ผู้เขียน หัวข้อ: เราสามารถคาดหวังจากการใช้กล่อง standalone ได้แค่ไหนครับ  (อ่าน 10951 ครั้ง)

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
ในกรณีที่ไม่ได้ทำอะไรกับเครื่องเลย (ตั้งใจทำแค่เปลี่ยน MAF เป็น MAP และ"อาจ"ทำท่อ+เอาแคตออก) คาดหวังอะไรได้มากกว่าการ reflash ไหมครับ

ที่มา ... กำลังคิดว่า MAF ของรถอาการไม่ค่อยดี ... เบิกใหม่ก็แพงมาก (เกินครึ่งของกล่อง standalone รุ่นล่างๆ) + ในระยะยาว "อาจ" อยากใส่ supercharger ซึ่งการมีกล่อง standalone คุม น่าจะดีกว่าการใช้ fuel card ที่มากับ supercharger .... เลยกำลังชั่งใจว่าจะลุยไปเลยดีไหม

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,421
    • อีเมล์

อืม ท่าทาง จะหาคนตอบยากครับ
เพราะคงมีแค่รถแข่งละครับ

ในนี้รถบ้าน คงไม่มีปรสบการณ์

ออฟไลน์ kris-lack

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,761
อ่านจบ มันคืออะไรหว่า

ออฟไลน์ tom46

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2,777
เท่าที่ผมพอจะทราบมานะครับ stanalon คือกล่องเปล่าๆ ทุกอย่างจะต้องเขียนขึ้นมาใหม่หมด สายไฟต้องเดินใหม่หมด ส่วนความสามารถของกล่องก็แล้วแต่รุ่น ยี่ห้อ ของตัวกล่อง

ส่วนตัวผมก็คิดว่า ถ้าได้คนเก่งๆทำให้ อย่างไงก็ต้องดีกว่าของเดิมติดรถแน่นอน ส่วนจะได้แรงม้าออกมาเป็นรูปธรรมเท่าไรอันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ

รถรุ่นอะไรหรือครับ ถึงได้อยากไปของพวกนี้ ซุปเปอร์ชาร์จ รถบางยี่ห้อติดซุปเปอร์ชาร์จเพิ่มเติม ก็ยังใช้กับกล่องเดิมๆติดรถได้อยู่ก็มีนะครับ


M52TUB30 NA TUNING
STROKER M54B30
SCHRICK CAM 248/248
aa tuning software custom
K&N performance air intake kit
Exhaust systems thailand hand made
Rear exhaust EISENMANN

ออฟไลน์ napat

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 11
    • อีเมล์
ผมว่า standalone มันน่าจะดีกว่า ในแง่การดึงเอาศักยภาพของฮาร์ดแวร์ออกมาได้เต็มที่กว่าการ reflash นะครับ
"คหสต." คือ ความแตกต่าง power output ระหว่าง standalone กับ reflash น่าจะสูงขึ้น ตามศักยภาพของฮาร์ดแวร์ที่รองรับแรงม้าที่สูงขึ้น

ดังนั้น ทำแล้วคุ้มมั้ย น่าจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายว่าสุดท้ายแล้วจะทำรถคันนี้ไปถึงแค่ไหน กี่แรงม้า
สมมติถ้าเป้าคือ 300-400 ม้า ใช้ standalone แล้วดีกว่าreflashซัก 10%
อย่างนี้ผมว่าไม่น่าต้องถึง standalone ครับ ไหนจะต้อง trade off กับการเสียฟังชั่นอื่นๆของรถไปด้วยรึเปล่า อันนี้คงแล้วแต่เสปคกล่องนั่นๆ

ปล. อันนี้คิดจากภาพรวมกว้างๆนะครับ

ออฟไลน์ เต๋า AV

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,393
ตอบตามหัวข้อเลยละกัน เพราะผมก็ใช้อยู่ (กล่องเขียว4)
สามารเลือกได้จะใช้แบบไหน Piggy Back หรือ Full Stand Alone
ส่วน Function ให้เลือกเล่นเยอะพอสมควร ที่ใช้หลักๆก็ปลดความเร็วปลาย, คันเร่งไฟฟ้า, เปิด รอบ Tec
แต่ยังไม่สามารถปลดล๊อคลิ้นไฟฟ้า ต้องใส่ DBW เพิ่ม โดยเฉพาะรถของ Honda

วิธีการก็แล้วแต่จูนเนอร์ จะลอกกล่องเดิมก่อนแล้วค่อยจูน หรือโยนแมพ แล้วจูน
จะเอาแรงแค่ไหน ก็แล้วแต่ ลูกค้าเอง แรงสุดๆ แต่เครื่องพังเร็ว ก็จูนได้ แบบรถในสนาม Drag
จะทำเป็นรถบ้านสายหมก ขับสบายๆ ก็แล้วแต่

เลือกน้ำมันจะ จูนด้วย E10 E20 E85 มีผลต่อความแรง และความประหยัด
เพราะกล่องเดิม จูนมากว้าง E10-E85 ทำให้การชดเชยน้ำมันและอากาศ ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
ใส่กล่องจะเป็นการล๊อคน้ำมันไปในตัว ทำให้ช่วงชดเชยแคบลงทำให้การจุดระเบิดมีประสิทธิภาพขึ้น ความประหยัดเป็นผลพลอยได้

แต่ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่มือจูนเนอร์ และความพอใจ ของ จขกท เองคับ

ออฟไลน์ ภูมิใจไหม?

