ผู้เขียน หัวข้อ: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน  (อ่าน 11337 ครั้ง)

ออฟไลน์ O_o"

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,432
7,000 ล้านคนแล้วครับ
ประชากรในโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรามีเพื่อนร่วมโลกใบนี้ ครบ 7,000 ล้านคนเมื่อเดือนที่ผ่านมา

เมื่อเช้านี้ เพื่อนโทร. มาปรึกษา บอกว่าลูกสาวเรียนแผนกศิลป์อยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดม เป็นเด็กที่เก่งมากเกรดเฉลี่ย 3.8 แต่ไม่รู้จะไปเรียนต่อคณะอะไรดี เพื่อนลูกส่วนมากก็มุ่งหวังไปแย่งที่นั่งในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แต่ตัวลูกก็ไม่รู้ว่าจะดีไหม ส่วนแม่แนะนำให้สอบเข้านิติศาสตร์ สำหรับเพื่อนผมก็ยังไม่หายขัดใจที่พยายามให้ลูกเรียนสายวิทย์ แต่ลูกไม่สนใจ

นี่แหละครับปัญหาใหญ่ของการศึกษาในบ้านเมืองเรา รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกวิชา แต่ไม่รู้จักตัวเอง

สมัยก่อนมันไม่มีปัญหาอะไรมากหรอกครับ เรียนๆ ท่องๆ ติวหนักๆ เกรดดีๆ สอบเข้าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ได้ จบมาก็มีงานทำ มีทุนให้เรียนต่อ แต่ในวันนี้

วันที่ประชากรโลกมี 7,000 ล้านคน เรื่องราวมันเปลี่ยนไปมากครับ

ทุกวันนี้คนไทยเราเรียนจบปริญญาตรีกันปีละประมาณ 5 แสนคน เรื่องที่จะหวังไปทำงานราชการนั้น มันยากจริงๆ เพราะ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เขารับบรรจุข้าราชการปีละ 5,000 คน

บัณฑิตเราจำนวนมากต้องไปหางานเอกชนทำ บัณฑิตส่วนหนึ่งจบมาแล้วไม่รู้จะทำอะไร ก็เรียนต่อปริญญาโทเพื่อชะลอการตกงาน คนได้ทำงานจำนวนมากอาจจะไปทำงานที่ไม่ตรงกับที่เรียนมาเลย และอีกมากที่ทำงานอะไรก็ได้ขอให้มีเงินเดือน แต่ก็ยังไม่น่าห่วงเพราะยังดีที่มีงานทำ เพราะมีอีกหลายแสนคนที่ตกงาน

การศึกษาของเรานั้นลอกเรียนแบบจากประเทศทางตะวันตก ทุกวันนี้ลูกพี่ใหญ่ของเรา คืออเมริกา มีปัญหามากมายจากการว่างงานครับ ในสหรัฐอเมริกา มีบัณฑิตตกงานมากมายเพราะค่าจ้างเงินเดือนสูงมาก เมื่อโลกของการเชื่อมโยงข้อมูลเติบโต เทคโนโลยีสื่อสารอย่างทั่วถึงเช่นในปัจจุบัน ทำให้บริษัทต่างๆ ในอเมริกาที่ต้องการจะอยู่รอดและทำกำไร จึงหันไปใช้บริการของบัณฑิตในอินเดีย ซึ่งค่าจ้าง เงินเดือนถูกมาก

วิศวกรอินเดีย จบปริญญาเอก โท ตรี มีมากมาย คุณภาพใช้ได้ ภาษาอังกฤษดี ค่าตัวถูกกว่าจ้างคนอเมริกันอย่างน้อยก็ 4 เท่าครับ งานต่างๆที่สามารถจะส่งต่อไปทำที่อินเดียได้ จึงถูกส่งไปยัง บังกาลอร์ แหล่งบัณฑิตค่าจ้างถูกที่ประเทศอินเดีย ทุกวันนี้ งานออกแบบวิศวกรรม งานวิจัยทางเคมี ชีววิทยา งานทำบัญชี งานวิเคราะห์ระบบต่างๆ ของบริษัทอเมริกัน ต่างถูกส่งออกไปยังอินเดีย แมักระทั่งพนักงานรับโทรศัพท์ในโรงแรมที่อเมริกา ยังรับโทรศัพท์ พูดคุยและให้บริการลูกค้าอยู่ที่บังกาลอร์

คนอเมริกันที่เคยทำงานง่ายๆ เงินเดือนสูงๆ ต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ส่วนผู้ที่จบมาใหม่ โอกาสหางานก็ยากขึ้นทุกวันครับ แม้กระทั่งประเทศอังกฤษ สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษก็ยังออกมารายงานว่า ตอนนี้ คนอังกฤษตกงานจำนวนมากมีจำนวนผู้ไม่มีงานทำมากถึง 2.62 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

บัณฑิตตกงานมากมายในบ้านเราก็มีมากอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีการกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัวเรื่องประชาคมอาเซียน ก็ยิ่งสร้างความกังวลให้นิสิตนักศึกษาจำนวนกว่า 2 ล้านคนในบ้านเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในอีก 3-4 ปีข้างหน้านี้ ได้รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมืออย่างเสรีในกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ ซึ่งตอนนี้ตกลงไปแล้ว 7 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี ส่วนสาขาอื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและแน่นอนว่าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

วิศวกรไทยเงินเดือน 20,000 บาท แต่ถ้าคุณภาพสู้วิศวกรจากเวียดนามเงินเดือน 15,000 บาทไม่ได้ อีกหน่อยวิศวกรเวียดนามก็อาจเข้ามาทำงานแทน

การกำหนดเงินเดือนขั้นต่ำของประเทศก็ไม่ได้เป็นความมั่นคงอีกต่อไป เพราะไม่มีเจ้าของกิจการที่ไหนยอมขาดทุน หรือเสียเปรียบ เขาก็ต้องจ้างแรงงานที่ราคาถูกกว่าถ้าคุณภาพไม่ต่างกัน

ปัญหาที่น่าสนใจก็คือ ถ้าวันนี้เป็นนักเรียนอยู่มัธยม หรือเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แล้วจะทำอย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร จึงจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพวิ่งหางาน

คำตอบก็คือ ถ้าเราไม่ได้เรียนจบในสาขาต่อไปนี้

1. แพทยศาสตร์

2.เภสัชศาสตร์

3. พยาบาล

4. เทคนิคการแพทย์

5.ทันตแพทย์

6 ทหาร ตำรวจ (จปร.)

