ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์  (อ่าน 5050 ครั้ง)

ออฟไลน์ warez

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 702
ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 20:27:46 »
ลองเอามาแชร์กันดูนะครับ
1.เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปที่ N ทุกครั้งที่หยุดรถ จะดีกว่าค้างไว้ที่ D แล้วเหยียบเบรคเอา หรือไม่?
2.ดับเครื่องทุกครั้งที่จอดรถ ดีกว่าติดเครื่องไว้ไม่ต้องดับจริงหรือไม่?
3.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบ 1,000กิโลแรกจำเป็นหรือไม่?

ปัญหาข้างต้นทั้งสองฝ่ายมีหลักฐานสนับสนุนพอประมาณ
แต่ยังไม่มีการจัดทำการวิจัยแบบเป็นหลักเป็นการกันสักครั้ง

ออฟไลน์ drugprofile

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 218
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 20:31:41 »
งง... :o :o :o

ออฟไลน์ YenChar

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 5,179
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 20:56:04 »
1.เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปที่ N ทุกครั้งที่หยุดรถ จะดีกว่าค้างไว้ที่ D แล้วเหยียบเบรคเอา หรือไม่?

- ถ้าหยุดเกิน 1 นาทีค่อยเปลี่ยนมาที่ N ก็ได้ครับ
แท๊กซี่บางคัน เข้าสลับ N-D ตลอดเวลาที่รถหยุด (คงชินกับเกียรธรรมดา)
หลายๆคันวิ่งไมล์ตีกลับ เกียรก็ยังดีอยู่...
อาจจะเป็นเพราะ ECT 4สปีดแสนจะโบราณแต่โครตทน เลยทำให้เกียรยังมีชีวิตรอดต่อไปได้(แต่ก็ร่อแร่เต็มที)

2.ดับเครื่องทุกครั้งที่จอดรถ ดีกว่าติดเครื่องไว้ไม่ต้องดับจริงหรือไม่?

- เหมือนกัน ถ้าจอดนาน ก็ดับเครื่องเถอะครับ ไอเสียรถมันไม่น่าดมเท่าไหร่ สงสารคนอื่นครับ
บางคนจอดรถหน้าตึกแถว ไม่ดับเครื่อง กลิ่นไอเสียเหม็นมากๆ
มันไม่ใช่เรื่องของเทคนิคหรือวิศวกรรม แต่เป็นเรื่องของมรรยาทด้วย

ส่วนถ้าว่าดับดีมั้ย ในเชิงวิศวกรรมยานยนต์ ถ้าจอดแปปเดียว ก็ไม่ต้องดับ
เพราะสตาร์ตรถใหม่ เปลืองน้ำมัน+ไดชาร์ตเสื่อม+สึกหรอ
ส่วนถ้าถามว่านานแค่ไหนควรดับ อยู่ที่ความเหมาะสม บอกกันไม่ได้หรอกครับ

3.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบ 1,000กิโลแรกจำเป็นหรือไม่?

- ไม่จำเป็นครับ
รถบริษัทผม ซื้อมาปุ๊บ วิ่งงานทันทีไม่มีรันอิน (หลายๆคันก็อย่างนี้) ไม่เข้าศูนย์ ไปเข้าอีกทีตอน 1 หมื่นโล
ปัจจุบันนี้ รถบริษัทยังอยู่ดีทุกคัน

รถผม ผมเปลี่ยน เพียงเพราะความสบายใจ ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา เอาความสบายใจก็ได้
แต่ถ้าเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็ไม่ควร

.......

ไม่มีอะไรตายตัวหรอกครับ อยู่ที่ความเหมาะสมทั้งนั้น

ออฟไลน์ Sarutino

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 758
  • อยากออกไปกอดเมืองไทย^ ^
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 22:00:20 »
มาแชร์ให้ฟังเกี่ยวกับข้อ 1 กลายๆ

ทุกวันนี้เห็นบ่อยมากขึ้นทุกที คือรถที่เปลี่ยนจากเกียร์ D เป็น P ทุกครั้งที่รถหยุด

ขับตามหลังตอนรถติดๆ นี่ชัดเลย รูดผ่านเกียร์ R ทำให้ไปถอยติดขึ้นจังหวะนึง

พอรถไหลต่อก็รูดผ่านจากเกียร์ P เป็น D อีกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่รถชะลอหยุด  ???

ผมว่าแบบนี้ไม่ดีแน่ๆ

ส่วนเรื่องหยุดรถเกียร์ D เหยียบเบรค ผมทำเมื่อแน่ใจว่าติดไม่เกิน 2 นาที

นานกว่านั้นก็เข้า N สบายเท้ากว่า  ;D
"Lose who you are to save what you love."