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,147
  • SNK vs Playmore
ผมไม่เคยติดเลยทั้ง supercharge และกล่องครับ

แต่ผมมีไอเดียว่าถ้ามีโครงการจะติด supercharger แน่ ๆ แล้ว

เราก็ดูว่าในชุดคิทแบบเต็ม ๆ เค้าใส่ท่ออะไร กล่องอะไร

เราก็เอามาเลียนแบบใส่รอไว้ก่อนเลยครับ

อันนี้เป็นความคิดของคนไม่ค่อยมีความรู้แบบผมนะครับ 555



 

ออฟไลน์ mile

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 263
    • อีเมล์
ถ้าเครื่องเดิมๆๆๆๆเลยไม่ได้โมดิฟายอะไร  เอาสแตนอโลนมาใส่มันก็จูนได้ไม่ต่างจากที่กล่องเดิมรีแฟลชได้หรอกครับ  เพราะเครื่องยนต์เดิมๆๆนั้นส่วนใหญ่นั้นส่วนใหญ่โรงงานจะจูนกล่องเอาไว้ให้เครื่องยนต์ทำงานแค่ 80-85เปอร์เซ็นต์เท่านั้น  การรีแฟลชกล่องก็คือเราไปปลดล็อคให้มันทำงานได้เต็มที่

ส่วนกล่องสแตนอโลน  มันจะมีประโยชน์ในกรณีที่รถคุณโมดิฟายมาเต็มที่ อัพเกรดทุกอย่าง ลูก ก้าน ข้อ แคม เทอร์โบ หัวฉีด อัดบูสต์เข้าไปสูงๆๆ  พวกนี้มันเกินความสามารถที่กล่องเดิมมันจะจูนเพื่อให้มันทำงานเต็มที่  เขาเลยมีกล่องสแตนอโลนขึ้นมารองรับการโมดิฟายในจุดนี้

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,421
    • อีเมล์

ถ้า ตามเงื่อนไข คุณ Turin
MAF แพงมาก แพงกว่า Stan alone อีก
ก็ต้องอย่าลืมว่า ต้องเริ่มจาก 0 เลย ทำใหม่ทั้งหมด ผมกลัวจะยาวครับ
มันจะไปแพง ค่าช่าง จูนเนอร์ ที่ต้องใช้ระดับเซียน รู้ทุกเรื่อง ในเครื่องยนต์นี่ละ
แพงว่า เดินสายใหม่หมดอีก โอ้ย ยาวๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
MAF ประมาณหมื่นแก่ๆ vs กล่อง standalone รุ่นเริ่มต้น รวมติดตั้งรวมจูน 4 หมื่นบวก-ลบ ... ถ้าคิดว่าทำไว้เผื่อ supercharger ในอนาคต ตัดสินใจไม่ยาก ... แต่ถ้าจูน NA สเตปเด็กๆได้ดีกว่า reflash ยิ่งตัดสินใจง่าย ....

ลองถามดู เผื่อมีใครเคยเล่นครับ  8) เพราะถ้าไม่ต่างกับรีแฟลช ก็เหมือนว่า"ต้อง"จบที่ supercharger หรือ turbo เท่านั้นถึงจะได้ประโยชน์

** ตามความเข้าใจผมพวกชุด supercharger ที่ใช้ ecu เดิมได้ ต้องมีตัวหลอกสัญญาณที่มากับชุดคิต ทำให้หัวฉีดจ่ายหนาขึ้นครับ .. ซึ่ง solution นี้ "เพียงพอ"ต่อการใช้งาน แต่อาจไม่"เนียน"เท่าไหร่

ออฟไลน์ mamaman

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,421
    • อีเมล์
MAF ประมาณหมื่นแก่ๆ vs กล่อง standalone รุ่นเริ่มต้น รวมติดตั้งรวมจูน 4 หมื่นบวก-ลบ ... ถ้าคิดว่าทำไว้เผื่อ supercharger ในอนาคต ตัดสินใจไม่ยาก ... แต่ถ้าจูน NA สเตปเด็กๆได้ดีกว่า reflash ยิ่งตัดสินใจง่าย ....

