ผู้เขียน หัวข้อ: ท่านใดเคยได้ยินเรื่องน้ำมันเชลล์ทำวาล์วไหม้ในต่างประเทศประมาณปี 90 ต้นๆ บ้างครับ  (อ่าน 2992 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ji.Cl.

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 677
    • อีเมล์
สวัสดีอีกครั้งครับ งวดนี้มาพร้อมคำถามอีกแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนนึกขึ้นได้ว่าตอนเด็ก (เด็กมากๆ สมัยปี 1990 ต้นๆ) เคยนั่งดูข่าว เกี่ยวกับน้ำมันเชลล์ในยุคนั้นมีปัญหา

เติมแล้วเครื่องพังอะไรทั้งหลาย พอโตมาก็เกือบลืมไปแล้วแต่มีเรื่องให้นึกออกอีกครั้งหนึ่ง แต่สมัยเด็ก จำรายละเอียดไม่ได้

เคยถามญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง บอกว่าจำได้ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า "น้ำมันเชลล์สมัยนั้นถือว่าดีที่สุดในบรรดาน้ำมันทุกเจ้า เผาไหม้หมดจด แรง

เหตุที่ว่าเกิดในประเทศร้อนแห้ง รวมกับความร้อนจากการเผาไหม้ของน้ำมันเชลล์ที่เผาแล้วได้พลังงานมากกว่าเจ้าอื่น ทำให้วาล์วทนความร้อนไม่ไหว

และเกิดเป็นรอยไหม้ ออกหนังสือพิมพ์และออกข่าวทีวี ดังพอสมควรแต่ไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้าง และไม่เกิดในประเทศไทย
"

แต่สิ่งที่ผมเริ่มสงสัย คือ มีญาติผมคนนี้คนเดียวที่จำได้ ญาติคนอื่นจำไม่ได้ และรวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมนับถือหลายๆ ท่านก็บอกไม่เคยรู้เรื่องนี้

เสริช Google ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษ ก็ไม่เคยพบข้อมูลเก่าๆ เรื่องนี้ (ไม่ได้มาเพื่อดิสเครดิต แต่อยากรู้เป็นกรณีศึกษา)

จึงขอมารบกวนขอความรู้จากบอร์ดนี้อีกครั้ง ท่านใดพอจำรายละเอียดได้ช่วยเล่าให้ผมฟังด้วยครับ ว่าที่ผมเข้าใจมันผิดถูกอย่างไร

(หรือแค่เคยได้ยินก็แสดงตัวหน่อยครับกำลังหาพวก ว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่จำได้ 5555) ขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ :)



ปล. สำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาดู น้ำมันแต่ละเจ้ามีการปรับสูตรอยู่เนืองๆ อยู่แล้ว เชลล์เองก็ปรับสูตรไปไม่รู้กี่รอบแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์นี้

จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับน้ำมันเชลล์ครับ

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,630
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
ในช่วงปี 1986 หลังจาก Shell ออกน้ำมันเครื่อง Helix ในเมืองไทยเป็นครั้งแรก
ปีถัดมา 1987 Shell ได้นำสูตรน้ำมันเบนซินตัวใหม่ล่าสุดมาใช้

มันมีชื่อว่า... ฟอร์มูลา เชลล์ (Formular Shell)

แต่มันก็เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นจริงครับ

พอดีเสริชไปเจอ ในเว็บ คลังบทความเก่าของ Manager Online
และเจอบทความ เรื่องนี้ ใน ผู้จัดการรายเดือน ซึ่งถือว่า เป็นนิตยสารการตลาดรายเดือน
ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งในยุค 1980 - 1990 ก็เลยขอนำมาลงให้อ่านกัน
เพียงแต่ว่า บทความนี้ พูดถึง เรื่อง การนำน้ำมันไร้สารตะกั่วเข้ามาขายในบ้านเรา
เมื่อปี 1991

