สวัสดีครับ อยากจะร่วมบอกเล่าเก้าสิบกับเค้าบ้างครับ เวลามีรถอะไรออกใหม่และผมสนใจที่อยากจะลองขับซักหน่อยก็จะอาศัยวิธีเช่ารถเอาครับ รวมถึงว่ารถรุ่นนั้นๆมีให้เช่าในราคาที่เราเอื้อมถึงด้วยนะครับ แน่นอนว่า Honda Brio ก็เป็น 1 ในคิวที่ผมอยากนำมาลอง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผมก็ไปรับรถจากบริษัทรถเช่าแห่งหนึ่ง เป็น Brio น้อยสีขาวมะลิป้ายแดง รุ่น1.2 V CVT เพิ่งจะวิ่งไปได้แค่ 500 กม.เท่านั้น ตัวรถยังสดใหม่ค่อนข้างมาก กลิ่นเบาะยังคงอบอวลอยู่ เส้นทางที่ผมใช้เดินทางครั้งนี้ขับเป็นวงกลมครับ
กทม. อยุธยา นครสวรรค์ พิษณุโลก สุโขทัย เขาค้อ เพรชบูรณ์ วิเชียรบุรี สระบุรี กทม. รวมระยะทางที่วิ่งไปทั้งหมด 1281 กิโลเมตร ระยะเวลา 4 วัน 3 คืน เจอทุกสภาพอากาศ ร้อน ฝน ลม และทุกสภาพเส้นทาง ราดยาง หลุม ดินเละ ขึ้น-ลงเขา
(เป็นเส้นทางที่เคยเช่า March, Vios, Yaris, Altis, Fourtuner, City, Jazz, etc.)
เนื่องจากประสบการณ์การเล่าเรื่องรวมถึงการขับขี่อาจจะไม่ถึงระดับเซียนเทพ ก็ขอเล่าแบ่งเป็น สิ่งที่ประทับใจและไม่ประทับใจแล้วกันนะครับ
สิ่งที่ประทับใจ
- พวงมาลัย ตอนแรกที่เริ่มออกตัว ตกใจมาก ทำไมพวงมาลัยมันเบาโหวงแบบนี้ อารมณ์เดียวกับ น้องมีนาเลย (ส่วนตัวคิดว่าน่าจะยังชินกับพวงมาลัยของ G8 รถผมเองเพราะเพิ่งขับมารับBrioอยู่หมาดๆ) หลังจากขับไปสักพัก นี่แหละคือพวงมาลัยที่ผมค่อนข้างชอบมาก.. การบังคับควบคุมค่อนข้างดีกว่า March อย่างชัดเจน ขนาดกำลังดี (จนอยากเอามาเปลี่ยนให้ J32 ที่บ้านด้วยเลย) ในช่วงความเร็วสูงก็ยังนิ่งดีครับ ไม่แปลกใจเลยที่พี่จิมมี่สามารถปล่อยมือได้ที่ความเร็วสูงสุด รัศมีการกลับรถก็แคบได้ใจ หมดห่วงเรื่องเข้าที่แคบด้วยครับ
- ช่วงล่าง เป็นรถที่ขับสนุกมากครับ ขอกาดอกจันไว้ตัวโตๆ** ผมว่าเกาะถนนดีกว่าน้องมีนาค่อนข้างชัดเจน ตลอดทางที่ขับไปสุโขทัย ใช้ความเร็ว 120-140 ตลอด มีโอกาสได้ลองมุดบ้าง ก็รู้สึกว่ายังควบคุมรถได้ดี ไม่มีอาการเป๋ไห้เห็นเท่าไหร่ (แต่ผมไม่ได้ลองหนักๆนะครับ เพราะเข้าใจพื่นฐานของรถด้วย) ระหว่างทางมีฝนตกบางช่วง ขับผ่านน้ำขังบ้าง ก็ยังอยู่ในวิสัยที่พอจะควบคุมได้ ความรู้สึกได้มาคือ Brio ทำให้ผม"กล้า"มากกว่า March ครับ ส่วนในเรื่องของความเร็วต่ำก็ไม่ได้กระด้างมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้นุ่ม สำหรับผมคิดว่ารับได้ครับ เวลาขับผ่านหลุม บ่อ ก็มีเสียงดังพอสมควร เค้าโค้งแรงๆยางก็ไม่ถึงกับอดกลั้นไม่ไหวต้องหอนออกมา