ลองถามดู เผื่อมีใครเคยเล่นครับ  8) เพราะถ้าไม่ต่างกับรีแฟลช ก็เหมือนว่า"ต้อง"จบที่ supercharger หรือ turbo เท่านั้นถึงจะได้ประโยชน์

** ตามความเข้าใจผมพวกชุด supercharger ที่ใช้ ecu เดิมได้ ต้องมีตัวหลอกสัญญาณที่มากับชุดคิต ทำให้หัวฉีดจ่ายหนาขึ้นครับ .. ซึ่ง solution นี้ "เพียงพอ"ต่อการใช้งาน แต่อาจไม่"เนียน"เท่าไหร่

จริงๆ หากมีการเพิ่มโหลด  หรือ อากาศเข้าเครื่อง แบบ มากกว่าเดิมมากๆ ผมว่า ECU เดิม ทำไม่ดีและไม่เนียนครับ
เพราะ ตาราง Load มัน มีนิดเดียว

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
MAF ประมาณหมื่นแก่ๆ vs กล่อง standalone รุ่นเริ่มต้น รวมติดตั้งรวมจูน 4 หมื่นบวก-ลบ ... ถ้าคิดว่าทำไว้เผื่อ supercharger ในอนาคต ตัดสินใจไม่ยาก ... แต่ถ้าจูน NA สเตปเด็กๆได้ดีกว่า reflash ยิ่งตัดสินใจง่าย ....

ลองถามดู เผื่อมีใครเคยเล่นครับ  8) เพราะถ้าไม่ต่างกับรีแฟลช ก็เหมือนว่า"ต้อง"จบที่ supercharger หรือ turbo เท่านั้นถึงจะได้ประโยชน์

** ตามความเข้าใจผมพวกชุด supercharger ที่ใช้ ecu เดิมได้ ต้องมีตัวหลอกสัญญาณที่มากับชุดคิต ทำให้หัวฉีดจ่ายหนาขึ้นครับ .. ซึ่ง solution นี้ "เพียงพอ"ต่อการใช้งาน แต่อาจไม่"เนียน"เท่าไหร่

จริงๆ หากมีการเพิ่มโหลด  หรือ อากาศเข้าเครื่อง แบบ มากกว่าเดิมมากๆ ผมว่า ECU เดิม ทำไม่ดีและไม่เนียนครับ
เพราะ ตาราง Load มัน มีนิดเดียว
ใช่ครับ ถ้าตัดสินใจว่าไป FI แน่ๆ ไปทาง standalone เลยก็จบดี เสียเงินรอบเดียว ... ปัญหาคือยังไม่ตัดสินใจ  ::)

ออฟไลน์ Spec C Wannabe

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 553
กล่อง Standalone ก็คือกล่อง ECU ใหม่อีกใบมาแทนที่ ECU เดิมของรถ เรื่องความแรง คงไม่ได้แรงกว่าเดิมอะไรถ้าหาก Hardware ต่างๆมันยังเป็นของเดิม แต่รถอาจจะวิ่ง smooth กว่า เพราะความละเอียดของตาราง และความไวในการประมาลผลของกล่อง

สิ่งที่ต้องระวังคือ
1) เรื่อง การ wiring สายไฟ, การ Calibrate Sensors ต่างๆ และความสามารถในการจูน ว่าจูนเนอร์จะทำได้ดีขนาดไหน  กล่อง Standalone ก็คือกล่องใบนึงที่จะทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ความสามารถของ Tuner จะพึงมี  กล่องดีแค่ไหน แต่จูนเนอร์ไปไม่ถึงมันก็ได้เท่าแค่จูนเนอร์ แค่นั้น มันไม่ได้ฉลาดขนาดจูนตัวเองได้
2) กล่อง Standalone มักทำหน้าที่ในการคุมรอบเดินเบาในภาวะต่างๆได้ไม่ดีเท่ากล่องจากโรงงาน เพราะมันเป็นกล่อง ECU ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลที่จะมุ่งเน้นความแรง มากกว่าความซิวิไลซ์ ขณะที่กล่อง ECU ของโรงงานต้องเน้นในเรื่องความเสถียร เช่นรอบเดินเบาต้องนิ่งในทุกสภาวการณ์ ไม่ว่าความร้อน ความชื้น ความสูงจากน้ำทะเล สตาร์ทร้อน สตาร์ทเย็น ฝนตก แดดออก หิมะตก ยอดเขา ทะเล เปิดแอร์ ปิดแอร์ เหยียบคลัทช์ เกียร์ว่าง ไม่ว่าง น้ำมันห่วยหรือดี อ้อกเทนสูงหรือต่ำ แต่ Standalone มันมักจะไม่ยืดหยุ่นอย่างนั้นเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในภาวะแคบๆคือในสนาม สนามนี้จูนอย่าง สนามหน้าก็จูนใหม่ จูนเนอร์ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับรถที่จะได้เจอครบทุกสถาณการณ์ ยกเว้นว่าจูนเนอร์จะเอา Standalone ไปทำเป็น Piggy back แล้วให้กล่อง ECU ของโรงงานเป็นตัวคุมรอบเดินเบา
3) หากเป็นรถสมัยใหม่ที่ ECU ถูกพ่วงเข้ากับระบบต่างๆอันซับซ้อนของรถ เช่น VVTI, AVCS, Boost Control, TCS, VSC, Torque Vectoring, Driving Mode (Eco, Normal, Sport, Race etc...) การทำเป็น Standalone จะยากมากที่จะคงรักษาฟังก์ชั่นต่างๆได้ครบแบบของโรงงาน
4) อันนี้ตรงกับกรณีของท่านเจ้าของกระทู้ก็คือการเอา MAF (Mass Airflow Sensor) ออก แล้วจูนด้วย MAP (Manifold Absolute Pressure)   ประเด็นคือ MAP ซึ่งตัวมันเป็นระบบ Speed Density โดยดีไซจน์มันไม่สามารถเอาเรื่องค่าความกดอากาศ และความชื้นในอากาศมาเป็นตัวแปรในการวัดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าเครื่องได้โดยตรง ในขณะที่ MAF ด้วยความที่มันเป็นขดลวดร้อน ดังงนั้นเรื่องความกดอากาศ ความชื้นและอุณหภูมิของอากาศจะถูกรับรู้โดย MAF ดังนั้น ตัว-ตัว MAF จะวัดอากาศเข้าเครื่องได้แม่นยำกว่า สเถียรกว่า ซึ่งถ้าได้จูนเนอร์ดีๆกเค้าก็อาจทำตารางชดเชยต่างๆในเรื่องความกดอากาศ ความชื้น อุณหภูมิไอดี ฯลฯ ให้ตอนจูน ถ้าเค้าใส่ใจในรายละเอียดและมีเวลามากพอ (ข้อสังเกต รถสมัยใหม่ทุกคัน จะบ้านๆ หรือ แรงๆ ก็ใช้ MAF กันทั้งนั้น แทบไม่มีใครใช้ MAP ในการวัดปริมาณอากาศ)

