เลือกน้ำมันเครื่องอย่างไร ให้เหมาะกับรถคุณ
ขออนุญาติทำตัวเป็นกูรูกับเขาอีกซักกระทู้นึง ก่อนที่อินบอกซ์ผมจะระเบิดไปด้วยคำถามที่ผมไม่ได้ตอบครับ เพราะช่วงนี้ผมรับแต่คำถามซ้ำ ๆกันบ่อยมาก ๆ
ขอเกริ่นกันนิดว่า นี่คือการอธิบายแบบภาษาชาวบ้านที่สุด เท่าที่ทำได้ และเกิดจากประสพการณ์ การเรียนรู้ของผมเอง อันไหนมีอ้างอิง ผมก็จะใส่ Keyword ไว้ให้ Google หาอ่านกันเพิ่มเติม ผมจะไม่ย้อนประวัติศาสตร์ หรือ อธิบายพื้นฐานการอ่านเสปคให้เสียพื้นที่การอ่าน แต่ที่อยากขอแจงให้ชัดก่อนอ่านคือ Nomenclature ของเบอร์น้ำมัน อันได้แก่
1. เบอร์น้ำมัน เช่น 0W-20 5W-30 อันนี้ ถ้าจะเรียกเบอร์อุณหภูมิทำงานก็จะเป็น เบอร์ 20, 30 หรือเบอร์ Winter คือ 0W, 5W ตามลำดับคครับ ได้โปรด เลิกเรียก W20 W30 ซะที มันหมดยุกที่คนไทยจะโง่ไม่อ่านมาตรฐานโลกได้แล้ว อันนี้เคยไปฟังบรรยายเรื่องน้ำมันมาเห็นคนไทยตั้งคำถามแล้วอ้างถึงเบอร์ W20 ฝรั่งมันงงตาแตกครับ เอามาตรฐานเดียวกันทั่วโลกนะครับ
2. API rating ปัจจุบัน ยังสูงสุดแค่ SN สำหรับเครื่องเบนซิน และ CJ-4 สำหรับดีเซล สามารถหารายละเอียดตรงนี้ได้จากเว็บไซด์ API.org เป็นมาตรฐานที่ยอมรับมากกว่าครึ่งโลก ส่วนทางยุโรป ACEA ครับ อันนี้ผมไม่ถนัด ถ้าอยากรู้เพิ่มอ่าน Acea.be ครับ เน้นทางยุโรป
หลายคนที่ส่งคำถามเรื่องน้ำมันเครื่องมาทางข้อความส่วนตัว แล้วไม่ได้คำตอบ ขออนุญาติ อ่านตรงนี้ครับที่เดียวครับ ผมไม่ขอตอบว่าน้ำมันตัวไหนดี ไม่ดีโดยไม่จำเป็น งดสร้างปัญหาในภายหลัง แต่ถ้ามันห่วยเกิน ผมจะขอคอมเมนท์แล้วกันครับ คิดว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่หลักฐานพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็แล้วกัน
วิธีเลือกน้ำมันเครื่อง
1. ยี่ห้อ เป็นอันดับแรกที่คุณต้องทำใจเลือกก่อนครับ เพราะถ้าคุณไม่ชอบยี่ห้อ ต่อให้มันเทพแค่ไหน ผมว่าคุณก็ไม่ซื้อ มีครั้งหนึ่งบริษัทในประเทศไทยนี่ล่ะ มีน้ำมันสังเคราะห์แท้ ที่ผลิตจาก PAO 99%และมี Additive อีกนิดหน่อย ขายราคาถูกกว่ายี่ห้อฝรั่งครึ่งนึง โดยมีสูตรน้ำมัน "เหมือนกัน" เพราะไอ้บริษัทฝรั่งนั่นเน้นขายยี่ห้ออย่างเดียว ทั้งสองตัว ผ่านมาตรฐาน API SM ในสมัยนั้นทั้งคู่ แต่ยี่ห้อฝรั่งขายดีกว่า ตลกไหมล่ะครับ ดังนั้นเนี่ย ผมคิดว่า เลือกยี่ห้อที่คุณชอบก่อน ถ้าถามผม ยี่ห้อที่มีโรงกลั่นน้ำมันดิบ และมีโรงกลั่นน้ำมันเครื่องของตัวเอง จะได้น้ำมันคุณภาพดีอันดับต้น ๆ อยู่แล้วครับ
2. เบอร์น้ำมัน หรือความหนาน้ำมัน ถ้าคุณเชื่อคู่มือประจำรถเป็นสำคัญ กดปิดกระทู้นี้ไปเลยครับ สำหรับคนที่คิดว่า คู่มือรถไม่ใช่คำตอบ เบอร์น้ำมันเครื่องที่เหมาะกับรถคุณ คือ 30 ถึง 40 เหมาะกับรถทั่ว ๆ ไปครับ โอกาศที่สองเบอร์นี้จะทำให้รถเสียหายนั้นมีน้อยมากครับ เครื่องที่ไม่ร้อนจัด ไม่ใช่รถแข่ง สามารถใช้สองเบอร์นี้ได้โดยไม่ทำให้รถเสียหาย และไม่ส่งผลกับอัตราสิ้นเปลืองอย่างมีนัยสำคัญ เบอร์ 20 เหมาะกับรถ hybrid และ Eco car ที่มีโหลดต่ำ ความร้อนต่ำ ที่ผมแนะนำ 30-40 เพราะมันเป็น เบอร์ที่ไม่หนา ไม่บางเกินไป เรียกว่าใช้น้ำมันเครื่องในส่วนที่เรียกว่า Mixed Lubrication ของน้ำมันนั้น ๆ ถ้าบางไป อยู่ในโซน Boundary Lubrication หรือ หนาไปจนน้ำมันทำงานในโซน Hydrodynamic Lubrication ก็ไม่ได้สร้างผลดีกับเครื่องยนต์ครับ เบอร์ 30 ถ้าใช้กับรถยุโรป ผมยังยืนยันว่าบางไปครับ ด้วยมาตรฐานน้ำมันที่ขายในปัจจุบันนะครับ ยังแบกความเสี่ยงในความบางที่อุณหภูมิสูงอยู่
ทั้งหมดที่ว่ามาเรื่องเบอร์น้ำมันเอาอุณหภูมิของไทยโดยทั่วไปเป็นที่ตั้งครับ บนท้องถนนจะมีอุณหภูมิราว 35องศาเซลเซียส เย็นหน่อยก็เหลือราว ๆ 25องศา หรือร้อนจัดก็คงเป็น 40 องศา ถ้ามองเกจอุณหภูมิน้ำเป็นสำคํญ จะเห็นว่า ทุก ๅ1องศาของอากาศภายนอกที่เพิ่มขึ้น หรือ ลดลง จะส่งผลกับอุณหภูมิน้ำเพิ่มหรือลดลง 1-5 องศาเซลเซียสแล้วแต่ความสามารถของการระบายความร้อนของเครื่องตัวนั้นครับ
อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นที่เพิ่มขึ้น 1 องศา จะมีผลกับอุณหภูมิน้ำมันเครื่อง 1-1.5 องศาครับ คร่าว ๆ นะครับ ถ้าใครมีเกจ์วัดoil temp กับ Water temp จะเห็นความสัมพันธ์นี้ที่อุณหภูมิต่าง ๆกันได้ชัดเจน ยิ่งอากาศร้อนมาก น้ำร้อนขึ้น น้ำมันจะร้อนขึ้นมากกว่า เพราะน้ำมันถ่ายเทความร้อนได้ช้ากว่าน้ำครับ และน้ำถ่ายเทความร้อนได้ช้ากว่าอากาศ
ถ้าอิงอุณหภูมิน้ำเป็นสำคัญ รถบ้าน ๆ ทั่ว ๆไป จะมีน้ำที่อุณหภูมิ 90 องศา และน้ำมันเครื่อง 120 องศากับสภาวะอากาศทั่ว ๆ ไป อุณหภูมิเท่านี้ ยังไม่พอทำให้น้ำมันบางครับ แต่ บางส่วนในเครื่องยนต์ที่น้ำมันเครื่องไหลผ่าน อาจจะมีอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 120 -200 องศาครับ ได้แก่ ผนังสูบ (ร้อนที่สุด) ฝาวาล์ว (ร้อนรองลงมา) ท่อก่อนเข้าoil filter/oil cooler ร้อนมากกว่าบริเวณอ่างอยู่บ้าง ส่วนที่น่าห่วงที่สุดก็คือส่วนที่ร้อนที่สุดครับ ช่วงที่น้ำมันเครื่องถูกพาไปยังบนผนังสูบรับความร้อนมหาศาลของพนังสูบไป มันอาจจะร้อนเกือบเท่าผนังสูบ ตรงนี้จะทำให้น้ำมันบางลงไปจนแทบจะเป็นน้ำเลยทีเดียว ค่าที่จะช่วยบอกว่า น้ำมันตัวไหนบางไป คือ HTHS ครับ API และ บริษัทรถยนต์ให้ค่านี้ที่รับได้ไว้ต่ำสุดที่ 2.6 ครับ
3. มาตรฐานการทดสอบน้ำมัน API SN ที่ประทับบนแกลลอนครับ สำคัญที่สุด หลายยี่ห้อบอกว่าได้มาตรฐานนี้แต่ไม่ประทับตรา แสดงว่า ไม่ได้รับการควบคุมมาตรฐานตาม API ครับ ถึงแม้จะส่งตรวจว่าผ่าน ก็ไม่ได้แสดงถึงการผ่านมาตรฐานนี้ในตัวที่ไม่มีตราประทับนะครับ เช่นเดียวกันกับ ACEA, ครับ
4. ราคา น้ำมันเครื่องหลายตัวมีคุณสมบัติทางเคมีเหมือนกัน มีเสปคเหมือนกัน แต่ไม่ได้แปลว่าราคาเท่ากัน ตัวที่จะบ่งชี้ราคาที่เหมาะสมว่าควรซื้อรึเปล่า คือเคมี ที่ใส่ลงไป น้ำมันเครื่องส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบัน จะใช้ group II, Group III และมี PAO, Ester, VII, Friction modifier, Emulsifier, AntiFoaming Agent, Cleaning agent และอีกมากมาย ผสมลงไปเพิ่มคุณบัติอื่น ๆ วิธีง่ายที่สุดที่จะรู้สูตรน้ำมันคือการดู MSDS ที่หาได้จากเว็บผู้ผลิตครับ
