เปลี่ยน bmw 330e lci ไปเป็น tesla model 3 ดีไหม ระยะยาวตัวไหนเหมาะสมกว่ากัน

itbanktop

สวัสดีครับ ผมพึ่งออก bmw 330e lci มาเมื่อ กุมภาพันธ์ 2023 แต่ปัจจุบัน วิ่งมาแล้ว 44000 กิโล
แต่มี bsi ultimate 5 ปี 100,000 กิโล

เลขไมล์วิ่งขึ้นไวมาก ตั้งแต่ รับ-ส่ง ลูกเข้าอนุบาล
ตอนนี้เฉลี่ย วิ่งวันละ 200 กิโล จากปกติ วันละ 50-60 โล
เดือนๆ หนึ่งโดนค่าน้ำมันไป 15,000 บาท

เลยกำลังช่างใจว่าจะขาย bmw ขาดทุนทิ้ง และไปซื้อ Tesla เพื่อจะได้ประหยัดค่าน้ำมันแทน
แต่ถ้าขายทิ้งก็ขาดทุน ล้าน เกือบสองล้านเลย

อยากถามว่าถ้าใช้รถระยะยาว 2แสน 3 แสนกิโล
ระหว่าง bmw 330e lci กับ Tesla model 3 สองคันนี้ คันไหนเหมาะใช้งานทุกวัน ได้จริงๆครับ

เพราะจะขาย 330e ก็เสียดาย แต่ก็ เสียดายรายจ่ายค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และเลขไมล์ที่วิ่งขึ้นอยู่ทุกวัน
แต่จะซื้อ Tesla ประหยัดน้ำมัน แต่ก็กลัวว่าจะเจอปัญหา งานประกอบ ที่ไม่ดี

รบกวนขอคำเเนะนำ ความคิดเห็นของพี่ทีครับ



jbrc

ขับ BMW ค่าน้ำมันปีละ 200,000 บาท
ขับ 5ปี ค่าน้ำมัน 1ล้านบาท
Bmw ขายตอนนี้ ขาดทุนเลย 2 ล้าน

ขับไป สัก 5ปี ค่อยขายดีกว่าครับ



sulvin

เป็นผม ขายไปซื้อ model 3 ครับ
วิ่งเยอะประหยัดน้ำมัน 5 ปี  1 ล้าน เหมือนได้ที่ขาดทุน bmw คืน



นายพรานจ๋าหมีมาแล้ว

จากโจทย์เจ้าของกระทู้เป็นผมไป Tesla Model 3 เลยครับ ขับวันละ 200 กิโลแล้วใช้รถในสัปดาห์แทบทุกวันผมว่าก็ไปที่รถไฟฟ้าดีครับ
เพราะส่วนตัวผมมองว่ารถไฟฟ้ายิ่งขับเยอะยิ่งคุ้มทุนไว



ฟง อวิ๋น

ดูจากระยะทาง 200km ต่อวันธรรมดา ก็ 4,000km ต่อเดือน บวกระยะทางใน weekend ก็ประมาณ 5,000km ต่อเดือน

ค่าน้ำมันกิโลละ 3 บาท  ถ้าเป็นไฟฟ้าถูกสุดที่เห็นคือกิโลละ 0.5 บาท ก็ประหยัดไป 2.5บาทต่อกิโลเมตร

ขับปีละ 60,000 km ก็ประหยัดได้ 150,000 บาท

ระยะ 300,000km คือ 5 ปี ก็ประหยัดไป 150,000 x 5 = 750,000 บาท

สำหรับผมยังไม่คุ้มพอที่จะยอมขาดทุนเป็นล้านจาก BMW330e ไป Tesla Model 3 ครับ
Isuzu SLX, Accord G4, Colorado, Hilux Tiger, Lancer I, Triton, D-Max Cab4, TiiDA, Mazda2 I, Mazda2 II, D-Max, Fortuner, Sunny B14, Jazz GK, Accord G9, Mazda2 Sky, GLA200, Yaris, Alphard30, Lancer II, Lander III, Ranger, XL7, Forester SK, Swift, Stargazer, Aion V