สรุปสั้นๆ ถ้าเอาแรง หรือรถที่เป็นของเล่น เอาไว้ขับเล่น วิ่งเบาดับ สตาร์ทไม่ติดบ้างก็ไม่อารมณ์เสีย โมเต็ม เปลี่ยนใส้ เพิ่มความจุ ใส่ซุป ใส่หอย แบบนี้ Standalone ก็น่าจะเหมาะ
แต่ถ้ารถที่ต้องการ Reliability สูงๆ ใช้งานทุกวัน ต้องการความยืดหยุ่นต่อสภาวการณ์ต่างๆ (เช่นชอบไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ชอบขึ้นเขา) หรือเป็นรถใหม่ที่มีระบบต่างๆซับซ้อน มีระบบอื่นๆต่อพ่วงเยอะ ECU ของโรงงานน่าจะสบายใจกว่า

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
กล่อง Standalone ก็คือกล่อง ECU ใหม่อีกใบมาแทนที่ ECU เดิมของรถ เรื่องความแรง คงไม่ได้แรงกว่าเดิมอะไรถ้าหาก Hardware ต่างๆมันยังเป็นของเดิม แต่รถอาจจะวิ่ง smooth กว่า เพราะความละเอียดของตาราง และความไวในการประมาลผลของกล่อง

สิ่งที่ต้องระวังคือ
1) เรื่อง การ wiring สายไฟ, การ Calibrate Sensors ต่างๆ และความสามารถในการจูน ว่าจูนเนอร์จะทำได้ดีขนาดไหน  กล่อง Standalone ก็คือกล่องใบนึงที่จะทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ความสามารถของ Tuner จะพึงมี  กล่องดีแค่ไหน แต่จูนเนอร์ไปไม่ถึงมันก็ได้เท่าแค่จูนเนอร์ แค่นั้น มันไม่ได้ฉลาดขนาดจูนตัวเองได้
2) กล่อง Standalone มักทำหน้าที่ในการคุมรอบเดินเบาในภาวะต่างๆได้ไม่ดีเท่ากล่องจากโรงงาน เพราะมันเป็นกล่อง ECU ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลที่จะมุ่งเน้นความแรง มากกว่าความซิวิไลซ์ ขณะที่กล่อง ECU ของโรงงานต้องเน้นในเรื่องความเสถียร เช่นรอบเดินเบาต้องนิ่งในทุกสภาวการณ์ ไม่ว่าความร้อน ความชื้น ความสูงจากน้ำทะเล สตาร์ทร้อน สตาร์ทเย็น ฝนตก แดดออก หิมะตก ยอดเขา ทะเล เปิดแอร์ ปิดแอร์ เหยียบคลัทช์ เกียร์ว่าง ไม่ว่าง น้ำมันห่วยหรือดี อ้อกเทนสูงหรือต่ำ แต่ Standalone มันมักจะไม่ยืดหยุ่นอย่างนั้นเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในภาวะแคบๆคือในสนาม สนามนี้จูนอย่าง สนามหน้าก็จูนใหม่ จูนเนอร์ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับรถที่จะได้เจอครบทุกสถาณการณ์ ยกเว้นว่าจูนเนอร์จะเอา Standalone ไปทำเป็น Piggy back แล้วให้กล่อง ECU ของโรงงานเป็นตัวคุมรอบเดินเบา
3) หากเป็นรถสมัยใหม่ที่ ECU ถูกพ่วงเข้ากับระบบต่างๆอันซับซ้อนของรถ เช่น VVTI, AVCS, Boost Control, TCS, VSC, Torque Vectoring, Driving Mode (Eco, Normal, Sport, Race etc...) การทำเป็น Standalone จะยากมากที่จะคงรักษาฟังก์ชั่นต่างๆได้ครบแบบของโรงงาน
4) อันนี้ตรงกับกรณีของท่านเจ้าของกระทู้ก็คือการเอา MAF (Mass Airflow Sensor) ออก แล้วจูนด้วย MAP (Manifold Absolute Pressure)   ประเด็นคือ MAP ซึ่งตัวมันเป็นระบบ Speed Density โดยดีไซจน์มันไม่สามารถเอาเรื่องค่าความกดอากาศ และความชื้นในอากาศมาเป็นตัวแปรในการวัดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าเครื่องได้โดยตรง ในขณะที่ MAF ด้วยความที่มันเป็นขดลวดร้อน ดังงนั้นเรื่องความกดอากาศ ความชื้นและอุณหภูมิของอากาศจะถูกรับรู้โดย MAF ดังนั้น ตัว-ตัว MAF จะวัดอากาศเข้าเครื่องได้แม่นยำกว่า สเถียรกว่า ซึ่งถ้าได้จูนเนอร์ดีๆกเค้าก็อาจทำตารางชดเชยต่างๆในเรื่องความกดอากาศ ความชื้น อุณหภูมิไอดี ฯลฯ ให้ตอนจูน ถ้าเค้าใส่ใจในรายละเอียดและมีเวลามากพอ (ข้อสังเกต รถสมัยใหม่ทุกคัน จะบ้านๆ หรือ แรงๆ ก็ใช้ MAF กันทั้งนั้น แทบไม่มีใครใช้ MAP ในการวัดปริมาณอากาศ)

สรุปสั้นๆ ถ้าเอาแรง หรือรถที่เป็นของเล่น เอาไว้ขับเล่น วิ่งเบาดับ สตาร์ทไม่ติดบ้างก็ไม่อารมณ์เสีย โมเต็ม เปลี่ยนใส้ เพิ่มความจุ ใส่ซุป ใส่หอย แบบนี้ Standalone ก็น่าจะเหมาะ
แต่ถ้ารถที่ต้องการ Reliability สูงๆ ใช้งานทุกวัน ต้องการความยืดหยุ่นต่อสภาวการณ์ต่างๆ (เช่นชอบไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ชอบขึ้นเขา) หรือเป็นรถใหม่ที่มีระบบต่างๆซับซ้อน มีระบบอื่นๆต่อพ่วงเยอะ ECU ของโรงงานน่าจะสบายใจกว่า
ชัดเจนมาก ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Asklepios

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 87
    • อีเมล์
ลืมคิดค่า Tuner กับค่า wiring/calibration หรือเปล่าครับ กว่าจะเนียนอาจจะหมดตังมากกว่าเปลี่ยน MAF อีกหรือเปล่า

ออฟไลน์ Redback

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 190
    • อีเมล์
รถอะไรหละครับคุณ
2013 VIOS G3 1.5J 4AT
1991 Civic EF 1.5 LX 5MT

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
ลืมคิดค่า Tuner กับค่า wiring/calibration หรือเปล่าครับ กว่าจะเนียนอาจจะหมดตังมากกว่าเปลี่ยน MAF อีกหรือเปล่า
แพงกว่าแน่ครับ 555  :-X

แต่ทีแรกที่คิดคือมองว่า ถ้าจบได้ที่ไม่เกิน 5 หมื่น (link g4+ atom รวมติดตั้ง+จูน ประมาณ 4 หมื่น) แล้วมันดีกว่ารีแฟลชในทุกด้าน ก็น่าคิด เพราะมันจะเผื่อต่อยอดได้มากกว่าครับ

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
รถอะไรหละครับคุณ
MX5 NB ครับ

ที่ไม่ระบุรุ่นเพราะอยากเข้าใจว่า ประเด็นที่ต้องพิจารณา และ potential ของกล่อง standalone มันเป็นอย่างไรบ้าง มากกว่า "รถคันนี้" ควรทำอะไรครับ ... ตอนนี้พอได้ไอเดียเพิ่มเติมว่าจะเดินต่อยังไงแล้วครับ

... ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมแสดงความเห็นครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 11, 2016, 17:05:31 โดย Turin »

ออฟไลน์ Pan Paitoonpong

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 6,457
  • Long live M/T
ขนาดผมใช้สแตนฯในรถตัวเองมา 2- 3 ใบแล้วผมยังกลัวๆไม่กล้าเชียร์เลยครับ

ปัญหาของ Standalone ที่ผมเจอคือถ้าจูนเนอร์ไม่รักเรา หรือเราไม่ทิ้งรถไว้ให้จูนเนอร์นานพอจะเก็บรายละเอียดได้หมดจริงๆ มันจะกลายเป็นรถนิสัยไม่เรียบร้อยครับ ตอนเช้าสตาร์ทยาก ควันเหม็น รถตอบสนองต่ออุณหภูมิต่างๆอย่างแปลกๆ บางทีก็เบาดับ ผมใช้แบบนี้อยู่นานแล้วก็เก็บอาการไปบอกเพื่อนผม เพราะตอนจูนตอนแรกไม่ได้ทำแบบตั้งใจ (เอาแค่ไม่พัง..ตอนนั้นมีลูกค้า VIP เยอะ ผมเป็นเพื่อนเลยต้องเอางานแบบเน้นเร็วไปก่อน) พอตอนหลังไปเก็บงานอีกทีเดียว จบเลย ขับเนียนเรียบร้อยเหมือนกล่องเดิมติดรถ

