ผู้เขียน หัวข้อ: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์  (อ่าน 11238 ครั้ง)

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
  ตามประสาคนอายุมากนะครับ เมื่อก่อนตอนที่อายุไม่มาก ผมไม่ค่อยได้คิดเรื่องนี้เท่าไหร่  คนหนุ่มสาวที่ยังคะนองได้อ่านแล้วอย่ารำคาญคนแก่
ก็แล้วกันนะครับ เจตนาเพราะหวังดีต่อท่าน  เพื่อนรุ่นเดียวกับผม หรือรุ่นน้องที่ผมรู้จักหลายคน เค้าไม่มีโอกาสมาพูดเตือนสติให้พวกเราแล้วครับ
สารภาพว่า เมื่อก่อนผมมีนิสัยขับรถที่ไม่ดีอยู่หลายอย่าง และเกิดอุบัติเหตุจนทำให้คนอื่นเสียชีวิตมาแล้ว และยังทำให้ผมรู้สึกผิดมาจนถึงปัจจุบันนี้
ผมเมาแล้วขับก็บ่อยครับ  รถยนต์ก็เสียหายก่อนเวลาอันควรไปหลายคัน
  แต่มาถึงตอนนี้แล้วนึกย้อนกลับไป ทำให้รู้สึกเสียวในใจขึ้นมาทุกครั้ง และขอบคุณพระเจ้าที่ยังไม่พิพากษาโทษให้เราตายหรือพิการไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น
บทความที่อยากถ่ายทอดออกมาตามประสาของผม ที่เพื่อนๆ จะได้อ่านกันต่อไปนี้ ก็อ่านสนุก ๆ กันไปด้วย และลองนึกดูว่าเรามีนิสัยการขับรถเป็นอย่างไร
อะไรที่เสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าคิดว่าแก้ไขได้ก็แก้ไขกันนะครับ รถของเรารวมทั้งเราเองและคนที่เรารัก จะได้มีรถดี ๆ ใช้นานแสนนาน และเราก็ยังได้ขับรถอย่างเพลิดเพลินสนุก สุนทรีย์ไปอีกนาน ๆ เช่นกันครับ

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 13:56:59 »
บทความนี้ก็เลยอยากเขียนเรื่องของอุบัติเหตุทางรถยนต์ว่ามันเกิดจากอะไรได้บ้าง และควรป้องกันอย่างไร
ให้มันมีโอกาสเกิดขึ้นกับเราน้อยที่สุด   อ่านกันสนุก ๆ ไปด้วยนะครับ  ยาวหน่อยนะ กำลังหัดเป็นนักเขียน
เผื่อหลังเกษียณจะได้มีงานทำบ้างครับ 555555 ติชมหรือร่วมให้ความเห็นเพิ่มเติมมาได้เต็มที่นะครับ

    ปัจจัยมันก็มีหลากหลายนะครับ ทั้งในเรื่องความพร้อมของผู้ขับ,  นิสัยของผู้ขับ,  สมรรถนะของรถยนต์และความพร้อมของรถ , สภาพการจราจรและพื้นผิวถนน,    หรือผู้ใช้รถร่วมเส้นทางกับเราที่มีปัญหาขับรถไม่ระวังแล้วมาทำให้เราซวยไปด้วย, ฯลฯ  ซึ่งผมก็ขอเน้นไปที่การขับทางไกลมากสักหน่อยนะครับ ส่วนการขับรถในเมืองหรือการจอดรถในบางสถานที่ที่อาจทำให้รถอันเป็นที่รักของเราเสียหายก็จะแถมท้ายให้ถ้าไม่ลืมนะ

   ผมขอเขียนไปตามประสบการณ์ที่ใช้รถมานานพอสมควรนะครับ ข้อมูลทางเทคนิคหรือวิชาการอาจจะไม่มี
อ้างอิง  ปัจจุบันผมอายุ 50 พอดีครับ ขับรถเป็นมาตั้งแต่ 20 ต้น ๆ  ชอบขับรถมากโดยเฉพาะขับทางไกล
บ่อยครั้งที่เห็นอุบัติเหตุร้ายแรงตามเส้นทางที่ผ่าน หรือบางทีก็เจอสด ๆ ต่อหน้าต่อตา   ทำเอาใจไม่ดีไปหลายชั่วโมง
 ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในขณะขับทางไกลก็ 3 ครั้งครับ หวุดหวิดนี่หลายครั้งจนจำไม่ได้  

ถ้าขับในเมืองนี่ไม่เคยชนกับคันอื่นเลยนะครับ แต่ถอยเข้าถอยออกนี่บ่อยครั้งเหมือนกันที่เอารถไปเจิม ล่าสุดไม่กี่เดือนที่ผ่านมาก็เอา CITY ถอยหน้าบ้านชนกับกระถางต้นไม้เพราะมัวแต่หลบกองขี้หมาด้านหน้า ลืมดูกระจกให้ดีก่อน ถลอกเป็นแผลยาวราว 5 cm.  โดนภรรยาด่าไปตามระเบียบ เพราะ CITY นี่เธอรักมาก หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอล้วน ๆ  ขนาดตอนที่เราจะถอย GV. แล้วคิดว่าจะขาย CITY จะได้ดาวน์สูง ๆ ผมหาลูกค้าได้นะครับ เค้าจ่ายเงินสดในราคา สามแสนสอง แต่ลูกค้ารายนี้เพิ่งหัดขับรถครับ พอผมมาบอกภรรยา เธอไม่ขายเลย สงสารรถครับ ก็เลยเก็บไว้ใช้จนถึงปัจจุบันนี้  ถ้าจะขายก็มีเงื่อนไขว่าขายกับคนที่รู้จักและเค้าดูแลรถเป็นเท่านั้น

    ไอ้ที่จอดเอาไว้เฉย ๆ แล้วคนอื่นมาเจิมก็มีบ้างครับ  ภรรยาผมเคยโดนมากหน่อย ขับ CITY ไปจอดติดไฟแดง โดนรถเก๋งเก่า ๆ TOYOTA อัดท้ายเข้าให้ ยุบไปเยอะเลยครับ   แล้ว GV. ก็เคยโดนครับ ภรรยาผมเอาไปจอดไว้ที่จอดรถศูนย์การค้า โดนร่องรอยที่คาดว่าน่าจะเป็นรถเข็น ทำเอาด้านข้างเป็นรอยลักยิ้ม 4 จุด ตอนนั้นยังป้ายแดงเลยครับ ผมเสียอารมณ์เอามาก ๆ ต้องเอารถไปทำจนเรียบร้อย ไม่งั้นไม่สบายใจครับ ถึงรอยเล็ก ๆ ก็เหอะ

    ส่วนอุบัติเหตุทางไกล 3 ครั้งที่เกิดขึ้นกับผม ครั้งแรก ชนมอไซด์ครับ ใช้มาสด้า 323 ตัวท็อป มี ABS. ด้วยนะ ขับไปด้วยความเร็ว 120 ชนท้ายมอไซด์ คนขับกระเด็นลอยขึ้นมาหัวฟาดกับกระจกหน้ารถผม  เส้นผมติดที่รอยแตกกระจกเป็นกระจุกเลยครับ และรายนี้เสียชีวิตที่โรงพยาบาล  ต้องเสียเวลาเรื่องคดีและค่าเสียหายไปเยอะครับ  รายที่สองก็มอไซด์อีก  ชนท้ายเหมือนกันแต่คราวนี้ผมใช้ความเร็วแค่ 90 ชนวัยรุ่นเด็กแว้นซ้อนสามที่ขับไล่ตามสาว ๆ มาแล้วไม่ได้ดูว่ามีรถวิ่งอยู่ มันไม่ดูอะไรเลยครับ  เลยเสยตูดไปเต็ม ๆ คนนั่งหลังก้นกบหัก อีกสองคนไม่เป็นอะไรมาก  งานนี้เสียตังค์ไปแค่พันห้า โชคดีที่มีพยานเป็นตำรวจที่ขับตามหลังรถผมมาพอดี ตำรวจท่านนี้ดีมากครับ ยอมเสียเวลาไปให้การกับร้อยเวรเป็นพยานให้ผมเต็มที่เลย   ครั้งที่สาม ก็มอไซด์เช่นเคย สี่แยกไฟแดงครับ แต่ตอนนั้นกำลังทำถนนอยู่ ไฟจราจรก็เลยไม่มี ผมอยู่ในเส้นทางหลักสายเพชรเกษม ขับ BMW. ครับ

 ( 323 ขายไปเพราะไม่สบายใจที่ทำให้คนตายมาแล้ว มันสยอง ๆ ทุกครั้งที่ขับ  ก็เลยซื้อ BM มือสองมาใช้ ) แล้วก็ขับมาช้า ๆ เพราะถนนไม่ดี พอถึงสี่แยกก็ชะลอความเร็วลงอีก แล้วก็บีบแตรสองสามครั้งก่อนที่จะถึงสี่แยกด้วย  เพราะเห็นแล้วว่ามีรถมอไซด์หลายคันที่กำลังจะข้ามทางแยก  แต่พอใกล้ถึงแยกก็มีคุณป้าคนนึงขับมอไซด์ออกมาเฉย ๆ ขับมาอย่างช้า ๆ ไม่ดูอะไรทั้งสิ้น พอบีบแตรพร้อมกับรีบเหยียบเบรก คุณป้าก็ตกใจครับ แทนที่จะรีบบิดไปให้พ้นเส้นทางก็กลับจอดรถเอาดื้อ ๆ กลางถนนซะงั้น ผมก็พยายามเบี่ยงหลบเต็มที่แต่ก็ไม่รอดครับ
ชนเอาด้านท้ายมอไซด์ก็ยังโชคดีที่ไม่ชนกับร่างของคุณป้าเอาเต็ม ๆ  แต่คุณป้าก็กระเด็นตกรถข้อมือไปฟาดกับขอบเกาะกลางถนน ข้อมือหักครับ  โดนไปหลายตังค์เหมือนกัน แต่คุณป้าแกก็ดีนะ แกบอกกับตำรวจว่าแกผิดเอง
  
 
  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:35:11 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 13:57:34 »
แล้วก็มีอีกครั้งที่ทำเอาผมเสียวและขยาดมาถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเสียหายและไม่ได้ไปชนกับใคร
แต่เจอปรากฎการณ์รถเหินน้ำครับ BMW. ที่เคยชนคุณป้านี่ล่ะครับ กำลังเข้าโค้งฝกตกหมาด ๆ มีน้ำขังตรงขอบทางนิดเดียวเอง  เจอเข้าเท่านั้นล่ะครับ BMW ถึงกับหมุนคว้างกลางถนนหลายรอบ แล้วก็ถลาลงไปช่องแบ่งเลนกลางถนนเพชรเกษม  โชคดีมากที่ไม่คว่ำ หรือไปชนกับอะไร แล้วรถพ่วง18 ล้อที่ตามมายัง “เอาอยู่” ไม่มาอัดกับผมตรงกลางถนนนะครับ