โอกาสจะได้งานนับว่ายากมาก

ดังนั้น แทนที่จะรอให้ปัญหามาถึง เราก็ป้องกันล่วงหน้า ด้วยการเตรียมพร้อม

คำแนะนำของผมก็คือ เราต้องตั้งเป้าหมายใหม่ แทนที่จะใช้แนวคิดค่านิยมเดิมๆ คือเรียนจบเพื่อให้ได้ปริญญา แล้วจะนำปริญญาไปสมัครเข้าทำงาน เราก็คิดเสียใหม่ว่าเราเรียนจบเพื่อทำงานได้ จะทำอย่างไร ให้ทำงานได้ นี่แหละครับคือสิ่งที่พวกเราต้องเตรียมตัว หลักการง่ายๆ ที่ใช้เพื่อเตรียมตัว เป็นผู้ ทำงานได้

1.ต้องมีวิชาชีพ

คนที่มีพ่อแม่ทำกิจการ ก็ต้องเริ่มไปช่วยกิจการเลย จะเป็นร้านเล็กๆ บริษัทใหญ่ๆ ก็แบ่งเวลาไปฝึกทำงาน พอเรียนจบมาก็ทำกิจการได้ มีงานทำทันที

ถ้าพ่อแม่ไม่ได้มีกิจการ ก็ให้ไปเรียนวิชาชีพ คือเรียนวิชาที่ประกอบอาชีพได้เลยด้วยตนเอง เช่น ทำขนม เสริมสวย ซ่อมคอมพิวเตอร์ ฝึกเล่นกีฬาเป็นอาชีพ ร้องเพลง เล่นดนตรี แสดงมายากล ถ่ายภาพ ตัดต่อหนัง ฯลฯ คือฝึกเป็นผู้ประกอบการ เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนแนวคิดเก่าๆ ที่ดูถูกคนทำงาน การทำงานเป็นสิ่งที่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งชำนาญ เพราะนอกจากจะสร้างงานด้วยตัวเองแล้ว ในอนาคตเมื่อกิจการเติบโตขึ้น เราอาจจะรับคนเข้ามาทำงานได้อีกด้วย

แนวคิดลักษณะนี้ได้แพร่หลายมากในสิงคโปร์ เขาพยายามสร้างผู้ประกอบการ โดยให้นักศึกษาได้เป็นผู้ประกอบการ ทำกิจการจริง เปิดแผง ขายของ รับออกแบบ พัฒนาสินค้าต่างๆ ออกขาย โดยรัฐบาลสนับสนุน ในเรื่องทุนและสถานที่ ซึ่งจะทำให้บรรดานักศึกษาเหล่านี้มีประสบการณ์และรู้จักการทำมาหากิน และหลายคนก็ทำเงินมีทุนดำเนินกิจการต่อ ก่อนที่จะเรียนจบ

2 ต้องฝึกวิชา ใช่

ผมมีหลักง่ายๆ มาให้ครับ เคล็ดไม่ลับในการฝึก วิชา ใช่ คือ สอง ร และสอง อ

ร เรียนรู้

ต้องเป็นผู้เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตนเอง ความรู้ต่างๆ ทุกวันนี้เกิดขึ้นมามากมาย คนที่พร้อมจะทำงาน ต้องมีนิสัยอยากรู้ และเรียนรู้ตลอดเวลา เราต้องดู และเรียนรู้ตนเอง จุดอ่อนที่ต้องพัฒนา เพื่อก้าวสู่เป้าหมายของเรา ทุกคนสำเร็จได้ ในวิถีของตนเองครับ คนที่ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้ตนเอง เรียนตามคนบอก เรียนตามกระแสไปเรื่อยๆ ยากที่จะสำเร็จครับ

ร รับผิดชอบ

ฝึกเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะไม่ว่างานใดๆ ถ้าขาดความรับผิดชอบ ถึงจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีใครต้องการให้มาอยู่ร่วมทีม ความรับผิดชอบเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการทำงานครับ

อ อดทน

เจ้าของกิจการมากมายมักบ่นให้ฟังว่า เด็กสมัยนี้ใจร้อน รอไม่ได้ ไม่อดทน ชอบทำงานเบาๆ แต่อยากได้เงินเดือนสูงๆ ชอบวันหยุดมากๆ เมื่อได้รับมอบหมายงานแล้วก็ไม่ต้องใจไม่อดทนไม่ทุ่มเท นั่นคือสิ่งที่เราต้องปรับปรุงฝึกฝน ต้องอดทนเพื่อความสำเร็จครับ คนที่เขาเป็นหัวหน้าดูเหมือนทำงานสบายเงินเดือนสูง ส่วนมากเขาก็ได้มาเพราะความอดทนนี่แหละครับ

อ อดกลั้น

ต้องฝึกอดกลั้นต่อความชั่วและสิ่งที่จะสร้างความวุ่นวายให้ชีวิต ลองถามตัวเองดูว่า เราโกรธง่ายเกินไปไหม อะไรก็ไม่พอใจ อะไรไม่เป็นอย่างที่หวัง เราก็โกรธ ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ไม่เคยฝึกจิตใจ ไม่อดกลั้น อารมณ์โกรธวูบเดียวก็อาจนำหายนะมาให้เราได้คนจำนวนไม่น้อยที่ โดนหลอก โดนต้มเพราะความโลภ เราโลภเกินไปไหม อะไรก็อยากได้ หลายคนอยากได้ จนต้องโกง คนมากมายพังก็เพราะความโลภนี่แหละครับ

เริ่มต้นสร้างคุณค่าในตัวเองกันเถอะครับ แล้วเราจะอยู่ในโลก 7,000 ล้านคนนี้อย่างมีความสุขและไม่ตกงาน
ที่มา Wiriya@EDUzones facebook อ.วิริยะ

ออฟไลน์ boykung

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,174
  • ตอนเด็กๆ โคตรอยากเป็นจีบันเลย
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 09:15:13 »
เห็นด้วยมากๆกับตรงที่ 2ร 2อ เลยครับ

เด็กสมัยนี้รักสบายกว่าเดิมมาก ขาดความอดทนอย่างที่สุด

ล่าสุดมีเด็กจบ ป.ตรีมาสมัคร แทนที่ผมจะถาม เด็กดันถามมาก่อนว่า หยุดวันเสาร์ไหม

อึ้งครับ ผมเลยได้แต่บอกว่า หยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว มีโอทุกวันด้วยถึง2ทุ่ม เด็กเค้าก็มันใจในตัวเองพูดมาได้เลยว่า "โห งานโหด เหนื่อยตายเลย"

อึ้งไปอีกหนึ่งดอก +stun ไป10วิ มันยังไม่ทันทำงาน ยังไม่รู้รายละเอียดงานเลยพูดงี้ละ เลยต้องบอกน้องไปตรงๆว่า พี่ว่าน้องกลับไปเรียนต่อโท แบมือขอเงินพ่อแม่แบบเก่าดีกว่านะ มันสบายดี
Hyundai Grand Starex 2012
Kia Rio 2013
Volvo XC60 D4 Hybrid with Engine Oil 2013
Mercedes Benz S300Hybrid AMG 2014
BMW 420D Coupe M Sport 2016