และ สิ่งที่เจ้าของกระทู้ถามไว้ มีการกล่าวถึงในรายละเอียดอยู่แล้วครับ

ตามลิงค์นี้

http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=2732

รายละเอียดตรงจุดที่เจ้าของกระทู้สนใจก็คือ

"ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในช่วงปลายปี 2530 จะเห็นถึงการแข่งขันช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่เอสโซ่นำเอสโซ่ซูเปอร์ เอ็กซ์-ที สูตรใหม่ออกมาได้ระยะหนึ่ง

เชลส์ก็แถลงข่าวข้ามโลก เปิดตัวฟอร์มูล่า เชลส์ พร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2530
ทำให้คาลเท็กซ์ต้องรื้อฟื้นคาลเท็กซ์ ซีเอ็กซ์-3 กลับมาใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งยืนยันความมั่นใจว่า
คุณภาพที่เคยประกาศมาเมื่อ 7 ปีก่อน ยังใช้ได้ดีอยู่ ในขณะที่ ปตท.ยังคงเงียบเหงากับเรื่อง
การพัฒนาสูตรใหม่จะมีก็แต่เพียงแคมเปญสวนหลวง ร.9 ที่ช่วยพยุงยอดขายไว้เท่านั้น

ดังนั้นการตัดสินใจนำสาร MTBE เพื่อเพิ่มค่าออกเทนในน้ำมันเบนซินพิเศษให้สูงกว่าคู่แข่ง
จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ ปตท.ในการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดขณะนั้น

เมื่อเชลส์ต้องประสบอุบัติเหตุทางการตลาดด้วยการประกาศถอนฟอร์มูล่า เชลส์
สูตรผสมสารเพิ่มคุณภาพ "สปาร์ค เฮดเดอร์" ออกจากตลาดน้ำมันของไทย
เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2531 หลังจากที่วางตลาดได้ 4 เดือน ซึ่งการถอนฟอร์มูล่า เชลส์
ในครั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งของบริษัทแม่ของเชลส์ที่ให้บริษัทลูกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก
ถอนออกมาในทันที ด้วยสาเหตุว่ามีรถยนต์ .002% ของรถกว่า 20 ล้านคันทั่วโลกที่ใช้เชลส์
มีปัญหาเรื่องวาล์วค้างและในจำนวนนั้นสงสัยว่าจะเป็นเพราะฟอร์มูล่า เชลส์ โดยเจ้าตัวเอง
ก็ยังยอมรับหรือปฏิเสธไม่ได้ จึงขอถอนตัวออกจากตลาดไปก่อน

ช่วงจังหวะนี้เองที่ทำให้เลื่อน กฤษณกรี รองผู้ว่าการด้านการตลาดของ ปตท. เห็นเป็น
ช่องทางในการรุกตลาดด้วยการเปิดตัวน้ำมันเบนซินพิเศษสูตรใหม่ "พีทีที ไฮ-ออกเทน"
ที่ผสมสาร MTBE ทันทีในวันที่ 28 มกราคม 2531 เพียง 1 วันให้หลังจากการถอนฟอร์มูล่า เชลส์
ออกจากตลาด

การตัดสินใจนำพีทีที ไฮ-ออกเทนออกตลาดในช่วงนั้นทำให้ ปตท.สามารถเพิ่มยอดขายน้ำมัน
เบนซินพิเศษจากปี 2530 จำนวน 215.6 ล้านลิตร เป็น 270 ล้านลิตรในปี 2531 และทำให้
ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 19.4% ในปี 2530 เป็น 20.8% ในปี 2531

ถึงแม้ว่าเชลส์จะสามารถแก้สถานการณ์กลับมาได้ทันทีด้วยการนำฟอร์มูล่า เชลส์สูตร SAP9404
ออกวางตลาดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ถัดมาพร้อมกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากจำนวน 369.4 ล้านลิตร
ในปี 2530 เป็น 443.7 ล้านลิตรในปี 2531 ก็ตาม แต่ส่วนแบ่งการตลาดของเชลส์กลับลดลงจาก
35.6% ในปี 2530 เป็น 34.15% ในปี 2531

จนกระทั่งตัวเลขล่าสุดของปี 2533 ปตท.ยังคงมีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันเบนซินพิเศษอยู่ 20.9%
ในขณะที่เชลส์ 34.5% เอสโซ่ 25.9% และคาลเท็กซ์ 16.8% นับว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ
ในเกมการตลาดของ ปตท.ก็ว่าได้

- See more at: http://info.gotomanager.com/news/details.aspx?id=2732#sthash.rSon7iFu.dpuf


อันนี้เป็นหนังโฆษณา ในต่างประเทศ แต่ของบ้านเรา ไม่ใช่ตัวนี้เลย
เพียงแต่ว่า หน้าตาของสถานีบริการน้ำมัน จะเป็นสัญลักษณ์นี้ทั่วโลกเหมือนกันครับ



อย่างไรก็ตาม เท่าที่หาข้อมูลเพิ่มเติมได้
มีการกล่าวถึงใน เว็บไซต์ ของผู้เกลียดชัง Shell ในต่างประเทศ
ซึ่งเกลียดชัง เพราะไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ Shell ทำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ต่อปัญหาของโลก โดยเฉพาะใน ไนจีเรีย

http://royaldutchshellplc.com/2011/08/28/shell-fuelsave-wakens-memories-of-formula-shell-debacle/

ลองอ่านดูครับ

Enjoy!

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,630
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
เอ้า ของแถม

หนังโฆษณา Shell ในปี 1985 ของบ้านเรา



เจอละ! หนังโฆษณษ Formular Shell Advanced ไร้สารตะกั่ว
เขาบอกว่าปี 1995 แต่ผมจำได้ว่า มันก่อนหน้านั้นอีกนิดหน่อย ไม่เกิน 2 ปี

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 04:08:23 โดย J!MMY »


Stroke8

  • บุคคลทั่วไป
ผมเห็นกระทู้นี้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แล้วก็พอจะนึกถึงเหตุผลออกครับ ว่าทำไมถึงมีคนจำเรื่องแบบนี้ได้ แต่ผมยุ่งๆครับ เลยไม่ได้ตอบ มาวันนี้คุณจิมมี่ตอบแล้ว แต่ยังไม่ครบเสียเท่าไหร่ครับ ขอเสริมละกัน เตือนไว้ก่อนว่า มันค่อนข้างจะวิศวกรรม และเคมี ไม่นิดนึง เยอะ ผมจะพยายามตอบให้เข้าใจง่ายที่สุดนะครับ

วิธีการที่จะเพิ่มแรงม้าต่อขนาดเครื่องยนต์ (แรงม้า ต่อ ซีซี) และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องยนต์ ตั้งแต่ยุคแรกๆของการประดิษฐ์เครื่องยนต์สันดาปภายในมา คือการเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดครับ เครื่องยนต์ 4 จังหวะ อัดส่วนผสมของน้ำมันและอากาศ ก่อนที่จะจุดระเบิด ทำไมจึงต้องทำเช่นนี้? เพื่อเป็นการเพิ่มความหนาแน่นของส่วนผสม ทำให้อ๊อกซิเจนกับโมเลกุลน้ำมันอัดกันแน่นมากขึ้น ทำให้เผาไหม้ได้สมบูรณ์มากขึ้น (เคมีเบื้องต้น) และยังช่วยเพิ่มพลังงานให้กับส่วนผสมนี่ ด้วยการให้พลังงานความร้อนอะเดียแบติก (กระบวนการที่ไม่มีการถ่ายเทความร้อนเข้าและออกจากระบบ เคมีล้ำขึ้นนิดนึง) ทำให้สามารถใช้พลังงานที่มีนั่นได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (ประสิทธิภาพคือทุกสิ่งทุกอย่างครับ ถ้าลองอ่านดูดีๆ) เมื่ออัตราส่วนกำลังอัด (อัตราส่วนระหว่างพื้นที่ภายในกระบอกสูบกับที่ Bottom dead centre จุดต่ำสุดของกระบอกสูบ กับที่ Top dead centre จุดสูงสุดของกระบอกสูบ) มากขึ้น เครื่องยนต์ก็จะเผาไหม้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วก็มี Powwwweeeer แล้วก็ประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วย บริษัทรถหลายๆบริษัท นิยมใช้วิธีนี้ในการเพิ่มแรงม้าและทำให้เครื่องยนต์ประหยัดขึ้น ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีในแบบปัจจุบันช่วย

ปัญหาของการเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด ก็คือเมื่อเราเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด เราก็จะได้รับความเสี่ยงที่เครื่องยนต์มันจะชิงจุดระเบิดก่อน หรือหลัง ที่จะเราต้องการให้หัวเทียนจุดระเบิด ปรากฎการณ์นี้เกิดจากจุดที่มีความร้อนในห้องเผาไหม้ หรือที่เรียกกันบ่อยๆว่า เครื่องน็อค ปรากฎการณ์นี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์มากครับ ที่อาจจะเคยเห็นภาพ เสื้อสูบเป็นรู ก็อาจจะเกิดขึ้นเพราะปรากฎการณ์นี้ได้ การเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด ทำให้พลังงานความร้อนอะเดียแบติกสูงขึ้น ทำให้โอกาศที่เครื่องจะน็อค ก็มีมากขึ้น เครื่องยนต์แต่ละเครื่องก็มีจุดจุดหนึ่งครับ ที่อัตราส่วนกำลังอัดจะพอดี ปลอดภัย และให้ประสิทธิภาพมากที่สุด ด้วยน้ำมันที่มีค่าอ็อคเทนค่าหนึ่ง

ผมไม่ทราบครับ ว่า จขกท. เรียนเคมีมามากแค่ไหน แต่ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเคยเรียนตอน ม.6 (สายวิทย์ครับ) และผมยังจำได้มาจนทุกวันนี้ ... แต่ผมอาจจะจำได้เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผมสนใจก็ได้ ผมก็ขอ เล่ามันหมดเลยละกัน

ในปีพ.ศ. 2462 วิศวกรของเจเนรัล มอเตอร์ บริษัทซึ่งทุกวันนี้ผลิตเชฟวี่ ครูส นามว่า ชาลส์ เคตเตอริ่ง ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้างานค้นคว้าและวิจัยของบริษัท เขาค้นพบว่า น้ำมันบางชนิด ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการชิงจุดระเบิดได้มากกว่าบางชนิด เขาและทีมงานได้คิดค้นสเกลที่ใช้วัดอัตราการต้านทานการน็อคของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งใช้ธาตุไฮโดรคาร์บอนที่พบมากในน้ำมันเบนซินมาเป็นฐาน เฮปเทน ซึ่งเป็นธาตุที่ลดอัตราการชิงจุดระเบิดได้ห่วย เป็น 0 และไอโซอ็อคเทน (2,2,4 ไตรเมธิลเพนเทน) ซึ่งลดอัตราการชิงจุดระเบิดได้ดี เป็น 100 หน่วยเป็นอ็อคเทนครับ อ็อคเทนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้เนี่ยแหละ วัดกันยังไง? คุณอาจจะถาม ก็วัดด้วยการใช้ส่วนผสมของเฮปเทน และไฮโซอ็อคเทน ครับ ส่วนผสมของ ไอโซอ็อคเทน 90เปอร์เซ็น กับเฮปเทน 10เปอร์เซ็น ก็จะได้ค่าอ็อคเทนเป็น 90 แต่ว่าไม่ได้หมายความว่าเชื้อเพลิงนี้จะมีไฮโดรคาร์บอนเหล่านั้นเท่านี้จริงๆนะครับ แค่สามารถลดการชิงจุดระเบิดได้ดีเท่ากัน สารบางชนิดต่อต้านการน็อคได้ดีกว่า ไอโซอ็อคเทน ได้ห่วยกว่าเฮปเทน จึงสามารถมีค่าอ็อคเทนต่ำกว่า 0 และมากกว่า 100 ได้

