ผู้เขียน หัวข้อ: การที่เราติดกล่อง E85kit แล้วไฟ engine ไม่โชว์ฺ แสดงว่า AFR มันได้ 14.7:1 ใช่มั้  (อ่าน 12204 ครั้ง)

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
การที่เรา "ติดกล่อง E85kit หรือ เปลี่ยนหัวฉีดให้ใหญ่ขึ้น  (แต่ไมได้จูนกล่อง ecu ) " เลยทำให้เติม E85 ล้วนๆเต็มถังแล้วไฟ engine ไม่โชว์ เนี่ย

แสดงว่า "กล่อง E85kit หรือ หัวฉีดอันใหม่ที่เราใส่เข้าไป "  
มันไปทำให้ มีการจ่ายน้ำมันปริมาณเพียงพอ จนทำให้ O2 sensor ของรถ อ่านค่าได้ 14.7 :1 ใช่มั้ยครับ
(ในกรณีที่รถเดิมๆ ไม่ได้จูนอะไรเพิ่ม + ใช้ O2 sensor narrow band เดิมๆติดรถ ซึ่งอ่านค่า AFR ได้แค่ช่วง 14.0:1-15.0:1  อะไรทำนองนั้น )

ค่า AFR ที่เหมาะสมของน้ำมันปกติ E0 (ethanol 0 % ) มันอยู่ที 14.7 :1     ( ซึ่ง 14.7 :1 ก็คือ ตัวเลขที่ ecu เดิมๆของรถจะปรับเข้าหานั่นเอง )
   แต่ทีนี้ ค่า AFR ที่เหมาะสมของ น้ำมัน E85 (ethanol 85%) มันดันไปอยุ่ที่ 9.9 :1
 
ก็คือ ค่าที่เหมาะสมสำหรับ E85 คือ 9.9 : 1  แต่กล่อง ecu รถ ดันไปปรับการฉีดน้ำมันให้ค่าเป็น 14.7 : 1
แบบนี้น้ำมันมันก็บางเกินไปสำหรับ E85 สิครับ  




เพราะฉะนั้น "การที่เรา ติดกล่อง E85kit หรือ เปลี่ยนหัวฉีดให้ใหญ่ขึ้น  (แต่ไมได้จูนกล่อง ecu ) "

ข้อดี คือ ไฟ engine ไม่โชว์ก็จริง  (ทำให้เราไม่ว้าวุ่น นอนหลับได้อย่างสบายใจ )

แต่ข้อเสีย ก็คือ ส่วนผสมอาจจะยังไม่เหมาะ เพราะ 14.7:1 มันบางเกินไปสำหรับ E85 (E85 ต้องประมาณ 9.9 :1)
 อาจทำให้ความร้อนของเครื่องยนตร์สูงกว่าปกติ  



แบบนี้ผมเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิดครับพี่ๆช่วยชี้แนะด้วย  ;D ;D ;D  

ปล ตัวเลข AFR เป็นตัวเลขโดยประมาณนะครับ เอาแค่พอให้เห็นภาพครับ   :) :) :) :)




ขอบคุณคร้าบบ  ;D ;D ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2014, 15:53:56 โดย supercat »

ออฟไลน์ YAmodels

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,024
ผมเข้าใจว่า O2 sensor ทำหน้าที่ตรวจจับออกซิเจนที่ผ่านตัวมัน
ถ้าหากว่าการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะมีการหลงเหลือออกซิเจน
เซนเซอร์จะตรวจพบและส่งค่าไปยังECUเพื่อจัดการต่อไป

คราวนี้ที่ไฟเครื่องไม่โชว์ก็คงแสดงว่าการเผาไหม้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ
แสดงว่าการเผาไหม้ก็ต้องอยู่ในช่วงพอดีของเชื้อเพลิงนั้นๆที่ใส่เข้าไปในเครื่องยนต์
ไม่ใช่14.7:1 เพราะว่าการเปลี่ยนหัวฉีดหรือการติดกล่องก็ทำให้ปริมาณการจ่ายเชื้อเพลิงเปลี่ยนไปแล้ว

ออฟไลน์ Alcatraz

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,604
    • อีเมล์
แล้วเคยลองแบบไม่มี kit แล้วไฟโชวป่าว


ผมเดาว่ากรณีนี้ต่อให้มีหรือไม่มี kit ไฟก็ไม่โชวนะ เป็นบางรุ่นบางยี่ห้อ

ออฟไลน์ johnlee

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,601
    • อีเมล์
ถูกครับ อี85 ส่วนผสมมาตรฐานต้อง 9 กว่าๆ
2535-2555 Nissan Big-m z16
2555-2561 Nissan Big-m Td27 + Bd25
2555- 2566 -Nissan Almera N17
2561- present -Isuzu D-max spacecab SLX 3.0
2566 - present Honda Jazz ge v a/t

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
แล้วเคยลองแบบไม่มี kit แล้วไฟโชวป่าว


ผมเดาว่ากรณีนี้ต่อให้มีหรือไม่มี kit ไฟก็ไม่โชวนะ เป็นบางรุ่นบางยี่ห้อ

ถ้าเป็น honda jazz  GE / honda city   รุ่นท้ายๆ model  (คือรุ่นประมาณปี 2013 หลังจากที่ minor change เรียบร้อยแล้ว)

รู้สึกว่ารถเดิมๆ ถ้าเติม e85 เพียวๆอัดเข้าไปเต็มถัง ไฟ engine จะโชว์ครับ

แต่ถ้าเอาไป ติดกล่อง E85kit หรือ เปลี่ยนหัวฉีดให้ใหญ่ขึ้น แล้วเติม E85 เต็มถัง   อันนี้ผมไม่ชัวร์ว่าไฟ engine จะยังโชวฺ์อยู่รึเปล่า



ปล
ถ้าเป็น"รุ่นก่อน minor change"   กล่อง ecu มันจะมีแต่ค่า short terum fuel trim ครับ ไม่มีค่า long term fuel trim
แต่   ""รุ่นหลัง minor change""   กล่อง ecu มันจะมีทั้งค่า short terum fuel trim และ  long term fuel trim
ไม่รู้จะเกี่ยวอะไรกับการที่เติม E85 แล้วไฟ engine ขึ้นมั้ย




ปล ที่บ้านใช้ honda jazz GE ปี 2013 ครับ (ซื้อช่วงคืนภาษีรถคันแรก)
ก็เลย focus ที่รถรุ่นนี้เป็นพิเศษ  ;D ;D ;D

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2014, 17:16:43 โดย supercat »

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,358
    • อีเมล์
รอผู้รู้มาช่วยชี้แจงด้วยคนครับ  ;D

ออฟไลน์ Buns

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 22
    • อีเมล์
แล้วเคยลองแบบไม่มี kit แล้วไฟโชวป่าว


ผมเดาว่ากรณีนี้ต่อให้มีหรือไม่มี kit ไฟก็ไม่โชวนะ เป็นบางรุ่นบางยี่ห้อ

ถ้าเป็น honda jazz  GE / honda city   รุ่นท้ายๆ model  (คือรุ่นประมาณปี 2013 หลังจากที่ minor change เรียบร้อยแล้ว)

รู้สึกว่ารถเดิมๆ ถ้าเติม e85 เพียวๆอัดเข้าไปเต็มถัง ไฟ engine จะโชว์ครับ

แต่ถ้าเอาไป ติดกล่อง E85kit หรือ เปลี่ยนหัวฉีดให้ใหญ่ขึ้น แล้วเติม E85 เต็มถัง   อันนี้ผมไม่ชัวร์ว่าไฟ engine จะยังโชวฺ์อยู่รึเปล่า



ปล
ถ้าเป็น"รุ่นก่อน minor change"   กล่อง ecu มันจะมีแต่ค่า short terum fuel trim ครับ ไม่มีค่า long term fuel trim
แต่   ""รุ่นหลัง minor change""   กล่อง ecu มันจะมีทั้งค่า short terum fuel trim และ  long term fuel trim
ไม่รู้จะเกี่ยวอะไรกับการที่เติม E85 แล้วไฟ engine ขึ้นมั้ย




ปล ที่บ้านใช้ honda jazz GE ปี 2013 ครับ (ซื้อช่วงคืนภาษีรถคันแรก)
ก็เลย focus ที่รถรุ่นนี้เป็นพิเศษ  ;D ;D ;D



มาช่วยแชร์ข้อมูลครับ ของผมเป็นตัว Jazz GE MC ปี 2011 เติม E85 โดยที่ไม่ได้เปลี่ยนหัวฉีด ไม่ได้ใส่กล่อง
เติมเพียวๆ ไฟก็ไม่โชว์ครับ ขับรอบสูงๆ หรือความเร็วสูง ก็ยังไม่เกิดปัญหาไฟโชว์ครับ เห็นมีในคลับบางท่านใช้มา 2 ปีแล้วยังไม่เกิดปัญหา

ออฟไลน์ Larry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 562
ผมมีความเห็นว่าเราไปโฟกัสกับคำว่า 14.7:1 มากเกินไปครับ ตัว o2 sensor จะตรวจจับปริมาณออกซิเจนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ แล้วส่งสัญญาณ 0-1 โวลในกรณีที่เป็น narrowband 0-5 โวลในกรณี wideband ไปยัง ECU เพื่อปรับค่าการจ่ายน้ำมันให้มันหนาขึ้นหรือบางลง ซึ่งชุด kit E85 ที่ติดๆ กันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ ทำตัวเหมือนพิคกี้แบค ต่อคล่อมตรงสัญญาณหัวฉีดเพื่อปรับจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้น ยกหัวฉีดนานขึ้นนั้นเอง เพราะ E85 เองให้พลังงานต่อปริมาตรน้อยกว่าเบนซิน พอฉีดเข้าในห้องเผาไหม้ ออกซิเจนที่เผาไหม้ออกมาเป็นไอเสียผ่านมาสัมผัสกับ o2 sensor ในปริมาณที่ปกติ หรือใกล้เคียงของเดิมมาก ค่าของ Kit E85 จะตั้งไว้ตายตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันได้ตามน้ำมันที่เติมเข้าไป ตัว ECU รถเองก็สามารถที่จะปรับแก้ค่าการจ่ายน้ำมันได้ในกรณีที่ชุด kit จ่ายหนาไปหรือบางในในช่วงของรอบเครื่อง มันเลยทำให้ไฟเครื่องไม่โชว์ พล่ามมาซะยาว ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบายรึเปล่า ฮ่าฮ๋า

ออฟไลน์ Meow

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 307
สอบถามเพิ่มเติมครับ มีท่านใด นำรถรุ่นที่ไม่ได้รองรับ E85 แต่แรก แล้ว ไปเติม มีอาการ สตาร์ท ครั้งแรกของวันติดยากไหมครับ(สตาร์ทลากยาวกว่าเดิม) แต่พอครั้งที่ 2 ไม่มีปัญหาครับ แชะเดียวติด

อยากทราบวิธีแก้อาการนี้ครับ

ที่ผมลองทำดูแล้วก็มี บิดกุญแจ ไปมา 3-4 ครั้ง ก่อนสตาร์ท(เรียกน้ำมันเข้าเยอะๆ)ก็ไม่ดีขึ้นครับ

บิด on แล้วทิ้งไว้1นาทีให้น้ำมันในระบบระเหย ก็ยังไม่ดีขึ้นครับ

ออฟไลน์ Larry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 562
สอบถามเพิ่มเติมครับ มีท่านใด นำรถรุ่นที่ไม่ได้รองรับ E85 แต่แรก แล้ว ไปเติม มีอาการ สตาร์ท ครั้งแรกของวันติดยากไหมครับ(สตาร์ทลากยาวกว่าเดิม) แต่พอครั้งที่ 2 ไม่มีปัญหาครับ แชะเดียวติด

อยากทราบวิธีแก้อาการนี้ครับ

ที่ผมลองทำดูแล้วก็มี บิดกุญแจ ไปมา 3-4 ครั้ง ก่อนสตาร์ท(เรียกน้ำมันเข้าเยอะๆ)ก็ไม่ดีขึ้นครับ

บิด on แล้วทิ้งไว้1นาทีให้น้ำมันในระบบระเหย ก็ยังไม่ดีขึ้นครับ
เปลี่ยนหัวเทียนน่าจะช่วยได้นะครับ หัวเทียนเข็ม 2 เขี้ยวไรงี้ วันนี้ผมศึกษาเรื่องหัวเทียนอยู่พอดี ^^

ออฟไลน์ neung23

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,668
ผมใช้แ Jazz SV 2013 เหมือนกันคับ แต่ไม่กล้าลองเติม E85 เพียว แต่สนใจจะจับติดเหมือนกัน หายี่ห้อที่เวริค์ๆอยู่คับ จะเปลี่ยนหัวฉีดก็กลัวผิดค่าโรงงานจะติดกล่องก็กลัวอืด แต่ใจไปทางกล่องมากกว่า กลัวประกันเครื่องยนต์ขาด และดูแล้วกล่องที่สนใจท่าจะ work อยู่

.
.

แต่ผมเคยลองกับ BMW E60 525i M54 ติดของ xugarflex แลลปรับหมุนเองมัน work คับ รอบต้นรอบปลายไม่อืด สรุปคือพอใจ ... แต่กล่องเดียวกันนี้เคยอยู่ใน E39 530i M54 รอบปลายอืดลงชัดเจน (เครื่องเดียวกัน แต่สมองเครื่องคนละตัว) E60มันฉลาดกว่าเลยไม่มีผลเรื่องอืดและมันแรงขึ้นพอจับความรู้สึกได้เลยคับ . E60 e85 เต็มถังปิดกล่องเครื่องยังเดินเรียบและขับได้แต่อืดลงมาก แต่E39ปิดกล่องเครื่องสะอึกเกือบดับและขับไม่ได้ยิ่งเร่งยิ่งจะวอดดับ เลยคิดว่ากล่อง e60 คงฉลาดกว่า

แต่พอได้ 530 E39 มาอีกคัน ผมไปติดกล่อง Auto ไม่ต้องปรับของไทยทำชื่อ xxxวิ่งxx85 มันก็ใช้ได้นะคับ ไม่อืดลง อัตราเร่งดีเหมือนเดิมตอบสนองดีกว่าเดิม ไม่มีอาการอืด

สตาร์ทตอนเช้าปกติทุกคัน แต่ถ้าบิดกุญแจเร็วๆมีติดช้าครั้งนึงแต่ช้าลงนิดเดียวคับแทบไม่ต่างจากปรกติ
2013 W204 C250 AMG Plus
2011 Prius
2010 X5 xDrive 4.8i
2003 E39 523i Sport

ออฟไลน์ Destiny_gun

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 396
    • อีเมล์
ผมใช้แ Jazz SV 2013 เหมือนกันคับ แต่ไม่กล้าลองเติม E85 เพียว แต่สนใจจะจับติดเหมือนกัน หายี่ห้อที่เวริค์ๆอยู่คับ จะเปลี่ยนหัวฉีดก็กลัวผิดค่าโรงงานจะติดกล่องก็กลัวอืด แต่ใจไปทางกล่องมากกว่า กลัวประกันเครื่องยนต์ขาด และดูแล้วกล่องที่สนใจท่าจะ work อยู่

.
.