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 11:44:40 »
ผมเชื่อว่าการทำอะไรแล้วออกมาดีที่สุด ไม่ได้มาจากการทำด้วยความพยายามมากที่สุด
ผมเชื่อว่าการทำอะไรแล้วออกมาดีที่สุด มาจากการที่ทำแล้วเป็นธรรมชาติที่สุด ทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบ

ผมว่าเด็กไทย ไม่ค่อยได้มีโอกาศที่จะค้าหาตัวเอง ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆ เรียนๆไป คณะอะไร สายวิชาอะไร ดูซิ ... มีซักกี่คนที่เลือกเรียนเพราะชอบ
ที่เลือกเรียนก็เพราะจบมาแล้วเงินเดือนดี หางานง่าย อะไรทำนองนั้น

พ่อ-แม่ ก็มีหน้าที่คอยแนะนำ/ช่วยเหลือ ให้ลูกนำสิ่งที่ชอบมาพัฒนาเป็นอาชีพ

ครับ ... ความฝันมันกินไม่อิ่ม คุณต้องมีทางเลือกสำรองไว้ด้วย ถ้าสิ่งที่ชอบมันไม่สามารถทำมาหากินได้ ก็ต้องมีทางเลือกที่เป็น Second best, third best, ...

ลองถามลูกๆหลานๆน้องๆ ดูซิครับว่าโตมาอยากเป็นอะไร และเพราะอะไร


ออฟไลน์ nok

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 418
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 18:14:02 »
ได้ข้อคิดดีๆเยอะเลยครับ

ออฟไลน์ ___LOFT

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,771
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 21:18:05 »
ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลายอ่ะครับ
อยากเรียนวิศวกรรมยานยนต์ครับ เพราะผมว่าผมรักในด้านนี้เลยล่ะ ติดตาม ศึกษาข้อมูลมาโดยตลอด
เลยอยากทราบว่าในอนาคตข้างหน้า การเรียนและการทำงานทางด้านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะจะให้ไปเรียนแพทย์ ตำรวจ ทหาร ก็คงไม่ค่อยจะใช่ตัวเองเท่าไหร่ แห่ะ ๆ  :P
แนะนำด้วยนะคร้าบ ...

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2012, 23:47:40 »
ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลายอ่ะครับ
อยากเรียนวิศวกรรมยานยนต์ครับ เพราะผมว่าผมรักในด้านนี้เลยล่ะ ติดตาม ศึกษาข้อมูลมาโดยตลอด
เลยอยากทราบว่าในอนาคตข้างหน้า การเรียนและการทำงานทางด้านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะจะให้ไปเรียนแพทย์ ตำรวจ ทหาร ก็คงไม่ค่อยจะใช่ตัวเองเท่าไหร่ แห่ะ ๆ  :P
แนะนำด้วยนะคร้าบ ...


ดีครับ ดี ... ผมก็ไม่ได้ทำงานในด้านนี้เลยไม่รู้ว่างานจะออกมาเป็นไงน่ะ
แต่ดีใจที่เห็นน้องอยากเรียนวิศวะ เพราะรัก/สนใจในด้านนี้
ไม่เหมือนผม ...ตอนเอนท์ ที่เลือกวิศวะเพราะอยากใส่เสื้อช้อป ดูมันเท่ดี บวก ไม่ได้ขยันเรียนชีวะ เลยไปสายนั้นไม่ได้
ตอนนี้ถ้าให้เอนท์ใหม่ คงจะเลือกบัญชีครับ :)

ออฟไลน์ ___LOFT

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,771
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 00:05:00 »
ตอนนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมปลายอ่ะครับ
อยากเรียนวิศวกรรมยานยนต์ครับ เพราะผมว่าผมรักในด้านนี้เลยล่ะ ติดตาม ศึกษาข้อมูลมาโดยตลอด
เลยอยากทราบว่าในอนาคตข้างหน้า การเรียนและการทำงานทางด้านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างครับ เพราะจะให้ไปเรียนแพทย์ ตำรวจ ทหาร ก็คงไม่ค่อยจะใช่ตัวเองเท่าไหร่ แห่ะ ๆ  :P
แนะนำด้วยนะคร้าบ ...


ดีครับ ดี ... ผมก็ไม่ได้ทำงานในด้านนี้เลยไม่รู้ว่างานจะออกมาเป็นไงน่ะ
แต่ดีใจที่เห็นน้องอยากเรียนวิศวะ เพราะรัก/สนใจในด้านนี้
ไม่เหมือนผม ...ตอนเอนท์ ที่เลือกวิศวะเพราะอยากใส่เสื้อช้อป ดูมันเท่ดี บวก ไม่ได้ขยันเรียนชีวะ เลยไปสายนั้นไม่ได้
ตอนนี้ถ้าให้เอนท์ใหม่ คงจะเลือกบัญชีครับ :)
ครับผม พี่ว่า second best และ third best ของผมควรจะเป็นลักษณะไหนดีครับ ถ้าเกี่ยวกับด้านนี้

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 00:33:04 »
ตอบน้อง Raptor ครับ
โห ... อย่างงี้มันคุยกันยาวน่ะ

มันไปได้หลายทางหลาย level ครับ เขียนออกมาเป็น tree diagram ได้ 3 หน้าเลย

ตัวอย่างเช่น ...

ตื้นๆ ง่ายๆ ไม่ไกลมาก อาจจะมาดูว่า ถ้านอกจากทางวิศวกรรมยานยนต์แล้ว มีอะไรอย่างอื่นที่เราชอบ/สนใจอีก เป็นทางเลือกเผื่อซวย เอนท์ไม่ติดสาขาที่ตัวเองชอบ

หรือ ...............

ไกลหน่อย เอนท์ติด เรียนจบ แล้วล่ะ
เห็นคุณชอบเครื่องยนต์กลไก อยากรู้และสนใจว่าทำไงให้เครื่องมันแรงและประหยัดน้ำมัน คุณคงอยากทำงานแนวออกแบบ
แต่พอเรียนจบคุณอาจจะไม่ได้งานแนวนั้น หรือได้งานนั้นแล้วทำจริงๆกลับไม่ชอบซะงั้น คราวนี้ไปไหนต่อล่ะ ???