แต่ก็ใช้ว่าเจเนรัลมอเตอร์เป็นบริษัทที่ใจบุญ ตั้งใจคิดค้นมาให้ทุกคนได้รับประโยชน์นะครับ ในยุคนั้น บริษัทดูปอง (ใช่ครับ บริษัทเดียวกันที่ผลิตสีนั่นแหละ) มีส่วนแบ่งในบริษัทเจเนรัลมอเตอร์อยู่ ถ้าเกิดเคตเตอริ่งสามารถหาวิธีเพิ่มค่าอ็อคเทนได้ อย่างถูกพอ มันจะสร้างกำไรให้กับทั้งดูปอง และเจเนรัลมอเตอร์ได้มากมายมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลที่เบื้องบนปฏิเสธสารที่เพิ่มค่าอ็อคเทนได้ดี และ ราคาถูก อย่างเอทิล แอลกอฮอล์ ซึ่งมีค่าอ็อคเทนอยู่ที่ 116 ดีกว่าไอโซอ็อคเทน เยอะ และปัญหาหลักๆเลยคือ เจเนรัลมอเตอร์จะจดทะเบียนเอทานอลเหรอครับ? ได้ครับ ในฝันนะ แล้วไอเดียที่จะนำอาหารไปเติมรถ ก็ยัง ... ฟังดูไม่ดีเสียเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าเคตเตอริ่งจะเห็นว่า มีวิธีที่สามารถใช้ของเสียประเภทเซลลูโลส มาแปลงเป็นเชื้อเพลิงได้ เจเนรัลมอเตอร์ก็มองว่า กำไรจะหายไปมากพอสมควร แถมยุคนั้น ... มีการห้ามขายเหล้าในสหรัฐอเมริกาทั่วประเทศครับ อันนี้เป็นวิชาประวัติศาสตร์ ลองหาอ่านดูถ้าว่าง การกักเก็บและขนส่งแอลกอฮอล์ในประมาณที่มาก ... ก็อาจจะไม่ใช่ไอเดียที่ฟังดูดีเสียเท่าไหร่

เคตเตอริ่งและพรรคพวก ลองสารหลายๆชนิดครับ และสิ่งที่เขาค้นพบ คือ เตตระเอทิล เลด หรือสารตะกั่ว นั่นเอง สารตะกั่วเก็บและขนย้ายง่ายกว่าแอลกอฮอล์ (ไม่ดูดน้ำ และไม่เสี่ยงโดนปล้นกันในยุคที่เหล้าไม่สามารถหาซื้อได้อย่างถูกกฎหมาย) ช่วยลดการน็อคได้ดีมาก และที่สำคัญที่สุด เจเนรัลมอเตอร์สามารถจดลิขสิทธ์ได้

นั่นคือตำนานแห่งสารตะกั่วในน้ำมันครับ น้ำมันมีสารตะกั่ว เกิดขึ้นในตอนนั้นนั่นเอง

สารตะกั่วเป็นพิษต่อร่างกายครับ อันนี้ใครๆก็รู้ สิ่งที่หลายๆคนไม่รู้คือ รถที่เติมน้ำมันมีสารตะกั่ว จะไม่สามารถมีแคทตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ได้ (แคทตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ เป็นอะไรที่ไม่ถูกกับตะกั่วอย่างมากครับ) ซึ่งในยุค 70 ที่สหรัฐอเมริกา เริ่มเห็นความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม แล้วให้ความสำคัญต่อการลดไอเสียที่เกิดขึ้นจากรถยนต์มาก กำลังจะบังคับปริมาณไอเสียที่ถูกปล่อยมาจากเครื่องยนต์ ถ้ารถไม่มีแคท ก็ขายไม่ได้ครับ (แคลิฟอเนียเป็นรัฐแรกๆที่มีการบังคับการลดปริมาตรไอเสียที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้ใบสั่งจองรถยนต์มีการปรากฎขึ้นของช่องหนึ่ง ที่เรียกกันว่า รถสเปคแคลิฟอเนีย รถพวกนี้จะมีการจูนให้ปล่อยไอเสียน้อยกว่า และในบางรุ่น มีแคทตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ มาให้ก่อนที่จะโดนกึ่งบังคับกันทั้งประเทศ) ไม่นานนัก น้ำมันไร้สารตะกั่วก็เริ่มหายไปจากอเมริกา และทั่วโลก จนในปัจจุบันนี้เหลือประเทศไม่กี่ประเทศเท่านั้น ที่มีการจำหน่ายน้ำมันมีสารตะกั่วอย่างทั่วหลาย และในน้ำมันอากาศยาน ซึ่งมีน้อยกว่าแต่ก่อนมากแล้วครับ และเร็วๆนี้คงจะมีการบังคับใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วเช่นกัน