ผมว่าถ้าจะใส่ StandAlone นี่เราต้องใจเย็นระดับหนึ่ง สามารถทนได้ที่จะลอง แล้วจูน แล้วลองจนกว่างานจะจบ ถ้าชอบทิ้งรถวันเดียวรับกลับแล้วจบงานเลยความเสี่ยงสูงครับ แต่ของผมตัดสินใจไป StandAlone เพราะเพื่อนเชียร์ และเห็นว่า Airflow นิสสันชอบพังบ่อยโดยเฉพาะพวกใส่กรองเปลือย ผมเลยใส่ StandAlone ซึ่งทำให้เปลี่ยนจากแอร์โฟลว์ไปใช้เซ็นเซอร์แบบวัดแรงดันของ Toyota แทน และเปลี่ยนเอาจานจ่ายออกใส่คอยล์ Waste Spark ของ Evo 3 แทน

ผมกำลังมองว่าคุณ Turin จำเป็นต้องไปถึงจุดนั้นหรือเปล่า..กำลังเทียบกับรถตัวเองอีกคัน (Tiida) ซึ่งผมเอาเครื่องเดิมเซ็ตโบ แต่ไม่ปลดล็อครอบ ไม่สนปุ้งปั้งยิงไฟโชว์ ผมก็ใช้กล่องเดิมบวกกับ Piggyback F-Con S แล้วเปลี่ยนหัวฉีด ก็ใช้ได้ดี..ดีจนผมเปลี่ยนเป็น Unichip แล้วรู้สึกว่ารถไม่ค่อยเรียบร้อย เลยเปลี่ยนไปลอง OctaneMaxเขียว..ใช้กับรถผมไม่ได้..Link Atom ใช้กับรถผมไม่ได้..เลยต้องไปซื้อ F-Con S กลับมาใช้ใหม่
- Nissan Tiida บ้านๆ/NX Coupe/AE111/190E1.8

ออฟไลน์ J_Serie5

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,206
ถ้าจะเน้นแรง ไปทางกล่อง standalone จบกว่าครับ และถ้าใช้ในไทยเล่น turbo เถอะครับ turbo มีให้เลือกเยอะ ราคาถูกกว่า supercharge มาก turbo step เด็กๆก็บูส 0.4 ใช้ไส้เดิมได้ ถ้าจะมากกว่านั้นแล้วใช้ทนๆก็ต้องเริ่มทำไส้ใน งบก็จะไหลไปหลักแสนครับ เวลาโพสปรึกษา ควรบอกรุ่นรถ และความต้องการให้ตรงจุดครับ เพื่อนๆจะได้แนะนำได้ถูก

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
ขอบคุณครับ พอได้อะไรไปนอนคิดต่อ + มีไอเดียมากขึ้นว่าต้องหาข้อมูลอะไรเพิ่ม ต้องถามอะไรจูนเนอร์  ;)

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
ถ้าจะเน้นแรง ไปทางกล่อง standalone จบกว่าครับ และถ้าใช้ในไทยเล่น turbo เถอะครับ turbo มีให้เลือกเยอะ ราคาถูกกว่า supercharge มาก turbo step เด็กๆก็บูส 0.4 ใช้ไส้เดิมได้ ถ้าจะมากกว่านั้นแล้วใช้ทนๆก็ต้องเริ่มทำไส้ใน งบก็จะไหลไปหลักแสนครับ เวลาโพสปรึกษา ควรบอกรุ่นรถ และความต้องการให้ตรงจุดครับ เพื่อนๆจะได้แนะนำได้ถูก
ใจจริงก็อยากไป turbo เหมือนกันเพราะน่าจะจบง่ายกว่าด้วยงบที่น้อยกว่า ... แต่ที่มอง supercharger เพราะอยากได้กำลังเพิ่มตั้งแต่รอบต่ำ (1500-2500 รอบ) และไม่ค่อยสนใจ Max power เท่าไหร่ครับ (ขอลงพื้น 150 ม้าอ้วนๆก็พอ)

 ... ไม่งั้นต้องศึกษา set up ที่ทำให้เครื่อง 1.8 spool ได้ตั้งแต่ 1500 รอบ (บูสท์น้อยๆ เทอร์โบเล็ก ball bearing ไม่มี intercooler ประมาณนี้มั้งครับ)

ออฟไลน์ GRB0999

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 123
กล่อง Standalone ก็คือกล่อง ECU ใหม่อีกใบมาแทนที่ ECU เดิมของรถ เรื่องความแรง คงไม่ได้แรงกว่าเดิมอะไรถ้าหาก Hardware ต่างๆมันยังเป็นของเดิม แต่รถอาจจะวิ่ง smooth กว่า เพราะความละเอียดของตาราง และความไวในการประมาลผลของกล่อง