Myprecious

330eชาร์จทุกวันน่าจะวิ่งใช้ไฟล้วนได้ประมาณวันละ50โล ก็ทุ่นไปได้นิดนึง ยิ่งbsi ultimate อีก ผมว่าหมดbsiแล้วค่อยเปลี่ยนรถน่าจะดีกว่าครับ

แต่ถ้าช่วงรับส่งลูกต้องมีจอดรอสักครึ่งชั่วโมง แบบนี้รถไฟฟ้าก็อาจตอบโจทย์กว่า



PaPaMan

ขับเยอะแบบนี้ ขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ รถไฟฟ้า bev คือคำตอบครับ



ผมคิดแบบนี้ครับ (ไม่ได้เอาปัจจัยเรื่องการใช้พลังงานของมอเตอร์ที่ไม่เท่ากันของแต่ละยี้ห้อ)
ค่าไฟปกติประมาณ  1 บาท / km
ค่าไฟ TOU ประมาณ 0.7 บาท / km
ค่าไฟข้างนอกประมาณ 1.5 บาท / km
ผมขอเฉลี่ยเป็นค่าไฟ 1 บาท / km วิ่งทุกวันวันละ 200 km ก็ 200 * 30 = 6,000 บาท ก็ตกปีละ 72,000 บาท

มาดูค่าน้ำมัน 330e ตีไปคุณไม่วิ่งไฟฟ้าเลยก็แล้วกันกดโหมด sport อัตราสิ้นเปลืองในเมืองจะอยู่ประมาณ 15 km/L ถ้านอกเมืองจะได้ประมาณ 18 km/L บวกลบนิดหน่อย
เติมน้ำมัน Gasohol 95 ราคา 35.25 / L ถ้าเราเฉลี่ยอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเป็น 16 km/L ก็จะตกประมาณกิโลเมตรละ 2.2
เดินทางทุกวันวันละ 200 km = 200 * 2.2 = 440 บาท เดือนนึงใช้น้ำมันไป 13,200 ก็ตกปีละประมาณ 158,400 บาท

ส่วนต่างของรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันต่อปี 158,400 - 72,000 = 86,400 บาท
เป็นผมส่วนต่างนี้ผมอยู่กับ BMW ต่อครับเนื่องจากเข้าศูนย์ก็มี BSI แล้วในกรณีที่ต้องใช้รถเดินทางไกลก็สะสวกสบายมากกว่าไม่ต้องวางแผนการเดินทาง รวมถึงเมืองเกิดอุบัติเหตุหรือรถมีปัญหาตาม ตจว. ก็ยังมีศูนย์ให้เข้าไปใช้บริการได้

ผมก็เคยคิดแบบ จขทก. ที่บ้านมี BMW Series 3 Phev , 5 diesel  Benz glc  และ Nissan kicks  แต่ก็พับโครงการไป (ผมไม่ได้มอง tesla นะ มองรถไฟฟ้าจีนถูกๆไว้ใช้ในเมือง) ที่พับโครงการไปเพราะยังไม่มั่นใจเรื่องศูนย์บริการ กับงานดูแลลูกค้าหลังการขาย และยังไม่เคยเห็นรายการที่ต้อง maintenance จริงๆว่าถูกกว่ารถยนต์แบบใช้น้ำมันจริงๆไหม ส่วนในกลุ่มที่เข้าไปหาข้อมูลรถไฟฟ้าก็อวยกันอย่างเดียว หาข้อมูลที่เป็นความจริงได้ค่อนข้างยากมาก สุดท้ายแล้วผมจึงรอให้คนใช้ไปก่อนมีเคสต่างๆและให้ราคามันถูกกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจซื้อมาลองครับ
และอีกอย่างผมมองว่ารถไฟฟ้าคืออุปกรณ์ IT ที่มีล้อเคลื่อนที่ได้ พอถึงระยะเวลาหนึ่งที่ Software ไม่อัพเดทหรือแบตเตอรี่เสื่อม แล้วรถเราจะเป็นอย่างไร ถ้าขาย ณ เวลานั้นราคาอาจจะตกมากๆ หรืออาจจะเลวร้ายสุดอาจจะขายไม่ได้เลยก็ได้ อันนี้ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยที่น่าเอาไปคิดรวมกันด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 03, 2024, 11:48:58 โดย ไม่ได้ไม่เกลียดรถจีน แต่ไม่ชอบคนจีนทำธุรกิจ »