27ปีหลังจากการเลิกจำหน่ายน้ำมันเติมสารตะกั่วในสหรัฐ ผลทางสุขภาพมนุษย์เห็นได้ ค่อนข้างชัดครับ และผลสำหรับสุขภาพรถยนต์ ชัดเจนกว่าอีก

ปัญหา ซึ่งไม่หลักเท่ากับอีกปัญหาหนึ่ง (ราคาค่าน้ำมันอ็อคเทนสูง ที่ขึ้นสูงมาก ต้องอีกซักพักจนกว่าน้ำมันอ็อคเทนสูงๆจะกลับมาถูกจนพอซื้อกันได้อีกครั้งหนึ่ง) คือตะกอนเหลือสารตะกั่ว มีคุณสมบัติในการหล่อลื่นวาล์วครับ บ่าวาลว์ของหัวสูบที่ใช้น้ำมันเติมสารตะกั่ว จึงไม่จำเป็นต้องแข็งแรงมากนัก อันที่จริงแล้ว มันเกิดขึ้นได้กับเครื่องยนต์ที่ มีประสิทธิภาพสูง และได้รับการทารุณกรรมมากเท่านั้น และปริมาณสารตะกั่วที่ต้องใช้ในการลดการเสื่อมสภาพของวาล์วจริงๆนั้น น้อยมากครับ น้อยกว่าที่พบใน"น้ำมันสารตะกั่วน้อย" เยอะ แต่ เมื่อใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วในรถที่ฝาสูบ วาล์วเป็นแบบใช้กับน้ำมันมีสารตะกั่ว มากๆ ปัญหาก็จะเกิด ไม่ต่างจากที่จขกท. อธิบายมาเสียเท่าไหร่

รถคลาสสิคในปัจจุบันหลายๆคัน (แต่ไม่ใช่ทุกคันครับ รถบางคันมีบ่าวาล์วที่รองรับน้ำมันไร้สารตะกั่วมานานแล้ว ส่วนมากจะเป็นรถที่ราคาแพงหน่อย และจูนมาไม่แรงรถแข่งมากนัก) ต้องมีการเติมสารตะกั่วเพิ่มในถังน้ำมัน จำนวนไม่มากครับ นิดเดียว แต่รถของผมไม่จำเป็นต้องเติมครับ บ่าวาล์วแข็งแกร่งแบบท่านรัฐมนตรีชัชชาติมาตั้งแต่อยู่ในโรงงานแล้ว (มันคือเบนซ์ในยุคที่ยังประกอบดีอยู่ครับ จอบอ)

อันนี้เป็นความรู้ที่อีกไม่นานก็คงจะหายไปครับ รถเก่าๆ ก็ใช้น้ำมันไร้สารตะกั่วกันมานานพอสมควร อีกไม่นาน คนก็คงจะลืมกัน

ออฟไลน์ jumpon77

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,371
    • อีเมล์
Re: ท่านใดเคยได้ยินเรื่องน้ำมันเชลล์ทำวา
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 21:51:43 »
เออใช่ครับยุคนันค่าอ๊อคเทนมันอยู่ที97ครับถ้าข้อมูลผิดขออภัยครับแถมค่าน้ำมันเมีองไทยในยุค90นันมันราคา7หรีอ8บาทต่อลิตรครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 03, 2014, 21:57:33 โดย jumpon77 »
http://facebook.com/jumpon.hiranyanon
https://twitter.com/jumpon77     คุยได้นะครับ.
 Corolla Altis 1.8 E MT MY2008 Corolla Altis 1.6 J AT my2011 Isuzu D-MAX Spark my2003