สิ่งที่ต้องระวังคือ
1) เรื่อง การ wiring สายไฟ, การ Calibrate Sensors ต่างๆ และความสามารถในการจูน ว่าจูนเนอร์จะทำได้ดีขนาดไหน  กล่อง Standalone ก็คือกล่องใบนึงที่จะทำหน้าที่ได้ดีเท่าที่ความสามารถของ Tuner จะพึงมี  กล่องดีแค่ไหน แต่จูนเนอร์ไปไม่ถึงมันก็ได้เท่าแค่จูนเนอร์ แค่นั้น มันไม่ได้ฉลาดขนาดจูนตัวเองได้
2) กล่อง Standalone มักทำหน้าที่ในการคุมรอบเดินเบาในภาวะต่างๆได้ไม่ดีเท่ากล่องจากโรงงาน เพราะมันเป็นกล่อง ECU ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหวังผลที่จะมุ่งเน้นความแรง มากกว่าความซิวิไลซ์ ขณะที่กล่อง ECU ของโรงงานต้องเน้นในเรื่องความเสถียร เช่นรอบเดินเบาต้องนิ่งในทุกสภาวการณ์ ไม่ว่าความร้อน ความชื้น ความสูงจากน้ำทะเล สตาร์ทร้อน สตาร์ทเย็น ฝนตก แดดออก หิมะตก ยอดเขา ทะเล เปิดแอร์ ปิดแอร์ เหยียบคลัทช์ เกียร์ว่าง ไม่ว่าง น้ำมันห่วยหรือดี อ้อกเทนสูงหรือต่ำ แต่ Standalone มันมักจะไม่ยืดหยุ่นอย่างนั้นเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในภาวะแคบๆคือในสนาม สนามนี้จูนอย่าง สนามหน้าก็จูนใหม่ จูนเนอร์ไม่มีเวลาที่จะอยู่กับรถที่จะได้เจอครบทุกสถาณการณ์ ยกเว้นว่าจูนเนอร์จะเอา Standalone ไปทำเป็น Piggy back แล้วให้กล่อง ECU ของโรงงานเป็นตัวคุมรอบเดินเบา
3) หากเป็นรถสมัยใหม่ที่ ECU ถูกพ่วงเข้ากับระบบต่างๆอันซับซ้อนของรถ เช่น VVTI, AVCS, Boost Control, TCS, VSC, Torque Vectoring, Driving Mode (Eco, Normal, Sport, Race etc...) การทำเป็น Standalone จะยากมากที่จะคงรักษาฟังก์ชั่นต่างๆได้ครบแบบของโรงงาน
4) อันนี้ตรงกับกรณีของท่านเจ้าของกระทู้ก็คือการเอา MAF (Mass Airflow Sensor) ออก แล้วจูนด้วย MAP (Manifold Absolute Pressure)   ประเด็นคือ MAP ซึ่งตัวมันเป็นระบบ Speed Density โดยดีไซจน์มันไม่สามารถเอาเรื่องค่าความกดอากาศ และความชื้นในอากาศมาเป็นตัวแปรในการวัดปริมาณอากาศที่ไหลเข้าเครื่องได้โดยตรง ในขณะที่ MAF ด้วยความที่มันเป็นขดลวดร้อน ดังงนั้นเรื่องความกดอากาศ ความชื้นและอุณหภูมิของอากาศจะถูกรับรู้โดย MAF ดังนั้น ตัว-ตัว MAF จะวัดอากาศเข้าเครื่องได้แม่นยำกว่า สเถียรกว่า ซึ่งถ้าได้จูนเนอร์ดีๆกเค้าก็อาจทำตารางชดเชยต่างๆในเรื่องความกดอากาศ ความชื้น อุณหภูมิไอดี ฯลฯ ให้ตอนจูน ถ้าเค้าใส่ใจในรายละเอียดและมีเวลามากพอ (ข้อสังเกต รถสมัยใหม่ทุกคัน จะบ้านๆ หรือ แรงๆ ก็ใช้ MAF กันทั้งนั้น แทบไม่มีใครใช้ MAP ในการวัดปริมาณอากาศ)

สรุปสั้นๆ ถ้าเอาแรง หรือรถที่เป็นของเล่น เอาไว้ขับเล่น วิ่งเบาดับ สตาร์ทไม่ติดบ้างก็ไม่อารมณ์เสีย โมเต็ม เปลี่ยนใส้ เพิ่มความจุ ใส่ซุป ใส่หอย แบบนี้ Standalone ก็น่าจะเหมาะ
แต่ถ้ารถที่ต้องการ Reliability สูงๆ ใช้งานทุกวัน ต้องการความยืดหยุ่นต่อสภาวการณ์ต่างๆ (เช่นชอบไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ชอบขึ้นเขา) หรือเป็นรถใหม่ที่มีระบบต่างๆซับซ้อน มีระบบอื่นๆต่อพ่วงเยอะ ECU ของโรงงานน่าจะสบายใจกว่า
กำลังจะบอกว่ารอให้คุณ Spec C Wannabe มาตอบครับ
FC ตั้งแต่ SCT ครับ