แต่ผมเคยลองกับ BMW E60 525i M54 ติดของ xugarflex แลลปรับหมุนเองมัน work คับ รอบต้นรอบปลายไม่อืด สรุปคือพอใจ ... แต่กล่องเดียวกันนี้เคยอยู่ใน E39 530i M54 รอบปลายอืดลงชัดเจน (เครื่องเดียวกัน แต่สมองเครื่องคนละตัว) E60มันฉลาดกว่าเลยไม่มีผลเรื่องอืดและมันแรงขึ้นพอจับความรู้สึกได้เลยคับ . E60 e85 เต็มถังปิดกล่องเครื่องยังเดินเรียบและขับได้แต่อืดลงมาก แต่E39ปิดกล่องเครื่องสะอึกเกือบดับและขับไม่ได้ยิ่งเร่งยิ่งจะวอดดับ เลยคิดว่ากล่อง e60 คงฉลาดกว่า

แต่พอได้ 530 E39 มาอีกคัน ผมไปติดกล่อง Auto ไม่ต้องปรับของไทยทำชื่อ xxxวิ่งxx85 มันก็ใช้ได้นะคับ ไม่อืดลง อัตราเร่งดีเหมือนเดิมตอบสนองดีกว่าเดิม ไม่มีอาการอืด

สตาร์ทตอนเช้าปกติทุกคัน แต่ถ้าบิดกุญแจเร็วๆมีติดช้าครั้งนึงแต่ช้าลงนิดเดียวคับแทบไม่ต่างจากปรกติ

หลังไมค์ยี่ห้อมาหน่อยได้มั้ยครับ ของไทย ผมเจอหลายเจ้าเหลือเกิน บางเจ้าแกะกล่องมานี่ไม่อยากพูดเลบ เสียดายเงินมากครับ

ออฟไลน์ accord

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 441
  • CLS 250d AMG :)
มาช่วยแชร์ประสบการณ์ตรง

ส่วนตัวที่เคยลอง กับรถตัวเองเลย ณ ตอนนี้   จะมาเล่าให้ฟังครับ

รถที่ผมลอง alphard 3.0 v6  ปี 2004 เครื่องรุ่นนี้ ไม่รองรับน้ำมัน e20 กับ e85 จากโรงงานแน่นอน ^^ ทุกทีผมจะเติม แก๊ส 91 กับแก๊ส 95   

หลังจากมีชุด kit กล่อง e85 โฆษณา บางคนว่าดี บางคนว่าไม่ดี เข้ามาขายกันเยอะแยะ   สรรพคุณแต่ละยี่ห้อ ก็ว่ากันไป นู่น นี่ นั่น

ผมเลยคันต้องจัดมาลองสักหน่อย

อุปกรณ์ก็ไม่มีไรมาก เป็นกล่อง e85 ที่จูนมาจากโรงงาน เรียบร้อยแล้ว

รถผมเป็นแบบ 6 สูบ   เลยต้องแพงกว่า 4 สูบ สักหน่อย   


ในกล่องก็มี   ตัวกล่องชุด kit e85 แบบลง software มาให้เรียบร้อยแล้ว   พร้อมปลั๊กสายไฟหัวฉีด 6 เส้น 12 หัว นำไปต่อเข้ากับหัวฉีดเดิมที่ติดรถ และนำปลั๊กหัวฉีดเดิม มาต่อเข้ากับสายชุด kit e85 แล้วมีสายไฟลงกราวด์ 1 เส้น

จัดการติดเสร็จเรียบ วันรุ่งขึ้น ลองเติมน้ำมัน e85 เต็มถัง วิ่งไปกลับ พิษณุโลก - กทม.

ผลที่ได้คือประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปค่อนข้างมาก   แต่คงไม่ประหยัดเท่าติด lpg

การขับขี่ก็ปกติดีทุกอย่าง   แต่จะมีข้อเสียในเรื่องของตัวระบบหัวฉีดจ่ายน้ำมัน   ถ้าเป็นของเดิมติดรถ ขับจะรู้สึกได้เลยถึงตอนออกตัว กดคันเร่งเบาๆ จะมีอาการสะดุดเบาๆ   กับตอนวิ่งด้วยความเร็วสูง เหยียบคันเร่ง และปล่อยคันเร่ง จังหวะกดคันเร่งต่อจะมีอาการสะดุด

คาดว่าน่าจะเกิดจากหัวฉีดในการจ่ายน้ำมัน รวมไปถึงกล่องประมวลผล ชุด kit e85 ที่ติดเข้าไป ที่ค่าคาดเคลื่อนตอนใช้น้ำมัน e85

ส่วนเรื่อง start ยาก รถผมไม่เป็น   จอดทิ้งไว้ เช้ามา start ทีเดียวก็ติดเลย   อาจเป็นเพราะเป็นเครื่อง 6 สูบ การจุดระเบิดน่าจะดีกว่า   (เดาเอาน่ะครับ)


ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
ผมมีความเห็นว่าเราไปโฟกัสกับคำว่า 14.7:1 มากเกินไปครับ
ตัว o2 sensor จะตรวจจับปริมาณออกซิเจนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ แล้วส่งสัญญาณ 0-1 โวลในกรณีที่เป็น narrowband
0-5 โวลในกรณี wideband ไปยัง ECU เพื่อปรับค่าการจ่ายน้ำมันให้มันหนาขึ้นหรือบางลง


ซึ่งชุด kit E85 ที่ติดๆ กันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ ทำตัวเหมือนพิคกี้แบค
ต่อคล่อมตรงสัญญาณหัวฉีดเพื่อปรับจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้น ยกหัวฉีดนานขึ้นนั้นเอง เพราะ E85 เองให้พลังงานต่อปริมาตรน้อยกว่าเบนซิน
พอฉีดเข้าในห้องเผาไหม้ ออกซิเจนที่เผาไหม้ออกมาเป็นไอเสียผ่านมาสัมผัสกับ o2 sensor ในปริมาณที่ปกติ หรือใกล้เคียงของเดิมมาก
ค่าของ Kit E85 จะตั้งไว้ตายตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันได้ตามน้ำมันที่เติมเข้าไป
ตัว ECU รถเองก็สามารถที่จะปรับแก้ค่าการจ่ายน้ำมันได้ในกรณีที่ชุด kit จ่ายหนาไปหรือบางในในช่วงของรอบเครื่อง
มันเลยทำให้ไฟเครื่องไม่โชว์ พล่ามมาซะยาว
ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบายรึเปล่า ฮ่าฮ๋า

การที่ ecu มันจะสั่งให้ หัวฉีดปรับ ลด/เพิ่ม การฉีดน้ำมัน จนได้ค่าที่เหมาะสม เนี่ย  

มันน่าจะมี ค่าอ้างอิง ค่านึง(หรือช่วงนึง) ที่เอาไว้ check ดูผลของการฉีดน้ำมัน ว่า ณ เวลานั้น มันฉีดน้ำมันได้ พอดี รึยัง
( เหมือนต้องมี ครูระเบียบ เอาไว้ ตรวจการบ้านการฉีดน้ำมัน
ซึ่งครูระเบียบนั้น น่าจะเป็น ค่า AFR ซักค่านึง หรือช่วงนึง )

 
ซึ่งในที่นี้ ผมว่า ecu มันน่าจะเอาค่า AFR ที่ได้จาก O2 sensor มาใช้ check ผลของการฉีดจ่ายน้ำมัน ว่าฉีดน้ำมันได้พอดีรึยัง

เช่น  ถ้า O2 sensor  มันอ่านค่า AFR ได้บางเกินไป มันก็จะสั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันเพิ่ม    
        ถ้า  O2 sensor มันอ่านค่า AFR ได้หนาเกินไป มันก็สั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันลดลง  )

คือค่าของ AFR ไม่ต้องเป็น 14.7:1 ก็ได้ แต่มันก็น่าจะมีค่าซักค่านึง
ซึ่งค่าของ AFR ตรงนี้ ผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะครงกับ ค่า AFR ที่เหมาะสมสำหรับ E85

(ในกรณี รถเดิมๆ  ที่ไม่ได้โฆษณาว่าเติม E85 ได้นะครับ  +วิ่งในช่วง closed loop + มีแต่ O2 sensor  ไม่มี ethanol sensor  )



ปล ผมอาจจะเข้าใตผิดหมดเลยก็นะครับ มาแลกเปลี่ยนกัน  ;D ;D ;D
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2014, 00:00:07 โดย supercat »

ออฟไลน์ Larry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 562
ผมมีความเห็นว่าเราไปโฟกัสกับคำว่า 14.7:1 มากเกินไปครับ
ตัว o2 sensor จะตรวจจับปริมาณออกซิเจนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ แล้วส่งสัญญาณ 0-1 โวลในกรณีที่เป็น narrowband
0-5 โวลในกรณี wideband ไปยัง ECU เพื่อปรับค่าการจ่ายน้ำมันให้มันหนาขึ้นหรือบางลง


