
นับถอยหลัง 1 ก.ย. 2566 รูดม่านแบรนด์ “เอสโซ่” ปิดฉากปั๊มน้ำมันพี่เสือที่อยู่คนไทยมานาน 129 ปี ทยอยปรับโฉม 700 ปั๊มสู่ “บางจาก” ภายใน 2 ปี
วันที่ 29 สิงหาคม 2566 ตามที่มีการนำเสนอข่าว บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เข้าซื้อกิจการของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) เมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา และกลายเป็นที่สนใจของผู้คนถึงความเคลื่อนไหวใหญ่ของวงการธุรกิจน้ำมันในประเทศไทย
ล่าสุด มีการเผยแพร่ภาพข้อความเป็นภาษาอังกฤษ โดยระบุว่า “หลังวันที่ 31 สิงหาคม 2566 พวกเราจะไม่สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “เอสโซ่ (ESSO)” ได้อีก เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงเวลาอันแสนวิเศษ หัวใจที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและเกียรติยศ เราใช้เวลาของเรา และทะนุถนอมสิทธิพิเศษในการรับใช้คุณ ขอบคุณจากก้นบึ้งของหัวใจเรา”

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เป็นผลมาจากการเข้าซื้อกิจการ เอสโซ่ (ประเทศไทย) ของบางจาก ซึ่งได้มีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 12 มกราคม 2566 ถึงสิทธิการใช้ตราสินค้า “เอสโซ่ (ESSO)” หลังจากเสร็จสิ้นการเข้าซื้อกิจการ
โดยเอกสารระบุว่า “เนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงการควบคุม (Change in Control) เอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่น จะส่งหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้า (Trademark License Agreement) มายังบริษัทฯ
โดยให้การเลิกสัญญามีผลในวันที่เป็นผลล่าเร็จตามสัญญาซื้อขายหุ้น และจะทำสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าแบบไม่เป็นผู้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Non-Exclusive Transitional Trademark License Agreement) กับบริษัทฯ ต่อไปอีกเปี๊นระยะเวลา 2 ปีนับจากวันที่เป็นผลสำเร็จ
ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถใช้ตรา “ESSO” และเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ได้อย่างจำกัดสำหรับธุรกิจการตลาดขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง (ซึ่งรวมถึง โปรแกรมการตลาดสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (fuel marketing programs) Ioyalty programs บัตรเครดิต (card programs)) เพื่ออำนวยความสะดวกในการที่บริษัทฯ จะเปลี่ยนไปใช้ตราใหม่หลังจากวันที่เป็นผลสำเร็จ
บริษัทๆ ขอแจ้งให้ทราบว่หลังจากการบอกเลิกสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้ามีผลบังคับในวันที่เป็นผลสำเร็จ บริษัทฯ จะไม่สามารถใช้ตราและเครื่องหมายการค้ใดๆ ของเอ็กซอนโมบิล คอร์ปอเรชั่นได้ และการใช้ตรา “ESSO” หลังจากว้นที่เป็นผลสำเร็จจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการคำแบบไม่เป็นผู้ใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียว (Non-Exclusive Transitional Trademark License Agreement)”
