม่ระบบ Blind Spot Monitoring System แล้วอยาก Upgrade รถคุณให้มีระบบนี้ ผมแนะนำให้ลองมาคุยกับร้านนี้ก่อน บอกเลยว่าคุณจะได้ระบบ BSM ที่ไว้ใจได้ ในราคาที่สมเหตุสมผล และไม่ต้องกังวลเรื่องการติดตั้งและงานประกอบของร้านนี้ ผมรู้สึกว่างานของเขาอยู่ในระดับมืออาชีพจริงๆครับ