ซึ่งชุด kit E85 ที่ติดๆ กันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ ทำตัวเหมือนพิคกี้แบค
ต่อคล่อมตรงสัญญาณหัวฉีดเพื่อปรับจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้น ยกหัวฉีดนานขึ้นนั้นเอง เพราะ E85 เองให้พลังงานต่อปริมาตรน้อยกว่าเบนซิน
พอฉีดเข้าในห้องเผาไหม้ ออกซิเจนที่เผาไหม้ออกมาเป็นไอเสียผ่านมาสัมผัสกับ o2 sensor ในปริมาณที่ปกติ หรือใกล้เคียงของเดิมมาก
ค่าของ Kit E85 จะตั้งไว้ตายตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันได้ตามน้ำมันที่เติมเข้าไป
ตัว ECU รถเองก็สามารถที่จะปรับแก้ค่าการจ่ายน้ำมันได้ในกรณีที่ชุด kit จ่ายหนาไปหรือบางในในช่วงของรอบเครื่อง
มันเลยทำให้ไฟเครื่องไม่โชว์ พล่ามมาซะยาว
ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบายรึเปล่า ฮ่าฮ๋า

การที่ ecu มันจะสั่งให้ หัวฉีดปรับ ลด/เพิ่ม การฉีดน้ำมัน จนได้ค่าที่เหมาะสม เนี่ย  

มันน่าจะมี ค่าอ้างอิง ค่านึง(หรือช่วงนึง) ที่เอาไว้ check ดูผลของการฉีดน้ำมัน ว่า ณ เวลานั้น มันฉีดน้ำมันได้ พอดี รึยัง
( เหมือนต้องมี ครูระเบียบ เอาไว้ ตรวจการบ้านการฉีดน้ำมัน
ซึ่งครูระเบียบนั้น น่าจะเป็น ค่า AFR ซักค่านึง หรือช่วงนึง )

 
ซึ่งในที่นี้ ผมว่า ecu มันน่าจะเอาค่า AFR ที่ได้จาก O2 sensor มาใช้ check ผลของการฉีดจ่ายน้ำมัน ว่าฉีดน้ำมันได้พอดีรึยัง

เช่น  ถ้า O2 sensor  มันอ่านค่า AFR ได้บางเกินไป มันก็จะสั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันเพิ่ม    
        ถ้า  O2 sensor มันอ่านค่า AFR ได้หนาเกินไป มันก็สั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันลดลง  )

คือค่าของ AFR ไม่ต้องเป็น 14.7:1 ก็ได้ แต่มันก็น่าจะมีค่าซักค่านึง
ซึ่งค่าของ AFR ตรงนี้ ผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะครงกับ ค่า AFR ที่เหมาะสมสำหรับ E85

(ในกรณี รถเดิมๆ  ที่ไม่ได้โฆษณาว่าเติม E85 ได้นะครับ  +วิ่งในช่วง closed loop + มีแต่ O2 sensor  ไม่มี ethanol sensor  )



ปล ผมอาจจะเข้าใตผิดหมดเลยก็นะครับ มาแลกเปลี่ยนกัน  ;D ;D ;D
 
น้ำมันเบนซินต้องจ่าย 14.7:1 เพื่อให้ได้พลังงาน 10 (อันนี้สมมุติตัวเลขให้เข้าใจง่ายๆ) ส่วน E85 ต้องฉีดมากขึ้นถึงจะได้พลังงานเท่ากับเบนซิน ถ้าฉีดที่ 14.7:1 มันก็บางไปตามที่เจ้าของกระทู้เข้าใจ จึงต้องฉีดหนาขึ้น ส่วนผสมเลยเป็น 9.9:1

ส่วน ECU มันจะปรับค่าการจ่ายน้ำมันเป็นอย่างไร มันไม่ได้มาดูที่ค่า A/F Ratio แต่มันดูที่ค่าแลมด้า ที่ O2 Sensor ส่งข้อมูลมาต่างหาก ซึ่งค่าตัวนี้มันจะอ้างอิงกับ 14.7 นั้นแหละครับ จ่ายมากขึ้น หรือน้อยลง ต้องได้แลมด้าเท่ากับ 1 หรือใกล้เคียง (ในความเป็นจริงทำได้แค่ใกล้เคียง) อย่าลืมว่าสัญญาณที่ส่งออกมาจาก O2 Sensor นั้นเป็น 0-1 โวลต์ ไม่ได้เป็นตัวเลข a/f ratio ผมเลยอยากให้ลืมเรื่องนี้ไปก่อนเพราะเดี๋ยวมันจะตีกันเองซะเปล่าๆ ค่าแลมด้า 1 อาจจะเท่ากับ 14.7:1 น้อยกว่าหรือมากกว่าก็คงมีตารางการปรับแก้ที่ fix ค่ามาจากโรงงานแล้ว

ส่วนรถโรงงานที่มีแต่ O2 sensor แล้วบอกว่าเติม E85 ได้ แบบนี้ผมว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะเติมผสมกันแบบนี้ ECU น่าจะอยากรู้ส่วนผสมว่ามี ethanol มากน้อยเพียงใด เพื่อปรับค่าไฟจุดระเบิดให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงที่ป้อนเข้าไป ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับรถที่บอกว่าเติม E85 ได้ แต่เติมเข้าไปเฉยๆ ถามว่าเติมได้มั๊ย มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ECU รถนั้นๆ สามารถปรับแก้ค่าได้ช่วงกว้างหรือแคบเท่าไหร่ ถ้าปรับแก้ได้แคบๆ ไฟเช็คเอนจิ้นก็จะโชว์ ปรับแก้ได้กว้างก็อาจจะไม่โชว์ เพราะสั่งจ่ายน้ำมันเพิ่มได้ เพื่อรักษาแลมด้าให้เท่ากับ 1 ส่วนการปรับองศาไฟจุดระเบิด ผมไม่แน่ใจนักว่า ECU มันจะปรับค่าไปด้วยได้หรือไม่ในกรณี ECU เดิมๆ ของรถ

ปล. จากความคิดผมล้วนๆ อย่าเชื่อก่อนจะได้ศึกษา
ปล. 2 ผมชอบกระทู้แนวนี้จัง มันทำให้ได้คิด ให้ต่อยอดความคิด ได้พัฒนาสมอง ^^

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,358
    • อีเมล์
ส่วนตัวผมคิดว่า O2 sensor เองไม่รับรู้อยู่แล้วว่าเชื้อเพลิงอะไร ถ้าเผาไหม้แล้วมันรู้ว่าบาง(ในกรณีที่กล่องสั่งหัวฉีดเท่าเดิม) มันก็ส่งสัญญาณไปบอกกล่องว่าบางนะ ฉีดเพิ่มมาด้วย

เพราะฉะนั้นเวลาจูนเชื้อเพลิงอะไรก็แล้วแต่ ให้มันได้แลมด้า 1 นั่นแหละ (หรือให้มันอ่านค่าได้ 14.7นั่นแหละ)ค อัตราส่วนผสมจริงอาจจะไม่ใช่ 14.7 ก็เป็นได้ ไม่รู้ผมเข้าใจถูกหรือไม่ครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ  ;D


แต่ถ้าจะลองให้เห็นง่ายๆ น่าจะลองกับพวกเครื่องคาร์บู แล้วเอา WB A/F meter ลองวัดดูว่าตัวเลขมันขึ้นยังไง  ;D

ออฟไลน์ liveshow

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,747
  • รถไม่แรงแต่แซงยาก
ไม่น่าจะได้ 14.7: 1 ครับ แต่อาจจะไม่ทำให้เกิดปัญหาในฝั่ง O2 sensor ครับ ไม่ต่างจากติดแก๊ส
ถ้าค่าที่ส่งให้มาอยู่ใน0-1 ก็จบ  แต่จะบางจะหนา ค่อยว่ากัน
ก็แค่คนธรรมดา ไม่ลองก็ไม่รู้