ออฟไลน์ Ruksadindan

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 12,051
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 23:08:19 »
ข้อแรก ถ้ากำลังเคลื่อน-หยุดตามกระแสไม่ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าไฟแดงนานก็พอทำได้ครับ
ข้อสองลองคาดคะเนไว้ ให้ดับเครื่องเกิน 11 วินาที ถึงไม่สูญเสียครับ
ข้อสาม ไม่จำเป็นนะ ที่หมื่นเลยดีกว่าครับ

ออฟไลน์ MystogaN

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4,476
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: เมษายน 11, 2012, 23:25:43 »
ข้อ1และข้อ2 รถรุ่นใหม่ เริ่มต้นที่นิสสันอัลเมร่ามีระบบ Idle Stop ตัดการทำงานของเครื่องเมื่อรถจอดแล้วคับ ถ้าหรูๆ ก็ Bmw ก็ใส่ให้แล้วครับ ทั้ง 3579 เอ้ย 9 ไม่มี

ข้อ3 รถยนต์สมัยนี้ไม่ต้องแล้วคับ

keanetona

  • บุคคลทั่วไป
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 00:22:35 »
ข้อ1 รถโอเปิล เมื่อเหยียบเบรคจนรถหยุดนิ่งเกิน3วินาทีเกียร์จะตัดเข้าเกียร์ว่างโดยอัตโนมัติ เชฟฯ ซาฟิร่า ก็มีระบบนี้
ข้อ2 ดับเครื่องเถอะครับ น้ำมันยิ่งมีเหลือน้อยๆอยู่

ออฟไลน์ NONT4477

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 9,851
  • Let the SKYFALL
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 01:40:57 »
ข้อแรก ผมเคยโดนแย้งโดยหลักฐานโต้งๆในเว็บนี้ ก็มีเหวอไปเหมือนกัน
เพราะพ่อผมทำอย่างนี้มา 9 ปี 8หมื่นกว่าโล กับ Camry 2003 เกียร์ไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย (เปลี่ยนนุ่ม เสียงเงียบ ยังคงเหมือนตอนออกป้ายแดงทุกประการ)
 แต่ไม่ได้ใส่ N ทุกครั้งนะ
ใส่เฉพาะไฟแดงที่คาดว่านาน ผมก็ทำแบบนี้แหละ ถ้าเห็นว่าใกล้จะไปก็เหยียบเบรคเอา

ข้อสอง จอดไฟแดงนับรึเปล่าครับ ผมจะอนุมานเอาเอง ถ้าจอดนาน 10 นาทีขึ้นไปดับแน่เปลืองน้ำมันมาก รถคันไหนมีจอ MID จะรู้ว่าถ้าจอดนิ่งๆ นานๆ
ค่า AVG มันลดลงขนาดไหน แต่ถ้าไม่ถึง10นาทีไม่ดับนะ ติดเครื่องบ่อยๆ กลัวไดสตาร์ทเสีย

ข้อสาม ถ้าศูนย์ที่เราซื้อบอกว่าไม่จำเป็น เพราะรถรันอินมาจากโรงงานแล้ว ทุกอย่างเข้าที่
กรุณาอย่าเชื่อ ต้นทุนและเวลารันอินมันสูง ใช้ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า เวลา เท่าที่ผมทราบ
มียี่ห้อเดียวที่รันอินให้คือ Bugatti
ขนาด RollsRoyce ยังวิ่งเหยาะๆ ลงหลุมลงบ่อในโรงงานนิดเดียว เพื่อฟังเสียงผิดปกติแค่นั้น
เครื่อง+เกียร์ ก่อนประกอบเข้าตัวรถก็มีการทดสอบการทำงานเพื่อหาความผิดปกตินิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เรียกว่ารันอินแล้ว
ยกเว้นช่างในศูนย์มีเหตุผลในการอ้างดีกว่าคำว่ารันอินค่อยนำมาคิดครับ
 ถ้าไม่มีฉะนั้นรถผมจะเปลี่ยน ทั้งน้ำมันเครื่องและเกียร์ ราคาไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ทำเพื่อความสบายใจ :)

ญาติผมที่ญี่ปุ่นเคยแนะนำผมมาว่า รถป้ายแดงใหม่ๆต้องขับแบบกระทืบ เพื่อให้รถเข้าที่ได้เร็วๆ
ผมคิดในใจว่าทำแบบนั้นผ่านไป 5-10 ปีรถผมคงเครื่องหลวมหมดต้องไปยกเครื่องใหม่
แต่ผมลืมไปว่าคนญี่ปุ่นใช้รถแป๊บเดียวก็ทิ้งเป็นเศษเหล็กแล้ว
Top Gear's Biggest FAN!!! (IN MY House)
I'm NAC1701  ^ ^

ออฟไลน์ นครอัญมณี

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1,181
    • นครอัญมณี
    • อีเมล์
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 01:59:19 »
ลองเอามาแชร์กันดูนะครับ
1.เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติไปที่ N ทุกครั้งที่หยุดรถ จะดีกว่าค้างไว้ที่ D แล้วเหยียบเบรคเอา หรือไม่?
2.ดับเครื่องทุกครั้งที่จอดรถ ดีกว่าติดเครื่องไว้ไม่ต้องดับจริงหรือไม่?
3.เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบ 1,000กิโลแรกจำเป็นหรือไม่?