belkw202

เป็นผมผมจะขายก่อนหมด BSI หรือ Waranty ซักหมื่นโล เพราะว่าคงขาดทุนอีกไม่เยอะแล้ว และก็เป็นจุดที่ยังขายได้ง่ายอยู่
วันนั้นค่อยไปซื้อรถไฟฟ้าก็ยังไม่สายครับ รอดูตลาดไปก่อนเพราะทั้ง product ทั้งสงครามราคาก็ดูจะมีอยู่เรื่อยๆ
Tesla Model 3 Highland LR
G08 iX3 M Sport
Cx5 2.5s
Mazda 2 1.3 S
w202 c36 AMG
w212 e63 AMG
w204 c250 AMG Sport Plus
w207 e350 4matic
e90 325i



demo2

ถ้าเอาความประหยัด ขับเยอะยังไงก็ไปไฟฟ้าครับ ถ้าชาร์ตไฟที่บ้านได้ทุกวัน คุ้มโคตรๆ
แต่ถ้าจะเอาการขับขี่แบบ BMW ก็ต้องยอมรับครับว่าไม่ได้แบบนั้น



nobody123

รถดีที่ไม่เสียจนซ่อมยาก / ไม่มีญาติวอนขอซื้อต่อ ส่วนตัวไม่เคยขายเลยครับ
รถคุณประหยัด และ คุณขับมาพักใหญ่แล้วไม่มีปัญหา ผมไม่แนะนำให้เปลี่ยนครับ
สองระบบช่วยกันขับ มันเสื่อมแต่ละระบบ (หากออกแบบมาดี) น้อย ครับ ผมเห็นมากับตัวในคลับทั้งไทยและต่างประเทศแล้ว
ส่วนค่าซ่อม ผมก็เห็นสถิติชุมชนอู่ซ่อมรถในอังกฤษมาแล้ว ระยะยาว 6 ปีขึ้น BEV อัตราการซ่อม สูงกว่า ไฮบริด นะครับ (อังกฤษจัด PHEV เป็นไฮบริด ต่างกับสหรัฐ)
อย่าง MG แบตเสื่อม 50% เปลี่ยนฟรี ตลอดอายุรถ! ดังนั้น สมมติถ้าคุณถามว่า เช่น เปลี่ยนไป MG Cyberster ดีไหม อันนี้ ผมจะเชียร์ให้ไป ครับ
ปล. ทั้งนี้ เช็คกับ BMW Thailand ประกอบการตัดสินใจ ว่า แบตไฮบริด เปลี่ยนได้ ด้วยเงื่อนไขอะไร ถ้ารับได้ / ชื่นชอบเงื่อนไข เป็นผม ผมถือครองต่อ ครับ
ถ้าไม่ถูกใจ ก็เลือก TL เพราะขับเยอะ น่าจะคุ้มส่วนต่างค่าน้ำมัน/ค่าแบตตอนปีที่สิบ ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 04, 2024, 19:34:48 โดย nobody123 »