- เกียร์ ต้องขอบอกว่า ราบเรียบภิรมณ์สมใจหมายมากๆ ทำงานได้ต่อเนื่อง ตรงนี้ชนะน้องมีนาอีกแล้วครับ ตอบสนองก็ค่อนข้างดี เท่าที่ตัวเครื่องน้อยๆจะอำนวยอวยแรงมากให้ แต่สิ่งแปลกใจมีเล็กน้อยคือ เวลาเข้าเกียร์ D แล้วปล่อยเบรกจะให้รถไหลไปข้างหน้าช้า มันไม่ค่อยมีแรงส่งเท่าไหร่ แทบจะไม่ค่อยไหลไปเลยครับ ต่างจากรถเกียร์ออโต้คันอื่นๆ เพิ่มเติมอีกเรื่องคือ รอบเดินเบา โฮ นิ่งมากราวกับว่าเป็นรถชั้นดีราคาแพง ถ้าคอมเพสเซอร์แอร์ไม่ทำงานนะ ผมคิดว่านี่มันรถไฟฟ้าชัดๆ มีครั้งนึงแฟนอยากลองบ้าง พอขึ้นมานั่งที่คนขับ ดันไปบิด start เครื่องซ้ำอีกรอบ แล้วหันมาทำหน้ายิ้มแหยะๆแล้วพูดว่า "นึกว่ายังไม่ได้ติดเครื่องรถ" ซึ่งมันน่าน้อยใจที่รถผมมันสั่นสะท้านกว่าอย่างเห็นได้ชัด! (ไม่ได้เว่อร์ลองไปจับอาการกันดู อิอิ ว่านิ่งจริงๆ)
- เบรก ประสิทธิภาพค่อนข้างดีเลยครับ แม้ว่าบริษัทรถเช่าเหมือนจะตั้งเบรกไว้แข็งพอสมควร แต่มันยังทำหน้าที่ได้ดีครับ นุ่มนวลและหน่วงความเร็วได้ตามต้่องการ ไม่มีอากาสั่นหรือเสียง อย่างที่รถผม G8 มีอาการมาตลอดแก้ไม่หายซะที -"- แต่ช่วงที่ต้องลงเขาอย่างต่อเนื่องก็มีกลิ่นเบรกมาเตะจมูกเหมือนกัน ทั้งๆที่พยามใช้เอ็นจิ้นเบรกแล้ว แต่ทางค่อนข้างชัน ยังต้องใช้เบรกช่วยย้ำอยู่ดี รวมถึงการเบรกบนสภาพถนนเปียกก็ยังควบคุมได้ดี และมีครั้งนึงตอนแฟนขับที่ความเร็วประมาณ 120-110 ผมบอกว่ามีแอ่งน้ำอยู่ในโค้งด้านหน้าให้ระวัง แต่เค้าคงตกใจเลยเบรกบนแอ่งน้ำนั่นแหละ ใจผมนี่หล่นไปอยู่บนตาตุ่มเลย พร้อมบอกว่าอย่าเพิ่งเบรกแต่ไม่ทันแล้ว แต่ผลปรากฏที่ออกมา รถยังนิ่งๆดี ตัวรถมีอาการลอยน้ำเล็กๆ แต่ไม่ปัดเป๋ออกนอกลู่นอกทาง ทั้งที่อยู่ในโค้ง ก็ยังไปตามที่แฟนผมหักพวงมาลัย และ ABS ก็ทำงานตามหน้าที่มันไป...
สิ่งที่ไม่ปลื้ม
- เสียงรบกวน ขอบอกว่ามันดังมากมายครับ ไม่ว่าจะมาจากยางติดรถ หรือว่าเสียงลมเข้ามา ไม่ว่าจะเปิดเพลงดังแค่ไหน มันก็ยังกลบเสียงพวกนี้ไม่มิดเลยครับ ผมคิดว่าน่าจะดังกว่า March ในความเร็วที่เท่ากันอยู่เหมือนกัน มีอยู่เสียงเดียวที่พอรับได้ คือ เสียงเครื่องยนต์ครับ เวลาเรากดคันเร่งหนักๆมันก็ดังคำรามค้างๆตามสไสต์เกียร์ CVT ซึ่งผมมองว่ามันเพราะน่าฟังมากกว่าจะสร้างความรำคาญครับ ในขณะที่ March น่ารำคาญทุกเสียง อ้อ อีก1เสียงที่ไม่น่าจะเกิดมันก็โผล่ คือ เสียงบริเวณคอนโซลหน้าหน้าปัดบริเวณฝั่งคนขับ มันดังก๊อกๆแก๊กๆ เหมือนประกอบไม่สนิทต้องเอานิ้วจิ้มกดเอาไว้เสียงถึงจะเงียบ ตรงนี้ไม่น่าให้อภัยเลยทั้งๆที่ยังป้ายแดงอยู่แท้ๆ อ้อ..ขอแถมอีกเสียงที่แอบกวนใจ ก็คือเสียงมอเตอร์การทำงานของที่ปัดน้ำฝน ได้ยินค่อนข้างชัดอยู่เหมือนกัน
