อันนี้อยู่ที่จขกท. ประเมินเลยครับ ว่าแนวโน้มอนาคตธุรกิจจะเป็นยังไง และเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละเดือนเหมาะสมแล้วกับธุรกิจหรือไม่ 2-2.5 แสนคือกำไรสุทธิต่อเดือน (แต่เข้าใจว่ายังไม่หักคชจ.ส่วนตัวใช่ไหมครับ) แต่ไม่ทราบว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวแล้ว เหลือเดือนละเท่าไหร่ ถ้าหลักหักคชจ.ส่วนตัวแล้ว เหลือเดือนละราวๆ 2 แสนก็ยังพอซื้อได้ จากสูตรรายได้ต่อปี *2 แต่ผมมองว่ายังสูงไปนิดเพราะถ้าผ่อน 4 ปี แปลว่าผ่อนรถไปซะเกือบ 40% ถ้าดาวน์สัก 30%(ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินดาวน์อีก ถ้า 50% ก็สบายๆเลย แต่เงินดาวน์มากๆ ก็กระทบไปเรื่องเงินเก็บ หรืออาจจะกระทบเงินหมุนเวียน) ถ้าความคิดผมก็ซื้อได้ แต่ยังตึงนิดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่จขกท. ครับ บางทีรอไปรอมา ก้ไม่ได้ขับซะที บางทีก็ให้รางวัลตัวเองบ้างก็ดีนะครับ
ผมสนใจสูตรรายได้ต่อปีคูณสองมาก มันใช้ได้จริงๆหรอครับ
ขนาดผมชอบรถมากยังไม่กล้าซื้อรถราคาตามสูตรนี้เลย
ใจนึงก็อยากได้ porsche นะครับ แต่ใจนึงก็เสียดายเงินที่จะไปทำอย่างอื่น
มีใครซื้อรถด้วยงบประมาณตามสูตรนี้บ้างไหมครับ อยากรู้ว่าตึงไหม
อันนี้ผมคิดอยู่ที่หักรายจ่ายส่วนตัวทุกอย่างแล้วน่ะครับ ถ้าหักทุกอย่างแล้ว อารมณ์ส่วนนี้คือเงินเก็บเต็มๆ ผมมโนความเอาเองว่ารายได้ต่อปี คือรายรับสุทธิที่หักรายจ่ายส่วนตัวทุกอย่างแล้ว
เพราะถ้าบอกแค่รายได้เฉยๆ 200,000 แต่รายจ่ายส่วนตัวปาไปสัก 80,000 แบบนี้สูตรนี้ก็คงไม่เหมาะและใช้ไม่ได้ และการซื้อรถเรา ก็คงไม่ซื้อแบบดาวน์ 0% ถูกไหมครับ อย่างน้อยก็น่าจะสัก 30% ถ้าแบบนี้ก็คิดง่ายๆว่าเป็นค่าผ่อนรถ ซะ 37-38% ของรายรับสุทธิต่อเดือน(คิดผ่อน 4 ปี)ถ้าดาวน์มากกว่านั้นเงินผ่อนต่อเดือนก็ถูกลงอีก หรือเพิ่มระยะเวลาผ่อนเป็น 5 ปีเป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถามผมว่าประมาณนี้ซื้อได้ไหม ก็ซื้อได้ ต่อให้ต้องเก็บไว้เผื่อค่าบำรุงด้วย ถ้าซื้อยี่ห้อที่บำรุงฟรีห้าปีก็ลดคชจ. ไปได้อีก แต่ก็ต้องคิดเผื่อค่ายาง ประกัน ฯ ซึ่งถ้าเป็นกรณีที่ผมบอก มันคงตึงในแนวว่าเงินเก็บลดน้อยลง แทนที่จะเอาไปลงทุน ต่อยอดทางธุรกิจ หรืออื่น ฯ แต่ไม่ได้ตึงในแนวว่าทำให้การใช้ชีวิตลำบากขึ้นน่ะครับ เพราะยังเหลือ Buffer เป็นเงินเก็บ 50% ซึ่งผมนับว่าสูงพอสมควร ถ้าสามารถเก็บเป็นอัตราส่วนนี้ได้ทุกเดือน (ผมหักเผื่อค่าใช้จ่ายส่วนรถแบบบวกๆไปแล้วนะครับ เลยเหลือเก็บเท่านี้)
ก็เลยถ้ามุมมองผมก็ซื้อได้ ตามเงื่อนไขที่ว่ามา คือเป็นรายได้สุทธิหักทุกอย่างแล้วจริงๆ น่ะครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น แนวทางจัดสรรการใช้เงินของแต่ละท่าน ก็ต่างกันไปครับ อย่างที่ผมยกมาหลายท่านซื้อได้ แต่เลือกจะไม่ซื้อเพราะเสียดายเงินที่ต้องลงไปในส่วนนี้ ซึ่ง "รถ = ลด" อย่างที่ทราบๆ กันดี บางท่านมองว่าเป็นความสุข ทำงานมาอยากได้อะไรอย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง และมองว่าเงินที่เสียไปไม่สร้างความเสี่ยงอะไร ก็ซื้อตอบสนองความต้องการตัวเอง
ปล. ไม่มีความรู้ทางด้านบัญชีนะครับ ศัพท์อะไรอาจจะไม่ถูกต้องนัก