ก็ต้องดูว่าต้นทุนทางครอบครัวคุณมีมาขนาดไหน ถ้าที่บ้านมีกิจการของตัวเอง คุณก็มี 2-3 choices แล้ว
1. ช่วยงานที่บ้าน
2. ได้เงินจากที่บ้านมาลงทุนทำอะไรของตัวเอง
3. ไปเรียนต่อ เปลี่ยนแนว ตามความนิยมของคนไทย ก็ ต่อ MBA
4. ทำงานต่อไป อาจจะเปลี่ยนที่ใหม่แต่ก็เพื่อสะสมประสพการณ์ เก็บ skill level

คือผมอยากจะบอกว่าพยายามศึกษา options อื่นที่ตัวเองชอบ แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปทางนั้น แต่บางที่ไอ้สิ่งอื่นที่เราศึกษามันก็จะมีประโยชน์กับสิ่งที่เราทำอยู่ได้

สิ่งที่ผมว่าน่าจะช่วยให้คุณได้เห็นทางเลือกอื่นมากขึ้นคือการใช้ชีวิตช่วงมหาลัยนี้ล่ะครับ อย่าแค่เรียน+เล่น แค่นั้นจบ  ทำอย่างอื่นบ้าง จะได้เห็นความแตกต่างจากที่เพื่อนๆคุณเห็นไง

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,047
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 07:33:22 »
ขอบคุณครับ เป็นข้อเตือนใจได้อย่างดี

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,630
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 13:24:51 »
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆครับ

ผมโชคดีที่รู้จักตัวเองได้เร็ว และค่อนข้างโชคดี ที่มีผู้ใหญ่ หยิบยื่นโอกาสมาให้ตั้งแต่เรียนไม่จบ
เลยเลิกเรียนปริญญาตรีไปเลย เพราะเห็นแล้วว่า ไม่มีประโยชน์กับชีวิต  (เป็นความคิดส่วนตัว เพื่อตัวผมเองคนเดียวครับ
สำหรับคนอื่น ต้องดูตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล)

สำคัญที่สุดคือ ควรจะรู้จักตัวเอง ตั้งแต่ ม. 3 - ม. 4
แต่นั่นก็ออกจะลำบาก เพราะระบบการศึกษาสมัยนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เด็กรู้จักตัวเอง
มีแต่ยัดเยียดวิชาการให้ ในลักษณะ "เผื่อ" ให้เด็กติดตัวไปก่อน
ทั้งที่ความจริงแล้ว เรียนออกมา จบออกมา ความรู้เหล่านั้น มีทั้งเข้าหม้อ คืนครู
หรือจะต้องเอามาปรับใช้กันใหม่ เพราะไม่เหมือนที่สอนในตำราเลยก็มี

ใจผม อยากเห็น ระบบการศึกษาเมืองไทยตอนนี้ มีวิธีการใหม่ๆ เข้ามา ช่วยให้เด็กรู้จักตัวเองเร็วขึ้น

ผมว่าพอมีวิธีอยู่นะ

ช่วงปิดเทอมใหญ่ น่าจะมีองค์กรอะไรสักอย่าง เชิญผู้ประกอบการ บริษัทใหญ่ๆโตๆ
จากแต่ละธุรกิจมา เช่น Unilever Toyota CP true ฯลฯ มาาร่วมกันเปิดงานนิทรรศการ
ช่วงเดือน กันยายน ของทุกปี ให้เด็กและเยาวชน อายุต่ำกว่า 17 ปี เข้าฟรี
เพื่อให้เข้ามาได้เห็นการจำลองของจริง มีผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละองค์กร มาพูดคุยกัน
กับเด็กๆ ของเรา งานจัดสัก 3 - 5 วันพอ ตามความเหมาะสม

สถานที่ ก็ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ หรือ ไบเท็ค ที่สะดวกต่อการเดินทาง ของเด็กๆ มีรถไฟฟ้าผ่าน
ไม่ควรเป็นอิมแพ็ค เพราะไกลเกินไป เดินทางไม่สะดวก ถ้าไม่ใช่รถตู้

ทีนี้ ใครสนใจเข้าบูธไหน อุตสาหกรรมไหน หรือธุรกิจประเภทไหน เดินเข้าไปดูเลย
เขาจะได้ความรู้ และภาพบางอย่าง ติดหัวกลับไปบ้าน ไปนั่งคิดต่อ น่าจะพอช่วยได้ระดับหนึ่ง


ออฟไลน์ dumrongkiat

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 63
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 13:57:27 »
เห็นด้วยกับคุณ จิมมี่ ครับ จบ ปริญญา ไม่ใช่สุดท้ายของชีวิต ดูอย่างคนที่ได้รับความสำเร็จระดับโลก มีหลายคนเลยที่ เรียนไม่จบ ป.ตรี นะครับ เพราะเขาค้นพบตัวเอง แล้วออกมาอยู่กับตัวเอง ทำตามที่ตัวเองชอบ วิจัยเชิงลึกไปเรื่อยๆ จนพบแก่นแท้ แล้วก็ได้รับความสำเร็จ เช่น
10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย
1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น
2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Chanel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง
3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน
4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motorเขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ
5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก
6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Appleเรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์
7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร
8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลกกว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"
9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลกเล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี
10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebookผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก

ออฟไลน์ ___LOFT

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,771
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 15:34:21 »
ตอบน้อง Raptor ครับ
โห ... อย่างงี้มันคุยกันยาวน่ะ

มันไปได้หลายทางหลาย level ครับ เขียนออกมาเป็น tree diagram ได้ 3 หน้าเลย

ตัวอย่างเช่น ...

ตื้นๆ ง่ายๆ ไม่ไกลมาก อาจจะมาดูว่า ถ้านอกจากทางวิศวกรรมยานยนต์แล้ว มีอะไรอย่างอื่นที่เราชอบ/สนใจอีก เป็นทางเลือกเผื่อซวย เอนท์ไม่ติดสาขาที่ตัวเองชอบ

หรือ ...............

ไกลหน่อย เอนท์ติด เรียนจบ แล้วล่ะ
เห็นคุณชอบเครื่องยนต์กลไก อยากรู้และสนใจว่าทำไงให้เครื่องมันแรงและประหยัดน้ำมัน คุณคงอยากทำงานแนวออกแบบ
แต่พอเรียนจบคุณอาจจะไม่ได้งานแนวนั้น หรือได้งานนั้นแล้วทำจริงๆกลับไม่ชอบซะงั้น คราวนี้ไปไหนต่อล่ะ ???

ก็ต้องดูว่าต้นทุนทางครอบครัวคุณมีมาขนาดไหน ถ้าที่บ้านมีกิจการของตัวเอง คุณก็มี 2-3 choices แล้ว
1. ช่วยงานที่บ้าน
2. ได้เงินจากที่บ้านมาลงทุนทำอะไรของตัวเอง
3. ไปเรียนต่อ เปลี่ยนแนว ตามความนิยมของคนไทย ก็ ต่อ MBA
4. ทำงานต่อไป อาจจะเปลี่ยนที่ใหม่แต่ก็เพื่อสะสมประสพการณ์ เก็บ skill level

คือผมอยากจะบอกว่าพยายามศึกษา options อื่นที่ตัวเองชอบ แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปทางนั้น แต่บางที่ไอ้สิ่งอื่นที่เราศึกษามันก็จะมีประโยชน์กับสิ่งที่เราทำอยู่ได้

