คิดง่ายๆ นะครับ
ถ้าไม่ผสมเอทานอล ก็ต้องผสม MTBE แทน ซึ่ง MTBE แพงกว่าเอทานอลแถมต้องนำเข้าอีกด้วย หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าไม่ผสมทั้งสองเลยได้ไหม คำตอบคือมันไม่ไหวครับ เพราะค่าออกเทนน้ำมันเบนซินจากหอกลั่นมันต่ำกว่า 75 ซะอีกครับ มันชิงจุดระเบิดง่ายเกินไป และกันอาการน๊อกได้ต่ำมาก ใช้เป็นเชื้อเพลิงรถไม่ไหว
ส่วนดีเซลผสมปาล์ม
เรื่องนี้ผมไม่รู้เชิงเทคนิคอะไรมาก รู้แต่ว่าแต่แรกเริ่มเครื่องยนต์ดีเซลนั้นถูกคิดค้นมาเพื่อใช้กับน้ำมันปาล์มครับ
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องผสม เอื้อกลุ่มผลประโยชน์ไหนหรือเปล่า
ถ้าจะว่าเอื้อมันก็เอื้อแหละครับ แต่ลองมองอีกมุมนึง กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ เค้าก็คนในประเทศเรานี่แหละครับ เค้าได้เงินไปก็ใช้จับจ่ายใช้สอยในประเทศเรา
ต่างกับถ้าเราไม่ผสม เราก็ต้องนำเข้าสารผสมต่างๆ และน้ำมันจากต่างประเทศมากขึ้น และเงินมันก็ไหลออกจากประเทศมากขึ้น โอกาสที่เงินจะไหลกลับเข้ามาก็น้อยกว่า เราก็จะเสียดุลการค้าให้กับกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเต็มๆ
อาการเสียดุลการค้าเป็นยังไง ช่วงแรกๆ ผู้ใช้รถดีเซลก็จะดีใจที่น้ำมันถูกลง แต่สักพักก็เริ่มจะรู้สึกตัวว่า รายได้ตัวเองลดลงเร็วกว่าค่าน้ำมัน เพราะกลุ่มที่เคยได้ผลประโยชน์ก่อนหน้าเจ๊งไป เค้าก็ไปหาอาชีพใหม่ทำ อาชีพนั้นก็คือมาแย่งอาชีพอื่นๆนอกจากปลูกปาล์มนั่นแหละครับ ในเมื่อตัวหารมากขึ้น รายได้ย่อมลดลงนั่นเองครับ
ความรู้ใหม่เลยนะครับเนี่ย ว่า การผสมเอทานอล ส่วนนึงคือ การเพิ่ม อ้อคเทนให้น้ำมัน
ส่วนเรื่องเอื้อมันก็เอื้อ จริง
เพราะก่อน เอาเททานอล มาผสม น้ำมัน
ราคาอิงตลาดโลก อยู่ที่ลิตรละ 15 บาท เมื่อ สัก 15 ปีก่อน
แต่พอาเอามาผสม น้ำมัน กลายเป็นแก้กฏหมาย เป็น 25 บาท +++ แบบไม่อิงราคาโลก
อันนี้ เอื้อโรงกลั่นเอทานอล แบบชัดเจน
ส่วน ราคาไบโอดีเซล หรือ น้ำมันปลาม์ แต่ก่อนหน้านั้น ยุคที่ยังไม่บังคับผสม B7
ราคา มันพอๆกับ เอทานอลคือ 25 บาท
แต่พอ รัฐออกกฏเอามาผสม น้ำมัน แล้วไปอิงราคาโลกที่ ราคาขึ้นไปทะลุ 56 บาท ในปัจจุบัน
แถมพอบังคับ เอามาเติมในดีเซลทุกตัว กลายเป็นว่า ของขาด ปั่นราคาไปอีก
คือ นโยบายมันไม่โปร่งใสแบบ 100 %
มันจะไปไม่สุดทาง แก้ไป แก้ไมา