PAO หรือ Ester ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายสำหรับน้ำมันเครื่อง เพราะทั้งสองตัวนี้ก็ต่างมีข้อดีข้อเสียต่าง ๆ กันไปครับ ใช้มากก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์มาก
Ester มีใช้มานานกับอุตสาหกรรมรถยนต์ครับ ในคอมแอร์รถยนต์ก็ใช่ ในน้ำมันเบรคก็ใช่ และในรถแข่งก็มักใช้ Ester base เพราะโดยตัวมันเองมี Friction ต่ำ แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับการใช้งานแบบบ้าน ๆที่ถ่ายน้ำมันเครื่องกันทุกหกเดือนหรือหนึ่งปี เพราะมันไม่ทนกับน้ำ พวกนี้ น้ำจะเข้าไปรวมตัวกับมันได้ง่าย เหมือนกับคอมแอร์เก่า ๆ ที่เวลารั่วจะเป็นสนิมถึงแม้จะมีน้ำมันเคลือบอยู่ก็ตาม ใครเคยแกะคอมแอร์น้ำมันท่วมคงเห็นภาพตรงนี้ได้ชัดเจนครับ
PAO ถึงจะเป็นน้ำมันที่โด่งดังมานาน แต่คุณสมบัติการยึดเกาะบนโลหะค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับ Ester แต่ก็ไม่ได้ต่ำขนาดที่จะทิ้งโลหะไปเลยในเวลาอันสั้น รถที่ใช้งานประจำมี PAO ไว้ในเครื่องจะช่วยป้องกันการเสื่อมของน้ำมันได้ดีกว่าพวก Ester, Group II, Group III, และ ยังมีอายุการใช้งานที่นานที่สุด ให้แรงเสียดทานต่ำไม่เท่า Ester และไม่ละลายซีลเครื่องเมือเสื่อมสภาพเหมือนกับ Ester ครับ
5. อายุน้ำมันเครื่อง ถ้าพูดสั้น ๆ น้ำมันเครื่องธรรมดา จะเสื่อมหมดด้วยเวลา 600 ชั่วโมงที่อุณหภูมิ100 องศา ความชื้นต่ำ และอายุสั้นลงถ้าอุณหภูมิสูงขึ้นความชื้นสูงขึ้น เราจะใช้น้ำมันเครื่องแค่ครึ่งอายุของมัน คือ ไม่ได้รอจนมันเสื่อมหมด เพราะนั่นคือน้ำมันสูญเสียการหล่อลื่นหมดแล้ว น้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุราว ๆ 400 - 1000 ชั่วโมงด้วยเงื่อนไขเดียวกันครับ
น้ำมันเครื่อง จะถูกเผาทำลายทีละนิดละหน่อยในผนังสูบ และน้ำมันที่หมุนวนจะละลายน้ำมันเสีย ๆเหล่านี้ ถ้าตีเป็นชั่วโมงตรงนี้คงบอกได้ยาก แต่เอาปลอดภัยคือตีไปครึ่งนึงของอายุใช้งาน ดังนั้น ถ้าจะใช้น้ำมันเครื่อง ธรรมดาแค่ 150 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าคุณใช้รถเฉลี่ยด้วยความเร็ว 50Km/hr ไม่มีการเดินเบาเครื่องหยุดอยู่กับที่ ก็หมายถึงจะใช้น้ำมันเครื่องได้ 7500 Km นั่นเองครับ
สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ 150 ชั่วโมง โดยไม่ขยับรถเลย น้ำมันเครื่องก็เสื่อมนะครับ ถึงแม้เลขไมล์จะแค่ 1 km ก็ตาม
ถึงตรงนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจว่า น่าจะตอบคำถามที่ทุกคนถามมาทางข้อความส่วนตัวได้ครบถ้วน ขอบคุณที่ไว้ใจให้ผมตอบครับ คำถามที่นอกจากนี้ ถามกันตรงนี้เลยครับ อย่าส่งข้อความเลย ผมตอบจนงงไปหมดว่าคุยอะไรกับใครเรื่องอะไรไว้ไปหมดแล้วครับ ใครที่เริ่มมาอ่านกระทู้ผมนี้เป็นอันแรก รบกวน ย้อนไปอ่านกระทู้และลิงค์เก่า ๆที่ผมทำไว้แล้วกันครับ
สวัสดี