สำหรับการเข้าซื้อกิจการ เอสโซ่ ประเทศไทย ของบางจาก ในครั้งนี้นั้น เริ่มตั้งแต่ 12 มกราคม 2566 ซึ่งทั้ง 2 บริษัทฯ มีการทำสัญญาซื้อขายหุ้นสามัญของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในวันที่ 11 มกราคม 2566 จำนวน 2,283,750,000 หุ้น หรือคิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของเอสโซ่ จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. (ผู้ขาย) โดยมีมูลค่ากิจการ 55,000 บาท
และเมื่อ 25 สิงหาคม 2566 บางจาก ได้รายงานความคืบหน้าการเข้าซื้อกิจการ เอสโซ่ ประเทศไทย ระบุว่า บริษัทจะดำเนินการซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวจากผู้ขายในมูลค่า 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นราคา 9.8986 บาทต่อหุ้น (โดยการปัดเศษทศนิยม 4 ตำแหน่ง) และชำระราคาค่าหุ้นสามัญให้กับผู้ขาย ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566
และจะมีการทำ Tender Offer หุ้นส่วนที่เหลืออีก 34.01% หุ้นละ 9.8986 บาท มูลค่ารวม 11,651,721,248.80 บาท ในวันที่ 8 กันยายน-12 ตุลาคม 2566 และชำระราคาหลักทรัพย์ในวันที่ 17 ตุลาคม 2566
“บางจาก” จะได้อะไรจากการเข้าซื้อ “เอสโซ๋ (ประเทศไทย)”
การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ บางจากจะได้ทั้งโรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ซึ่งจะทำให้บางจากฯมีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง
ขณะที่แบรนด์น้ำมันหล่อลื่นและเคมีภัณฑ์ จะยังคงอยู่กับเอ็กซอนโมบิล (ExxonMobil) ภายใต้ชื่อ “บริษัท เอ็กซอนโมบิล มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งจะทำการตลาดผลิตภัณฑ์หล่อลื่น “โมบิล (Mobil)” และเคมีภัณฑ์
ใช้เวลา 2 ปี เปลี่ยนแบรนด์สู่ “บางจาก” ทั้ง 700 แห่ง
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังการซื้อขายเสร็จสิ้น โดยระบุว่า หลังปิดดีลซื้อกิจการเสร็จสิ้นแล้ว ปั๊มน้ำมันของเอสโซ่ 700 ปั๊ม จะทยอยเปลี่ยนมาเป็นปั๊มภายใต้แบรนด์ของบางจากทั้งหมด โดยมีระยะเวลาดำเนินการปรับเปลี่ยนให้เสร็จภายใน 2 ปี
ขณะที่สูตรน้ำมันของปั๊มเอสโซ่ ก็จะเปลี่ยนมาเป็นสูตรน้ำมันของบางจากฯทั้งหมด โดยขอให้ผู้บริโภคเชื่อมั่น และมั่นใจในคุณภาพน้ำมันของบางจากฯ ที่มีมาตรฐานสูง
“เราจะขอเวลา 2 ปี ในการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะเห็นปั๊มยี่ห้อเอสโซ่ยังอยู่ เพราะว่าต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง และเราจะใช้บริการให้เอสโซ่ จัดหาน้ำมันดิบด้วย เพื่อจะเอามากลั่นในโรงกลั่นฯที่ศรีราชา ส่วนจะมีความร่วมมือกับไทยออยล์หรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต” นายชัยวัฒน์ กล่าว
ตำนาน 129 ปี ปั๊มพี่เสือ
สำหรับเอสโซ่ เริ่มเข้ามาทำกิจการในประเทศไทย เมื่อปี 2437 ในชื่อ “บริษัท แสตนดาร์ดออยล์แห่งนิวยอร์ก” ทำหน้าที่จัดจำหน่ายน้ำมันก๊าด และผลิตภัณฑ์น้ำมันตรา “ม้าบิน” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด อีสเทอร์น จำกัด” เมื่อปี 2505 และเปลี่ยนแบรนด์เป็น “ตราเอสโซ่” ในวงรีรูปไข่ แบบที่คุ้นเคยในปัจจุบัน
เอกลักษณ์สำคัญของ “เอสโซ่” ที่คุ้นตากันมาตลอด คือ พี่เสือ ซึ่งเป็นมาสคอตประจำปั๊ม และสโลแกนที่คุ้นเคยของคนไทย คือ “จับเสือใส่ถังพลังสูง” ซึ่งเป็นสโลแกนในอดีตที่ใช้เพื่อสื่อสารถึงประสิทธิภาพของน้ำมันที่ให้สมรรถนะที่ดีเหมือนกับการวิ่งของเสือ และเป็นโลโก้ประจำร้าน Tiger Mart ร้านสะดวกซื้อของเอสโซ่