กล่อง Standalone ก็คือกล่อง ECU ใหม่อีกใบมาแทนที่ ECU เดิมของรถ เรื่องความแรง คงไม่ได้แรงกว่าเดิมอะไรถ้าหาก Hardware ต่างๆมันยังเป็นของเดิม แต่รถอาจจะวิ่ง smooth กว่า เพราะความละเอียดของตาราง และความไวในการประมาลผลของกล่อง
สิ่งที่ต้องระวังคือ
1) เรื่อง การ wiring สายไฟ, การ Calibrate Sensors ต่างๆ และความสามารถในการจูน ว่าจูนเนอร์จะทำได้ดีขนาดไหน กล่อง Standalone ก็คือกล่องใบนึงที่จะทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ความสามารถของ Tuner จะพึงมี กล่องดีแค่ไหน แต่จูนเนอร์ไปไม่ถึงมันก็ได้เท่าแค่จูนเนอร์ แค่นั้น มันไม่ได้ฉลาดขนาดจูนตัวเองได้
2) กล่อง Standalone มักทำหน้าที่ในการคุมรอบเดินเบาในภาวะต่างๆได้ไม่ดีเท่ากล่องจากโรงงาน เพราะมันเป็นกล่อง ECU ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลที่จะมุ่งเน้นความแรง มากกว่าความซิวิไลซ์ ขณะที่กล่อง ECU ของโรงงานต้องเน้นในเรื่องความเสถียร เช่นรอบเดินเบาต้องนิ่งในทุกสภาวการณ์ ไม่ว่าความร้อน ความชื้น ความสูงจากน้ำทะเล สตาร์ทร้อน สตาร์ทเย็น ฝนตก แดดออก หิมะตก ยอดเขา ทะเล เปิดแอร์ ปิดแอร์ เหยียบคลัทช์ เกียร์ว่าง ไม่ว่าง น้ำมันห่วยหรือดี อ้อกเทนสูงหรือต่ำ แต่ Standalone มันมักจะไม่ยืดหยุ่นอย่างนั้นเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในภาวะแคบๆคือในสนาม สนามนี้จูนอย่าง สนามหน้าก็จูนใหม่ จูนเนอร์ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับรถที่จะได้เจอครบทุกสถาณการณ์ ยกเว้นว่าจูนเนอร์จะเอา Standalone ไปทำเป็น Piggy back แล้วให้กล่อง ECU ของโรงงานเป็นตัวคุมรอบเดินเบา
3) หากเป็นรถสมัยใหม่ที่ ECU ถูกพ่วงเข้ากับระบบต่างๆอันซับซ้อนของรถ เช่น VVTI, AVCS, Boost Control, TCS, VSC, Torque Vectoring, Driving Mode (Eco, Normal, Sport, Race etc...) การทำเป็น Standalone จะยากมากที่จะคงรักษาฟังก์ชั่นต่างๆได้ครบแบบของโรงงาน
4) อันนี้ตรงกับกรณีของท่านเจ้าของกระทู้ก็คือการเอา MAF (Mass Airflow Sensor) ออก แล้วจูนด้วย MAP (Manifold Absolute Pressure) ประเด็นคือ MAP ซึ่งตัวมันเป็นระบบ Speed Density โดยดีไซจน์มันไม่สามารถเอาเรื่องค่าความกดอากาศ และความชื้นในอากาศมาเป็นตัวแปรในการวัดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าเครื่องได้โดยตรง ในขณะที่ MAF ด้วยความที่มันเป็นขดลวดร้อน ดังงนั้นเรื่องความกดอากาศ ความชื้นและอุณหภูมิของอากาศจะถูกรับรู้โดย MAF ดังนั้น ตัว-ตัว MAF จะวัดอากาศเข้าเครื่องได้แม่นยำกว่า สเถียรกว่า ซึ่งถ้าได้จูนเนอร์ดีๆกเค้าก็อาจทำตารางชดเชยต่างๆในเรื่องความกดอากาศ ความชื้น อุณหภูมิไอดี ฯลฯ ให้ตอนจูน ถ้าเค้าใส่ใจในรายละเอียดและมีเวลามากพอ (ข้อสังเกต รถสมัยใหม่ทุกคัน จะบ้านๆ หรือ แรงๆ ก็ใช้ MAF กันทั้งนั้น แทบไม่มีใครใช้ MAP ในการวัดปริมาณอากาศ)
สรุปสั้นๆ ถ้าเอาแรง หรือรถที่เป็นของเล่น เอาไว้ขับเล่น วิ่งเบาดับ สตาร์ทไม่ติดบ้างก็ไม่อารมณ์เสีย โมเต็ม เปลี่ยนใส้ เพิ่มความจุ ใส่ซุป ใส่หอย แบบนี้ Standalone ก็น่าจะเหมาะ
แต่ถ้ารถที่ต้องการ Reliability สูงๆ ใช้งานทุกวัน ต้องการความยืดหยุ่นต่อสภาวการณ์ต่างๆ (เช่นชอบไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ชอบขึ้นเขา) หรือเป็นรถใหม่ที่มีระบบต่างๆซับซ้อน มีระบบอื่นๆต่อพ่วงเยอะ ECU ของโรงงานน่าจะสบายใจกว่า