ตัวเก่า ตั้งแต่สมัยก่อนไมเนอร์เชนจ์เป็นเครื่องที่มีวาล์วแปรผัน
วิ่ง 110 กม./ชม. เปิดแอร์ นั่ง 2 คน ทดสอบตามมาตรฐาน Headlightmag และพี่ J!MMY
กิน 14.5 กม./ลิตร เทียบกับ Civic 2.0 ที่ 14.74 กม./ลิตร
ถ้าบอก Civic ประหยัด แล้ว 3 กิน ผมก็ไม่ทราบว่าจะขยายความอะไรต่อล่ะครับ
ส่วนตัวใหม่ ยังไม่มีใครได้ทดสอบ ผมก็ไม่ทราบว่าท่านไปเอาข้อมูลจากไหนบอกว่ามันกินน้ำมัน
เครื่องเดิม ไม่มีวาล์วแปรผัน LF-DE กับเกียร์ 4 จังหวะอัตราทด ทำได้ 14.5 กม./ลิตร
เครื่องตัวปัจจุบัน มีวาล์วแปรผัน LF-VE กับเกียร์ 5 จังหวะอัตราทด ผมคิดว่าคงไม่ต่างจากเดิมมาก
ส่วนเรื่องซื้อรถคันหนึ่งใช้ขัดตาทัพ แล้วค่อยขายทิ้งในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเพื่อออกคันใหม่
ผมว่าเป็นการใช้เงินที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุครับ
ราคา Nissan March ผมไม่ทราบที่แน่นอนหรอก ขี้เกียจค้น และไม่ทราบว่าท่านจะออกรุ่นย่อยไหนอีกด้วย
แต่ขอเอาเป็นว่า 500,000 บาทละกัน ดาวน์ 25% เพื่อจะได้ดอกเบี้ยต่ำ มั่วเอาว่า 1.99%
และในเมื่อคิดว่ายังไงก็จะขาย ผมสมมติว่าท่านจะผ่อนเต็มที่ 4 ปี เพื่อคงอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด
เงินดาวน์ 125,000 บาท รวม VAT เป็น 133,750 บาท
ยอดจัดไฟแนนซ์ 375,000 บาท ดอกเบี้ยเฉพาะส่วนไฟแนนซ์ 29,850 บาท รวมเงินที่ต้องผ่อนชำระ 404,850 บาท
ผ่อน 48 งวด คิดเป็นงวดละ 9,025 บาท รวม VAT เรียบร้อย
สมมติว่าอีก 2 ปี มาสด้า 3 มาพร้อมรถไมเนอร์เชนจ์และเครื่อง SkyActiv จองแล้วรอรถอีก 3 เดือน
ท่านจะจ่ายเงินออกไปจากกระเป๋าท่านไปแล้ว 377,425 บาท
จากนั้น รีบตัดใจขายมาร์ชทิ้ง ราคาตลาดคงไม่เกินประมาณ 280,000 บาท
ดังนั้น ราคารับเข้าคงไม่ถึง 230,000 บาท แต่ตีเอาว่า 230,000 ละกัน
สรุปขาดทุนไป 147,425 บาท ซึ่งถือเป็น 10% ของราคามาสด้า 3 ไปแล้ว
แต่ ณ วันนั้น ท่านอาจจะลืมตัวแล้วนึกดีใจทั้งทั้งที่ขาดทุนว่า ได้เงินคืนมาตั้ง 230,000 แน่ะ สบายแฮ
คิดแล้วเอาเงินจำนวนเดียวกัน คือ 147,425 บาท ไปลงทุนความเสี่ยงต่ำหรือฝากธนาคารให้งอกเงย
แล้วนำมารถที่ชอบไปเลยทีเดียวดีกว่า ซื้อซ้ำซากซ้ำซ้อน เสียเงินโดยใช่เหตุ แต่ถ้ามีเงินมากใช้จ่ายได้ไม่ขัดสน
ผมก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาครับ