เริ่มแรกจากเจเนอเรชั่นที่แล้วของ Ford Fusion ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ไม่ได้เข้าตาผมเลยสักนิด
ไม่เคยจะเหลียวเลยเพราะได้เห็นถึงอุปกรณ์ชิ้นส่วนภายในรถของ Fusion ตัวที่แล้วนั้นรับไม่ได้ในสายตาของผม
การกลับมาคราวนี้ผมรู้สึกถึงความตั้งใจของฟอร์ดที่จะทำรถคันนี้ให้ดีกว่าเก่าแล้วน่าใช้มากขึ้นอีก
จุดเริ่มต้นมาจากคูปองใบเดียวซึ่งทำให้ผมได้เช่ารถคันนี้ในราคาซึ่งตกแล้ววันละ 300 บาทไทย
ในการที่มาเจอคูปองที่กำลังจะหมดอายุในวันสุดท้ายทำให้ผมตัดสินใจอะไรไม่ได้มาก
เลยกดจองรถ Standard Car ไป ซึ่งรถในหมวดนี้มี Nissan Altima Coupe, Mitsubishi Galant, Ford Mustang
ตอนแรกก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก Nissan Altima Coupe ก็น่าลองเหมือนกัน
แต่ขณะที่เดินผ่านกำลังจะเข้าไปในออฟฟิศของรถเช่าผมได้มาสะดุดตากลับกระจังหน้า Aston Martin like ของ Fusion คันนี้
ผมเลยตัดสินใจขอเช่าคันนี้มาแทนด้วยการเพิ่มเงินอีกนิดเดียว นี่คือจุดเริ่มต้นของการทดสอบในครั้งนี้
สภาพของรถโดยรวมถือว่าสดใหม่มาก เลขไมล์อยู่ที่ 12700 กว่าๆ กลิ่นใหม่ยังคงอยู่ เช็คลมยางเรียบร้อยพร้อมทดสอบ
ประจวบเหมาะกับวันว่างเลยลากเพื่อนขึ้นไปทดสอบรถด้วยกันที่ Lake Arrowhead กับ Big Bear Lake
ซึ่งทางขึ้นเขาเป็นทางคดเคี้ยวเหมาะแก่การจับอาการโยนตัวของรถและความเกาะถนนเป็นอย่างมาก
(ถ้าเปิด Google Map ดูจะเห็นได้ว่าทางนี้โค้งเยอะมาก) พวงมาลัยให้น้ำหนักที่เบา
แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้นน้ำหนักจะแปรผันตามความเร็วซึ่งเมื่อขับที่ความเร็ว 140 กิโลเมตรแต่ชั่วโมงโดยไม่มีความกังวลใจแต่อย่างใดครับท่านผู้อ่าน
ช่วงล่างเซตมา นิ่ม,หนึบ,เกาะ ซึ่งตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ตอนแรกมาก ผมนึกว่าล้อ 18 นิ้วกับยางขอบบางที่ให้มานั้นจะทำให้รถกระด้าง
แต่ไม่เลยสักนิด! เข้าโค้งแต่ละโค้งบนเขาทำให้สัมผัสถึงการโยนตัวที่ยังมีให้เห็นอยู่
ผมได้ลองถึงลิมิทของรถโดยการเข้าโค้งหักศอกที่ความเร็วเกินกว่ากำหนด แต่ทว่าเค้าเอาอยู่ครับ.....
รถไม่ได้มีอาการแถใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยกความดีไปให้ยาง Good Year Eagle LS2 ที่รัดมาจากโรงงานด้วย จุดนี้ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
ล้อ 10 ก้าน Double Spoke ปัดเงามาพร้อมกับยาง 235/45 R18 ดูเหมาะสมกับรถดีแต่ทว่าการล้างนั้น...ยากซะเหลือเกิน
ยังอยู่กันที่ข้างนอก. รถยนต์ฟอร์ดแทบจะทุกรุ่นที่อเมริกาจะมีปุ่มกดรหัสมาให้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉิน (ส่วนใหญ่ก็ลืมกุญแจนี่แหละ)
ถือว่าเค้าใส่ใจตรงนี้มาก เอาไปเลย 10เต็ม10 เวลากดรถก็จะมีรหัสเป็นเลขมาให้ 5 ตัว เวลาจะล็อคก็แค่กด 7-8 พร้อมกับ 9-0 แค่นี้รถก็ล็อคเรียบร้อย
ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่สะดวกในการใช้งานอย่างยิ่งเวลากุญแจไม่ได้อยู่กับตัว
ฝาถังน้ำมันเป็นแบบไร้ฝาเปิด จุดนี้เริ่มเห็นความเข้าท่าของฟอร์ดอีกแล้ว ใช้งานง่ายมาก(หรือว่ามันจะทำให้คนขี้เกียจมากขึ้นกันแน่)
แค่กดจิ้มฝาถังเปิด เอาหัวน้ำมันยัดใส่เป็นอันจบ...ง่ายมั้ยครับท่านผู้อ่าน
คันนี้ตามสเปครองรับน้ำมันได้ทั้งออกเทน 87 และ 91 แต่ถ้าเติม 87 อัตราการสิ้นเปลืองจะเพิ่มมากขึ้น
ทางโรงงานตีตัวเลขไว้ที่ 22MPG City 33MPG Hwy 26MPG Combined ด้วยหัวฉีด Direct Injection
กุญแจเป็นแบบ Key Blade จากที่ได้ใช้รู้สึกว่ามันใหญ่มาก หนักเอาเรื่องอยู่
จากข้างนอกเข้ามาสู่ข้างใน เปิดประตูเข้ามาคุณจะพบกับเบาะคนขับที่จะถอยหลังไปให้สุดเพื่อที่จะให้คนขับเข้านั่งบนเบาะได้อย่างสะดวกและจะกลับคืนสู่ตำแหน่งขับปกติเมื่อเสียบกุญแจสตาร์ท แต่พวงมาลัยไม่ได้ขยับไปด้วยแบบรถค่ายหรูจากญี่ปุ่นหรือยุโรป เบาะนั่งที่ให้มานั้นถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควร โอบกระชับพอดีตัว ตัว SE จะให้เบาะหนังมาส่วนตัว S จะเป็นเบาะผ้าซึ่งอันนี้เป็นเบาะหนังมาพร้อมกับที่อุ่นบั้นท้ายของคุณพร้อมทำให้สุกได้ทุกเมื่อ ที่บอกว่าสุกนี่สุกจริงๆครับ กดไปที่เบอร์ 3 ตูดแทบไหม้ ถือว่าทำความอุ่นได้เร็วมาก แต่เวลาใช้จริงกดเบอร์ 1 ตลอด ไม่งั้นเดี๋ยวจะพองซะก่อน ส่วนตัวของเบาะแล้วที่รองหัวนั้นนุ่มมาก ดันหัวได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ
เมมโมรี่เบาะสามจุดพร้อมให้กดเลือกใช้อยู่ข้างประตูง่ายต่อการใช้งาน แผงประตูดูเรียบง่ายวัสดุสัมผัสนุ่มเอาข้อศอกเท้าได้สบายเหมาะกับผู้ขับที่ชอบเอาข้อศอกวางเวลาขับรถ แต่จะติอย่างนึงคือปุ่มกดกระจก เวลากดทีไรจะเผลอกดกระจกบานหลังแทนทุกที ปุ่มกดกระจกบานหน้าอยู่ไกลมาก ต้องเอื้อมจริงจังมาก จุดนี้ทางฟอร์ดน่าจะเลื่อนถอยมาหน่อย ปัญหานี้เกิดกับ X5 E70 เป๊ะ... ปุ่มปรับกระจกมองข้างไม่ใช่แบบลูกหมุนบิดทั่วไป แต่เป็นแบบจะกดเอาว่าจะปรับข้างไหน และแน่นอนว่าพับกระจกมองข้างไฟฟ้าไม่ได้มีมาให้ตามสไตล์อเมริกัน
เบาะหลังนั่งสบายใช้ได้ นุ่มจริงๆ พื้นที่วางขาเหลือเฟือสำหรับคนสูง 170 อย่างผม ขาสั้นๆตัวไม่สูงมาก แต่ติดอยู่ที่ว่างพื้นที่วางเท้าไม่ได้ราบเรียบทั้งหมดแบบคู่แข่งสมัยนี้ที่ทำกันมาให้หมดแล้ว
ที่วางแก้วสองจุดปกติไม่มีอะไรหวือหวาตรงที่พักแขน แต่ต้องขอย้ำอีกทีว่าทุกส่วนที่สัมผัสนั่นนุ่นละมุนจิตชวนฝันซะเหลือเกิน ต่อมาที่ช่องแอร์ตอนหลังพร้อมช่องจากไฟ 12v ให้ผู้โดยสารตอนหลังอีกด้วย
โฉมหน้าของเกียร์อัตโนมัติที่แสนจะมึนๆเป็นบางที บางทีไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคิดอะไรอยู่ บางจังหวะเหยียบคันเร่งไปแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องถอนแล้วเหยียบซ้ำอีกทีมันถึงจะอ๋อ ว่าอยากจะเปลี่ยนเกียร์ใช่มั้ย โอเคจัดให้ งานนี้เกียร์มึนครับ
โฉมหน้าของระบบเครื่องเสียงที่หาทางจับคู่กับโทรศัพท์ยังไงก็ทำไม่ได้....... ทำไม่ได้จริงๆครับ งานนี้ไม่รู้ว่ารถมึนหรือคนมึน ลองหลายเครื่อง กดหาจะจับคู่ก็ไม่เจอ...มึนเลย Microsoft ไม่รู้ได้แผลงฤทธิ์อะไรไว้รึเปล่า
สุดท้ายเลยต้องลงเอยเล่นเพลงกับ iPod Nano สีส้มปรี๊ดของตัวเองต่อเข้ากับ USB
สิ่งที่ชอบอย่างนึงคือเวลาต่อแล้วมี Logo Ford โชว์หราตรงหน้าเลย เท่สุดๆไปเลย
ผมพยายามลองเอา FlashDrive ที่มีเพลงอยู่ต่อเข้ากับ USB แต่นี่ก็ไม่สามารถเล่นเพลงออกมาได้เหมือนกันเพราะว่ามันขึ้นว่าไม่รองรับไฟล์...(เอ๊ะยังไง!)
ปุ่มควบคุมการเปิดปิดไฟหน้าก็มาแบบใช้งานง่ายๆไม่งงงวย มาพร้อมกับระบบเปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
กระจกมองข้างอันนี้ผมชอบมากเป็นพิเศษครับ ทางมุมซ้ายแล้วขวาของกระจกมองข้างนั้นได้ติดกระจกอันเล็กๆซึ่ง Built in มาจากโรงงานเลยทำให้มันดูดีกว่าที่ต้องมานั่งแปะเอาทีหลัง ถือว่าใช้งานได้จริงซึ่งจุดนี้มันทำให้ผมลดการที่ต้องหันหลังกลับไปมองรถเวลาเปลี่ยนเลนได้เยอะเลยทีเดียว
พวงมาลัยสามก้านสไตล์ร่วมสมัยมาพร้อมกับสารพัดปุ่มอยู่บนพวงมาลัย...เยอะมาก! ไล่มาจากซ้ายบนซึ่งจะใช้ควบคุมหน้าจอบนหน้าปัทม์ซึ่งแสดงผลอัตราการกินน้ำมันแล้วก็เลขไมล์ในแต่ละทริป ส่วนล่างซ้ายคือ Cruise Control
มาทางขวาบนซึ่งใช้ควบคุมจอตรงกลางแล้วข้างล่างคือเครื่องเสียงและ Command System
จุดนี้ผมพยายามจะกดเล่น iPod แต่กดเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมเล่น จนต้องกดปุ่ม Command แล้วสั่งการว่า USB ถึงจะได้เล่นเพลงให้ผมฟังได้สักที
พร้อมโหมด Paddle Shifter ผ่านเกียร์ 6 สปีด
แผงหน้าปัดของฝั่งคนขับและคนนั่งให้ไฟมาถึงข้างละ 2 ดวงพร้อมกับไฟขาวนวลชวนฝันอีกแล้ว
และฟอร์ดยังได้ให้ที่หนีบนามบัตรมาด้วย ถือว่าเป็นจุดเล็กๆน้อยๆที่เค้าไม่ได้มองพลาดเลยทีเดียวเชียว
เบาะนั่งหลังพับ 60:40 ตามที่รถสมัยนี้ควรจะทำได้กันและช่องระหว่างห้องโดยสารกับที่เก็บของนั้นถือว่าใหญ่พอสมควร
ส่วนนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆคือฝาท้ายครับ เปิดแล้วเวลาจะก้มหยิบของแล้วมันติดหัว
น่ารำคาญมากเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเปิดได้สูงกว่านี้อีกหน่อยคือจบเลย! ทำมาเตี้ยเกินไปอันนี้เป็นส่วนที่ผมมีปัญหากับมันมากที่สุดครับ
ไฟท้าย LED ยืนยันว่าแสบตาชาวบ้านชัวร์ครับ ผมเหยียบเบรคติดไฟแดงอยู่ นึกฉงนๆเลยดูกระจกมองหลังเห็นคนขับรถคันข้างหลังผมอยู่หน้าแดงแปร๊ดเลย แดงเพราะไฟเบรคเจ้านี่นี่แหละ เลยต้องปลดเข้าเกียร์ N แล้วปล่อยเบรคแทน กลัวข้างหลังจะด่าเอา
ปล. ไฟเลี้ยวเป็นสีแดงนะครับ เห็นชัดเจนดีจริง
ช่องวางสัมภาระถือว่าไซส์พอดีมีช่องให้ต่อ 3 ช่องคือ Aux,USB, 12v แล้วแถมมีถาดข้างบนวางเหรียญหรือนามบัตรมาให้ด้วย
อัตราการสิ้นเปลืองต้องขอบอกว่าเป็น Real World Testing นะครับ
ขับปกติที่ขับทุกวันใช้ฟรีเวย์ผสมกับในเมืองรถติดแล้วออกตัวไฟเขียวบ่อย
เฉลี่ยออกมาแล้วได้ 24.73 MPG หรือตีเป็นหน่วยกิโลเมตรก็ 10.5 กิโลเมตรต่อลิตร
ซึ่งในจุดนี้ทำออกมาได้เท่ากับ Passat CC 2.0T ของผมซึ่งใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน
การใช้ชีวิต 1 อาทิตย์เต็มๆกับคันนี้ผมก็ต้องขอบอกว่าชอบครับ แม้ว่าตัวมันเองนั้นจะดูใหญ่เทอะทะไปไหนมาไหนจอดยากก็เถอะ
แต่ถือว่าแรงใช้ได้กับเครื่องยนต์บล็อคนี้ ราคาตัวนี้สนนออกมาที่ $27000 ตกแล้วราวๆ 810,000 บาทไทย
แต่ถ้าจะให้ผมซื้อมาใช้รุ่นนี้ ผมคงไปมองตัว 1.6 Ti-VCT ที่มาพร้อมกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะน่าจะมันกว่า
ว่าแต่ว่าขับคันนี้ไปไหนมาไหนมีแต่คนมองแล้วก็ชี้มาที่รถ สงสัยคงเป็นเพราะว่ากระจังหน้า Aston Martin เหมือนปลาดุกกำลังอ้าปากนี้เป็นอันแน่นอนครับ
ขอจบการรีวิวไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ คราวหน้ารอโปรดีๆอีกเดี๋ยวไปเช่าคันอื่นมาลอง