สิ่งที่ผมว่าน่าจะช่วยให้คุณได้เห็นทางเลือกอื่นมากขึ้นคือการใช้ชีวิตช่วงมหาลัยนี้ล่ะครับ อย่าแค่เรียน+เล่น แค่นั้นจบ  ทำอย่างอื่นบ้าง จะได้เห็นความแตกต่างจากที่เพื่อนๆคุณเห็นไง
ขอบคุณพี่ scotch_fillet มากเลยนะครับสำหรับคำแนะนำ ผมได้แนวคิดอะไรหลายมากเลยล่ะ
ตอนนี้ขอให้ได้เรียนทางด้านนี้ก่อน ทำให้เต็มที่ เพราะว่าเป็นที่ 1 ในใจเลย ส่วนการทำงานรูปแบบต่างๆ จากที่พี่แนะนำผมมา อันนี้ก็ต้องดูกันอีกทีล่ะครับ อนาคตข้างหน้าก็ไม่ทราบว่าอะไรจะเปลี่ยนไปบ้าง ตอนนี้ก็กำลังศึกษาข้อมูลอยู่น่ะ่ครับ  :)

ออฟไลน์ ___LOFT

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,771
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 15:51:10 »
เป็นกระทู้ที่ดีมากๆครับ

ผมโชคดีที่รู้จักตัวเองได้เร็ว และค่อนข้างโชคดี ที่มีผู้ใหญ่ หยิบยื่นโอกาสมาให้ตั้งแต่เรียนไม่จบ
เลยเลิกเรียนปริญญาตรีไปเลย เพราะเห็นแล้วว่า ไม่มีประโยชน์กับชีวิต  (เป็นความคิดส่วนตัว เพื่อตัวผมเองคนเดียวครับ
สำหรับคนอื่น ต้องดูตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล)

สำคัญที่สุดคือ ควรจะรู้จักตัวเอง ตั้งแต่ ม. 3 - ม. 4
แต่นั่นก็ออกจะลำบาก เพราะระบบการศึกษาสมัยนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เด็กรู้จักตัวเอง
มีแต่ยัดเยียดวิชาการให้ ในลักษณะ "เผื่อ" ให้เด็กติดตัวไปก่อน
ทั้งที่ความจริงแล้ว เรียนออกมา จบออกมา ความรู้เหล่านั้น มีทั้งเข้าหม้อ คืนครู
หรือจะต้องเอามาปรับใช้กันใหม่ เพราะไม่เหมือนที่สอนในตำราเลยก็มี

ใจผม อยากเห็น ระบบการศึกษาเมืองไทยตอนนี้ มีวิธีการใหม่ๆ เข้ามา ช่วยให้เด็กรู้จักตัวเองเร็วขึ้น

ผมว่าพอมีวิธีอยู่นะ

ช่วงปิดเทอมใหญ่ น่าจะมีองค์กรอะไรสักอย่าง เชิญผู้ประกอบการ บริษัทใหญ่ๆโตๆ
จากแต่ละธุรกิจมา เช่น Unilever Toyota CP true ฯลฯ มาาร่วมกันเปิดงานนิทรรศการ
ช่วงเดือน กันยายน ของทุกปี ให้เด็กและเยาวชน อายุต่ำกว่า 17 ปี เข้าฟรี
เพื่อให้เข้ามาได้เห็นการจำลองของจริง มีผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละองค์กร มาพูดคุยกัน
กับเด็กๆ ของเรา งานจัดสัก 3 - 5 วันพอ ตามความเหมาะสม

สถานที่ ก็ ศูนย์ฯ สิริกิติ์ หรือ ไบเท็ค ที่สะดวกต่อการเดินทาง ของเด็กๆ มีรถไฟฟ้าผ่าน
ไม่ควรเป็นอิมแพ็ค เพราะไกลเกินไป เดินทางไม่สะดวก ถ้าไม่ใช่รถตู้

ทีนี้ ใครสนใจเข้าบูธไหน อุตสาหกรรมไหน หรือธุรกิจประเภทไหน เดินเข้าไปดูเลย
เขาจะได้ความรู้ และภาพบางอย่าง ติดหัวกลับไปบ้าน ไปนั่งคิดต่อ น่าจะพอช่วยได้ระดับหนึ่ง



ผมจำได้ว่าเคยมีโครงการนึงที่ TMC ร่วมกับ Toyota จัดขึ้นน่ะครับ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 ภายหลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย พี่จิมมี่พอจะทราบรายละเอียดหรือเปล่าครับ  :)

ออฟไลน์ SP

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,744
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 16:52:30 »
กระทู้นี้ให้ข้อคิดดีมากครับ ตอนนี้ผมอยู่ ม.5 แล้ว ปีหน้าต้องเอนท์ล่ะ แต่พี่ๆจะเชื่อมั้ยครับ ผมยังหาตัวเองไม่เจอเลย

ผมเรียนวิทย์-คณิต จนถึงตอนนี้ผมยังย้อนกลับไปคิดว่าผมคิดถูกหรือเปล่าที่ผมมาเรียนแผนนี้ เพราะเกรดไม่ไ้ด้เรื่องเลยครับ

ผมก็เลยคิดว่าถ้ามีสอบอะไรผมจะไปสอบหมดทุกที่ ติดไหนเรียนนั่น หรือถ้าอับจนหมดหนทางจริงๆ ก็เรียนสายอาชีพเลยครับ

อย่างน้อยก็ตรงกับกิจการของที่บ้านอ่ะครับ แล้วยิ่งอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเปิดอาเซียน งานคงจะยิ่งหายากมากขึ้นแน่ๆ




ออฟไลน์ DArkMaster

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 963
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 19:46:48 »
ผมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าอยากทำอะไร

        เรียนจบนิติศาสตร์มา(เพราะที่บ้านอยากให้เรียน) กำลังเรียนต่อเนติฯ สายอาชีพผมเป็นอะไรที่ต้องอ่านหนังสือเยอะมากมันเป็นอะไรที่ผมเกลียดมากๆเลยยังงงตัวเองเลยว่าจบมาได้ยังไง ณ ตอนนี้ยังไม่มีจุดหมายเรียนให้สูงๆไว้ก่อน
        ที่บ้านก็มีธุรกิจอยู่แต่เนื่องจากคู่แข่งเยอะขึ้นเลยต้องหาดูธุรกิจเสริมมารองรับอีก ผมมีน้องสาวอีกคนนึงว่าจะให้น้องมันทำธุรกิจที่บ้านไป ส่วนผมจะออกมาหาอยากอื่นทำแทน
       ตอนนี้ก็มีทางเลือกสามทาง
1.เรียนเนติฯต่อไปแล้วสอบเข้ารับราชการ(เป็นอัยการ/ผู้พิพากษา)ให้ได้
2.เรียนเนติฯจบแล้วไปต่อโทที่เมืองนอก ถ้าไหวก็จะต่อเอกแล้วกลับมาเปิดlawfirmที่ไทย
3.เรียนเนติฯจบ/ไม่เรียนต่อ กลับไปทำสวนที่บ้านอยู่แบบสบายใจ
       ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป ผมอ่านเยอะจนบางครั้งเบลอ เบลอจนงง พูดอะไรงงๆออกไปบ่อยจนแฟนทัก เห้ออออ ชีวิตรันทดครับผม T.T