     ที่เล่าประสบการณ์มานี่เพื่อน ๆ ก็อาจจะมีประสบการณ์ทำนองนี้บ้างไม่มากก็น้อย เอามาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดีนะครับ  พอผมอายุมากขึ้นเวลาใช้รถแต่ละครั้งก็เลยระวังมาก ๆ  ไม่ขับเร็วมากไป และใจเย็นขึ้นเยอะด้วยอายุที่มากขึ้นด้วยครับ  เมื่อก่อนเมาแล้วขับนี่ผมทำบ่อยครับ ยังโชคดีไม่เจออะไร  อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่มันก็ทำให้เสียเวลา เสียเงิน และเสียอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง และถ้าเป็นคนรักรถด้วยแล้ว อะไรนิด ๆ หน่อย  ๆ ที่ทำให้รถเสียหายก็ทำเอานอนไม่หลับไปหลายคืนได้เหมือนกัน ไม่คุ้มกันเลยครับ  เลยมานั่งคิดหาปัจจัยต่าง ๆ เพื่อจะได้เอาไว้ป้องกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนำมาแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ กันดูครับ  ขอแยกคุยเป็นปัจจัยที่สำคัญ ๆ ที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุ เริ่มเลยแล้วกันนะ
   ปัจจัยที่ 1.  ความพร้อมของผู้ขับ  และในที่นี้หมายถึงความพร้อมของร่างกาย จิตใจหรืออารมณ์ รวมทั้งความรู้เกี่ยวกับรถของตัวเองและกฎจราจรต่าง ๆ ด้วยครับ  ผมไม่อยากให้เพื่อน ๆ มองข้ามปัจจัยนี้ไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย

เพราะหากเราไม่ให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าเราเริ่มประมาทอันเป็นหนทางแห่งความตายได้
และผมว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนใช้รถตายมากที่สุด จากอาการหลับในเป็นต้นครับ  ผมเคยหลับในสามครั้งครับ เกือบชนท้ายสิบล้อครั้งนึง  เกือบลงข้างทางครั้งนึง และเกือบชนคอสะพานครั้งนึงครับ สาเหตุเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก และขับทางไกลจากกรุงเทพถึงหาดใหญ่ คนเดียว มือเดียว เพราะเพื่อนที่ไปด้วยดันไม่สบาย

ครั้งนั้นเวลาเช้ามืดขับมาถึงสุราษฎ์  หลับในครับ  ตกใจขึ้นมาเพราะรถกำลังพุ่งไปหาท้ายสิบล้อ ดีว่าเบรกได้ทันนะ  ตอนที่หลับในลงข้างทางก็ตกใจตื่นครับ เพราะรถลงมาวิ่งบนไหล่ทางแล้วมันกระเทือน  ครั้งที่เกือบชนราวสะพานก็เช่นกันครับลงไปข้างทางแล้ว หักกลับขึ้นมาได้ทันแบบฉิวเฉียดมาก ๆ  ดังนั้นจงจำไว้ว่าหากจะต้องขับทางไกล ถ้าเป็นไปได้ ก็ควรมีเพื่อนที่ขับรถเป็นไปด้วยกัน และพยายามผลัดกับขับทุกสองชั่วโมงนะครับ  พักตามปั้มน้ำมันเป็นระยะ ๆ ก็ยิ่งดี รถเราจะได้พักไปด้วย แต่เวลาจอดอย่างเพิ่งรีบดับเครื่องล่ะครับ ให้ปิดแอร์แล้วปล่อยเครื่องเดินไปสักพักเพื่อให้ความร้อนในเครื่องยนต์ลดระดับลงมาสักหน่อยเสียก่อน เครื่องยนต์จะได้ไม่สึกหรอเร็วครับ  แต่ถ้าเดินทางไกลคนเดียว ก็ควรพักบ่อยครั้งขึ้น จำไว้ว่าอย่าฝืน อย่างเร่งรีบเกินไป  อาการหลับในมันเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวครับ  อาจจะสังเกตตัวเองได้บ้างเช่นถ้าเรารู้สึกล้า ๆ บริเวณต้นคอหรือท้ายทอย ก็พักเลยครับ เพราะมันเริ่มจะหลับในได้ตลอดเวลา   อีกอย่างนึงนะ ถ้าไม่สบายต้องกินยาที่ทำให้ง่วง อย่าขับเลยครับ ดื่มแอลกอฮอล์มาก็เช่นกัน ไม่ใช่ว่าเมาไม่ขับเท่านั้นนะครับ ผมไม่ค่อยชอบคำว่า เมาไม่ขับ นี้เท่าไหร่ ที่จริงถึงไม่เมาแต่ดื่มมาก็อันตรายมากแล้วครับ  เพราะร่างกายเราโดนแอลกฮอล์เข้าไปทำลายแล้ว ความเร็วในการตัดสินใจยังไงมันก็ลดลงแน่นอนและเรื่องจริงอย่างนึงก็คือ คนที่เมามักจะคิดว่าตัวเองไม่เมาทุกที  

แล้วถ้าเป็นไปได้ พยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางไกลเวลากลางคืนดีกว่าครับ เพราะโอกาสหลับมีมากเนื่องจากร่างกายคนเราไม่เหมือนค้างคาวครับ ถึงเวลาต้องนอนหลับ ร่างกายก็จะเคยชินกับช่วงเวลานั้น มันก็จะทำงานตามนาฬิกาชีวิตโดยอัตโนมัติอยู่ดีไม่ว่าจะโด็ปกาแฟหรือเครื่องดื่มอะไรมา หรือจะนอนตอนกลางวันมาเต็มที่แล้วก็ตาม เวลาประมาณตีสามตีสี่ตีห้านี่กำลังดีเลยครับ ถ้าจำเป็นต้องขับ และถึงเวลาช่วงนั้นผมว่าหาที่พักผ่อนซักนิดก่อนดีกว่า  จะไปฝืนเลย ไม่ว่าจะมีอาการง่วงหรือไม่ก็ตาม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:35:45 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 13:58:13 »
เรื่องจิตใจหรืออารมณ์นั้นมีผลแน่นอน เพราะหากเราอารมณ์ไม่ดี จิตใจไม่ปกติ มันก็ทำให้เราตัดสินใจบางอย่างผิดพลาดได้ง่ายมาก ตัวอย่างก็พบเห็นได้บ่อยครั้ง อารมณ์ไม่ดี ขับรถปาดหน้าคนอื่น หรือโดนคนอื่นปาดหน้า หรือเร่งรีบจนเกินไป  ทะเลาะกับแฟนระหว่างขับรถ  ล้วนแต่สร้างให้เกิดอุบัติเหตุง่ายดายมาก ๆ ครับ
ข้อนี้ ก็อยู่ที่ลักษณะนิสัยใจคอของแต่ละคนด้วย ผมดีหน่อยครับที่เป็นคนใจเย็น  แต่ถึงจะใจเย็นแค่ไหน เหตุการณ์ที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดีก็เกิดขึ้นได้เสมอ

วิธีเดียวที่จะแก้ตรงนี้ได้คือ ถ้ารู้ว่าอารมณ์ไม่ดี จิตใจไม่ดี หยุดขับรถเถอะครับ  ดีที่สุดเลย เพราะเราอาจจะทำให้ทั้งเราเองทั้งคนอื่นที่เค้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องซวยไปด้วย  ทำจิตใจให้เป็นปกติซะก่อนค่อยขับรถต่อดีกว่า ครับ   ตอนผมอายุสามสิบกว่า ๆ สารภาพว่าผมควบคุมอารมณ์ตอนขับรถได้ไม่ดีเลยครับ  เห็นใครขับเร็วก็หมั่นไส้เค้า ไม่ยอมครับ ต้องแซงให้ได้ หรือเห็นใครขับรถกวน ๆ หน่อยก็ไม่ได้ครับ ต้องขับไปปาดหน้ามั่ง ไปเบียดมั่ง  หรือทะเลาะกับแฟนก็มักจะขับรถประชด เสี่ยงมากเลยครับ เพื่อน ๆ อย่าทำเยี่ยงนี้ล่ะครับ ตอนหลัง ๆ มานี่ผมปล่อยวาง ใครจะรีบไปไหนก็ปล่อยเค้าไป ใครจะขับกวนทรีนยังไงก็อยู่ห่าง ๆ เค้าไปเลยครับ  เป็นการกระทำที่ฉลาดกว่าเยอะ….ให้อภัยคนรอบข้างเราดีกว่านะ  บางทีเราก็ไม่รู้หรอกครับว่าคนอื่นที่เค้าขับรถเร็ว น่าหวาดเสียว เค้ามีความจำเป็นมาก ๆ ที่ต้องทำอย่างนั้นรึเปล่า  บางทีอาจจะท้องเสีย 5555
(อันนี้ประสบการณ์ตัวเองเลยครับ  )

 หรือบางคนญาติหรือคนที่เค้ารักกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือกำลังต้องการความช่วยเหลือด่วนก็ได้  เราคงไม่อาจรู้เหตุผลจริง ๆ ของคนอื่น ก็คิดรวมไปเลยว่าเค้าจำเป็นก็แล้วกัน

แต่หากเราต้องอยู่ในสถานการณ์จำเป็นอย่างนั้นบ้าง ผมว่าควรจะเปิดไฟฉุกเฉินสักหน่อยก็ดีนะครับ  

        เรื่องความรู้ของรถตัวเองและความรู้เรื่องกฎจราจร อันนี้ท่านทั้งหลายต้องมีความรู้เป็นอย่างดีนะครับ
รถเราเอง เราต้องรู้ว่ามันมีนิสัยยังไง ชอบโค้งหรือไม่ชอบ จังหวะหรือระยะเบรคเป็นยังไง จังหวะเร่งแซงทำได้แค่ไหน  ให้อ่านคู่มือให้ละเอียดนะครับว่ารถเรามีข้อจำกัดอะไรบ้าง  อย่าง GV, ในคู่มือเค้าก็เตือนเรื่องของการเข้าโค้งมาด้วยนะครับ เพราะรถประเภท SUV. นี้จุดศูนย์ถ่วงจะอยู่สูงกว่ารถเก๋ง  เข้าโค้งไม่ได้จังหวะก็พลิกคว่ำได้ง่าย นี่ขนาดเรา ๆ ที่ใช้ GV. อยู่ก็คงรับรู้ว่ามันเข้าโค้งได้หนึบ แต่คู่มือเค้าก็ยังเตือนมาด้วย ดังนั้นก็อย่าประมาทครับ ถ้าออกรถมาใหม่ ๆ อย่ารีบขับเร็ว ๆ หรือขับเสี่ยง ๆ  ก่อนล่ะครับ เรียนรู้นิสัยใจคอกันให้ดีก่อนจะดีกว่า

จำไว้ว่ารถทุกคันมีนิสัยไม่เหมือนกันนะครับ  หรือหากเราต้องไปขับรถคันอื่นที่เราไม่คุ้นเคยก็ต้องระวังมาก ๆ ด้วย มันไม่เหมือนรถของเราแน่นอน อย่าเอานิสัยที่เราคุ้นเคยกับเราไปใช้กับคันอื่นเด็ดขาดครับ ผมเจอมาแล้วเมื่อราวปีกว่า ๆ มานี่เอง รู้สึกว่าเคยเล่าไปครั้งนึงในเวปนี้เหมือนกัน  เรื่องมีอยู่ว่าผมกับเพื่อนจะขับรถไปต่างจังหวัดกัน แล้วตกลงกันว่าจะใช้รถเพื่อนผมไป  SUV. ยี่ห้อนึงครับ ป้ายแดงเลย  ทีนี้ผมคุ้นเคยเส้นทางที่จะไปมากกว่า
เพื่อนผมมันไม่คุ้นเส้นทางนี้ มันก็เลยให้ผมขับ  แต่ผมไปติดนิสัยขับ GV. ครับ ตอนเข้าโค้งก็เลยใส่ไปตามที่คุ้นเคย แต่รถ SUV. ยี่ห้อนี้นิสัยมันไม่เหมือน GV. ที่เข้าโค้งแล้วไม่เหวี่ยงท้าย   ปรากฏว่ารถเสียการทรงตัวไถลลงข้างทางไปเลย ดีว่าไหล่ทางไม่สูงและเป็นพื้นทุ่งหญ้าเรียบ ๆ เลยโชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย
ส่วนเรื่องกฎจราจรไม่ขอพูดมากนะครับ เพราะผมว่ารู้กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่จะขี้เกียจทำตามหรือเปล่า