PKCHU

ใช้BMW คันปัจจุบันต่อไปอีก 5 ปีเป็นอย่างน้อยคุ้มกว่า  เพราะเงินที่หายไปจากการขายเปลี่ยนรถราว 1.5 ลบ.   เงินนี้ครอบคลุมส่วนต่างค่าเชื้อเพลิงได้ 5-10 ปีเลย  แถมไม่ต้องพะวงกับการชาร์จไฟฟ้าอีก   ไว้อีก 5 ปีข้างหน้าค่อยดูการเปลี่ยนรถอาจเป็นจุดเวลาที่เหมาะสมครับ



axister

ถ้าแพลนว่าในอีก 3 ปี ยังต้องวิ่ง 200โล เทียบกับ bev ยังไงก็ควรไป bev ครับ
เปลี่ยนตอนนี้ราคามือ 2 ยังไม่ถือว่าดิ่ง ตอนหน้าใหม่มาตาม cycle late 26 แต่ตอน i3 มา mid 25 มีตัวเทียบมาจะดิ่งหนัก ยิ่งวิ่งเยอะก็ยิ่งดิ่งไปอีก เจ็บไม่ต่างกัน

แต่ถ้าคิดว่าเป็นแค่ช่วงแรก ปีหน้าจะมีรถตู้มีคนขับรับส่งลูก ภาพรวมผมว่าใช้ 330e ดีกว่า มันไม่ได้กินน้ำมันขนาดนั้น แล้วเอารถตู้ bev วิ่งรับส่งยาวๆ จะ flexi กว่าไม่เหนื่อยไม่เจ็บตัวครับ



concept

ใช้เทสล่ามาจะ 2 ปีแล้วครับ Model Y ไม่จุกจิก โล่งใจมากที่ย้ายมาจากตราดาว เทสล่าเข้าศูนย์ทุกๆหมื่นโล นัดล่วงหน้าเสร็จในวันไม่เคยต้องทิ้งรถไว้ ที่เจอมามีแค่กระจกฝั่งคนขับเลื่อนก็ 2 ชมจบ ที่เหลือก็สลับล้อทุกๆหมื่นโล แฟนยังชม ตอนใช้ตราดาวไฟขึ้นทีคือมีเป็นอาทิตย์ เทสล่าถ้าทิ้งรถไว้ได้รถสำรองแน่ๆถ้าไม่ไปขับชนเอง ปัญหางานประกอบก็ซ่อมได้ครับ แต่ส่วนตัวไม่ได้มีติตรงไหน ไม่งอแงเหมือนค่ายยุโรป ให้ซื้อใหม่ก็ซื้อเทสล่าครับ ย้ายมาจาก E Class ส่วนตัว ผมเองมองภาพลักษณ์ไม่ได้ต่างถ้าเทียบกับพวก C/S3 จอดรถในรรติดเครื่องรอลูกก็ไม่ต้องกังวลครับ แต่เคสนี้ขาดทุนเยอะแน่ต้องชั่งใจ ถ้าไม่ติดเรื่องนี้แนะนำครับ



เนื้อน่องไม่หนัง

ผมคิดว่าขายตอนนี้ รถอายุปีครึ่ง 4 หมื่นโล หรือขายตอน 3 ปี 8 หมื่น อาจไม่ได้ต่างกันมากครับ
ยังไงส่วนต่างที่เราจะถือต่อ ค่าน้ำมัน+ค่าเสิ่อม มันคุ้มกว่าขายทิ้งซื้อคันใหม่ตอนนี้อยู่แล้วครับ และยังได้รอดูสถานการ BEV / Model Y Juniper / หรือรุ่นอื่นๆเป็นตัวเลือกเพิ่ม
หรือถ้าไม่รีบ และมีที่จอด เอา BEV มาอีกคันสลับกันใช้แล้วค่อยโพสขายเองก็ได้ครับ

คหสต ถ้ามีเด็กเล็ก แล้ววิ่งทางไกลบ่อยๆ ผมคิดว่าการเอา BEV ขับเที่ยวแบบที่ต้องชาร์จนอกบ้านอาจไม่สะดวกครับ มันใช้ได้แต่ไม่ได้สะดวกครับ
เราออกนอกเส้นทางไม่ค่อยได้เพราะต้องกังวลกับเรื่องที่ชาร์จ ถ้าอยู่ ตจว จะยิงยาวกลับ กทม ก็อาจทำไม่ได้ และพอมีเด็ก เด็กอาจงอแงอีกถ้าต้องนั้งรอชาร์จเฉยๆ 30 นาที แค่ถ้านานๆวิ่งยาวที ก็โอเคอยู่ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2024, 10:07:52 โดย เนื้อน่องไม่หนัง »



