ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 680 อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น
อนึ่ง สัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
มาตรา 686 ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น
มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขต
มาตรา 689 ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดั่งกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน
***ผมเคยไปค้ำประกันให้ลูกน้องซื้อรถครับ เมียรู้เข้า ถูกด่าเป็นมหากาฟเลยครับ***
ตามกฎหมายแล้ว หากผู้ซื้อไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทางเจ้าหนี้ก็จะสามารถฟ้องเอาหนี้นั้นกับผู้ค้ำประกันได้ หากมีเอกสารสัญญาไว้ชัดเจนแล้ว
เราอาจจะเป็นผู้ค้ำประกันได้ครับ หากว่าเรามั่นใจเต็มล้านเปอร์เซ็นต์ว่าเค้ามีความสามารถในการชำระหนี้ได้ แต่หากไม่มั่นใจก็อย่างเสียงครับ
เพราะถ้าเราถูกฟ้องแล้ว มันก็จะยุ่งยากมาก ๆ ๆ แล้วอาจจะต้องเสียเงินแทนเค้าด้วย
อันนี้เป็น กม.เก่าครับ กม.ที่แก้ใหม่เนื้อหาก็ไกล้เคียงที่ จขกท.เข้าใจครับ
คือ เจ้าหนี้ต้องเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน จึงค่อยมีสิทธิเรียกเอากับผู้ค้ำฯได้ รวมถึงการห้ามทำสัญญาค้ำที่ระบุให้ผู้ค้ำรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และอีกอย่างที่สำคัญคือการค้ำฯ ต้องระบุจำนวนเงินที่ผู้ค้ำจะต้องค้ำฯไม่ใช่ค้ำครอบจักวาลเหมือนเดิม
สรุป คือ คุ้มครองผู้ค้ำมากขึ้น แต่ก็อย่างว่าละครับชื่อมันก็บอกว่าค้ำประกัน ยังไงก็ต้องก็ต้องรับผิดหากลูกหนี้ผิดสัญญากับเจ้าหนี้