- ที่ปัดน้ำฝนกระจกหลัง อันนี้เป็นประเด็นที่คาใจผมมาตั้งแต่แรกๆที่รถเปิดตัว จนได้ลอง ก็เจอจนได้ แรกๆฝนยังไม่ตก ก็โอเคใสกิ๊กไม่มีปัญหา แต่พอเข้าช่วงอยุธยา ฝนเริ่มลงเบาๆ แต่ไม่ตกหยุด กระจกเจ้ากรรมเริ่มก่อเรื่องทันที ภาพมันเป็นอย่างที่พี่จิมมี่และคุณ Gdhsatantic ถ่ายมาให้ดูล่ะครับ กล่าวคือ มันยังมองเห็นนะครับว่ามีรถตามมาด้านหลัง สังเกตจากแสงไฟ แต่ดูไม่รู้เรื่องเลยว่าเป็นรถอะไร สร้างความรำคาญลูกตามากมายครับ แม้จะมีกระจกมองข้างไว้ให้ดู แต่บางครั้งด้วยความเคยชินก็ยังต้องเผลอไปมองกระจกหลังอยู่บ้าง จะหงุดหงิดที่มองไม่เห็น ในหัวตอนนั้นก็คิดว่า วิศวกร Honda เค้าคิดได้ไงว่ามันไม่จำเป็น ผมว่าใส่ๆมาให้ลูกค้าเถอะมันน่าเกลียดเกินครับ ที่ไล่ฝ้าถ้ามีก็ยิ่งดีครับ เพราะเวลาตอนเช้าหมอกลง น้ำค้างอีก ผมต้องหาผ้ามาเช็ดกระจกเอา เพราะมองไม่เห็นเลย ส่วนเรื่องกระจกหลังที่หลายคนคิดว่ามันบอบบางรวมถึงผมด้วย หลังจากเปิดๆปิดๆอยู่หลายครั้งก็คิดว่ามันโอเคนะครับ น่าจะพอทำหน้าที่ของมันได้อย่างสบายคงไม่พังง่ายๆหรอกมั้งครับ ถ้าไม่ทำอะไรที่มันรุนแรงเกินเหตุ
- ออฟชั่น ตรงจุดนี้น้องมีนาได้ใจผมไปเต็มๆเลยครับ เพราะ Brio คันที่ได้เช่ามาแม้ว่าจะเป็นรุ่นท๊อปก็ตาม แต่สิ่งของที่ได้มารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นตัว standard ยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากของใช้จำเป็นเท่านั้น อย่างเดียวที่ผมประทับใจคือ เครื่องเสียงสามารถเสียบกับ iPhone iPod ได้เท่านั้น เสียงที่ได้ก็...เอ่อ เอาวะไงมันก็พอฟังได้ล่ะน่า แต่อย่าเปิดดังมากเพราะเหมือนลำโพงจะไม่ไหว หุหุ นอกนั้นเห็นแล้วหงุดหงิดครับ รวมถึงกระจกไฟฟ้า One Touch ขาลงอย่างเดียว บางทีเราชินกับรถหลายๆคันที่มันน่าจะ กดครั้งเดียวทั้งขึ้นและลง ผมเสียทรงตลอดเลยเวลาออกจากทางด่วน แล้วลืมนึกว่ามันจะขึ้นให้ยาวๆอัตโนมัติ ไอ้เราก็เร่งก็ไปเต็มที่ อิอิ อย่างลูกเล่นมาตรวัด ก็มีแค่บอกว่า แค่ประหยัดกี่กิโล/ลิตรเท่านั้นไม่มีบอกว่า จะวิ่งไปได้อีกแค่ไหนจนน้ำมันหมดถัง (อันนี้ออกแนวบ่น) จะขนาดจะคาดหวังเอา Keyless Entry + Push to Start ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่น่าจะสร้างความโดดเด่นอีกซักหน่อยแค่เพิ่มอะไรเก๋ๆเข้ามาให้รู้สึกสูสีกับคู่แข่ง อย่าลืมว่า Brio มีเรื่อง Handling ที่ดีมากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่เพิ่มออฟชั่นง่ายจะตาย ถ้าไม่ติดเรื่องต้นทุน เฮ้อ...นานาจิตตัง อย่างว่าเค้าไม่ได้เป็น Non Profit Organization
สิ่งที่เฉยๆ
- เครื่องยนต์ มันก็ไม่ได้แรงไปกว่า March เลยครับ แม้ว่าจะเคลมแรงม้าแรงโม้มาซะเยอะเลย ลองขับแล้วก็พอๆกันนั่นแหละ แต่จะได้ที่ความรู้สึกมากกว่าเหมือนว่ารถมันพร้อมจะให้เราทุกครั้งที่กดคันเร่ง สิ่งที่หลายๆคนกังวลว่ารถแค่เครื่อง 1200 cc มันจะขึ้นเขาไหวมั้ย ตอบให้เลยครับ ว่า "ไหว" ทั้งสองยี่ฮ้อแหละครับ ทางที่ไปลองมาค่อนข้างชันมาก (ทางขึ้นอนุสรผู้เสียสละเขาค้อ) ต้องเหยียบมิดติดเหล็ก มันก็ค่อยๆเคลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ ให้เราลุ้นๆกันหน่อยๆ แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี สิ่งที่ตั้งข้อสังเกตุจากการขับครั้งนี้ รู้สึกว่า Brio ขับทางไกลแล้วเหนื่อยน้อยกว่า March นิดนึง ไม่ต้องเกร็งอะไรกันมากมาย เฉพาะช่วงลุยฝนนั่นแหละที่ต้องตั้งใจกันหน่อย
