วันนี้จะขอมารายงานการบันทึกอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ CR-V 2.4 3rd Gen Mod0 นะครับ
สภาพการขับขี่คือ นั่งเต็มคันรถ 5 คน พร้อมสัมภาระเล็กน้อย เริ่มต้นเติม E20 เต็มถังจากปั๊มน้ำมันเพื่อใครก็ไม่รู้สาขาหนึ่งบนถนนลาดพร้าวตอนเช้า แล้ววิ่งสวนขาออก ไม่น่าเชื่อว่ารถจะติดเกินคาดคิดครับ กว่าจะหลุดขึ้น M7 ได้ก็เกือบชั่วโมง หลังจากนั้นก็ exit ทล.344 สู่บ้านบึง ไปต่อจนถึง ทล.3 จนถึงจันทบุรี มีรถติด ทำธุระเสร็จสิ้นก็กลับครับ
ขอพูดถึงการใช้ Cruise Control นิดหนึ่งนะครับ เพราะได้ใช้ไปด้วย ช่วงไหนที่เป็นเส้นยาวๆก็จะล็อกความเร็วไว้ที่ 90-100 ครับ ส่วนเวลาที่วิ่งจริงๆ เข็มความเร็วก็จะกวาดตั้งแต่ 80-120 นะครับ ขณะใช้บน M7 นี่ก็สบายทีเดียวเพราะมองเห็นไปข้างหน้าได้ไกล เวลาจะแซงก็เติมคันเร่งหน่อย แซงพ้นแล้วก็ปล่อยเท้าได้ มาพูดถึงการเติมคันเร่งนะครับ คือที่ล็อกไว้ เพื่อให้มีความเร็วคงที่ต่ำสุด (คงจะไม่งงนะครับ) ตัวอย่างเช่นล็อกไว้ที่ 90 อยู่เลนสองจากซ้าย เวลาเจอรถช้ากว่าหน่อยก็แซงขวาไปด้วยวิธีที่กล่าวมา หรือเวลาเจอสะพานชันๆ ถ้าปล่อยไว้เกียร์จะตัดลง ทำให้รอบจัด สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าครับ ดังนั้นแก้ด้วยวิธีแบบไอ้กัน คือหากลงเนิน ก็เติมคันเร่งเพื่อให้เร็วเกินกว่าความเร็วล็อกขั้นต่ำ ก็จะขึ้นเนินได้ง่าย หรือถ้าราบหน่อยก็เร่งให้เร็วเกินที่ล็อกไว้ ให้มันมีแรงบิดขึ้นเนินสำเร็จโดยอยู่บนเกียร์ห้า พอพ้นยอดเนิน/สะพานก็ปล่อย มันก็จะกลับมาความเร็วเดิมครับ ใช้วิธีนี้ทุกโอกาสที่ทำได้ แซงแล้วชิดซ้าย ก็ไม่เป็นการกีดขวางจราจรแต่อย่างใดครับ
จนถึงด่านเก็บเงิน M7 ด่านไกล ขาเข้ากรุงเทพ จอก็บอก avg ว่า 11.6-11.7 กม. ต่อลิตร และแล้วก็ได้อีกปัจจัยหนึ่งมาช่วยจนถึงด่านลาดกระบัง นั่นคือรถบัสครับ ขับไม่เร็วมากสำหรับบนทางหลวงพิเศษแบบนี้ คือที่ 90-95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมก็สลิปสตรีมเขาไป ในระยะที่ปลอดภัย (และความเร็วเท่านี้ มีอะไร เบรคได้ไว ทันการณ์ครับ) ทำให้ระหว่างที่ไม่มีแรงลมต้านนั้น จอก็บอกว่า 11.8 เลยทีเดียว! จนถึงด่านลาดกระบัง ผมจ่ายเงินเสร็จก่อนก็แยกย้ายกันไป
รักษาความเร็วสัก 90-100 มาเรื่อยๆ จนขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร ร่วมเข้าฉลองรัช (ที่เขาเรียกว่าโค้งเดียวเจออีกด่านเก็บเงินแล้ว) ลงบางจากก่อนลาดพร้าว
รวมระยะทางทั้งสิ้นระหว่างการเติม 558.2 กิโลเมตรครับ จอขึ้นก่อนดับเครื่องว่า 11.9 แต่เติมกลับไป 46.355 ลิตร นับได้เป็น 12.04 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว ซึ่งถ้าคิดว่ามีปัจจัยรถติดตอนก่อนออกเมือง กับที่ติดในเมืองจันทร์ ทั้งยังเปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน และกลางคืนก็ซีน่อน 35w .. มันก็ใช้ได้นะ
เอาล่ะ ใครเคยตกใจ เจอจอแสดงผลเปลืองกว่าที่วัดได้จริงหรือเปล่าครับ?
ผมทราบดีว่ามาตรฐานไม่เที่ยงตรงเท่าพี่จิมมี่ แต่นี่ไม่ได้มีจุดประสงค์หลักเป็นการทดลองอยู่แล้วครับ
กระทู้ท่าน ผมอ่านแล้วเพลิดเพิลนดีครับผม
แต่มาสะดุดตรงประโยคท้ายๆที่ว่า เปิดไฟตัดหมอกใช้วิ่งเวลากลางวัน
ไม่ทราบว่า ท่านจะเปิดทำไมหรือครับ หรือว่า CRV Gen3 ปิดไม่ได้ครับ
เปิดไฟตัดหมอกตอนกลางวัน ผมว่าก็มีข้อดีนะครับ ไม่งั้นเค้าจะทำให้มอเตอไซเปิดไฟหน้ากลางวันทำไมจะปิดก็ไม่ได้ไม่มีสวิต ก็เพราะให้รถคันอื่นเค้าเห็นได้ชัดขึ้น ให้แยงตานิดๆจะได้รู้ว่ามีรถมานะ เผื่อเจอคนเมา คนหลับใน เค้าจะได้ตื่น และอีกอย่างเปิดไฟกลางวันมันไม่ได้สว่างขนาดนั้น แสงแดดจากดวงอาทิตย์สว่างกว่าเยอะครับ
ไฟตัดหมอกนะครับ ไม่ใช่ Daylight LED
ตามกฎหมายไทย คือ ห้ามเปิดไฟตัดหมอกในที่ๆไม่มีหมอก ถ้าคุณจ่าเจอเข้า รับใบสั่ง ไปจ่าย 500 ที่ สน.ได้เลยครับ
ผมเข้าใจที่คุณบอกว่าตอนกลางวันแสงอาทิตย์แรงกว่าไฟตัดหมอกแน่นอน
บ้านเราแดดออกทุกวันก็จริงครับ แต่มันไม่ทุกที่ๆมีแดด เช่น ลงอุโมงค์ หาที่จอดในห้าง และอย่างยิ่งในวันที่ฟ้าครึ้ม
ปิดเถอะครับ ไม่ว่าจะเวลาไหน ให้พี่เก็บไปเปิดแถวดอยเต่า ดอยปุย ช่วงเช้ามืด น่าจะเข้าท่ากว่านะครับผม