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
ผมมีความเห็นว่าเราไปโฟกัสกับคำว่า 14.7:1 มากเกินไปครับ
ตัว o2 sensor จะตรวจจับปริมาณออกซิเจนที่หลงเหลือจากการเผาไหม้ แล้วส่งสัญญาณ 0-1 โวลในกรณีที่เป็น narrowband
0-5 โวลในกรณี wideband ไปยัง ECU เพื่อปรับค่าการจ่ายน้ำมันให้มันหนาขึ้นหรือบางลง


ซึ่งชุด kit E85 ที่ติดๆ กันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ ทำตัวเหมือนพิคกี้แบค
ต่อคล่อมตรงสัญญาณหัวฉีดเพื่อปรับจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้น ยกหัวฉีดนานขึ้นนั้นเอง เพราะ E85 เองให้พลังงานต่อปริมาตรน้อยกว่าเบนซิน
พอฉีดเข้าในห้องเผาไหม้ ออกซิเจนที่เผาไหม้ออกมาเป็นไอเสียผ่านมาสัมผัสกับ o2 sensor ในปริมาณที่ปกติ หรือใกล้เคียงของเดิมมาก
ค่าของ Kit E85 จะตั้งไว้ตายตัว ยกเว้นบางยี่ห้อที่ปรับค่าการจ่ายน้ำมันได้ตามน้ำมันที่เติมเข้าไป
ตัว ECU รถเองก็สามารถที่จะปรับแก้ค่าการจ่ายน้ำมันได้ในกรณีที่ชุด kit จ่ายหนาไปหรือบางในในช่วงของรอบเครื่อง
มันเลยทำให้ไฟเครื่องไม่โชว์ พล่ามมาซะยาว
ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบายรึเปล่า ฮ่าฮ๋า

การที่ ecu มันจะสั่งให้ หัวฉีดปรับ ลด/เพิ่ม การฉีดน้ำมัน จนได้ค่าที่เหมาะสม เนี่ย  

มันน่าจะมี ค่าอ้างอิง ค่านึง(หรือช่วงนึง) ที่เอาไว้ check ดูผลของการฉีดน้ำมัน ว่า ณ เวลานั้น มันฉีดน้ำมันได้ พอดี รึยัง
( เหมือนต้องมี ครูระเบียบ เอาไว้ ตรวจการบ้านการฉีดน้ำมัน
ซึ่งครูระเบียบนั้น น่าจะเป็น ค่า AFR ซักค่านึง หรือช่วงนึง )

 
ซึ่งในที่นี้ ผมว่า ecu มันน่าจะเอาค่า AFR ที่ได้จาก O2 sensor มาใช้ check ผลของการฉีดจ่ายน้ำมัน ว่าฉีดน้ำมันได้พอดีรึยัง

เช่น  ถ้า O2 sensor  มันอ่านค่า AFR ได้บางเกินไป มันก็จะสั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันเพิ่ม    
        ถ้า  O2 sensor มันอ่านค่า AFR ได้หนาเกินไป มันก็สั่งให้หัวฉีดฉีดน้ำมันลดลง  )

คือค่าของ AFR ไม่ต้องเป็น 14.7:1 ก็ได้ แต่มันก็น่าจะมีค่าซักค่านึง
ซึ่งค่าของ AFR ตรงนี้ ผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะครงกับ ค่า AFR ที่เหมาะสมสำหรับ E85

(ในกรณี รถเดิมๆ  ที่ไม่ได้โฆษณาว่าเติม E85 ได้นะครับ  +วิ่งในช่วง closed loop + มีแต่ O2 sensor  ไม่มี ethanol sensor  )



ปล ผมอาจจะเข้าใตผิดหมดเลยก็นะครับ มาแลกเปลี่ยนกัน  ;D ;D ;D
 
น้ำมันเบนซินต้องจ่าย 14.7:1 เพื่อให้ได้พลังงาน 10 (อันนี้สมมุติตัวเลขให้เข้าใจง่ายๆ) ส่วน E85 ต้องฉีดมากขึ้นถึงจะได้พลังงานเท่ากับเบนซิน ถ้าฉีดที่ 14.7:1 มันก็บางไปตามที่เจ้าของกระทู้เข้าใจ จึงต้องฉีดหนาขึ้น ส่วนผสมเลยเป็น 9.9:1

ส่วน ECU มันจะปรับค่าการจ่ายน้ำมันเป็นอย่างไร มันไม่ได้มาดูที่ค่า A/F Ratio แต่มันดูที่ค่าแลมด้า ที่ O2 Sensor ส่งข้อมูลมาต่างหาก ซึ่งค่าตัวนี้มันจะอ้างอิงกับ 14.7 นั้นแหละครับ จ่ายมากขึ้น หรือน้อยลง ต้องได้แลมด้าเท่ากับ 1 หรือใกล้เคียง (ในความเป็นจริงทำได้แค่ใกล้เคียง) อย่าลืมว่าสัญญาณที่ส่งออกมาจาก O2 Sensor นั้นเป็น 0-1 โวลต์ ไม่ได้เป็นตัวเลข a/f ratio ผมเลยอยากให้ลืมเรื่องนี้ไปก่อนเพราะเดี๋ยวมันจะตีกันเองซะเปล่าๆ ค่าแลมด้า 1 อาจจะเท่ากับ 14.7:1 น้อยกว่าหรือมากกว่าก็คงมีตารางการปรับแก้ที่ fix ค่ามาจากโรงงานแล้ว

ส่วนรถโรงงานที่มีแต่ O2 sensor แล้วบอกว่าเติม E85 ได้ แบบนี้ผมว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะเติมผสมกันแบบนี้ ECU น่าจะอยากรู้ส่วนผสมว่ามี ethanol มากน้อยเพียงใด เพื่อปรับค่าไฟจุดระเบิดให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิงที่ป้อนเข้าไป ไม่งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับรถที่บอกว่าเติม E85 ได้ แต่เติมเข้าไปเฉยๆ ถามว่าเติมได้มั๊ย มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ECU รถนั้นๆ สามารถปรับแก้ค่าได้ช่วงกว้างหรือแคบเท่าไหร่ ถ้าปรับแก้ได้แคบๆ ไฟเช็คเอนจิ้นก็จะโชว์ ปรับแก้ได้กว้างก็อาจจะไม่โชว์ เพราะสั่งจ่ายน้ำมันเพิ่มได้ เพื่อรักษาแลมด้าให้เท่ากับ 1 ส่วนการปรับองศาไฟจุดระเบิด ผมไม่แน่ใจนักว่า ECU มันจะปรับค่าไปด้วยได้หรือไม่ในกรณี ECU เดิมๆ ของรถ

ปล. จากความคิดผมล้วนๆ อย่าเชื่อก่อนจะได้ศึกษา
ปล. 2 ผมชอบกระทู้แนวนี้จัง มันทำให้ได้คิด ให้ต่อยอดความคิด ได้พัฒนาสมอง ^^

เรื่อง O2 sensor อ่านค่าเป็น lambda เนี่ย ผมก็งงตึ๊บเหมือนกันครับ
เพราะบางแหล่งบอกให้ดูจาก lambda   แต่ทำไมจูนเน่อ ถึงดูจาก AFR (เพราะในตารางจูนเน่อ เห็นใช้แต่ค่า AFR ทั้งนั้น)

>>>>  ข้ามไปอ่าน สีแดง ย่อหน้าสุดท้ายเลยก็ได้ครับ แล้วค่อยย้อนมาอ่าน ความเป็นมาเป็นไป ข้างบน  ;D ;D ;D



เท่าที่ผมสรุปเอาเอง (เพิ่งไป google แล้วเอามาข้อมูลยำๆๆ )  ได้ประมาณนี้ครับ 
ข้อมูลที่ O2 sensor อ่านได้  มันจะออกมาเป็นข้อมูลดิบๆเลย คือได้ออกมาเป็นหน่วย volt   

แล้วที่นี้ มันจะเอาค่า volt ที่อ่านได้ ไปเทียบว่า  volt เท่านี้นะ มันเท่ากับกี่ lambda