DiKiBoyZ

โจทย์นี้ไป Model3 ได้เลย

ผมก็ใช้ Model Y รับลูก ไปจอดรอไม่ต้องสตาร์คเครื่อง เปิดแอร์ นั่งรอ ได้เลย

ชาร์จทีนึง วิ่งได้ทั้งอาทิตย์ ไม่พอ ก็ชาร์จเพิ่มไม่นาน

ประหยัดกว่าน้ำมันเท่าตัวเลย เอาส่วนต่างค่าน้ำมันไปทำอย่างอื่นดีกว่า



AgentMolder

รถไฟฟ้าไม่ได้ใช้พลังงานฟรีนะครับ ก็ตกโลละบาทแบบเฉลี่ยๆชาร์จที่บ้านบ้าง นอกบ้านบ้าง ลองคำนวนค่าไฟ +/- ค่าน้ำมันดูครับ หลายๆท่าน ชอบมองว่า รฟฟ. คือรถที่ไม่ต้องจ่ายค่าพลังงาน ซึ่งผิดครับ มันเป็น Perception ที่คนไทยโดนเป่าหูมาตลอด ส่วนต่างค่าพลังงาน คุ้มไหมกับค่ารถที่หายไป และต้องไปซื้อใหม่

ส่วนเรื่องความจุกติก Tesla ไม่ค่อยมี่ครับ อย่างมากก็งานประกอบซึ่งก็ไม่กินข้าวลิง ตัวรถ software เองก็เสถียรกว่ารถจีนเยอะ
2005 Toyota Vios 1st Gen
2012 Honda Civic FD
2018 Toyota Camry ACV70
2023 Toyota Yaris Cross
2024 Porsche 718 Cayman Style Edition
2025 MB E-Class E220d W214



อีกนิดก็แรง

ปกติรถที่บ้านผมวิ่งปีละไม่เกิน 10,000 โล พอลูกเข้า รร เป็นปีละ 2-3 หมื่นโล ด้วยความเป็นรถไฟฟ้าจอดรอลูกได้ และคิดว่าค่าดูแลต่ำส่วนตัวใช้อยู่ 2 คัน คันนึง 1 ปี 8 เดือน 40,000 โล อีกคัน 5 เดือน 9,000 โล คชจ ลดลง ค่อนข้างโอเคกว่าตอนใช้ benz ส่วน bm ตอนนั้นผมมี bsi บอกไม่ได้ เลยชวนเพื่อนมาใช้ condition เดียวกับ จขท คือวิ่งวันละ 200 โล จากเดิม C350e มาเป็น Y per 1 ปี วิ่ง 50,000 โล ตอนนี้ happy เสียแค่ค่ากรองแอร์

แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าระยะยาวจะเป็นยังไง เพราะรถอายุไม่เกิน 5 ปี ตามหลักมันก็ไม่ควรจะมีปัญหาทุกยี่ห้อ

จุดควรระวังและเฝ้าสังเกตุ ศูนย์ซ่อมตัวถังน้อย เกิดอุบัติเหตุอาจต้องวางแผนอู่ใกล้บ้านดีๆ, กระจกหน้าชอบแตก บางทีรอของนาน, คอมแอร์พัง ซ่อมที 1 แสน เห็นผ่านๆ ตา 2-3 เคส ชอบพังตอน หมดประกัน

ส่วนเรื่องขาย 330e มาซื้อ ผมว่าไม่คุ้มกับราคาที่หายไป แต่เอา 330e มาวิ่งวันละ 200 โล ผมก็เสียดายค่าน้ำมันจริงๆ

ปล. ผมไม่ได้ติดมิดเต้อ tou tesla ทั้ง 2 คันผมกินไฟไม่เกิน 1 บาท