ผู้เขียน หัวข้อ: อยากรู้หลักการทำงานของกล่องประหยัดน้ำมัน/เพิ่มออกซิเจน ประหยัดได้จริงหรือไม่  (อ่าน 4335 ครั้ง)

ออฟไลน์ Immortal6

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
อยากรู้หลักการทำงานของกล่องประหยัดน้ำมัน/เพิ่มออกซิเจน ประหยัดได้จริงหรือไม่ครับ
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010

promt

  • บุคคลทั่วไป
ผมก็อยากรู้คนที่มันทำได้จริงๆ โดยไม่หลอกเหมือนกันครับ

ออฟไลน์ kez

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,585

ออฟไลน์ decptt

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,571
หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ

ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,151
ลองทดสอบเองดูสิครับ เค้ามีรับประกัน 15 วันหลังติดถ้าติดแล้วก็ลองทดสอบดูครับ เค้าเคลมว่าประหยัดขึ้น 20% คุณลองทดสอบดู ถ้ามันเห็นไม่ชัดก็ขอเงินคืนเลยครับ

ผมไม่เคยใช้แต่อ่านรีวิวส่วนมากมี 2 แบบคือใช้แล้วได้ผลกับไม่ได้ใช้แล้วบอกไม่ได้ผล นานๆ ซึ่งการที่คนหลายร้อยบอกว่าได้ผลอาจจะเป็นการอุปทานหมู่ก็ได้หรือได้ผลจริงๆ ก็ได้ แต่ถึงจะเป็นการอุปทานหมู่แต่ถ้าทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นผมว่ามันก็ไม่มากหรอกครับ บางทีเช่าพระมาบูชาแพงกว่านั้นก็มีถมไป

ออฟไลน์ Immortal6

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น  ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม  o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย  เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010

ออฟไลน์ NINENOI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,723
  • Nine & Knight
หลักการไม่ทราบ แต่ลองดูตรรกะของผมนะครับ

ถ้าดีจริง ทำไมบริษัทรถยนต์ถึงไม่ซื้อลิขสิทธิ์ไปล่ะครับ คล้ายกับ ลิขสิทธิ์ของ Hybrid ที่เขาเอาของโตโยต้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้ง BMW และอีกหลายๆเครือ
ทำไม toyota, bmw, benz ถึงไม่แย่งกันซื้อลิขสิทธิ์ตัวประหยัดน้ำมันครับ ถ้าของเขาดีจริง

คิดเหมือนกันเลยครับ ถ้าได้จริงโดนซื้อลิขสิทธิ์รวยเละไปแล้ว เดาว่าจะบอกว่าโดนกีดกันโดนกลั่นแกล้งโน่นนี่นั่นแน่เลย
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น

ออฟไลน์ Yureka

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 46
    • อีเมล์
พอดีมีพี่ในบริษัทเค้าจะไปทำอ่ะครับ
สรรพคุณคือ เพิ่มแรงม้า 20เปอร์เซ็น  ประหยัดน้ำมัน ใช่ได้ทั้งเบนซิร ดีเซล
ลดco เพิ่ม  o3
แรงม้านี่ยังกะใส่โบเลย  เลยอยากถามๆดูว่ามันขนานนั้นเลยเหรอครับ ราคาตั้ง2-3 พัน
ตามสัจธรรมง่ายๆเลย ที่ทุกคนมองข้ามกันไป อยากได้ทั้งประหยัดน้ำมัน แต่ "แรงขึ้นด้วย" มันมีที่ไหนละครับ ถ้ามันทำได้สมบูรณ์แบบอย่างนั้น คงไม่ต้องมีเทคโนโลยีไฮบริด หรืออื่นๆ หรอกครับ ติดเจ้านี่ดีกว่า ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่ง ถ้าสามารถทำได้จริงตามที่กล่าวอ้าง ราคาแค่2-3 พันบาท แปบเดียวคุ้มทุนครับ เพราะเท่าที่เห็นๆมา ของดีแล้วถูก ไม่มีในโลก ถ้าคนขายไม่สเน่หาด้วยนะ
ปล. ถ้าคำตอบผมไม่ถูกใจ ขออภัยใน ณ ที่นี้ด้วยครับ

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,505
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ

ออฟไลน์ Tee+...Lek

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 238
    • อีเมล์
ตรรกะความคิดผมเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ

การออกแบบอะไรสักอย่างออกมา วิศวกรมีโจทย์ที่ต้องตีให้แตกอย่างนึงคือ ทุกอย่างต้องสมดุลทั้งแรงม้า อัตราการสิ้นเปลือง และความทนทาน กว่ารถจะออกมาหนึ่งคันต้องผ่านการทดสอบ และทดลอง ทั้งลองขับในสภาวะต่างๆ กัน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ออกแบบไปใช้งานได้จริง

การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม แม้ว่าจะทำได้อย่างที่เคลมว่าได้ แต่ทุกอย่างเป็นเหมือนตาชั่งครับ คือมันต้องมีบางอย่างสูญเสียไป ซึ่งในกรณีนี้เดาได้ว่าคือ "ความทนทาน" เมื่อมีการควบคุมการเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในเครื่อง อาจทำให้ความร้อนเพิ่มขึ้น ยางในเครื่องอาจจะเสื่อมเร็วขึ้น หัวฉีดอาจจะมีอายุการใช้งานน้อยลง