ปัญหาข้างต้นทั้งสองฝ่ายมีหลักฐานสนับสนุนพอประมาณ
แต่ยังไม่มีการจัดทำการวิจัยแบบเป็นหลักเป็นการกันสักครั้ง
1. ไม่มีข้อกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่น ที่ออกแบบระบบเกียร์มาไม่เหมือนกัน ควรทำตามคู่มือประจำรถจะดีที่สุด
2. ดับเครื่องประหยัดเชื้อเพลิงชัดเจน ลดการเสื่อมสภาพจากเครื่องยนต์ที่ต้องทำงานตลอดเวลา ลดมลภาวะจากท่อไอเสียอีกด้วย
3. ยังคงจำเป็น เนื่องจาก ชิ้นส่วนกลไกล ที่นำมาประกอบกันในครั้งแรก อาจจะขบเฟืองกันไม่เต็มร้อย จะทำให้มีเศษโลหะหลุดออกมาในช่วงแรกมากที่สุด
แต่ระยะหลังไม่ค่อยจำเป็น เนื่องจากมีการรันอินจากโรงงานมาบ้าง แต่ก็ไม่ทุกรุ่น
อย่างไรก็ตาม ระบบเกียร์ เฟืองท้าย เพลาขับ ต่างๆ ที่ต้องมีน้ำมันเครื่องมาหล่อเลี้ยง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนอยู่ดี
ดังนั้น เปลี่ยนบ่อย ดีกว่า เปลี่ยนไม่บ่อย ถึงแม้จะใช้น้ำมันเครื่องเกรดดีเท่าไรก็ตาม
รักรถมาก
รักครอบครัวมากกว่า
รักชาติ-ศาสน์-กษัตริย์มากที่สุด

ออฟไลน์ J!MMY

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 15,628
    • www.headlightmag.com
    • อีเมล์
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 03:24:47 »
ยืนยันว่า ไม่จำเป็นแล้วครับ สำหรับข้อ 3

เทคโนโลยีโลหะวัสดุในสมัยนี้ ทำออกมาให้เครื่องยนต์ มีเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ออกมาน้อย
หรือไม่ก็ ปราศจาก และแทบจะไม่มีผล นั่นจึงทำให้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่ 1,000 กิโลเมตรแรก
ให้สิ้นเปลืองทรัพยากรน้ำมัน และทำลายสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมขึ้นโดยไม่จำเป็นครับ

ข้อ 1 เว็บเรามีบทความชัดเจนแล้วครับ ของคุณชาญ อู่กรุงเทพ ลองหาอ่านได้ ในส่วนของ Technical Guru
ในนั้นมีข้อสรุปชัดเจนแล้ว ว่า ไม่ควรจะเปลี่ยนเกียร์ จาก D ไป N หรือ ไป P บ่อยๆ ขณะรถติด

ข้อ 2 ถ้าจอดติดนานเกิน 5 นาที ดับเครื่องไปก็ได้ครับ เพราะยิ่งเดินเบานานๆ ผลาญน้ำมันเชื้อเพลิง
และปล่อยมลพิษสู่โลก เยอะใช้ได้เลย

ออฟไลน์ power2002

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 689
  • ประหยัดได้ด้วยเท้าตัวเอง!
Re: ปัญหาโลกแตกของวงการยานยนต์
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: เมษายน 12, 2012, 09:37:15 »
ความเห็นผม แม้จะได้อ่านบทความจากอาจารย์หลายๆ ท่าน แต่ผมก็ยัง เข้าเกียร์N ทุกครั้ง ที่มีโอกาส และดึงเบรคมือด้วย   ยังไม่มีคันไหนเกียร์พังด้วยมือผมเลย

แต่ที่แน่ๆ เคยคิดว่า ไหนๆ บทความหลายๆ บทความก็บอกไว้แล้วว่า ใส่ D ไปเหอะ ไม่พังหรอก ก็ใส่ครับ แล้วเหยียบเบรคไว้ เผลอแป๊บเดียว ปุ้ง  แตะคันหน้าครับ

เพราะเหยียบเบรคแล้วลืมน้ำหนักครับ เผลอคลายเบรคตอนไหนไม่รู้   ทะเบียนรถไปแตะกันชนท้ายรถคันหน้าแบบไม่รู้ตัว ถึงขนาดที่ว่า เจ้าของรถ

ลงมาต่อว่าผม ที่ชนแล้วไม่ลงไปขอโทษ   

.... ผมเลยไม่สนแล้วว่า  "รถจ๋าเกียร์ลากก่อน"  หรือไม่  ขอแค่ "ตรูดหนู อย่าถูสิ"  เป็นพอครับ ...

 :D