คนเมืองไม่เคยทำไร่
ชาวบ้านไม่เคยทำงานออฟฟิต
คุยกันให้ตายก็ไม่เข้าใจกันหรอกครับ ยิ่งคุยผ่านตัวแทนอีก
ต่างฝ่ายต่างมองจากมุมตัวเองออกไปยิ่งคุยกันยาก
ผมเคยไปอยู่กับคนทำนาประมาณ ครึ่งปี ไปกิน ไปอยู่ ไปศึกษาระบบของเขา ตอนทำเอก
มาถึงตอนนี้เข้าใจทั้งคนเผา เข้าใจทั้งคนรำคาญ
เรื่องกฏหมาย มันก็แค่กฏหมาย บังคับใครไม่ได้จริงๆจังๆหรอกครับ หลัง 6 โมงเย็นคนใส่หมวกกันน๊อคกันกี่คน?
ผมทำสวนทำไร่อยู่ ไม่เผานะ
ถ้าไม่มักง่าย เผาก็คือการทำลายดินไปในตัว สุดท้ายต้องมาใช้ปุ๋ยเร่ง ได้ไม่คุ้มเสีย
แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าคนเผาเจตนาให้เกิดเหตุนะ แต่พอเผาแล้วควบคุมอะไรไม่ได้ และไม่คิดทำอะไรด้วย
ต่างฝ่ายต่างมอง แต่ถ้าไม่เห็นแก่ตัว มันคุยกันได้ครับ ที่คุยกันไม่ได้เพราะเห็นแก่ตัว
แล้วก็มาบ่นว่า ต้นทุนสูง ปุ๋ยแพง สุดท้ายก็เรียกร้องให้รัฐเข้ามาช่วย
ทั้ง 2 ท่านคือตัวอย่างที่ดีของการไม่เข้าใจชาวสวนชาวไร่ครับ
นั่งคิดไปทำไป เหมือนผู้บริหารประเทศเลย มันเลยไม่ไปไหนสักที
ขอยกตัวอย่างความจริงที่ได้สัมผัสมาเองเลย เรื่องการปลูกข้าว
การปลูกข้าวส่วนใหญ่ของไทยคือ
1. หว่านกล้า
2. ตกกล้า คือการถอนต้นข้าวที่หว่านลงไป
3. ดำนา คือการนำต้นกล้ากลับลงไปปลูกตามระยะห่างที่พอดี
ปัญหาคือ การดำนาเสียเวลาและแรงงานมาก
วิธีแก้คือการทำนาโยนมีขั้นตอนดังนี้
1. เพาะกล้า บนบล๊อกเพาะคล้ายๆกับแผงไข่นั่นแหละครับ
2. เอาต้นกล้าที่เพาะแล้วเอาไปโยนใส่นา (การเตรียมนาก็เหมือนกับเตรียมนาดำ)
ไปอยู่กับชาวนาตั้งแต่ เพาะ โยน เก็บเกี่ยว ทดลองทำเทียบกับนาข้างๆ
ผลคือ นาโยน ทำได้เร็วกว่า ผลผลิตดีกว่า ต้นทุนลดลงมากกว่า สรุปง่ายๆคือดีกว่าทุกด้าน
ยิ้นหน้าบานทั้งคนทำวิจัย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และปลัดอำเภอ
ปีต่อไป คิดถึงพวกเขาเลยเอาของไปเยี่ยม สรุปได้ว่า ดำนากันเหมือนเดิมทั้งหมู่บ้าน
นี่แหละครับ วิถีของเขา ไม่เข้าไป ไม่เข้าใจหรอกครับ
การจะเปลี่ยนทัศนคติ ไม่ใช่แค่ไปทำให้ดู ได้ผลดีกว่าแล้วเขาจะทำ มันมีองค์ประกอบมากกว่านั้น