ออฟไลน์ J_Serie5

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,206
ถ้าจะเน้นแรง ไปทางกล่อง standalone จบกว่าครับ และถ้าใช้ในไทยเล่น turbo เถอะครับ turbo มีให้เลือกเยอะ ราคาถูกกว่า supercharge มาก turbo step เด็กๆก็บูส 0.4 ใช้ไส้เดิมได้ ถ้าจะมากกว่านั้นแล้วใช้ทนๆก็ต้องเริ่มทำไส้ใน งบก็จะไหลไปหลักแสนครับ เวลาโพสปรึกษา ควรบอกรุ่นรถ และความต้องการให้ตรงจุดครับ เพื่อนๆจะได้แนะนำได้ถูก
ใจจริงก็อยากไป turbo เหมือนกันเพราะน่าจะจบง่ายกว่าด้วยงบที่น้อยกว่า ... แต่ที่มอง supercharger เพราะอยากได้กำลังเพิ่มตั้งแต่รอบต่ำ (1500-2500 รอบ) และไม่ค่อยสนใจ Max power เท่าไหร่ครับ (ขอลงพื้น 150 ม้าอ้วนๆก็พอ)

 ... ไม่งั้นต้องศึกษา set up ที่ทำให้เครื่อง 1.8 spool ได้ตั้งแต่ 1500 รอบ (บูสท์น้อยๆ เทอร์โบเล็ก ball bearing ไม่มี intercooler ประมาณนี้มั้งครับ)

รักสายแรง ไม่ว่า turbo หรือ sup ผมเดาว่าคุณไม่หยุดที่ 150 ลงพื้นแน่นอนครับ ส่วนเรื่องอยากได้ม้าเยอะตั้งแต่รอบต่ำ ก็เลือกโบsizeเล็กbb+interใบเล็กเน้นซุ่มสิครับ จบง่ายและถูกกว่าsupมากครับ ลองคิดดีๆนะครับ ผมเองเดิมๆspecเครื่อง280 ตอนนี้ 300นิดๆ อนาคต อาจหยุดที่ 400-500

ออฟไลน์ Turin

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,061
ถ้าจะเน้นแรง ไปทางกล่อง standalone จบกว่าครับ และถ้าใช้ในไทยเล่น turbo เถอะครับ turbo มีให้เลือกเยอะ ราคาถูกกว่า supercharge มาก turbo step เด็กๆก็บูส 0.4 ใช้ไส้เดิมได้ ถ้าจะมากกว่านั้นแล้วใช้ทนๆก็ต้องเริ่มทำไส้ใน งบก็จะไหลไปหลักแสนครับ เวลาโพสปรึกษา ควรบอกรุ่นรถ และความต้องการให้ตรงจุดครับ เพื่อนๆจะได้แนะนำได้ถูก
ใจจริงก็อยากไป turbo เหมือนกันเพราะน่าจะจบง่ายกว่าด้วยงบที่น้อยกว่า ... แต่ที่มอง supercharger เพราะอยากได้กำลังเพิ่มตั้งแต่รอบต่ำ (1500-2500 รอบ) และไม่ค่อยสนใจ Max power เท่าไหร่ครับ (ขอลงพื้น 150 ม้าอ้วนๆก็พอ)

 ... ไม่งั้นต้องศึกษา set up ที่ทำให้เครื่อง 1.8 spool ได้ตั้งแต่ 1500 รอบ (บูสท์น้อยๆ เทอร์โบเล็ก ball bearing ไม่มี intercooler ประมาณนี้มั้งครับ)

รักสายแรง ไม่ว่า turbo หรือ sup ผมเดาว่าคุณไม่หยุดที่ 150 ลงพื้นแน่นอนครับ ส่วนเรื่องอยากได้ม้าเยอะตั้งแต่รอบต่ำ ก็เลือกโบsizeเล็กbb+interใบเล็กเน้นซุ่มสิครับ จบง่ายและถูกกว่าsupมากครับ ลองคิดดีๆนะครับ ผมเองเดิมๆspecเครื่อง280 ตอนนี้ 300นิดๆ อนาคต อาจหยุดที่ 400-500
ว่ากันว่า MX5 พอเริ่มแตะ 200 ม้าแล้วนิสัยเปลี่ยนครับ จากเดิมที่เป็นรถที่ขับง่าย สื่อสารกับคนขับดี nimble ... กลายเป็นรถเกี้ยวกราดและพยศ .... เลยตั้งใจไม่ไปทางนั้นครับ อยากแค่พอให้กระฉับกระเฉงครับ (จริงๆปัญหาหลักของคันนี้คือเกียร์ออโต้ที่ทดมาห่างเกินเหตุและค่อนข้างโง่ ... ถ้า ผบ. ไม่ใช้ด้วย การเปลี่ยนเป็นเกียร์ธรรมดาก็อาจเพียงพอ)

ส่วนคันแรงค่อยไปซนกับซูครับ  8)