เช่น  O2 sensor อ่านค่าดิบๆออกมาได้ 2.375 volt   มันก็จะเอาค่า 2.375 volt ไปเทียบตารางดู ว่ามันเท่ากับกี่ lambda
(ของยี่ห้อนี้ 2.375 volt จะเท่ากับ 1.008 lambda ตามตารางในรูปครับ)

(ซึ่ง O2 sensor แต่ละยี่ห้อ ค่าที่ใช้ก็อาจจะไม่เท่ากัน
เช่น  2.375 volt ของ ยี่ห้อ A อาจจะเท่ากับ  1.008 lambda  ,แต่ถ้าเป็น 2.375  volt ของยี่ห้อ B อาจจะเท่ากับ 1.100 lambda
นอกจากนี้ยังมีเรื่อง wide band O2 sensor กับ short band O2 sensor อีก     

ซึ่งรุ่นที่ยกตัวอย่างในตารางนี้ เป็น wide band O2 sensor ครับ
จะเห็นว่า ค่า volt ที่มันอ่านได้เนี่ย มัน wide band สมชื่อเลย ก็คือ อ่านได้ตั้งแต่ 0 volt  ไปจนถึง 4.250 volt)


http://www.performancetrucks.net/forums/tuning-diagnostics-electronics-wiring-161/equivalence-ratio-wideband-518559/


  แล้วทีนี้ พอได้ค่า lambda ออกมาแล้ว  มันจะแปลงค่า lambda ให้เป็น ค่า AFR ได้ยังไง ?

 ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า
น้ำมันแต่ละชนืดเนี่ย มันจะมี ค่าคงที่ อยู่ค่านึงครับ เรียกว่าค่า Stoichiometric AFR  (แต่อย่าไปจำชื่อมันเลยครับ จำแค่ว่าเป็น "ค่าคงที่ของน้ำมันแต่ละชนิด" ก็แล้วกัน ง่ายดี )

ยกคัวอย่างเช่น (ดูจากตารางข้างล่างเลยครับ)
-น้ำมัน E0 (ซึ่งก็คือน้ำมันล้วนๆ ไม่มี ethanol ปน) จะมีค่าคงที่ เท่ากับ 14.7
-น้ำมัน E85    จะมีค่าคงที่ เท่ากับ 9.9



แล้วทีนี้ มันก็เอา "ค่า lambda" มาคูณกับ "ค่าคงที่ของน้ำมันแต่ละชนิด(ค่า Stoichiometric AFR) " 

จากสูตร คำนวณ     " Actual AFR = Lambda * Stoichiometric AFR    "

ผลลัพธ์ที่ได้ ก็จะออกมาเป็น "ค่า AFR ที่แท้จริง ณ เวลานั้นๆ (actual AFR )" ครับ   







ตัวอย่างสุดท้ายรวบยอดเลยนะครับ เพื่อความเข้าใจ

สมมติว่า wide band O2 sensor รุ่นนั้น อ่านค่าดิบๆได้เท่ากับ  2.375 volt 

ซึ่งพอเอาค่า 2.375 volt ไปเทียบกับตารางแล้ว มันได้เท่ากับ 1.008 lambda แล้วเราก็ใช้ค่า 1.008 lambda นี้ ไปแทนค่าในสูตร




Hightlight จะอยู่ตรงนี้ครับ   จากสูตร คำนวณ     " Actual AFR = Lambda * Stoichiometric AFR    "

-ถ้าเราใช้น้ำมัน E0 (ซึ่งค่าคงที่ของน้ำมัน E0 มันเท่ากับ 14.7 )     

เพราะฉะนั้น ค่า actual AFR ณ ตอนนั้น จะเท่ากับ 1.008 * 14.7 =    14.8176 : 1 นั่นเอง ซึ่งเป็นค่า AFR ที่เหมาะสำหรับ น้ำมัน E0 


-แต่ถ้าเราใช้น้ำมัน E85 (ซึ่งค่าคงที่ของน้ำมัน E0 มันเท่ากับ 9.9)     

เพราะฉะนั้น ค่า actual AFR ณ ตอนนั้น จะเท่ากับ 1.008 * 9.9 =     9.9792 : 1 นั่นเอง ซึ่งเป็นค่า AFR ที่เหมะาสำหรับ น้ำมัน E85





สรุปก็คือ อย่าไปยึดกับ 14.7:1  (ในกรณีของ น้ำมัน E0) หรือ 9.9 :1 ( ในกรณีของน้ำมัน E85)  เลย


ยึดติดกับค่า 1 lambda (คือ กี่ lambda ก็แล้วแต่ ) จะดีกว่า


คือ ถ้า ecu ของรถ มันยึดที่ค่า  1 lambda ซะก็หมดเรื่อง   (แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าจริงๆแล้ว มันยึดค่า lambda หรือค่าอะไรกันแน่ )

ทีนี้ไม่ว่าเติมน้ำมันอะไร ecu ก็ปรับการฉีดน้ำมันให้พอดี  จนทำให้ค่าที่ O2 sensor มันอ่านได้ เท่ากับ 1 lambda (จะกี่ volt ก็แล้วแต่) แค่นี้ก็หมดเรื่องแล้ว

(คือถ้ายึดค่า AFR 14.7 : 1  มันก็จะดีสำหรับ น้ำมัน E0 ล้วนๆ เท่านั้น แต่กลายเป็นว่าบางเกินไป สำหรับ E85

แต่ถ้ายึดที่ 1 lambda ปุ๊ป  - พอเติม E0 มันก็ปรับให้เข้าหา        1 lambda ของ EO       ซึ่งก็คือ    AFR  = 14.7 :1   ซึ่งเป็นค่า AFR ที่เหมาะสม สำหรับ E0
                                   - พอเติม  E85 มันก็ปรับให้เข้าหา     1 lambda ของ E85     ซึ่งก็คือ     AFR = 9.9 : 1    ซึ่งเป็นค่า AFR ที่เหมะาสม สำหรับ E85 อะไรทำนองนั้น )   



อันนี้พูดถึงกรณีของรถบ้านๆ วิ่งในช่วง closed loop ไม่ได้จูน ปรับการฉีดน้ำมัน เพื่อให้ได้ AFR ค่าใดค่าหนึ่ง เพื่อเค้น perfomance นะครับ







ปล ผมอาจจะเข้าใจผิดหมดเลยทั้งดุ้นก็ได้นะครับ อันนี้พูดจริงๆจากใจ ไม่ได้ประชด  ;D ;D ;D


ข้อมูลส่วนใหญ่ เอามาจากเว็บนี้ครับ
http://www.ultra-gauge.com/customer_support/knowledgebase.php?article=29



ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
" ...The far better parameter to monitor is Lambda, as Lambda is independent of the fuel used.   
( อันนี้ผมแปลเองนะครับ ก็คือเรา monitor จากค่า lambda จะดีกว่าที่จะไป monitor จากค่า AFR 
เพราะค่า labmda มันไม่ต้องไปอิงกับ ค่าคงที่ของน้ำมันแต่ละชนิด นั่นเอง
(ซึ่งค่าคงที่นี้เราไม่่ทางรู้แน่ชัด
เพราะส่วนผสมน้ำมันของแต่ละที่ก็ต่างกันไป แถมบริษัทน้ำมันก็ไม่ได้บอกค่านี้กับเรา) 


 As long as Lambda is very near or equal to 1, you know your mixture is correct (Stoichiometric).   