GreenG

  • บุคคลทั่วไป
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 19:57:14 »
ผมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าอยากทำอะไร

        เรียนจบนิติศาสตร์มา(เพราะที่บ้านอยากให้เรียน) กำลังเรียนต่อเนติฯ สายอาชีพผมเป็นอะไรที่ต้องอ่านหนังสือเยอะมากมันเป็นอะไรที่ผมเกลียดมากๆเลยยังงงตัวเองเลยว่าจบมาได้ยังไง ณ ตอนนี้ยังไม่มีจุดหมายเรียนให้สูงๆไว้ก่อน
        ที่บ้านก็มีธุรกิจอยู่แต่เนื่องจากคู่แข่งเยอะขึ้นเลยต้องหาดูธุรกิจเสริมมารองรับอีก ผมมีน้องสาวอีกคนนึงว่าจะให้น้องมันทำธุรกิจที่บ้านไป ส่วนผมจะออกมาหาอยากอื่นทำแทน
       ตอนนี้ก็มีทางเลือกสามทาง
1.เรียนเนติฯต่อไปแล้วสอบเข้ารับราชการ(เป็นอัยการ/ผู้พิพากษา)ให้ได้
2.เรียนเนติฯจบแล้วไปต่อโทที่เมืองนอก ถ้าไหวก็จะต่อเอกแล้วกลับมาเปิดlawfirmที่ไทย
3.เรียนเนติฯจบ/ไม่เรียนต่อ กลับไปทำสวนที่บ้านอยู่แบบสบายใจ
       ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป ผมอ่านเยอะจนบางครั้งเบลอ เบลอจนงง พูดอะไรงงๆออกไปบ่อยจนแฟนทัก เห้ออออ ชีวิตรันทดครับผม T.T

ชีวิตคล้ายๆ พี่ครับ แต่พี่จบนิติ แล้วไปเรียนต่อ ป.ตรีใหม่

เพราะพี่ก็คิดแบบน้องครับ สายงานนิติ หางานไม่ง่าย ที่ตรงสาย

พี่ว่าควรจะเลือกว่าจะทำต่อไหม เนติ มันดีแต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ และไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ช่วยได้

เส้นทางยังมีอีกมากครับ ขอให้เรามองให้ออก

ตอนนี้พี่ต่อโท(แต่ไม่ใช่นิติ) พี่รู้สึกว่า พี่คิดถูกแล้วครับ เพราะเห็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน น่าสงสารมาก ไม่มีใครทำงานเลย หรือทำไปก็ไม่คุ้มเงินเดือน

HIGHSEA

  • บุคคลทั่วไป
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 20:15:36 »
ทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตแบบไม่คาดหวังอะไรในชีวิตเท่าใหร่. ผมมองดูเพื่อนๆที่จบมา คนที่เรียนเก่งเขาสามารถเลือกทางเดินชีวิตได้ครับ เลือกแล้วก็สอบได้แล้วก็เรียนตามนั้น. ส่วนคนที่ไม่เก่งก็เรียนไปตามที่ตัวเองสอบได้. แต่การเรียนบ่งบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ ถ้าเรามีโอกาสเรียนหรือทำอะไรได้ก็ทำให้สุดๆไปเลยครับ. เพื่อนที่จบมาด้วยกันทำงานไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาเลยเยอะมากครับ. มาเปิดร้านล้างรถ ร้านกาแฟ ปั้มน้ำมัน ธุรกิจความงามชื่อดัง ทั้งๆตอนเรียนก็ไม่เก่งอะไร. เมามาด้วยกัน 55555 แต่อย่างว่าครับ มันมีปัจจัยอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิต แต่สุดท้ายแล้วผมอยากไปทำสวนนะ ต่อเงินไม่มีสักบาท เราก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้. นี่เป็นเรื่องสำคัญครับ. ตราบใดที่เราต้องอาศัยคนอื่นมากเท่าใหร่ ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น. เราต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง. หลายครอบครัวมาทำงานหาเงิน พอไม่มีงานก็กลับบ้านไปช่วยพ่อแม่ทำสวน ผมว่าบุคคลเหล่านี้จะอยู่รอดได้. ไม่มีเงินไม่เท่าใหร่. แต่ไม่กินจะอยู่ไม่ได้มากกว่า

ออฟไลน์ DArkMaster

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 963
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 20:23:31 »
ผมก็ยังไม่รู้ตัวเองเลยว่าอยากทำอะไร

        เรียนจบนิติศาสตร์มา(เพราะที่บ้านอยากให้เรียน) กำลังเรียนต่อเนติฯ สายอาชีพผมเป็นอะไรที่ต้องอ่านหนังสือเยอะมากมันเป็นอะไรที่ผมเกลียดมากๆเลยยังงงตัวเองเลยว่าจบมาได้ยังไง ณ ตอนนี้ยังไม่มีจุดหมายเรียนให้สูงๆไว้ก่อน
        ที่บ้านก็มีธุรกิจอยู่แต่เนื่องจากคู่แข่งเยอะขึ้นเลยต้องหาดูธุรกิจเสริมมารองรับอีก ผมมีน้องสาวอีกคนนึงว่าจะให้น้องมันทำธุรกิจที่บ้านไป ส่วนผมจะออกมาหาอยากอื่นทำแทน
       ตอนนี้ก็มีทางเลือกสามทาง
1.เรียนเนติฯต่อไปแล้วสอบเข้ารับราชการ(เป็นอัยการ/ผู้พิพากษา)ให้ได้
2.เรียนเนติฯจบแล้วไปต่อโทที่เมืองนอก ถ้าไหวก็จะต่อเอกแล้วกลับมาเปิดlawfirmที่ไทย
3.เรียนเนติฯจบ/ไม่เรียนต่อ กลับไปทำสวนที่บ้านอยู่แบบสบายใจ
       ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อไป ผมอ่านเยอะจนบางครั้งเบลอ เบลอจนงง พูดอะไรงงๆออกไปบ่อยจนแฟนทัก เห้ออออ ชีวิตรันทดครับผม T.T

ชีวิตคล้ายๆ พี่ครับ แต่พี่จบนิติ แล้วไปเรียนต่อ ป.ตรีใหม่

เพราะพี่ก็คิดแบบน้องครับ สายงานนิติ หางานไม่ง่าย ที่ตรงสาย

พี่ว่าควรจะเลือกว่าจะทำต่อไหม เนติ มันดีแต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้ และไม่ใช่ทุกคนจะเป็นผู้ช่วยได้