อันนี้ต้องถามตัวเองว่าเรามีวินัย มีมารยาทที่ดีมากน้อยแค่ไหน  แล้วฝึกฝนให้เป็นนิสัยมากน้อยแค่ไหนเช่นกัน
แต่ที่สังเกตดูนะ บางอย่างคนใช้รถใช้ถนนหลายคนก็ไม่ได้ทำ เช่น การเปลี่ยนเลนต้องให้สัญญาณก่อนทุกครั้ง
อันนี้สารภาพว่าตัวผมเองก็เช่นกันครับ ต่างจังหวัดไม่ค่อยจะทำกัน แล้วผมเองก็เลยไม่ได้ทำไปด้วย ไปถูกตำรวจเรียกไปตักเตือนที่ปราจีนครั้งนึงครับ เปลี่ยนเลนจากซ้ายมาขวาแล้วผมไม่ได้เปิดไฟเลี้ยวให้สัญญาณ ( ก็มันไม่มีรถขับตามผมมาสักคันเลยนี่หว่า  จะให้สัญญาณเทวดาที่ไหนฟ่ะ )  

เถียงตำรวจไปคำนึงครับ ตำรวจพูดมาว่า มันเป็นกฎและต้องทำให้เป็นนิสัย จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุ ตั้งแต่นั้นผมเลยทำจนติดเป็นนิสัยเลยครับ เพราะเค้าก็หวังดีกับเราถึงได้เรียกมาเตือน   อีกอย่างนึงที่คนต่างจังหวัดมักทำกันเวลาถึงสี่แยกคือเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน  อันนี้ไม่ควรทำอย่างยิ่งครับ เพราะทำให้คนใช้รถคันอื่นเข้าใจผิดได้  สัญญาณฉุกเฉินให้ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ที่เราอาจจะต้องชะลอรถ หรือมีเหตุจำเป็นต้องขับด้วยความเร็วต่ำ  หรือจำเป็นต้องจอดไหล่ทาง คืออะไรก็ตามที่มันผิดปกติเราก็ควรใช้ไฟฉุกเฉินให้สัญญานชาวบ้านร่วมเส้นทางเค้าบ้างครับ

รถคันหลังจะได้รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เค้าจะได้ระวัง  แต่ถ้าจะเข้าสี่แยกไม่ต้องใช้ครับ เพราะมุมมองของรถที่อยู่ด้านซ้ายหรือขวาของเราเค้าอาจจะเห็นเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น และอาจเข้าใจว่าเราจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา  ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายครับ   การคาดเข็มขัดนีรภัยก็เช่นกัน ต่างจังหวัดไม่ค่อยจะให้ความสำคัญครับ เพราะตำรวจไม่ค่อยจับ 55555 ก็เลยเสียนิสัยกันหลายท่าน รู้ทั้งรู้ว่าผิดกฎจราจร แต่ก็ทำกันครับ  ยังมีอีกหลายเรื่อง เรื่องกฎจราจรไว้นึกอะไรได้ค่อยมาต่อแล้วกันนะครับ ตอนนี้นึกได้เท่านี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:36:47 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 13:58:48 »
 ปัจจัยที่ 2 . นิสัยของผู้ขับบ้างครับ    ข้อนี้ก็คาบเกี่ยวกับปัจจัยแรกอยู่บ้าง  แต่ผมขอพูดถึงนิสัยการขับรถบางอย่างของผู้ขับบางท่านที่ทำให้เกิดอันตรายได้  ผมสัมผัสมาหลายคนที่ได้นั่งรถไปกับเขาแบบที่ว่า ต้องแอบสวดภาวนาขอพรพระเจ้าให้ลูกรอดพ้นไปด้วยดี หรือช่วยเหยียบเบรคไปด้วย  ถึงไม่ได้ขับเองแต่ว่าเมื่อยไปทั้งขาทั้งตัวพอ ๆ กับคนที่ขับหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ  เพื่อน ๆ เคยเจอมั้ยล่ะครับ ผมว่าต้องเจอบ้างล่ะนะ   ข้อนี้ขออภัยล่วงหน้ากับเพื่อน ๆ สมาชิกด้วย เพราะอาจจะพาดพิงถึงท่านได้โดยไม่ได้ตั้งใจนะครับ   แต่เจตนาก็เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง

     นิสัยที่ 1. ขับเร็วมาก  อันนี้ผมสารภาพว่าเมื่อก่อนผมก็นิสัยนี้ล่ะครับ ขับทางไกลไม่มีต่ำกว่า 120 ส่วนใหญ่ก็ 140 ถึง 160 ครับ  รถคันแรกในชีวิต ( แม่ซื้อให้ ) เป็นรถกระบะมาสด้าแฟมีเลียคันเล็ก ๆ ผมก็ใช้ความเร็วนี้
อีกหลายคันที่มีตามมาก็ความเร็วนี้ แล้วที่ผมใช้ BMW. ก็เพิ่มเข้าไปเป็น 160 – 180 ครับ ขับดีจริง ๆ  จนเมื่อมันเหินน้ำแล้วหมุนคว้างนั่นล่ะครับ ผมถึงเลิกนิสัยนี้ไป  คงอายุมากขึ้น มีลูกมีเมียแล้วด้วยล่ะครับ เลยคิดได้

เพื่อน ๆ ที่ขับรถเร็วมาก ๆ ผมว่าพยายาม ลด ละ เลิก กันดีกว่านะครับ ไม่คุ้มหรอกครับกับความสนุกหรือความสะใจ  ใหม่ ๆ ก็อาจจะขัดอกขัดใจบ้าง แต่พอสักพักก็ชินครับ อีกอย่างเร็วแค่ไหน มันก็ถึงจุดหมายพอ ๆ กัน ระหว่างความเร็ว 100 หรือความเร็วมากกว่านั้น เพราะถนนบ้านเรามันก็ไม่อำนวยต่อการใช้ความเร็วสูงมาก ๆ อยู่ดี   ความเร็วขนาดนี้เกิดอะไรขึ้นรอดยากครับ  ไม่ว่ารถจะดีขนาดไหน ให้คิดว่าถึงเราใช้รถดี สมรรถนะสูง ความปลอดภัยสูง  แต่เพื่อนร่วมทางคนอื่นเค้าล่ะครับ  เราอาจจะทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนไปตลอดชีวิตก็ได้
แต่บางคนถึงขับเร็วมาก แต่ก็ขับได้ดีมากเช่นกัน เพราะรู้จักว่าเมื่อไรที่ควรลดความเร็ว เมื่อไรที่จะขับเร็วได้ ทิ้งระยะได้ดี  สมาธิเค้าดีมากครับ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะสมาธิดี ๆ ไม่ได้มีทุกวันครับ แล้วอีกอย่าง สมรรถนะของรถก็ไม่ได้พร้อมสมบูรณ์ไปตลอดเวลา ลืมเช็คลมยางนิดเดียวก็พลาดแล้วครับ

  นิสัยที่ 2. ชอบขับรถจ่อท้ายคันหน้า แล้วแซงขึ้นไป  แบบปาดระยะกระชั้นชิด บางทีก็แซงซ้ายวิ่งบนไหล่ทางแซงเค้าขึ้นไปเลย  อันนี้เพื่อนผมเองครับ แถมยังมาสอนผมอีกว่า เวลามรึงแซงให้ทำอย่างงี้  ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ  เจอมันขับอย่างงี้ไม่กี่ครั้ง ผมก็ไม่นั่งรถมันอีกเลย  ไม่ได้เป็นคนขับแต่ เมื่อยไปหมดทั้งตัวเลยครับ เครียดอีกต่างหาก  ถ้าจะให้ผมไปด้วย ผมขอขับเองดีกว่า  แล้วประเภทนี้มักจะมีนิสัยในข้อแรกอยู่ด้วย ทั้งเร็ว ทั้งจ่อ ทั้งปาด  ซ้ายปาดขวา คล้าย ๆ ตะขาบกลับชาติมาเกิด  ลองนึกดูว่าการขับไปจ่อท้ายเค้าหยั่งงั้น ถ้าคันหน้าเค้ามีปัญหาต้องเบรคชะลอความเร็วขึ้นมา แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน   อีกอย่างนึง การไปจ่อท้ายคันหน้า มันก็ทำให้เรามองไม่เห็นเส้นทางที่ยาวไกลพอ เพราะรถคันหน้าบังหมด   อันตรายมากครับ ไม่ต่างกับคนตาบอดขับรถนะผมว่า  ถ้ารถติดตั้งระบบเรดาร์นำวิถีมาด้วยก็อีกเรื่อง

  นิสัยที่ 3.  ประเภทมืออยู่ไม่สุขครับ  ประมาณหนุมานกลับชาติมาเกิดเป็นคนขับรถ ขับไปต้องหยิบโน่นหยิบนี่  หาของโน่นนี่ในรถ ไปตลอดทาง ไม่รู้อะไรกันนักหนา   รถของผู้ใช้ประเภทนี้ก็อาจจะสังเกตได้อย่างนึงครับ คือมันรกมาก  ข้าวของ แผ่นเพลง อะไรต่ออะไรเต็มรถไปหมด  อันนี้เจอกับเพื่อนสาวภรรยาผมครับ โห…. ขับรถไปด้วยกันครั้งนึง กลับมาผมบอกภรรยาเลยว่าให้ไปเตือนเพื่อนเธอหน่อย อันตรายมาก  เพราะเธอขับไป ก็หยิบแผ่นเพลงมาเปลี่ยนไป เกือบจะตลอดเวลา
 ( ย้ำว่าเกือบตลอดเวลาจริง ๆ เพราะไม่เกินสักห้านาทีเธอก็ต้องหยิบโน่นหยิบนี่แล้วครับ )
 แล้วเก็บไว้สารพัดที่เลยครับ  ทั้งช่องเก็บของด้านคนนั่ง ช่องประตูข้างทั้งซ้ายขวา หรือคอนโซลกลาง ล้วนมีแผ่นเพลงและข้าวของจุกจิกสารพัด อารมณ์ศิลปินเหลือเกิน  ยังไงไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่เครื่องเสียงก็ใส่แผ่นได้ตั้งหลายแผ่น   แต่คุณเธอก็ใส่ไปแผ่นเดียว พอเล่นได้เพลงสองสามเพลงก็เปลี่ยนแผ่นใหม่อีก บางทีขับรถไม่ได้มองทางเลยครับ หาแผ่นเพลงไปตลอด  หาเจอก็ยังจะมาอ่านอีกว่าใช่เพลงที่ต้องการฟังรึเปล่า  สายตาก็ไม่ดี ต้องควานหาแว่นตาตามช่องโน้นช่องนี้มาใส่อีกต่างหาก เพราะจำไม่ได้ว่าเก็บแว่นตาไว้ตรงไหน  ทั้ง ๆที่ ช่องเก็บแว่นตาที่ติดตั้งมาให้ในรถก็มี แต่สามีแกเก็บพระเครื่องเต็มไปหมด ถ้าผมเป็นพระเครื่องคงออกธุดงค์ไปนานแล้วล่ะครับ อยู่ในรถคันนี้ไม่รอดแน่ ๆ  ผมนั่งหน้าก็เลยต้องช่วยหาของตลอด  บอกตามตรงว่าคนช่วยหาเองยังรำคาญเลยครับ มันอะไรกันนักหนาว่ะเนี่ย พอดีผมก็ไม่ค่อยสนิทด้วย เลยไม่กล้าว่าอะไรต่อหน้าในตอนนั้นครับ  ต้องฝากภรรยาไปบอกแทนด้วยความเป็นห่วงจริง ๆ ครับ  ภรรยาผมก็ไปบอกนะ เธอก็ฝากมาขอบคุณผมที่เตือน แต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนนิสัยได้รึยังครับ เพราะผมกับภรรยาก็ไม่นั่งรถที่เธอขับอีกเลยเหมือนกัน  สองชั่วโมงที่โดยสารทางไกลมาเป็นอะไรที่เครียดมากครับ  ถึงจะใช้ความเร็วแค่ 90 ก็เหอะ
 