ออฟไลน์ ซิ่งเข้าส้วม

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,151
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,505
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สรุปง่ายๆ คือกระฉับกระเฉงขึ้นแต่ไม่ประหยัดขึ้นเหรอครับ

        ใช่ครับ   มันจะจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น เฉพาะในรอบต่ำ ๆ จน แถว ๆ พันแปดร้อยรอบ  เพื่อให้ค่าออกซิเจน เหลือตามค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้.....ซึ่ง(คงจะ)ทำให้แรงบิดเพิ่มขึ้นบ้าง มันถึงให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง..กว่าเดิม

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,421
    • อีเมล์


กล่อง ที่ ควันดำ นี่เหมารวมไหมครับ

ออฟไลน์ Immortal6

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ
Honda Jazz GK               owned 2015
Kawasaki Ninja se 250cc. owned 2013
Honda Air blade 110cc.    owned 2010

ออฟไลน์ sukhontha

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,505
อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ

   ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน   x-trail  t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ    แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า  ในความเห็นส่วนตัว  คิดว่าควันดำน่าจะลดลง  ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง    ต้องสังเกตว่า  มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า.....  ถ้าอยู่ลำลูกกา  ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....

promt

  • บุคคลทั่วไป
อ้างจาก: sukhontha link= :otopic=47400.msg802721#msg802721 date=1448328094
ผมเคยทดสอบ และรีวิวในเวปนี้นี่แหละ  แต่มันวกวนมากก็เลยถอดออกไป.......

 แต่กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้

    การจุดระเบิดของรถยนต์  ไปเปรียบเทียบกับการให้ความร้อนของเครื่องตัดเหล็กที่ใช้แก๊สไม่ได้เพราะ
        -   รถยนต์มีเซ็นเซอร์ 2 ตำแหน่ง คือ ไอดี  และไอเสีย..
        -   ความต้องการอากาศในการจุดระเบิด/น้ำมัน(โดยประมาณ)คือ  14.7/1  อยู่ที่แรงอัดของลูกสูบและการคำนวณโดยละเอียดด้วย
        -   หลังจากการเผาไหม้  จะต้องมีออกซิเจนเหลือที่ไหลผ่านเซ็นเซอร์ 1-2 เปอร์เซ็นต์  เป็นตัวควบคุมกล่องรถยนต์

    ดังนั้นเมื่อนำเจ้าเครื่องนี้มาใส่เข้าไปหลังแอร์โฟร์  มันแตกตัวให้ โอโซน  และรวมตัวกันเป็นออกซิเจนได้(น่าจะจริง)  แต่เมื่อเข้ากระบอกสูบ และจุดระเบิด จนออกไปที่เซ็นเซอร์ไอเสีย  ค่าออกซิเจนมันจะสูงกว่าเกณฑ์ที่ระบบกำหนดไว้  มันจะรายงานไปที่กล่องว่าภาวะขณะนั้นคือจ่ายน้ำมันบางไปให้เพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น  เพื่อให้ได้ค่า  ออกซิเจนที่ท่อตามกำหนด

       ดังนั้น  จะให้ความรู้สึกว่ามันแรงขึ้น  เพราะมันสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น  แต่ไม่ประหยัดขึ้น.....แต่ค่าแปรผันที่ว่านี้ จะลดลงอย่างรวดเร็วและหาค่าไม่ได้เมื่อรอบใกล้ ๆสองพันขึ้นไป

       ปล.***ผมทดลองใช้ตั้งแต่กันยา 56 วิ่งทดลองใช้ ดูค่ากร๊าฟการจ่ายเชื้อเพลิง  และใช้มาจนปัจจุบัน  ยังไม่มีผลร้ายต่อรถ  แต่ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉ๋ง  ในรอบต่ำ ๆ ได้เล็กน้อย  ในขณะที่  ยังตรวจสอบดูค่าการจ่ายเชื้อเพลิงเรื่อย ๆ    .......  ดังนั้นถ้าจะใช้อย่าไปคิดเรื่องประหยัดครับ
สอบถามต่อครับ  ช่วงที่พี่ทดลองควันดำมันลดลงรึปล่าวครับ

   ผมทดลองด้วยเครื่องเบนซิน   x-trail  t31 .....มันไม่มีควันอยู่แล้วครับ    แต่ไม่ทราบว่ากล่องดีเซลมันชดเชยน้ำมันแบบเดียวกับเบนซีนหรือเปล่า  ในความเห็นส่วนตัว  คิดว่าควันดำน่าจะลดลง  ข้อควรระวังเนื่องจากมันใช้ประจุไฟฟ้าโวลท์สูง    ต้องสังเกตว่า  มันรบกวนระบบอื่น ๆ หรือเปล่า.....  ถ้าอยู่ลำลูกกา  ถอดเอาของผมไปทดลองได้...เพราะผมทดลองจนได้บทสรุปแล้ว....

มีบทสรุปของผู้บริหาร (executive summary)
ในรีวิวรึยังครับ