เส้นทางยังมีอีกมากครับ ขอให้เรามองให้ออก

ตอนนี้พี่ต่อโท(แต่ไม่ใช่นิติ) พี่รู้สึกว่า พี่คิดถูกแล้วครับ เพราะเห็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน น่าสงสารมาก ไม่มีใครทำงานเลย หรือทำไปก็ไม่คุ้มเงินเดือน
ไม่ทราบว่าต่อโท สายอะไรหรอครับ ผมว่าจะต่อโทภาษีกะไปสายหาเงินอ่ะครับ

ออฟไลน์ vellcap

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,981
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 21:26:29 »
ผมเองยังไม่รู้เลยครับว่าอยากจะเข้าอะไร เครียดอยู่เลย

ออฟไลน์ ch>.<

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 102
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 23:37:10 »
ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศแห่งโอกาสในการสร้างธุรกิจเหมือนเมืองนอกขนาดนั้น

เห็นน้องอยากเรียนวิศวมีคำแนะนำเดียวคือเรียนให้เก่ง มันใจให้ได้ว่าเก่งมากๆ วิศวมีหลากหลายเปิดทุกมหาลัย มีตั้งแต่โดนแย่งตัวกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จนถึงจบมาเป็นปีๆแล้วไม่มีใครแลขอเงินพ่อแม่เรียนโท,ไปเมืองนอกก็ว่ากันไป หรือพ่อแม่ไม่มีเงินก็ตกงานกันไป
อยากได้งานดีๆน้องต้องตั้งใจเรียนเข้ามหาลัยดังๆให้ได้ครับ แล้วก็หาความชอบของตัวเองให้เจอว่าชอบด้านไหนครับ วิศวกรรมเป็นโลกที่กว้างมากๆลำพังแค่ปริญญาไม่เพียงพอหรอกครับ ที่บอกว่าให้น้องเข้ามหาลัยดังๆให้ได้เพื่อให้น้องไปหาโอกาสเรียนรู้ต่อจากการทำงานในองกรค์ดีๆเมื่อได้เข้าไปน้องจะกลายเป็นวิศวกรอีกแบบนึงที่แตกต่างกับวิศวกรเด็กๆที่จบใหม่ๆ และความมั่นคงมันจะตามมาเอง

ปล.ผมเห็นด้วยว่าบัญชีดีกว่าเพราะมันเป็นวิชาชีพได้ครับ (ผมเป็นวิศวกร น้องสาวบัญชีคับ)

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2012, 23:57:45 »
เห็นด้วยกับคุณ จิมมี่ ครับ จบ ปริญญา ไม่ใช่สุดท้ายของชีวิต ดูอย่างคนที่ได้รับความสำเร็จระดับโลก มีหลายคนเลยที่ เรียนไม่จบ ป.ตรี นะครับ เพราะเขาค้นพบตัวเอง แล้วออกมาอยู่กับตัวเอง ทำตามที่ตัวเองชอบ วิจัยเชิงลึกไปเรื่อยๆ จนพบแก่นแท้ แล้วก็ได้รับความสำเร็จ เช่น
10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย
1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น
2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Chanel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง
3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน
4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motorเขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ
5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก
6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Appleเรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์
7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร
8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลกกว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"
9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลกเล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี
10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebookผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก


ถูกต้องครับ เห็นด้วยว่าปริญญาไม่ใช่คำตอบอย่างเดียวของชีวิต
แต่ขอมองต่างนิดนึกน่ะครับ ... ก็จริงอยู่ที่ในบรรดา Top 100 Millionaire จะมีซัก 10-20 คนที่ไม่ได้เรียนป.ตรี แต่ในบรรดาคนที่ไมได้เรียนป.ตรีทั้งหมด จะมีซักกี่คนที่จะประสพความสำเร็จขนาดนั้น คนที่กล้าที่จะทิ้งการเรียนป.ตรีมาทำตามความตั้งใจของตัวเอง แต่ไม่ประสพความสำเร็จน่ะเยอะกว่าน่ะครับ

ไม่ได้จะห้ามไม่ให้คิดนอกกรอบหรือทิ้งความฝันน่ะครับ แต่มาเตือนว่าถ้าทำไม่สำเร็จ หรือ เอื้อมไม่ถึงฝัน ก็หา Plan B ไว้บ้างเด้อ

ออฟไลน์ scotch_fillet

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,519
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 00:09:43 »
แล้วก็ขอฝากไว้นิดนึงครับ

ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

ผู้แต่งคือ รศ. วิทยากร เชียงกูล ตัวอาจารย์ผู้ประพันธ์คงจะผิดหวังกับการเรียนการสอนป.ตรีสมัยนั้น แต่ท่านก็ยังเรียนจนจบ และจบป.โทด้วย แต่ที่ไม่ถึง Ph.D เพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่างท่านจึงหยุดเรียนก่อน จบดอกเตอร์

ขนาดผู้แต่งที่เห็นปริญญาเป็นแค่กระดาษเพียงแผ่นเดียว ยังเรียนต่อจนถึงดอกเตอร์ ... ผมว่าการศึกษามันก็สำคัญในระดับนึงล่ะครับ

จะชอบ ไม่ชอบที่เรียนมา คิดเสียว่าอย่างน้อยจบมาก็ได้ใบเบิกทางมาก็แล้วกันครับ

ออฟไลน์ 6162002

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,085
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 01:10:17 »
เรื่องธรรมดาครับ เหมือนวงการธุรกิจ ใครปรับตัวไม่ได้ก็ตายไป คิดแบบเดิมๆ ไม่มีทางอยู่ได้ในยุคที่อะไรๆเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

ตอนนี้ผมเรียน ป.โท อยู่  เช้าเรียน บ่ายส่งของ (ขายของในเนต) เสาร์อาทิตย์สอนพิเศษ
แต่เสาร์-อาทิตย์ ตอนนี้เข้าอบรม หลักสูตร ผุ้ประกอบการใหม่ของกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วครับ

ผมไม่ยอมไปลงเอยด้วยการไปเป็นลูกจ้างเงินเดือนหมื่นกว่าบาทแน่นอน >_<

ออฟไลน์ YIM

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,013
  • ไม่น่ารัก เราไม่มอง!!
    • อีเมล์
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 01:27:18 »
ขอบคุณครับ

ผมเองก็ยังมึนๆ เหมือนกัน จบเภสัช ทำงานผู้แทนมาเกือบๆ ปี พอมันคิดว่าไม่ใช่ตัวเอง ตอนนี้ผมก็ไปเรียนแพทย์ต่อ

บางทีผมก็ยังสงสัยว่า อีก 10 ปีผมจะยังอยู่ดีมีสุขเหมือนกันหรือเปล่า เพราะอะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน สมัยนี้ แค่เรียนเก่งๆ หางานดีๆ ทำ มันไม่พอหรอกครับ มันต้องมีวิธีคิดด้วย ไม่งั้นก็คงได้เป็นแค่ฟันเฟืองที่ทำหน้าที่หาเงินให้คนอื่นใช้เท่านั้นเอง
JDM เท่านั้น จะครองโลก!

