พอดีไปเจอ ในเว็บ rtoautopart.com เลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆ ชาว HLM ได้อ่านกัน และเพื่อนๆ ที่น้ำเริ่มแห้งแล้วรถจอดจมน้ำอยู่จะดูรู้วิธีแก้ที่ถูกต้อง ถ้าซ้ำขออภัย(แต่ผมมั่นใจว่าไม่ซ้ำ
)
เมื่อเห็นรถตัวเองน้ำท่วมตามวิกฤตไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรทำคือตั้งสติให้ได้ก่อนครับ อย่าเพิ่งแบกความสิ้นหวังเอาไว้ ทรัพย์สินเงินทอง ยังพอมีแรงก็ยังหาได้อยู่ รอจนน้ำลดดีแล้วก็ทำตามคำแนะนำดังนี้ครับ
1.อย่ารีบร้อนสตาร์ทรถตั้งแต่แรกเห็นเป็นอันขาดนะครับ เพราะอาจจะทำให้น้ำที่ค้างอยู่ไหลเข้าระบบแผงวงจรไฟฟ้าสร้างความเสียหายกับรถยนต์ของคุณได้
2.ถอดแบตตารี่ออกก่อนเพื่อหยุดระบบไฟฟ้าและปัญหาไฟลัดวงจร ปัจจุบันรถยนต์มีระบบควบคุมหลายส่วนที่ทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิค การยกแบตออกเป็นการหยุดไฟและหยุดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปได้ จึงควรทำเป็นอันดับแรกครับ
3.เปิดประตู ฝากระโปรงหน้าและหลังเอาไว้ ตรวจสอบการชำรุดที่ยางขอบประตูและกระจก นำเอาผ้ารองพื้นที่ผ้ากระโปรงท้าย ผ้ายางรองเท้า เบาะและพรมรองพื้นออกเพื่อตากไล่ความชื้น น้ำที่ท่วมรถมักจะไม่ใช่น้ำสะอาด ดังนั้นปัญหาที่สำคัญมากของรถโดนน้ำท่วมคือกลิ่นอับที่จะ ปรากฏทั้งในรถและจากช่องฟิลเตอร์ปรับอากาศซึ่งกำจัดได้ยากในเวลาอันสั้น การใช้น้ำยาดับกลิ่นอับจึงอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นครับ
4.เช็คระดับน้ำที่เหล็กวัดน้ำมันเครื่อง หากอยู่สูงมากแสดงว่าน้ำได้ผสมกับน้ำมันเครื่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต้องมีการถ่ายน้ำมันเครื่องและเปลี่ยนไส้กรองเครื่องเพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่ลูกสูบและเครื่องยนต์ นอกจากนี้รถที่โดนน้ำท่วมมักหนีไม่พ้นที่จะต้องเปลี่ยนไส้กรองอากาศ เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์ที่จำเป็นต่อประสิทธิภาพการสันดาบของเครื่องยนต์
5.ตรวจสอบระบบส่งกำลังจากลูกปืนล้อ หากรถจมน้ำนาน อาจพบสนิทเกาะที่ลูกปืนล้อ ซึ่งจะต้องเปลี่ยนลูกปืนใหม่ หากไม่พบให้นำออกมาเป่าให้แห้ง ทาจารบีเพิ่มก่อนใส่กลับเข้าไป ซึ่งสามารถใช้งานต่อได้ครับ
6.ระบบเบรคและครัชเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนที่มักพบความเสียหายจากการถูกน้ำท่วม รถบางคันเมื่อน้ำแห้งและไปให้ศูนย์หรืออู่ซ่อมแล้วอู่หรือศูนย์ไม่ได้เปลี่ยน ผ้าเบรค จานเบรค จานครัช ลูกปืนครัช เปลี่ยนแต่น้ำมันเบรค โดยช่างให้เหตผลว่ายังใช้งานได้ หากทำได้ ผมแนะนำให้เปลี่ยนครับ เพราะของพวกนี้โดนน้ำแล้วอาจจะมีสนิมขึ้นซ่อนอยู่ในอุปกรณ์ อาการเข้าเกียร์ยาก หรือเบรคมีเสียงอาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ซึ่งเป็นอันตรายมากๆต่อการขับขี่ครับ
7.ตรวจสอบน้ำในไฟหน้า ไฟหรี่และไฟท้ายรถ หากพบควรเปลี่ยนดวงไฟออกเพราะน้ำที่ค้างอยู่อาจจะซึ่มเข้าสู่จานจ่ายไฟทำให้ระบบเสียหายได้ น้ำที่ค้างในดวงไฟนั้นหากมีเยอะ จะไม่สามารถระเหยออกเองได้ครับ
นอกจากนี้ยังมีระบบอื่นๆ เช่น แผงหน้าปัดวงจร, เพลาขับและยางหุ้มเพลาขับ, รีเรย์และระบบขับเคลื่ยนที่จำเป็นต้องตรวจดู การเช็คเครื่องยนต์บางอย่างอาจจะต้องใช้ความรู้ช่างประกอบ แต่การที่ผู้ขับสามารถเช็ครถยนต์ตนเองและรับรู้ถึงจุดที่เสียหายของรถยนต์ จะสามารถป้องกันปัญหายุ่งยาก ที่เกิดหลังซ่อมจากการซ่อมที่ไม่สมบูรณ์หรือการที่อู่หรือศูนย์เปลี่ยนอุปกรณ์เกินความจำเป็นได้
จากศูนย์ข่าวมหาวิทยาลัยรังสิตประเมิณว่าการซ่อมรถยนต์ที่จมน้ำ ใช้ค่าใช้จ่ายประมาณ 3 แสนบาทเพราะต้องซ่อมแช่มหลายชิ้นส่วนและต้องใช้ช่างที่ชำนานเป็นพิเศษในการซ่อม ดังนั้นผู้ขับโปรดระวังความเสียหายที่อาจจะเกิดเพิ่มเติมโดยเฉพาะกับระบบไฟฟ้าและลูกสูบจากการสตาร์ทรถยนต์ขณะน้ำค้างอยู่โดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดี จึงควรทำตามคำแนะนำและใช้รถยกเพื่อนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมต่อไป
ประกันชั้น 1 รวมความเสียหายไปถึงอุทกภัยด้วยครับ ผู้มีประกันคุ้มครองจึงไม่น่ากังวลถึงรายจ่ายมากนัก แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีประกันชั้น 1และต้องซ่อมกับอู่ การซื้ออะไหล่ในจุดที่เสียหายเพื่อส่งให้อู่ซ่อมสำหรับการเปลี่ยนเครื่องครั้งใหญ่จากการที่รถจมน้ำ จะสามารถลดค่าใช้จ่ายจากการถูกอู่ชาร์จค่าอะไหล่ได้ครับ
ผิดกฏอย่างไรก็ขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