- อัตราบริโภคน้ำมัน ตอนที่ผมเอา March มามันทำได้ประมาณ 16.8 กม./ลิตร แต่Brioทำได้ประมาณ 15.5 กว่าๆ ที่เฉยๆเพราะว่า ผมไม่ได้เน้นขับประหยัดเท่าไหร่เลย ได้ตัวเลขออกมาขนาดนี้ ก็ดียิ้มออกแล้วครับ 1281 กิโลที่วิ่งไปเติมน้ำมันไปแค่สองพันกว่าบาทเอง ตอนแรกก็ตกใจที่เข็มน้ำมันทำไมมันร่วงเร็วจัง (เร็วกว่า March) แต่พอเติมน้ำมันกลับเข้าใจ ก็ได้คำตอบว่า น่าจะเป็นที่ถังเล็กมั้ง เพราะเติมนิดเดียวก็เต็มแล้วง่าาา
- ดีไซด์ ถ้าเป็นเรื่องภายนอกตัวรถผมเฉยๆเลยครับ เพราะเวลาเราเข้ามานั่งด้านในแล้วมันมองไม่เห็น อิอิ ด้านหน้ารถน่ารัก ด้านท้ายยังขัดๆเหมือนหลายๆคนนั้นแหละครับ ส่วนภายใน การใช้โทนสีอ่อนทำให้ดูรถกว้างไม่อึดอัดดีครับ ในขณะที่คู่แข่งใช้สีดำซึ่งดีที่ไม่ต้องกลัวเละเทอะง่าย มีรายการบ่นเรื่องโชว์เนื้อเหล็ก ผมอาศัยเอาน้ำขวด 7 บาท ไปวางบังเอาไว้ครับ อิอิ เรื่องเบาะนั่ง ผมนั่งสองคนกะแฟนด้านหน้าปกติสะดวกดีมากครับ ไม่เมื่อยเท่า March โดยเฉพาะการเดินทางไกล ส่วนเบาะหลังไม่ได้ลองเลย แต่มองๆไปดูก็น่าจะพอได้อยู่นะ ถ้าตินิดเดียวน่าจะเป็นที่พื้นที่เก็บของท้ายรถออกจะน้อยนิดไปหน่อยเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
จนถึงตรงนี้ถ้าผมต้องเลือกว่าจะซื้อคันไหนดีระหว่าง March กับ Brio ผมตอบไม่ถูกเลยครับ อยากได้การขับขี่แบบ Brio แต่ขอออฟชั่นแบบ March ได้มั้ยล่ะครับ (สิ่งแรกให้ความสำคัญมากกว่าครับ) อย่างน้อยการลองขับครั้งนี้
ทำให้ผมเปลี่ยนความรู้สึกจากที่ไม่สนใจมันเลย กลับเป็นรู้สึกว่า เฮ้ย มันก็ดีอยู่นะ ได้อยู่ๆ เหมาะกับคนชอบรถขับเลยแหละครับ ที่ว่าล๊อคความเร็วไว้ที่ 145 กม./ชม. มันก็โอเคครับ ดีแล้วจะได้ไม่ต้องฮ้อตะบึงกันมากกว่านี้ 120-140 เนี่ยแหละกำลังดี
สำหรับการเดินทาง มีแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นที่อยากให้ไหลมากไปกว่านี้ (ตอนโดนกระบะแชมป์บ้าพลังจี๊ตูด จะมาอะไรก็น้องมะลิผมเนี่ย?) คือถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ในงบที่จำกัด แม้ว่าสิ่งที่จ่ายไปกับสิ่งที่ได้รับมาอาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่
แต่ในเมื่อมันมีให้เลือกแค่นี้ก็คงต้องทำได้แค่ทำใจหรือไม่ก็รอให้เขาปรับปรุงบ้างเรื่องให้ดีกว่านี้แหละครับ ซึ่งก็อีกเป็นปีกว่าจะมีรุ่นMCออกมา
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ อิอิ
*แก้ไขเพิ่มเติม