ออฟไลน์ ChiLun

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,380
  • F10 525d M sport
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 03:01:59 »

เพิ่งได้เข้ามาอ่านและเห็นด้วยกับคุณจิมมี่ในเรื่องต้องคนหาตัวเองให้เจอ(เร็วที่สุด)

ผมเรียนวิศวะเกษตรจนถึงปี2แล้วก็ออกมาทำธุรกิจส่วนตัว สุดท้ายคือเรียนไม่จบ ต่อรามก็ยากจะจบเพราะใจมันไม่เรียนซะแล้ว
แต่ที่รู้ตอนนั้นคืออยากทำธุรกิจและไม่ปล่อยให้โอกาสลอยผ่าน ต้องเข้าไปหาโอกาสไม่ใช่รอให้มันมาหาเรา ทุกวันนี้เลยถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง

ระบบการศึกษาผมว่ามันสอนให้เราเป็นลูกจ้างมากกว่าเป็นนาย และไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับแบบตรงไปตรงมา แต่ประสบการณ์จากการลงมือทำจะสอนเราแบบตรงไปตรงมาที่สุด.



ออฟไลน์ NINENOI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,723
  • Nine & Knight
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 08:36:52 »
ขอบคุณมากครับ

ผมว่าปัญหาของส่วนใหญ่คือกว่าจะหาตัวเองพบอาจใช้เวลานานมาก บางคนแทบทั้งชีวิตเลยส่วนหนึ่งผมโทษระบบการศึกษานะไม่ค่อยส่งเสริมให้คิดเองเท่าไหร่ เป็นระบบยัดเยียดซะมากกว่า ตอนเรียนผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียนไปทำไมซะด้วยซ้ำ พอได้มาทำงานจริงๆแล้วน่าจะเรียนทางอุตสาหการมากกว่าเหมาะกับนิสัยและความถนัด

ลองถามคนเรียนโทดูบางคนเรียนโทเพราะพ่อแม่อยากให้เรียนสูงๆ ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร ทำงานแล้วเหนื่อยเรียนสบายกว่าแบมือขอเงินดีกว่า (อันนี้เคยถามเพื่อนที่เรียนโท จบตรีแล้วทำงานที่ศูนย์นิสสันแต่บ่นว่าเงินเดือนได้น้อยกว่าตอนเรียนซะอีกเลยหาเรื่องต่อโท) ถ้าเป็นที่เมืองนอกเค้าจะทำงานก่อนเมื่อรู้ว่าตัวเองขาดอะไรหรือสนใจอะไรก็ค่อยเรียน



ป.ล. ผมมีความสามารถทางคณิตศาสตร์ค่อนข้างสูงนะ แต่ทำงานโรงงานกลับพบว่าต่อให้ผมคำนวณเก่งกว่านี้อีกเท่าตัวก็สู้พวกที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้วันๆเดินตามแต่ญี่ปุ่นไม่ได้เลย ต่อให้คิดโปรเจคดีแค่ไหนวิเคราะห์เจ๋งเท่าไหร่ก็ไม่มีประโยชน์บางทีกลับเป็นโทษซะอีก
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น

ออฟไลน์ balliblue

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,384
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 22:20:47 »
ใช่ครับ การศึกษาและสังคมไทย เป็นสังคมที่ไม่ให้โอกาสเด็กๆได้เลือกครับ พ่อแม่นิยมให้ลูกเรียน เรียนให้เก่งๆ เด็กก็เอาแต่เรียนๆ กวดวิชา แต่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตครับ ว่าอยากเป็นอะไร แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้น แต่สมัยรุ่นก่อนๆ ไม่มีเลยครับ เด็กอยากเป็นศิลปิน นักร้อง ไม่มีเวที อยากเป็นจิตรกร ไม่มีแกลเลอรี่ ไม่มีงาน อยากเป็นสถาปนิก มัณฑนศิลป์ ก็ไม่มีงานรองรับ  เมืองไทยถึงมีคนจบด็อกเตอร์มากมายแต่เอาไปสร้างสรรค์อะไรไม่ค่อยจะได้ เพราะขาดแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ครับ และภาครัฐก็ไม่สนับสนุนให้มากเท่าที่ควรอีกด้วย ขนาดผมเองบัดนี้อายุ 25 แล้วรู้ว่าตัวเองชอบอะไรนะ แต่มันสายไปแล้ว หันหลังกลับไปมันก็ไม่ทันแล้วก็ต้องเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆละ  เซ็งชีวิต ลิขิตไม่ได้

promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2012, 22:57:44 »
เมืองไทย ให้เด็กคิดเอง หาหนทางเอาเอง คงไม่มีพ่อแม่คนไหนลอง

เพราะเด็กไทยไม่กล้าทำ มีแต่คิดเพ้อฝัน ไปเรื่อย

กว่าจะรู้ตัวว่าชอบอะไรก็สาย อายุก็เข้ากลางคนแล้ว

เมืองนอก เด็กจะทำงานหาเงินเอง ค้นพบตัวเองได้เร็ว ไม่ต้องแบมือขอเงินพ่อแม่

ไม่อยากให้เอาคนที่ไม่จบปริญญาแล้วทำงานใหญ่โต รวย เป็นที่ตั้ง เพราะเด็กจะเข้าใจผิด คิดว่า โดดเรียน

หนีเรียน ยังสามารถประสบความสำเร็จได้ (มันเป็นจริงสัก 1 ในสิบล้านคน)

สุดท้ายก็ล้มทั้งเพ ไปไม่ถึงไหน

สู้ตั้งใจเรียน แล้วทำสิ่งที่อยากทำให้เป็นงานอดิเรก ถ้างานอดิเรกมันดี ค่อยลาออกมาทำ ให้มันดียิ่งขึ้น รวยยิ่งขึ้น

กำขี้ ดีกว่ากำตดครับ

ออฟไลน์ Action

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,667
Re: วิธีเอาตัวรอดของบัณฑิต ยุคประชากร 7 พันล้านคน
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 18:16:09 »
เห็นด้วยครับในเรื่อง 2ร 2อ เนื่องจากเด็กสมัยนี้ไม่ค่อยจะมีกันเลย ขนาดแค่มาฝึกงานก็ยังเอาตัวแทบไม่รอด

ยังไงผมขออนุญาตนำเรื่อง 2ร 2อ ไปเล่าให้กับนักศึกษาฟังนะครับ พอดีได้รับเชิญเป็นวิทยากรพิเศษในอาทิตย์หน้า

ยังไงผมก็ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ เป็นเรื่องที่ดีมากเลยสำหรับพ่อแม่ลูกที่กำลังวางแผนชีวิตการเรียน ;D
ถึงรถผมจะไม่แรง แต่ก็ยังแซงทุกคันไม่เว้น...
Honda Civic 3dr. '96
Chrysler Neo '98
BMW 320i '01
Honda Civic FD 2.0 '06 > Sold
Mazda BT-50 Pro '12