เตรียมเฮ
โครงสร้างภาษีใหม่ เน้นมาตรฐานลดมลพิษและเรื่องประหยัดพลังงานเป็นหลัก
เตรียมแทนที่การจำกัดแค่ปริมาณ CC. กับ แรงม้า ที่สุดจะโบราณของบ้านเราเสียที
เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของมลพิษสิ่งแวดล้อม และการประหยัดพลังงาน
และปัจจุบันยังมีความเคลื่อนไหวของอัตราภาษีพิเศษปลายประเภท จนโครงสร้างภาษีรถยนต์ของไทยมีความใกล้เคียงกัน และเกิดเสียงบ่นถึงความไม่เป็นธรรมขึ้น ส่งผลให้มีการสั่งการให้กระทรวงการคลัง ไปพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีใหม่ให้มีความเหมาะสมกว่าปัจจุบัน
แต่ข่าวดีนี้จะเป็นจริงและจะพร้อมใช้ใน อีก 2-3 ปีข้างหน้านี้
เพื่อให้เวลาสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย กลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่ก่อน
และเพราะเพิ่งมีประกาศสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มของ EcoCar ไปซึ่งบริษัทผู้ผลิตก็เพิ่งเข้ามาลงทุน ถ้าปรับตอนนี้ก็จะมีผลกระทบได้ จึงต้องให้เลื่อนไปก่อน
(และลึกๆก็มีค่ายยักษใหญ่ค่อยเตะถ่วงอยู่)
รวมถึงรอการบังคับใช้มาตราฐานน้ำมันดีเซล Euro4 ที่บ้านเราเตรียมประกาศใช้ไปในตัว
(หลังจากติดโรคเลื่อนมานาน ก็เพราะค่ายน้ำมันยักษ์ใหญ่แตะถ่วงอีกเช่นกัน)
ปล.อะไรที่รวยๆ ที่ใหญ่ๆในบ้านเรา ทำไมไม่ "ใจๆ" กับส่วนรวมกันเลย
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่สุดแสนจะโบราณในปัจจุบัน
1.รถยนต์นั่ง หรือเก๋ง แบ่งเป็นขนาดความจุต่ำกว่า 2000 ซีซี อัตราภาษี 30% ขนาด 2000-2500 ซีซี 40% ขนาด 2500-3000 ซีซี 40% ขนาดมากกว่า 3000 ซีซี 50% โดยหากหากเป็นรถที่ใช้น้ำมัน E20 ลดลงอีกอัตราละ 5% และรถที่ใช้น้ำมัน E85 ขนาด 1780-2000 ซีซี เสียอัตราภาษี 22% ส่วนขนาดอื่นๆ ลดลงจากรุ่นปกติอีกอัตราละ 3%
2.รถยนต์ประหยัดพลังงาน แบ่งเป็นรถไฮบริด ขนาดต่ำกว่า 3000 ซีซี เสียอัตราภาษี 10% ขนาดมากกว่า 3000 ซีซี 50% รถใช้พลังงานไฟฟ้า 10% อีโคคาร์ เครื่องยนต์เบนซินต่ำกว่า 1300 ซีซี และเครื่องยนต์ดีเซลต่ำกว่า 1400 ซีซี เสียอัตราภาษี 17% รถยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ (CNG) อัตราภาษี 20%
3.ปิกอัพ แบ่งเป็นแบบมาตรฐาน หรือตอนเดียว และแบบมีแค็บ ขนาดต่ำกว่า 3250 ซีซี เสียภาษี 3% และขนาดมากกว่า 3250 ซีซี เสียภาษี 50% ส่วนปิกอัพแบบ 4 ประตู ขนาดต่ำกว่า 3250 ซีซี เสียภาษี 12% แต่รุ่นขนาดมากกว่า 3250 ซีซี 50% รถยนต์นั่งที่ดัดแปลงจากปิกอัพ เสียภาษี 3 และ 50% ขณะที่รถยนต์อเนกประสงค์แบบพีพีวี(PPV) ขนาดต่ำกว่า 3250 ซีซี เสียภาษี 20% และขนาดมากกว่า 3250 ซีซี เสียอัตราภาษี 50%