 นิสัยที่ 4. ขับช้ามาก ๆ อันนี้ต่างจังหวัดน่าจะพบเจอได้มากกว่าในกรุงนะครับ  บางคนขับรถใช้ความเร็วต่ำจนเกินไป ประมาณว่าชมวิวไปอย่างเพลิดเพลินเหมือนเดินในสวนสาธารณะ หรือรถอาจจะมีปัญหาก็ได้ หลายครั้งที่เจออย่างนี้ยอมรับว่าทำให้ผมเสียอารมณ์ครับ  บางทีขับ ๆ มา ก็ต้องเบรคชะลอความเร็วกันตัวโก่งเหมือนกัน  ถ้าจะขับช้าอย่างนั้นก็ควรเปิดไฟฉุกเฉินให้รู้กันสักหน่อยก็จะดียิ่ง จะได้เตรียมตัวทัน เพราะสังเกตยากนะครับ   ชนท้ายเข้าไปได้ง่าย ๆ
 
   นิสัย 4 อย่างนี่คือที่ผมเจอกับตัวเองมาครับ  ไม่รู้ว่ามีใครจะเพิ่มเติมอะไรมาอีกหรือไม่  ถ้ามีก็เชิญเลยนะครับ
อ่อ… มีอีกนิสัยนึง  นึกได้พอดี  ประเภทช่างคุยครับ คือถ้าคุยไปแล้วมือถือพวงมาลัยกับตาอยู่ที่ถนนข้างหน้าก็ไม่เป็นไร  แต่บางคน คุยไปมือก็ประกอบการคุยไปด้วย แถมยังละสายตาจากถนนมามองหน้าเรา  หรือบางทีหันไปคุยกับเพื่อนที่นั่งมาด้านหลัง  คงติดนิสัยวิทยากรมาขับรถมั้งครับ  ที่เจอก็เพื่อนผมเองเหมือนกัน แต่สนิทกันครับ ถ้ามันทำหยั่งงี้ล่ะก็ผมตบกบาลมันทุกครั้ง จนเดี๋ยวนี้หายแล้วครับ   เพราะเพื่อน ๆ ช่วยกับตบหลายคน ไม่ใช่ผมคนเดียว   แต่มีอาการผวาเข้ามาแทนที่  ใครยกมือขึ้นทำอะไรในรถ เจ้าเพื่อนคนนี้ก็จะผวากลัวถูกตบหัวครับ

   นิสัยการขับรถที่ควรฝึกให้ชินและจะช่วยลดอุบัติเหตุไปได้มากก็คือ เราควรทิ้งช่วงให้ห่างจากคันหน้าให้มากหน่อย  ถ้าจะแซงเค้าก็ต้องสามารถมองเห็นช่องทางข้างหน้าได้เพียงพอที่จะมั่นใจว่าแซงขึ้นไปแล้วปลอดภัยแน่นอน  ถ้าก้ำกึ่ง มองไม่ชัด หรือไม่ชัวร์ อย่าแซงครับ  ส่วนด้านหลังก็เช่นกัน พยายามมองกระจกส่องหลังสม่ำเสมอ แล้วถ้าจำเป็นต้องชะลอ ควรแตะเบรกสักครั้งสองครั้งให้คันหลังเค้ารับรู้ก่อนที่จะแตะเบรกยาวเพื่อให้รถหยุด  จะได้มีโอกาสน้อยลงที่เค้าจะมาทิ่มท้ายรถเราครับ   ผู้ใช้รถหลายท่าน นึกจะเบรกก็เบรกจังหวะเดียวเลย
อย่างนี้ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย   ลักษณะนี้มักเกิดขึ้นหลาย ๆ คัน เป็นอุบัติเหตุซ้ำซ้อน เช่นก่อนจะถึงแยกไฟแดง  หรือก่อนจะถึงด่านตรวจ  เป็นต้นครับ
  
 
  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:38:04 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 13:59:23 »
ปัจจัยที่ 3. สมรรถนะของรถยนต์และความพร้อมของรถ  
   อย่างที่คุยให้ฟังในตอนต้นว่ารถแต่ละคันมีนิสัยไม่เหมือนกัน ประเด็นนี้หมายถึงไม่ว่าจะยี่ห้อต่างกันหรือยี่ห้อเดียวกันนะครับ   ประเด็นแรกก่อนเรื่องคนละยี่ห้อนี่ก็แล้วแต่ครับว่า  ผู้ผลิตเค้าจะออกแบบมาตอบสนองผู้ใช้ยังไง แต่ถ้าออกแบบมาดี มีสารพัดระบบที่ช่วยให้สมรรถนะดีมาก ๆ ถึงดีเลิศ ราคาก็แพงตามมาด้วยเหมือนกัน   หรือถ้าเป็นรถราคากลาง ๆ ก็แล้วแต่กลยุทธของแต่ละค่ายว่าออกแบบมาอย่างไรกันบ้างและแน่นอนว่าเค้าก็ต้องยกเรื่องสมรรถนะมาโชว์ให้ตลาดสนใจที่จะซื้อ  อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ผู้ซื้อหรือผู้เลือกล่ะครับ ว่าจะมีความละเอียดลออในการหาข้อมูลมากน้อยแค่ไหน มีความพยายามที่จะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองด้วยการลองขับมันดูเลยมากน้อยแค่ไหน  

 ตัวอย่างง่าย ๆ ใกล้ตัวพวกเราก็คือ GV. นี่เลยครับท่าน   ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่ากว่าที่ผมจะตัดสินใจซื้อรถ SUV. มาใช้ด้วยความจำเป็นว่าจะต้องใช้รถเดินทางไกลและต้องเข้าไปในสวนในป่าเป็นประจำ ใจผมชอบรถเก๋งมากกว่านะ แต่เมื่อรถเก๋งมันไม่เหมาะที่จะวิ่งในเส้นทางกึ่งออฟโรดอย่างงี้ก็เลยต้องหา SUV. ที่มีข้อเสียเรื่องการทรงตัวเมื่อเทียบกับรถเก๋ง  เลยต้องหาข้อมูลและพยายามหารถทดลองขับอยู่เกือบสองปี คือลองขับทางไกลมันแทบทุกยี่ห้อเลยครับ  แล้ว GV. ก็มีสมรรถนะที่ถูกใจผมที่สุดเพราะมันทรงตัวได้ดี เกาะถนนหนึบ  ก็ช่วยให้การขับขี่ทางไกลของผมปลอดภัยขึ้นตามไปด้วย  แต่จะเอาที่มันดีกว่านี้ตอบสนองทุกเรื่องได้มากกว่านี้ ทุนก็มีไม่พอเหมือนกันครับ  แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่ารถ SUV ยี่ห้ออื่น ๆ นอกจาก GV. ในราคาพอ ๆ กันอยู่กลุ่มตลาดเดียวกันเค้าจะไม่ดีหรือทรงตัวแย่หรอกนะครับ  เพราะมันอยู่ที่นิสัยในการขับขี่ของแต่ละคนประกอบด้วย ไม่ใช่นิสัยของรถอย่างเดียวเท่านั้น   นิสัยการขับขี่บางท่านก็อาจจะไปเหมาะกับ CRV. หรือ CAPTIVA ก็ได้ครับ เพื่อนผมที่ทำรถมือสองขายเค้าใช้คำง่าย ๆ ที่อธิบายเรื่องนี้ว่า “เนื้อคู่” ครับ   ถ้าเป็นเนื้อคู่กันแล้ว ก็จะสามารถเรียกสมรรถนะของรถสูงสุดออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมครับ    

ที่ผมให้เหตุผลนี้ก็เพราะจริง ๆ แล้วในการผลิตรถยนต์แต่ละค่ายเค้าก็คิดเรื่องความปลอดภัยและสมรรถนะมาเป็นอย่างดีแล้ว ไม่งั้นคงทำตลลาดไม่ได้  เพียงแต่ว่ามันเหมาะกับคนแต่ละคนและการใช้งานของแต่ละคนมากน้อยแค่ไหน  GV. เป็นเนื้อคู่กับผมก็เพราะนิสัยผมขับรถทางไกลชอบเล่นโค้งครับ  ( เป็นสันดานไปแล้วแก้ไม่หายครับ)   ถ้ารถท้ายเหวี่ยงผมขับไม่ได้แน่ มีโอกาสหลุดโค้งได้สูง  แล้วคงขับไม่สนุกแน่ ๆ  และผมก็คิดว่าเพื่อน ๆ ในนี้ก็น่าจะมีนิสัยขับรถคล้าย ๆ ผมนะครับ
 
   ประเด็นเรื่องของรถคนละยี่ห้อสำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุไม่น่าจะซีเรียสมากหรอกครับ เพราะความแตกต่างกันมันมีไม่มากเท่าไหร่นัก  แล้วก็อยู่ที่ความพิถีพิถันของการตัดสินใจเลือกรถมาใช้ให้เหมาะกับตัวเองมากที่สุด  ถ้าเลือกมาได้เหมาะแล้วสมรรถนะมันก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งแล้วนะ แต่ที่ผมอยากจะฝากไว้ก็เป็นกรณีคำถามว่า รถยี่ห้อเดียวกัน ทำไมสมรรถนะถึงไม่เหมือนกันมากกว่าครับ  แล้วถ้าสมรรถนะไม่ดีแล้วก็เกิดอุบัติเหตุตามมาได้ง่ายด้วย  