If for performance reasons, you still wish to monitor AFR, because you wish to run rich
, Lambda is still the better parameter to monitor as AFR will be distorted by the Stoichiometric AFR assumed. ..."   

http://www.ultra-gauge.com/customer_support/knowledgebase.php?article=29

 

ออฟไลน์ Larry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 562
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,358
    • อีเมล์
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D

แต่ ecu มันดันมีค่าบางอย่างที่ถูกตั้งไว้น่ะสิครับ พอมันสั่งไปมากขึ้นๆ ก็จะฟ้องว่าระบบมีปัญหา บางรุ่นที่ไม่ฟ้องก็สบายไป  ;D

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
จริงๆ มีแค่ O2 sensor ก็น่าจะพอนะครับ ไม่เห็นจะต้องมี ethanol sensor เลย


หรือว่าในทางปฎิยัติแล้ว  O2 sensor มันตอบสนองช้าเกินไป delay ไม่ทันกิน   

( เพราะ O2 sensor มันเป็นการตรวจสอบที่ ปลายทาง แล้วค่อยส่งสัญญาณย้อนกลับไปบอก ecu อีกที )




แต่ถ้าเป็น ethanol sensor มันวัดค่า ethanol ได้ที่ ต้นทาง เลย    ทำให้ ecu มันปรับตัวได้แต่เนิ่นๆ

( เสมือนว่าพอ ethanol sensor อ่านค่าได้ปุ๊ป ว่า น้ำมันทีเติมเข้าไป มันเป็น E เท่าไหร่
มันก็ไปสะกิดบอก ecu แต่เนิ่นๆเลย ว่าจะต้อง ปรับการฉีดน้ำมัน ยังไงบ้าง )


ปล อันนี้ มโน เองล้วนๆนะครับ ไม่มีอ้างอิงจากที่ไหนเลย  ;D ;D ;D
 

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D

แต่ ecu มันดันมีค่าบางอย่างที่ถูกตั้งไว้น่ะสิครับ พอมันสั่งไปมากขึ้นๆ ก็จะฟ้องว่าระบบมีปัญหา บางรุ่นที่ไม่ฟ้องก็สบายไป  ;D

ถ้าเราหาเครื่อง OBD reader มาเสียบ 
ขับไป คอยชำเลืองสังเกตุค่า   short term fuel trim      ,   long term fuel trim   ,  O2 sensor  (อาจจะอ่านได้เป้น volt หรือ lambda) ไป
แบบนี้จะพอไหวมั้ยครับ  หรือว่ามันมีค่าอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ที่จะทำให้ไฟ engine ขึ้นได้ ๆ

ปล แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้วครับ แคนี้ก็จะสำลักข้อมูลตายอยู่แล้ว   ;D ;D ;D

ออฟไลน์ Larry

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 562
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D
ก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่า ECU เดิมของเครื่องจะปรับได้เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น หามันอยู่ในระยะที่มันปรับแก้ได้ มันก็ยังไม่มีไฟเช็คอินจิ้นไปโชว์ที่หน้าปัด แต่เมื่อไหร่มันปรับแล้ว ก็ยังบางอยู่ ปรับให้ฉีดสุดแล้วก็ยังบางอยู่ดี แบบนี้มันก็จะมีไฟโชว์ครับ ส่วนประกอบอื่นๆ คือปั๊มติ๊กทน E85 และส่วนเปียกน้ำมันทุกส่วนที่ทน E85 ได้ คราวนี้ก็ใช้งานอย่างสบายใจแล้วครับ

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,358
    • อีเมล์
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
 

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D

แต่ ecu มันดันมีค่าบางอย่างที่ถูกตั้งไว้น่ะสิครับ พอมันสั่งไปมากขึ้นๆ ก็จะฟ้องว่าระบบมีปัญหา บางรุ่นที่ไม่ฟ้องก็สบายไป  ;D

ถ้าเราหาเครื่อง OBD reader มาเสียบ 
ขับไป คอยชำเลืองสังเกตุค่า   short term fuel trim      ,   long term fuel trim   ,  O2 sensor  (อาจจะอ่านได้เป้น volt หรือ lambda) ไป
แบบนี้จะพอไหวมั้ยครับ  หรือว่ามันมีค่าอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ที่จะทำให้ไฟ engine ขึ้นได้ ๆ

ปล แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้วครับ แคนี้ก็จะสำลักข้อมูลตายอยู่แล้ว   ;D ;D ;D

ผมก็ดูประมาณนั้นเหมือนกันครับ  ;D

แต่ไฟมันโชว์ก็ไม่ได้อะไรมากเพราะแค่ลองระยะสั้นๆ ถัง 2 ถัง ไว้หมดประกันแล้วค่อยว่ากัน แต่ก็คงทำอย่างที่หลายๆท่านว่าแหละครับ ปั๊มติ๊ก ท่อทาง หัวฉีด กล่อง อืมมม แค่นี้ก็หลายเงินแล้ว สุดท้ายติดแก๊สล่ะกันฟร๊ะ 5555

ออฟไลน์ littlepig1430

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 28
จากความรู้งูๆปลาๆ

ECU จะยึดแลมดา 1 ซึ่งจะอ้างอิงจาก AFR ครับ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 14.7:1 ตามที่ทราบกัน
ที่นี้พอเราเติม E85 ไป เครื่องก็ฉีดน้ำมันเท่าเดิม แต่ E85 มันต้องจ่ายน้ำมันในอัตราส่วน 9.9:1 ถึงจะวัดได้แลมดา 1 แต่ดันจ่ายในอัตราส่วน 14.7:1
มันก็เลยบางไป จึงต้องฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ตารางเดิมที่มีฉีดน้ำมันชดเชยได้ไม่มากพอ ทำให้ส่วนผสมยังบางไป ไฟก็เลยฟ้อง
พอเราพ่วงกล่องE85 ไปมันก็จะเพิ่มเวลาการฉีดจากคำสั่งกล่องทำให้ส่วนผสมหนาพอที่ไฟจะไม่ฟ้อง แต่ AFR พอดีมั้ยต้องวัดดูครับว่าได้เท่าไหร่

ส่วนรถที่เติม E85ได้ จะมีsensor วัดชนิดเชื้อเพลิงด้วยครับ แล้ว ECU คงมี AFR และตารางหลายค่าตามชนิดเชื่อเพลิง

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
ก็อย่างที่่ผมบอกไปตั้งแต่โพสก่อนๆ นั้นแหละครับ ECU มันไม่ได้มองว่า A/F Ratio เท่าไหร่ แต่มันจะเช็คตัวเองว่าตอนนี้ที่จ่ายน้ำมันเข้าไป แลมด้าเท่ากับ 1 หรือยัง จะเติม E0 หรือ E100 ผลที่ได้ออกมาทางท่อไอเสียก็โดน O2 Sensor จับเอาไปตรวจวัดค่าอยู่ดี ค่าที่วัดได้ก็เอาไปปรับแก้การจ่ายน้ำมันให้บางลงหรือหนาขึ้น รถยนต์ส่วนใหญ่ในท้องตลาดมักใช้ narrow band sensor มากกว่า wide band sensor ด้วยความคงทนและราคาที่ถูกกว่า เพราะยังไงซะ  narrow band ก็วัดค่าได้ในช่วงแคบๆ ECU ก็ปรับค่าได้ในช่วงแคบๆ ซึ่งช่วงที่ว่ามานั้นมันก็เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับ 14.7:1 นั้นแหละครับ

ส่วนตารางการแปลงค่าของ wideband ออกมาเป็นแลมด้า ผมเคยศึกษาเมื่อประมาณปีที่แล้ว เพราะอยากรู้เหมือนกันนี่แหละครับ ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว เพราะรู้ว่ายังไงซะ ECU มันก็สนใจแค่ 1 แลมด้านั้นแหละ ส่วนการจูนรถ เค้าใช้ wideband เสียบจูนกัน เพราะค่าที่ได้มันละเอียดมากกว่า ซึ่ง A/F Ratio มันก็มีประโยชน์ตรงนี้แหละครับ มันทำให้คนจูนมองเห็นภาพมากกว่าแค่ตัวเลข 1 เลขเดียว (ค่าแลมด้า) จะจูนเค้นพลังก็เอาให้หนาขึ้น มอง A/F Ratio Meter แล้วก็จัดเลย

 ;D ;D ;D

ถ้า ecu (standard เดิมๆ)  มันยึดค่า  "1  lambda "  เพื่อเอามาใช้ในการ ปรับการฉีดน้ำมัน อย่างที่เราคาดไว้จริงๆ

ทีนี้ไม่ว่าเราจะเติมน้ำมันอะไร (เช่น E0 ,E10 ,E20 ,E85 ,E100 )   ecu มันก็จะ ปรับการฉีดน้ำมันชนิดนั้นๆ เพื่อให้เข้าหา 1 lamba
( ในกรณีที่น้ำมัน octane สูงๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องจะเขก )
  

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เราก็เติม E85 ได้อย่างสบายใจเลยใช่มั้ยครับ  (อย่าลืมเช็คสภาพท่อน้ำมันด้วย )

ขอแค่ "หัวฉีดมีขนาดใหญ่พอ" + "ปั๊มติ๊กแรงพอ"  คือ ทำยังไงก็ได้ ที่จะให้หัวฉีด มันจ่ายน้ำมันได้หนามากพอ แค่นี้ก็จบ happy ending  ;D ;D ;D

แต่ ecu มันดันมีค่าบางอย่างที่ถูกตั้งไว้น่ะสิครับ พอมันสั่งไปมากขึ้นๆ ก็จะฟ้องว่าระบบมีปัญหา บางรุ่นที่ไม่ฟ้องก็สบายไป  ;D

ถ้าเราหาเครื่อง OBD reader มาเสียบ  
ขับไป คอยชำเลืองสังเกตุค่า   short term fuel trim      ,   long term fuel trim   ,  O2 sensor  (อาจจะอ่านได้เป้น volt หรือ lambda) ไป
แบบนี้จะพอไหวมั้ยครับ  หรือว่ามันมีค่าอื่นนอกเหนือจากนี้อีก ที่จะทำให้ไฟ engine ขึ้นได้ ๆ

ปล แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็ไม่ไหวแล้วครับ แคนี้ก็จะสำลักข้อมูลตายอยู่แล้ว   ;D ;D ;D

ผมก็ดูประมาณนั้นเหมือนกันครับ  ;D

แต่ไฟมันโชว์ก็ไม่ได้อะไรมากเพราะแค่ลองระยะสั้นๆ ถัง 2 ถัง ไว้หมดประกันแล้วค่อยว่ากัน แต่ก็คงทำอย่างที่หลายๆท่านว่าแหละครับ ปั๊มติ๊ก ท่อทาง หัวฉีด กล่อง อืมมม แค่นี้ก็หลายเงินแล้ว สุดท้ายติดแก๊สล่ะกันฟร๊ะ 5555

ถ้ารถหมดประกันเมื่อไหร่ คงจับติดแก๊สครับ  

ตอนนี้ยังอยุ่ในประกัน เลยมาตามหาวิธี แอบเติม E85 ฮ่าฮ่าฮ่า ๆๆ  ;D ;D ;D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 17, 2014, 22:24:51 โดย supercat »

ออฟไลน์ supercat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 795
จากความรู้งูๆปลาๆ

ECU จะยึดแลมดา 1 ซึ่งจะอ้างอิงจาก AFR ครับ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 14.7:1 ตามที่ทราบกัน
ที่นี้พอเราเติม E85 ไป เครื่องก็ฉีดน้ำมันเท่าเดิม แต่ E85 มันต้องจ่ายน้ำมันในอัตราส่วน 9.9:1 ถึงจะวัดได้แลมดา 1 แต่ดันจ่ายในอัตราส่วน 14.7:1
มันก็เลยบางไป จึงต้องฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ตารางเดิมที่มีฉีดน้ำมันชดเชยได้ไม่มากพอ ทำให้ส่วนผสมยังบางไป ไฟก็เลยฟ้อง
พอเราพ่วงกล่องE85 ไปมันก็จะเพิ่มเวลาการฉีดจากคำสั่งกล่องทำให้ส่วนผสมหนาพอที่ไฟจะไม่ฟ้อง แต่ AFR พอดีมั้ยต้องวัดดูครับว่าได้เท่าไหร่

ส่วนรถที่เติม E85ได้ จะมีsensor วัดชนิดเชื้อเพลิงด้วยครับ แล้ว ECU คงมี AFR และตารางหลายค่าตามชนิดเชื่อเพลิง

ประมาณว่า ethanol sensor มันจะอ่านค่า จาก น้ำมันที่เราเติมเข้าไป 
ทำให้ ecu มันเลือก map ที่เหมาะสม(หรือทำให้ ecu มันปรับตัวรอไว้แต่เนิ่นๆ ) กับ น้ำมันชนิดนั้นๆ ได้

ประโยชน์ของการมี ethanol sensor ก็คือ  ทำให้  O2 sensor มันทำงานน้อยลง 
ไม่ต้องให้ ecu  แก้ไขการฉีดน้ำมัน / trim น้ำมันเยอะๆ



-การ มี ethanol sensor ก็เหมือนมี พรายกระซิบ ไปบอก ecu ก่อนแต่เนิ่นๆ ว่า เอ็งต้อง trim น้ำมันประมาณนี้นะ

-ส่วนการ  ไม่มี ethanol sensor ก็เหมือน ตาบอดคลำช้าง คือ ecu ก็ต้อง trim น้ำมันไปเรื่อย จนกว่าจำคลำเจอทาง


อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ




ปล อันนี้มั่วสุดฤทธิ์ คิดเองเออเอง ไม่ได้เอาข้อมูลจากที่ไหนมาอ้างอิงเลย  ฮ่าฮ่าฮ่า ๆๆ :) :) :)

ออฟไลน์ madboy

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,358
    • อีเมล์
จากความรู้งูๆปลาๆ

ECU จะยึดแลมดา 1 ซึ่งจะอ้างอิงจาก AFR ครับ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 14.7:1 ตามที่ทราบกัน
ที่นี้พอเราเติม E85 ไป เครื่องก็ฉีดน้ำมันเท่าเดิม แต่ E85 มันต้องจ่ายน้ำมันในอัตราส่วน 9.9:1 ถึงจะวัดได้แลมดา 1 แต่ดันจ่ายในอัตราส่วน 14.7:1
มันก็เลยบางไป จึงต้องฉีดน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ตารางเดิมที่มีฉีดน้ำมันชดเชยได้ไม่มากพอ ทำให้ส่วนผสมยังบางไป ไฟก็เลยฟ้อง
พอเราพ่วงกล่องE85 ไปมันก็จะเพิ่มเวลาการฉีดจากคำสั่งกล่องทำให้ส่วนผสมหนาพอที่ไฟจะไม่ฟ้อง แต่ AFR พอดีมั้ยต้องวัดดูครับว่าได้เท่าไหร่

ส่วนรถที่เติม E85ได้ จะมีsensor วัดชนิดเชื้อเพลิงด้วยครับ แล้ว ECU คงมี AFR และตารางหลายค่าตามชนิดเชื่อเพลิง

ประมาณว่า ethanol sensor มันจะอ่านค่า จาก น้ำมันที่เราเติมเข้าไป 
ทำให้ ecu มันเลือก map ที่เหมาะสม(หรือทำให้ ecu มันปรับตัวรอไว้แต่เนิ่นๆ ) กับ น้ำมันชนิดนั้นๆ ได้

ประโยชน์ของการมี ethanol sensor ก็คือ  ทำให้  O2 sensor มันทำงานน้อยลง 
ไม่ต้องให้ ecu  แก้ไขการฉีดน้ำมัน / trim น้ำมันเยอะๆ



-การ มี ethanol sensor ก็เหมือนมี พรายกระซิบ ไปบอก ecu ก่อนแต่เนิ่นๆ ว่า เอ็งต้อง trim น้ำมันประมาณนี้นะ

-ส่วนการ  ไม่มี ethanol sensor ก็เหมือน ตาบอดคลำช้าง คือ ecu ก็ต้อง trim น้ำมันไปเรื่อย จนกว่าจำคลำเจอทาง


อะไรแบบนี้ใช่มั้ยครับ




ปล อันนี้มั่วสุดฤทธิ์ คิดเองเออเอง ไม่ได้เอาข้อมูลจากที่ไหนมาอ้างอิงเลย  ฮ่าฮ่าฮ่า ๆๆ :) :) :)

น่าจะประมาณนั้น มั้งงงงงงง ครับ 555 ;D