จึงอยากจะแนะนำว่า การบำรุงรักษาตามคู่มือ ความเอาใจใส่ และการให้ความสำคัญก่อนที่จะนำรถออกมาใช้โดยเฉพาะเวลาที่จะต้องเดินทางไกลครับ  เพราะหากทุกอย่างผิดพลาดไปแม้เพียงเล็กน้อย สมรรถนะของรถที่เค้าทำมาดี ๆ อยู่แล้ว ก็จะสูญเสียไปเพราะเรื่องนี้ แล้วก็มักทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น  อย่าลืมว่าสมรรถนะที่เค้าทดสอบกันแทบเป็นแทบตายกว่าจะเข็นรถออกมาขายได้ในแต่ละรุ่นนั้น มันก็มีเงื่อนไขจำเพาะของรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อด้วยเช่นกัน แล้วเค้าก็กำหนดออกมาเป็นคู่มือให้ผู้ใช้ปฏิบัติตาม มีคำเตือนต่าง ๆ ให้มาพร้อมอยู่แล้ว ง่าย ๆ ก็เช่นลมยางว่าควรเติมเท่าไหร่ ในสภาพการบรรทุกอย่างไร  เมื่อไรควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก สายพาน หรือควรจะตั้งศูนย์ล้อเมื่อระยะวิ่งไปได้กี่กิโล  ซึ่งปกติแล้วหากใช้รถมา 10000 กิโลก็ควรตั้งศูนย์ล้อตามค่าที่กำหนดมาในคู่มือด้วยนะครับ หรือแม้กระทั่งออกรถมาใหม่ ๆ ก็ต้องมีการรันอินก่อน  

การเอาใจใส่เรื่องเหล่านี้อย่างถูกต้องเป็นประจำ จะทำให้สมรรถนะของรถอยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ พร้อมที่จะรับใช้เราด้วยความปลอดภัยสูงสุด ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน ราคาแพงเท่าไหร่ก็ตามครับ  แม้กระทั่งเรื่องยางที่หมดอายุ

ปกติสองปีก็ควรเปลี่ยนแล้วนะครับ อย่าประมาทว่าดอกยางยังเต็มอยู่  เพราะสมรรถนะความยืดหยุ่นหรือการเกาะถนนมันหายไปเยอะแล้วครับ   ผมเคยเจอรถ VIOS คันนึง ขับอยู่ข้างหน้าเรา  อยู่ดี ๆ เสียการทรงตัวเฉย ๆ แล้วก็พลิกคว่ำ  เท่าที่ดูอยู่เค้าก็ไม่ได้หักหลบอะไรเลยครับ ไม่มีอะไรเลย  ขับก็ไม่ได้เร็ว ไม่เกิน 100
ก็จอดรถไปดูว่าจะให้ความช่วยเหลืออะไรหรือไม่ ยังดีที่คนขับไม่บาดเจ็บอะไรเท่าไหร่ครับ  ถามเค้าเหมือนกันว่าหักหลบอะไรบ้างรึเปล่า เค้าก็บอกว่าไม่ได้หลบอะไรเลย อยู่ ๆ รถมันปัดท้ายเองเฉย ๆ ทางก็เป็นทางตรงไม่ได้โค้งอะไรด้วยครับ  ผมคิดว่าอาจจะเป็นที่ยางหมดอายุ แล้วพื้นผิวถนนตรงนั้นอาจจะไม่เรียบหรือมีคลื่น ก็ลืมสังเกตุไปครับ หรือรถไม่ได้ตั้งศูนย์ล้อเมื่อครบระยะก็เป็นไปได้ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:39:05 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 14:00:01 »
ปัจจัยที่ 4. สภาพการจราจรและพื้นผิวถนน
          แน่นอนว่าหากสภาพการจราจรมีรถอยู่เยอะ มากคนก็มากความ มากรถก็มากอุบัติเหตุ เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว
และบางทีเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่สำหรับผมนะ ผมลดความเสี่ยงเรื่องนี้ไปได้ระดับหนึ่งเพราะผมจะไม่ค่อยเดินทางไกลไปเที่ยวที่ไหนในช่วงเทศกาลครับ  ถ้าไปก็ไปไม่ไกลมาก เช่น ปัตตานีไปตรัง  แล้วก็จะเลือกเวลาเดินทางออกตั้งแต่เช้ามืด ที่รถยังไม่มากเท่าไหร่   อย่างปีนี้ตอนปีใหม่ทีแรกตั้งใจกับภรรยาว่าจะไปตรังแวะค้างคืนนึงแล้วไปต่อที่ภูเก็ต พอเอาเข้าจริง ๆ ไม่ได้ไปไหนหรอกครับ นอนอยู่บ้าน   พอนอกเทศกาลก็ค่อยใช้สิทธิพักร้อนไปเที่ยว  ขับรถไปสบาย ๆ ดีครับ  แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ช่วงเทศกาลแต่สภาพการจราจรมีรถเยอะขึ้นมา  เราก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้น ถ้าขับไปแล้วเครียดก็เปลี่ยนมือหรือหยุดพักบ่อย ๆ หน่อยครับ เตือนตัวเองบ่อย ๆ ว่า ตอนนี้เราเสี่ยงอยู่นะ  ส่วนพื้นผิวถนนนี่ก็เรื่องสำคัญอีกเรื่องเช่นกัน ยิ่งทางใต้ขอบอกว่าสภาพถนนไม่ค่อยจะดีเอาเลยครับ ขับไปต้องคอยหลบคอยเปลี่ยนเลนบ่อย ๆ ข้อแนะนำก็คือลดความเร็วลงมาเช่นจาก 100 ก็อาจจะลงมาที่ 80  อย่าไปฝืนคงความเร็วไว้เหมือนกับสภาพถนนดี ๆ เพราะหากมีอะไรที่ต้องหลบหลีกขึ้นมา จะเอาไม่อยู่ครับ  จะเปลี่ยนเลนก็ดูให้ดี ๆ แล้วให้สัญญาณก่อนทุกครั้งครับ  
 
    พูดถึงเรื่องสภาพถนนนี่ก็นึกได้พอดีว่ามีเรื่องตื่นเต้นหมาด ๆ มาเมื่อปลายเดือนที่แล้วนี่เอง  ฉิวเฉียดอุบัติเหตุร้ายแรงเลยครับ ( ขนาดผมระวังมาก ๆ แล้วนะ )  ผมกับภรรยาเดินทางไปตรังกันครับ  เพราะบรรดาญาติพี่น้องฝ่ายภรรยามานัดเจอกันนอกช่วงเทศกาล ปีใหม่เพราะพวกเราไม่นิยมไปไหนกันในวันเทศกาลหรอกครับ  ออกเดินทางตอนเย็นวันพฤหัส คือมาทำงานแล้วพอเคลียร์งานเสร็จราวสักบ่ายสามโมงก็ออกเดินทางกันเลย เพราะพยายามแล้วครับที่จะไม่เดินทางกลางคืนกัน  อย่างน้อยถ้ารอเลิกงาน 5 โมงเย็นก็ต้องใช้เวลามืดค่ำอยู่บนนถนนมากไป ไหนจะต้องแวะหาอะไรกินระหว่างทางอีก  แต่ถ้าออกตอนบ่ายสาม ก็ดีหน่อยครับ จะถึงตรังก็ราว ๆ ทุ่มนึง ถึงจะมืดแต่ก็ใกล้ถึงที่หมายแล้วและคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดีด้วย   ทีแรกก็คิดว่าจะออกเดินทางเช้าวันศุกร์แล้วนะครับ แต่ผมอยากจะไปค้างที่ตรังในป่า อากาศเย็น ๆ  ดูดาวเต็มฟ้า อยากจะใช้เวลาหลุดพ้นจากโลกแห่งงานประจำที่เหนื่อยพอสมควร และไม่ค่อยอยากอยู่ในพื้นที่ที่มีแต่ระเบิดครับ  คือมีจังหวะมีโอกาสเหมาะ ๆ เมื่อไหร่ผมออกต่างจังหวัดเมื่อนั้นล่ะครับ   เตรียมรถไว้พร้อมตั้งแต่วันพุธแล้วครับ    

  ทีนี้เส้นทางเพชรเกษมช่วงตรังภูเก็ตตั้งแต่เข้าพับผ้าไป เค้ากำลังทำถนนเป็น 4 เลนอยู่  ก็ไม่ได้ลืมหรอกครับ  เพราะตอนปลายเดือนมกราคมเราก็ไปงานศพญาติผู้ใหญ่ที่ตรังมาเหมือนกัน รู้ว่าสภาพถนนช่วงไหนต้องระวัง  

ออกเดินทางด้วยอารมณ์สุนทรีครับ ชอบมากขับรถเที่ยวเนี่ย  ยิ่งมี GV. คู่ใจไปไหนไปกันยิ่งสนุกครับ ผมใช้ความเร็ว 80 – 90 เองครับ ไปเรื่อย ๆ จะมีเร่งแซงบ้างบางช่วง  ไม่ได้จอดพักเลยครับ เพราะน้ำมันก็เติมมาเต็มถังตั้งแต่ปัตตานีแล้ว ไม่อยากแวะกินอะไรระหว่างทาง เพราะอยากไปกินกับข้าวตามประสาชาวบ้านในป่า อร่อยมากครับ  ทนหิวไปเหมือนกัน  อีกอย่างจะได้ถึงที่หมายเร็ว ๆ ด้วยไม่อยากเสียเวลาครับ   แต่สภาพการจราจรก็มีรถไม่มากนัก  พอถึงเขาพับผ้าก็โพล้เพล้ บรรยากาศที่เรียกว่าผีตากผ้าอ้อมพอดี   ช่วงนี้ขับรถยากนะครับ เพราะรถบางคันก็ไม่ยอมเปิดไฟ คงเห็นว่ามันยังไม่มืดสนิทมั้ง  อันนี้ก็อยากฝากเพื่อน ๆ เวลาขับรถทางไกลเหมือนกันว่า ช่วงเวลาโพล้เพล้ไม่ว่าก่อนมืดค่ำหรือเช้าตรู่ก็ ควรจะเปิดไฟด้วย ไฟหรี่เค้าก็ทำมาให้ใช้ในช่วงนี้ แต่หลาย ๆคน ไม่ใช้กัน  แล้วมันทำให้มองไม่เห็นนะครับ ยิ่งถ้าเป็นรถสีทึบ ๆ เช่นเทาหรือดำ มันมักจะกลืนหายไปในถนนลาดยางมะตอย  ขับรถช่วงเวลานี้ก็ต้องระวังมาก ๆ ครับ  ผมก็ระวังมาก ลดความเร็วลงเพราะต้องขึ้นเขาด้วย

ดีครับ แทบไม่มีรถเลย  ขับไม่ยากมากเท่าไหร่  แต่ต้องระวังมากกว่าทุกครั้งเพราะมีการตัดถนนบนเขา ข้างทางบางช่วงเลยเป็นเหวลึก แล้วดันไม่มีแนวกั้นอีกต่างหาก  ผู้รับเหมาทำงานไม่ค่อยจะดีเลยครับ  ขับไปก็ยังบ่นกับภรรยาไปเลยว่า เค้าน่าจะทำที่กั้นสักหน่อย  อย่างงี้คนที่ไม่ชินเส้นทางลงเหวง่าย ๆ เลยครับ  ผ่านเขามาได้ด้วยดีก็มาเส้นทางเลี่ยงเมืองตรัง  ก็ไม่มีอะไรครับ เพราะไม่มีการทำถนนเนื่องจากมัน 4 เลนอยู่แล้ว แต่พอมาออกเส้นทางเพชรเกษมอีกครั้ง ก็มืดพอดี ช่วงนี้ก็เริ่มตัดถนนกันอีก  ที่หมายที่ผมจะไปอยู่ตำบลกะลาเสครับ ติดขอบกระบี่เลย   ซึ่งจะต้องเข้าถนนเป็นสามแยกเข้าหมู่บ้านทางขวาไปในป่าสวนปาล์ม สวนยาง

 แล้วเรื่องหวาดเสียวก็เกิดตรงบริเวณทางแยกนี้ล่ะครับ เนื่องจากถนนเพชรเกษมช่วงนี้เป็นทางขึ้นเนินลงเนินสูง ๆ  แล้วถนนที่ตัดเป็นสี่เลนใหม่นี้ กำลังขุดถนนด้านข้างออกไปซึ่งมันจะเป็นถนนที่ตัดให้ลดความสูงของเนินลงไปค่อนข้างเยอะ ดังนั้นด้านข้างของถนนเดิม จึงมีหลายช่วงครับ ที่เป็นเสมือนเหวลึกบ้างตื้นบ้าง แล้วก็มีที่กั้นบ้าง ไม่มีบ้างแต่ส่วนใหญ่ไม่มี  แล้วถ้ารถตกลงไปมีปัญหาแน่ครับ  ผมก็ขับตามเส้นทางช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้เอะใจเลยครับ ว่าไอ้ตรงทางแยกที่จะเข้าไปในป่านั้น มันจะมีเหวที่ว่าหรือเปล่า คราวก่อนปลายเดือนมกราเค้ายังไม่ได้ตัดถนนตรงนี้ครับ

แล้วที่สำคัญก็คือ ไอ้ตรงทางแยกที่ว่าเนี่ยนะ มันเป็นบริเวณเนินสูงมากพอดีเสียด้วย ขนาดไม่ได้ทำถนนใหม่ ถ้าจะเลี้ยวเข้าขวาตรงสามแยกนี้ ยังต้องระวังมาก ๆ เลยครับ เพราะรถที่สวนทางมา เราจะแทบไม่เห็นเลย แล้วเค้าก็จะมองไม่เห็นเราเหมือนกันครับ เนินสูงมันบังมิดเลยครับ  บางทีตอนกลางวันผมขับมาตรงแยกนี้ก็ยอมที่จะไม่เลี้ยวขวาเลยครับ ขับตรงไปให้ลงจากเนินเสียก่อนแล้วค่อยกลับรถย้อนมาอีกที จะปลอดภัยกว่าเยอะ   ก็ด้วยความประมาทคิดไปไม่ถึงว่าตรงนี้เค้าตัดถนนอยู่เหมือนกัน แล้วรถก็ไม่มากด้วย คิดว่าเป็นทางเข้าปกติเหมือนทุกครั้งที่มา  

พอผมขับมาถึงตรงแยกบนเนินสูงนี้ ก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ขับรถลงเนินไปก่อนแล้วค่อยเลี้ยวกลับมา   แล้วเวลานั้นก็มืดมากครับไม่มีไฟส่องสว่างเลยสักดวง เพราะเค้าคงจะถอดออกไปเนื่องจากตัดถนนใหม่ด้วย  มีแต่แสงไฟของรถคันนึงที่กำลังออกมาจากถนนแยกนี้   พอถึงแยกก็เลยเลี้ยวขวาไปไม่ช้าไม่เร็วครับ แต่พอรถตั้งลำอยุ่กลางเลนก่อนที่จะเข้าถนนแยก ผมก็เบรคกึ๊กเลยครับ รถจอดสนิท ภรรยาผมตกใจเลยครับ ว่าดันมาจอดตรงนี้ทำไมฟ่ะ เกิดรถที่สวนทางมาโผล่มาพอดีละชนเต็ม ๆ ลำเลยครับ  

ที่จอดกระทันหันเพราะถนนมันหายไปครับ ตอนนั้นผมตกใจนึกถึงภาพเหว ก็เลยเบรกทันที กลัวว่ารถจะหัวปักตกลงไปครับ รถกระบะที่จอดรอออกจากถนนนั่นถึงเค้าจะเปิดไฟ แต่มุมส่องมันก็เงยขึ้น มองไม่เห็นถนนอยู่ดีแยงตาผมอีกต่างหาก  ดีว่าเค้ามีน้ำใจกระพริบให้เป็นสัญญาณ   เค้าคงจะเสียวว่าหากมีรถสวนทางมาต้องชนผมแน่ ๆ ผมก็เดาว่าขับลงไปได้ ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอกครับก็เลยค่อย ๆ ไปช้า ๆ  ยังไงก็ยังดีกว่าจอดคาถนนอยู่ตรงนี้  ผ่านมาได้โล่งเลยครับ แล้วก็บ่นร่วมกับภรรยามาตลอดทางจนถึงที่หมาย ว่าทำไมเค้าไม่ทำแนวกั้นหรือติดไฟส่องสว่างให้สักหน่อยวะ

 ตอนเช้าพอขับรถออกมาที่ตรงนี้  โห… ช่องทางที่เค้าทำให้รถเข้าออกได้ มันกว้างนิดเดียวเองครับ คือรถสวนกันไม่ได้   มิน่าเล่า รถกระบะที่จอดอยู่เค้าจึงจอดรอให้รถผมขับผ่านไปก่อน  แล้วก็เลยให้สัญญาณให้ผมขับลงมาได้  แล้วไม่มีอะไรกั้นให้เห็นแนวเอาเลย สองข้างก็เป็นเหวลึกชันเกือบจะ 90 องศา สูงเมตรกว่า ๆ ได้ครับ คือถ้าตั้งลำผิดนิดเดียวก็หัวปักล่ะครับ  ตกลงในรถผมทั้งภรรยาทั้งพี่ ๆ น้อง ๆ พูดด่าผู้รับเหมาทำถนนกันทั้งคันยาวเป็นกิโลเลยครับ คือตั้งแต่ตรงแยกนี้ไปจนถึงเกาะลันตาเลย วันนั้นไปเที่ยวเกาะกันครับ  กลับมาเราเลยไปบอกกับ อบต. ในหมู่บ้านว่าให้เค้าช่วยทำแนวกั้นให้ พอดีรู้จักกับ อบต. ครับ ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำแล้วรึยังนะ เพราะตอนผมกลับมาวันอาทิตย์ยังไม่ได้ทำอะไรเลยครับ   กลับมานี่ผมได้ข้อคิดตอกย้ำเรื่องการเดินทางเวลากลางคืนอีก ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่เอาแล้วครับ กลางวันชัวร์กว่า  แล้วก็ยังมาคิดอีกว่าเราเองก็ประมาท ถ้าตอนนั้นยอมขับรถเลยไปสักหน่อยค่อยเลี้ยวกลับมายังดีกว่าเยอะ แต่ทำไมไม่คิด…นี่ล่ะครับ  ปัจจัยเรื่องสภาพถนน เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้  

  หรือรถเหินน้ำ ที่ผมเจอมาแล้วก็เป็นเรื่องสภาพถนนที่เราต้องระวัง ถ้าจำเป็นต้องวิ่งผ่านน้ำ มีวิธีเทคนิคเพื่อคว
ามปลอดภัยนิดนึงนะครับ   จำไว้ว่าให้ถอนคันเร่ง ถอนเบรก อย่าเบรกเด็ดขาด ทำอย่างเดียวเท่านั้นคือประคองพวงมาลัยให้มั่น และปล่อยรถไปตรง ๆ ครับ อย่าตกใจ  ไม่ว่ารถอะไรจะใช้ยางรีดน้ำแค่ไหนก็ควรทำเยี่ยงนี้ครับ
เบนซ์เหินน้ำหลายคันแล้วนะครับ ผม BMW ก็เหินมาแล้วเหมือนกัน



  
 
  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2012, 08:41:26 โดย adis »

ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 14:00:40 »
ปัจจัยที่ 5. ขอเรียกง่าย ๆ ว่าซวยเพราะคนอื่นก็แล้วกันนะครับ
      เรื่องนี้ เราระวังแล้ว  ปัจจัยทุกอย่างเราได้ควบคุมมันอย่างดีที่สุดแล้ว  แต่เรื่องนี้เราคุมไม่ได้แน่ ๆ
หากผู้ใช้รถคนอื่น ๆ เค้าไม่ระวังเหมือนเรา  ความซวยก็มาเยือนได้ครับ  จะทำไงกันดีล่ะครับช่วยกันคิดหน่อยก็ดีนะเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่รักทั้งหลาย   ขับรถของเราอยู่ดี ๆ พวกเกิดกระโจนข้ามเลนมาประสานงากับเรา…
ขับรถอยู่ดี ๆ มอไซด์โผล่มาตัดหน้า… ( เหมือนที่ผมเจอมาแล้ว 3 ครั้ง  ตายไป 1 เจ็บไป 2 )  ขับรถอยู่ดี ๆ หมาวิ่งตัดหน้า หักหลบ รถคว่ำ….  เท่าที่คิดได้ก็คือ  การเปิดทัศนวิสัยของเราเองให้กว้างและไกล ในการขับรถทางไกลสำคัญมากครับ  อย่ามองช่องทางด้านหน้าเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่เราต้องพยายามมองไปให้ไกลที่สุด เป็นระยะ ๆ ไปด้วย  มีอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าจะได้เตรียมตัวทันครับ
นอกจากจะมองไกลยาว ๆ แล้ว สองข้างทางก็ควรกวาดสายตาด้วย เพราะอาจจะมีหมา  แมว วัว แพะ แกะ  มอไซด์ทะลึ่งวิ่งออกมาเมื่อไรก็ได้    แล้วก็ยังมียูเทอนเถื่อนอีกครับ ที่ต้องระวังด้วย ต่างจังหวัดมีเยอะครับ
ก็น่าจะทำได้เท่านี้ล่ะครับ 

หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ สมาชิกกันพอสมควรนะครับ    แล้วอย่าลืมว่า เราไม่ควรปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาคิดกันทีหลัง มันไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ครับ  อุบัติเหตุของเมืองไทยติดอันดับโลกไปแล้วก็เพราะไม่คิดป้องกันเสียก่อนนี่ล่ะครับท่าน 

แถมท้ายอีกเรื่อง เกือบลืมไปครับ คือการใช้รถในเมือง  สาเหตุก็คงไม่แตกต่างจากปัจจัยทั้ง 5 ที่ว่าไปแล้วมากนัก
แต่ความรุนแรงอาจจะน้อยกว่า  ก็น่าจะใช้วิธีป้องกันทำนองเดียวกันได้  ผมไม่ค่อยมีประสบการณ์อุบัติเหตุในเมืองสักเท่าไหร่ครับ แต่มีเรื่องนึงนะ ที่อยากแนะนำเวลาจอดรถครับ  ตามศูนย์การค้าที่มีรถเข็นอยู่ พยายามหลีกเลี่ยงดีกว่านะ  บางครั้งผมยอมที่จะจอดข้างนอกที่ปลอดภัยกว่า ยอมเดินไกลหน่อยดีกว่าต้องมาเสียอารมณ์กับพวกที่มักง่าย เข็นรถเข็นมาชนรถเรา   หรือการจอดรถใต้ต้นไม้ครับ พอเห็นร่มไม้ใบบังสักหน่อยก็ชอบเอาไปจอด  รถจะได้ไม่โดนแดด ไม่ร้อน  จอดได้ครับ แต่ควรดูให้ดีว่า ผล หรือกิ่งก้านมันจะหล่นใส่รถเราได้หรือเปล่าด้วยครับ  รถเพื่อนบ้านผม เค้ามีรถสองสามคันนะ แต่ผมสังเกตรถเค้าทุกคัน จะมีรอบุ๋มลักยิ้มบนหลังคาบ้างกระโปรงหน้ากระโปรงหลังบ้าง รถใหม่ ๆ สวย ๆ น่าเสียดายมากครับ มีเบนซ์คันนึงด้วย ทั้งหลังคาทั้งกระโปรงหน้าเป็นรอยลักยิ้มบุบลงไป  ผมไม่ได้ถามเค้านะ ว่าไปโดนอะไรมา แบบว่าไม่สนิทกันครับ แล้วนาน ๆ เค้าจะมาสักที  แต่เดาเอาว่าเค้าน่าจะเอารถไปจอดไว้ใต้ต้นไม้อะไรสักอย่างอาจจะเป็นที่ทำงานเค้าก็ได้มั้ง   คือท่าทางนิสัยเค้าจอดรถไม่ระวังอะไรเท่าไหร่ครับ หน้าบ้านผมเค้าก็เคยเอารถเบนซ์มาจอดหลบแดดเฉยเลย แล้วบังซะแม้กระทั่งรถมอไซด์ผมยังเอาออกจากบ้านไม่ได้เลยครับ ผมโมโหหลายครั้งแล้ว  ไม่เกรงอกเกรงใจกันเลย
ต้องไปตามหาเจ้าของถึงบ้านในซอยข้างในสองสามครั้งแล้ว  แต่ตอนหลังครั้งสุดท้าย เจอภรรยาผมว่าไปทีนึง ไม่เอามาจอดขวางบ้านผมแล้วครับ

ขอให้โชคดีในการใช้รถใช้ถนนทุก ๆ ท่านก็แล้วกันนะครับ วันหลังหาเรื่องมาเล่าใหม่อีกก็แล้วกัน…

ออฟไลน์ THEKHAM

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 487
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 14:33:45 »
ขอบคุณสำหรับบทความ เตือนน้องครับ เเต่...

พี่ค๊าบบบ เว้นบรรทัดให้ผมหน่อย มันอ่านยากครับ ติดกันเป็นพรืดเลยครับ  ::)


ออฟไลน์ adis

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,416
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 14:59:00 »
ขอบคุณสำหรับบทความ เตือนน้องครับ เเต่...

พี่ค๊าบบบ เว้นบรรทัดให้ผมหน่อย มันอ่านยากครับ ติดกันเป็นพรืดเลยครับ  ::)


อ่อ...ขอบคุณครับ เดี๋ยวคราวหน้าจะแก้ไขให้แล้วกัน  โพสเองอ่านเอง ตอนนี้ตาเจ็บไปข้างนึงเหมือนกันครับ

ออฟไลน์ beercs

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 313
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 15:15:07 »
บทความใช้ได้เลยครับ  ตรงใจหลายประเด็น

โดยเฉพาะการเบรค  ทำเหมือนผมเลย   เบรคเตือนคันหลังเค้าก่อน  ช่วยได้เยอะเลย

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,051
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 15:27:46 »
ขอบคุณครับ ยอดเยี่ยมเลย จริงๆแบบนี้น่าจะหลังไมค์เสนอให้พี่จิมเอาขึ้นบทความรับเชิญได้เลยนะเนี่ย

promt

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 15:36:52 »
ปัจจัยที่ 4. สภาพการจราจรและพื้นผิวถนน
รถบางคันก็ไม่ยอมเปิดไฟ คงเห็นว่ามันยังไม่มืดสนิทมั้ง  อันนี้ก็อยากฝากเพื่อน ๆ เวลาขับรถทางไกลเหมือนกันว่า
ช่วงเวลาโพล้เพล้ไม่ว่าก่อนมืดค่ำหรือเช้าตรู่ก็ ควรจะเปิดไฟด้วย ไฟหรี่เค้าก็ทำมาให้ใช้ในช่วงนี้

แต่หลาย ๆคน ไม่ใช้กัน  แล้วมันทำให้มองไม่เห็นนะครับ
ยิ่งถ้าเป็นรถสีทึบ ๆ เช่นเทาหรือดำ มันมักจะกลืนหายไปในถนนลาดยางมะตอย

รถจอดสนิท ภรรยาผมตกใจเลยครับ ว่าดันมาจอดตรงนี้ทำไมฟ่ะ เกิดรถที่สวนทางมาโผล่มาพอดีละชนเต็ม ๆ ลำเลยครับ   ที่จอดกระทันหันเพราะถนนมันหายไปครับ

ขอเพิ่มประสบการณ์ครับ วันอาทิตย์ที่ผ่านมาเอง

ประมาณ 2 ทุ่ม มีแสงจันทร์หน่อย ไม่มืดสนิทมาก ลมแรง ฝนตกปรอยๆ

ผมเกือบซั่มกับรถ 18 ล้อที่ถอยยักแย่ยักยัน จะกลับรถ แต่กลับไม่ได้ เพราะมีรถ 18 ล้ออีกคันจอดอยู่ (ช่วงตาก-ลำปาง)

เหตุการณ์ดังรูป



เหตุการณ์คือ รถ 18 ล้อกำลังกลับรถ ไฟหน้ารถคันดังกล่าวเปิดครับแต่หันไปทางเลนที่วิ่งได้แล้ว ทำให้ผมมองไม่เห็น
แต่ส่วนพ่วงต่อเลี้ยวไม่ได้เพราะติดรถอีกคันที่จอดนอน

ผมขับมาประมาณ 60 กม.ต่อ ชม. ขับมาคันเดียว ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ตอนขับง่วงๆ ตาปรือ และจะหาปั้มเพื่องีบสักชั่วโมง

มองเห็นจุดแดงๆ เล็ก (ไฟข้างรถ 18 ล้อ) 4 ดวง นึกว่าผีกระสือหรือเขาทำทางใหม่

ตกใจ อ้าว เฮ้ย#$% แล้วถนนมันไปหายไปไหน ทำไมจึงมีเสาแดงเล็กๆ มาเต็มถนน เป็นทางโค้งแน่ๆ

พอผมขับไปถึงใกล้ๆ ประมาณ 15 เมตร

จ๊ากเลย เบรกเต็มที่ บีบแตรยาว ล้อลาก ESC ทำงาน (ไม่ปลิวเหมือน FD คันเก่า)

เบรกเอาอยู่ หยุดห่างจากรถใหญ่ประมาณ 2-3 เมตร

โห แว่บแรก คิดถึงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐทันที

เพื่อนๆ น้องๆ ก็ระวังหน่อยนะครับ อุบัติเหตุมักเกิดจากเข็มขัดสั้นบ่อยๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 14, 2012, 15:54:39 โดย promt »

ออฟไลน์ MystogaN

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,476
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 15:42:15 »
กรณีพี่ข้างบนน่ากลัวมาก ...

ออฟไลน์ keng.

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 3,551
  • ฅ.ฅนรักรถ
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 16:10:21 »
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ แต่อ่านยากไปนิดนึงอ่ะครับ

:D

ออฟไลน์ NINENOI

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,732
  • Nine & Knight
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 16:40:44 »
ขอบคุณมากครับกับการแบ่งปันเรื่องดีๆ

ผมเองก็เจอเรื่องราวหลากหลายพอดูแต่ไม่เยอะเท่าคุณน้าหรอกครับ พอดีผมขับรถไม่เร็ว จริงๆแล้วรถมันไม่เร็วมากกว่าใจไปนู้นล่ะรถยังอยู่นี่เลย 555 ก็เลยทำให้ใจเย็นอัตโนมัติเลย เรื่องชนคนยังไม่เคยเคยแต่เฉี่ยวหมาครับขับมา 60 เห็นหมาวิ่งไล่กัดกันก็เลยลดเหลือแค่ 30 ก็ดั๊นวิ่งมาให้เราเฉี่ยวจนได้ซิน่า ผมตั้งใจกับตัวเองแล้วว่าถ้าเกิดเหตุประมาณนี้ผมจะไม่หักหลบเด็ดขาด ดีที่สุดคือเบรคเท่าที่จะทำได้ ก็เกือบได้ลองกับแว๊นซ์แล้วหล่ะครับ ผมขับประมาณ 60 ในเมือง อยู่เลนขวาสุดเพิ่งแซงตุ๊กๆ แว๊นซ์ขับอยู่เลนริมทางจู่ๆมันก็ปาดหน้ามาตรงช่องยูเทิร์นตัดหน้ากันซะงั้น ถนนข้างละ 3 เลนยังมีหน้ามาตัดหน้ากันได้ ดีที่ผมระวังอยู่ก่อนเบรคทันเกือบชนไปแล้ว อย่าหวังว่าผมจะหักหลบนะไม่มีทางที่ผมจะหักหลบแล้วไปเกิดอุบัติเหตุแล้วให้ต้นเหตุหันมามองดูแล้วก็แว๊นซ์หนีไป ผมไม่ใจดีกับคนอื่นแต่ใจดำกับผมและคนที่ผมรักหรอก

อีกครั้งที่ผมเคยเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้ต้องกลับบ้านแฟนให้ถึงก่อนเที่ยงก็เลยต้องออกมาตั้งแต่เที่ยงคืน ได้ผลครับ ประมาณตี 4 หลับใน รถแฉลบจะลงข้างทางซัดกับหลักกิโลแต่เหมือนมีคนมาเขย่าแล้วก็เรียกให้ตื่นก็เลยสะดุ้งตื่น ตาค้างไปเลยก็เลยหาที่จอดนอนพักซักหน่อย

เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนี่ยผมเชื่อนะครับ หมอดูหลายท่านบอกว่าผมเป็นคนมีบุญ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองอยู่ตลอดเวลา (เชื่อนะ เป็นเรื่องดี) เวลาเกิดเหตุอะไรจะมาบอกมาเตือน ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ก่อนหน้านี้ตอนยังเรียนอยู่จะไปสอบนอนเพลิน ตอนนั้นเกเรติดโปรอยู่ถ้าไม่ไปสอบโดนรีไทร์แน่นอน ตอนนั้นเหมือนมีคนมาเขย่าแรงๆแล้วบอกว่าตื่นๆๆ ไปสอบได้แล้วเดี๋ยวโดนไล่ออกหรอก ผมก็สะดุ้งตื่นรีบกระวีกระวาดไปสอบเลยน้ำก็ไม่ได้อาบ ก็เลยรอดมาเรียนจบได้มาทำงานจนทุกวันนี้
ถ้าเราซื้อของที่ไม่จำเป็น สุดท้ายเราต้องขายของที่จำเป็น

ออฟไลน์ hutzero

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,561
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #16 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 16:42:31 »
เพิ่งทำให้คนอื่นประสบอุบัติเหตุไม่นานมานี้ครับ  ผมขับเลนขวา มีรถตู้อยู่ข้างหน้า วิ่งประมาณ 130
มี Toyota Fortuner ตามหลังมาไกลๆ  แล้วก็เข้าใกล้เรื่อยๆ  จนจี้ท้ายรถผมติดมากๆ  เปิดไฟสูงค้างยาวๆ
ผมว่าจะเข้าเลนกลางเพื่อหลบ เพราะแสบตามาก  แต่รถไม่ว่าง  ก็เลยจ่อท้ายรถตู้ไปก่อน
พอเลนกลางว่างปุ๊บ  จู่ๆรถตู้เบรคกระทันหันอย่างแรง  ผมตกใจเบรคก็ไม่ทันแน่ๆ
เลยหักหลบเข้าซ้ายทันที  แต่ Fortuner ที่ขับตามเหยียบเบรคดังสนั่น แล้วกระแทกท้ายรถตู้
เหลือบไปมอง ข้างหน้ารถตู้ไม่มีอะไร  ทำไมเขาถึงเบรคกระทันหัน  อันนี้สุดจะคาดเดาครับ

ออฟไลน์ kan.kom

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 787
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #17 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 17:05:58 »
อ่านแล้วมึนเลยอ่านไม่จบ แต่ขอบคุณในความหวังดีครับ
แต่กอนผมก็ขับรถไว เร็วมาก แต่ไม่ขับแทรก ปาดชาวบ้านเค้านะครับ
แบบว่า ละอาย เพราะรู้ว่าเค้าต้องด่าบุพการีเราแน่เลย

มาตอนนี้พอแต่งงานมีลูก เปลี่ยนไปหมดเลย
โดนจี้ตูด กระพริบไฟไล่
(ในใจคิดมันจะรีบไปไหน พอคิดอีกที เออแล้วเมื่อก่อนกรูจะรีบไปไหนวะ)

ออฟไลน์ eaowpj

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 610
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #18 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 18:41:01 »
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดี ๆ ครับคุณอาและขอขอบคุณเพื่อน ๆ ที่เล่าประสบการณ์ดี ๆ ให้รับทราบครับ เรื่องไฟฉุกเฉิน อยากจะฝากเตือนว่าผ่านแยกอย่างเปิด ฝนตกก็อย่างเปิด ขับรถตามปกติก็อย่าเปิดครับ เอาไว้เปิดตอนรถเสีย จอดรถหรือถอยหลังจะดีกว่า ผมก็เคยโดนมากับตัวเองเหมือนกันครับ ขับผ่านสามแยกไม่มีไฟแดง เจอรถเปิดไฟฉุกเฉิน ผมคิดว่าเขาจะเลี้ยว ก็เลยขับออกไป ดีที่คันที่เปิดไฟฉุกเิฉินหักหลบรถผมได้ ส่วนตัวผมก็มองไม่เห็นรถเขาทั้งที่ตอนเลี้ยวก็มองกระจกมองข้างด้วยแต่ก็ไม่เห็นรถ เจ้าของรถที่เปิดไฟฉุกเฉินก็จอดรถลงมาด่าผม ส่วนตัวผมผมมองว่าเขาผิดไม่สนใจขับรถของเราต่อไป ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะรู้ตัวเองหรือยัง เป็นอุทาหรณ์สำหรับผมว่าเห็นรถที่เปิดไฟที่เราคิดว่าไฟเลี้ยวจริง ๆ มันอาจเป็นไฟฉุกเฉินก็ได้ ต้องรอให้เลี้ยวหรือตรงถึงรู้ เรื่องเปิดไฟฉุกเฉินตอนถึงแยก ไม่ว่าพ่อผม เพื่อนผม รุ่นน้อง ทำกันหมด รถแท็กซี่ที่ผมเคยนั่งไปยังด่าคนที่ผ่านทางแยกโดยที่ไม่เปิดไฟฉุกเฉินซะอีก ส่วนตัวผมฟังรายการวิทยุ หรือดูเว็ปต่าง ๆ แล้วรู้ว่าไม่ถูกต้องผมก็ไม่คิดจะไปทำมันครับ  :)

ออฟไลน์ mengkubs

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 99
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #19 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 19:16:38 »
เยอะมาก แต่อ่านแล้วก็ทำให้เราเพิ่มระดับความระมัดระวังไปอีกหนึ่งขั้น

ออฟไลน์ choomodify

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,633
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #20 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 19:31:18 »
ความประมาณคือสาเหตุหลัก แต่สำหรับประเทศเรา ผมยกให้"ถนน"เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ ถนนห่วยๆในประเทศเราทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายมาก

ออฟไลน์ zamba

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 49
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #21 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 20:31:59 »
ขอบคุณครับบ

ออฟไลน์ Puppu

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 185
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #22 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 21:16:37 »
ขอโทษนะครับ พยายามนึกแต่เดาไม่ออก GV นี่ รถอะไรครับ  ::)
2014 XC60D4
2018 S90T8
2020 XC60T8

ออฟไลน์ chaivat

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 177
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #23 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 21:47:39 »
ขอโทษนะครับ พยายามนึกแต่เดาไม่ออก GV นี่ รถอะไรครับ  ::)

ขออนุญาตตอบเแทน
 GV = Grand Vitara
 รถ Suzuki ครับ



ออฟไลน์ Korn Coconut

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 145
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #24 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 22:52:02 »
ในที่สุดก็มีผู้อาบน้ำร้อนมาก่อน  กด Like ครับ  ;D

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,051
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #25 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 01:09:50 »
ขอโทษนะครับ พยายามนึกแต่เดาไม่ออก GV นี่ รถอะไรครับ  ::)
ผมก็คิดตั้งนาน จนเดาได้ว่า ซูซูกิ แกรนด์ วิตถาร นะครับ

ออฟไลน์ mathician

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 667
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #26 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 02:37:03 »
555+ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า GV นี่คือรถอะไร

สำหรับผมนะ เห็นด้วยเป็นอย่างมาก ควรหลีกเลี่ยงตอนขับกลางคืน, เคยมีประสบการไม่ดี กับขี่มอเตอร์ไซกลางคืน, แค่เกือบๆเกิดอุบัติเหตุ
สภาพถนนบ้านเรา ไม่เหมาะกับมอเตอร์ไซค์จริงๆ, ยิ่งตอนกลางคืนด้วย...โอ้วว
ขี่มอเตอร์ไซค์บนถนนที่เค้ากำลังทำทางอยู่ เป็นลูกรังเล็กๆบนราดยาง เป็นถนนราดยางเป็นล่องเล็กๆด้วยนะ, ผมขี่มารู้สึกเลยว่ามันลื่นๆ, 20km/h เองนะ, จนผมทนไม่ไหว ก่ะว่าจะจอดจูงเลยด้วยซ้ำ, จูงข้างถนนชิดซ้ายสุดเลยนะ
แต่โชคดีที่สิ้นสุดทำทางพอดี, แต่ก็งงกับคนอื่น ทำไมซิ่งกันจัง สถาณการแบบนี้มันบีบคั้นให้เราต้องขี่เร็วไปด้วย

การขับขึ้นลงสะพานเหมือนกัน ก่อนถึงสะพานผมจะมองไม่เห็นเลยว่าข้างหน้าสะพานมีรถไหม ผมลงสะพานมา เห็นรถข้างหน้ามันติดอยู่, โอ้โห...ผมเบรคไม่ทันแน่, มองกระจกหลังขวา เห็นมี Prius ตามมา, ในใจนึกถ้าไม่เปลี่ยนเลนกุก็ชนแน่, แต่ถ้าเปลี่ยนคงแค่ปาดหน้าละวะ, เลยยอมปาดหน้า Prius ไป, เข็ดไปเลยตั้งแต่นั้น

แต่ผมว่าสิ่งที่ควรระวังอีกก็คือ
ไม่ควรขับตีเสมอข้างๆ ในมุมที่รถคนอื่นมองเราไม่เห็นครับ เพราะเวลาเค้าเปลี่ยนเลน อาจเบียดเราได้ครับ, เรามองเห็นเค้า แต่เค้าอาจมองไม่เห็นเรา

ออฟไลน์ อืม...นะ

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 648
  • Spirit of the "R"
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #27 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 12:57:03 »
ขอมาเจิมไว้ก่อน จะกลับไปอ่านที่บ้านครับ ยาวมากอ่านที่ทำงานเกรงใจเจ้านาย
'18 Honda Jazz gk5 s mt
'11 Volkswagen Scirocco R
'04 Honda Integra dc5 Type R
'96 Honda Prelude bb1

ออฟไลน์ tookkoo

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 43
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #28 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 13:51:50 »
  มีประสพการณ์  เหมือนกับผมเลยครับ  อายุก็ใกล้ๆผมเพิ่ง 47   เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วใส่กับมอเตอร์ไซค์  เวลาประมาณตีสอง  เขาซ้อนมา 2 คนบิดมาหมดปลอก  ผมขับ กาแลนท์ รอยัล  มีเพื่อนนั่งมาด้วยข้างหน้า 1 คน เมาแป๋กันมาเต็มที่ ถนนมันเป็นสองเลน แบบสวนกัน  ผมขับอยู่มารู้สึกตัวว่า  เฮ้ยเราวิ่งกินเลนฝั่งตรงข้ามนี่หว่า  เพราะเห็นไฟมอเตอร์ไซค์ที่กำลังสวนมาแต่ไกล  ผมก็รีบหักกลับมาในเลนของตัวเอง  ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับมอเตอร์ไซค์  เขาก็จะหลบรถผมที่เข้าไปวิ่งในเลนของเขา  โดยหักเข้ามาในเลนของผม  สรุปคือเขาเป็นฝ่ายผิดที่วิ่งย้อนศรเข้ามาชนรถผม  หน้ารถผมเละใครเห็นก็ทักว่าโดนสิบล้อชน  มอเตอร์ไซกระเด้งกลับไปประมาณ 5 เมตร เป็นก้อน  คนขี่และคนซ้อนลอยไปตกด้านหลังรถผมประมาณ 20 เมตรหลังจากหัวคนขี่ชนกับกระจกหน้าแล้วมีกระจุกผมติดอยู่ที่ขอบกระจกด้านบนฝั่งซ้าย  กระจกหน้าแตกเป็นเม็ด กระเด็นเข้าใส่หน้าเพื่อนผมเต็มๆ  ถ้าไม่ได้ใส่แว่นตาเพื่อนผมคงมีตาบอด หน้ามันพรุนไปหมดเลือดเต็มหน้า  สรุปคนขี่ตายคนซ้อนพิการ
  อีกครั้งหนึ่งก็ประมาณ 5 ปีกว่าแล้ว  ชนคุณลุงอายุ 60 ปีเวลาประมาณ สามทุ่ม  แกข้ามถนนรอดจากคันที่วิ่งเลนที่สองมา  มาโดนผมซึ่งวิ่งอยู่เลนที่สามชน สรุปคือแกตาย
  นี่ยังไม่นับหมา แมว ไก่ นก ค้างคาว 9ล9
  ขออภัยครับพิมพ์ไม่เก่ง  กว่าจะได้เท่านี้ล่อซะเป็นชั่วโมงเลย  โดยรวมก็แนวเดียวกับ  จกท.
จบครับเหนื่อย

ออฟไลน์ namqem

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 73
    • อีเมล์
Re: ปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
« ตอบกลับ #29 เมื่อ: มีนาคม 15, 2012, 19:15:51 »
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ วันนี้ก็เกือบเหมือนกัน มิตซู จะกลับรถ ผมก็กดแตรเตือนไปแล้ว พอเข้าไปใกล้ดันทะลึงออกมาเฉย ผมเลยต้องฉีกไปขวา ดีไม่มีรถสวนมา  ???