« เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2012, 23:04:27 »
รถคันแรกคืนเงินอืด! ไร้เจ้าภาพ ทนุศักดิ์ สั่งปิดตายโครงการ ยอมรับถังแตกไม่มีเงินโปะแล้ว
น้ำลดตอผุดโครงการคืนภาษีรถคันแรก ยอดใช้สิทธิพุ่งเกินเป้า 5 แสนค้น งบประมาณ 3 หมื่นล้านบาทไม่พอ ขณะที่การเชื่อมโยงข้อมูล กรมบัญชีกลาง - สรรพสามิต - กรมการขนส่งทางบอกไม่เรียบร้อยสูญเงิน 100 ล้านบาท ยื้อคืนเงิน 1 แสนบาทล่าช้า ทนุศักดิ์สั่งปิดตายโครงการรับถังแตกไม่มีเงินโปะแล้ว
คณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2554 เดินหน้าโครงการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรก และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรมช.คลังกำกับดูแลกรมสรรพสามิตก็เร่งเดนหน้าโครงการอย่างเต็มที่ โดยจะคืนเงินภาษีโดยตรงให้กับผู้ซื้อที่เป็นเจ้าของรถยนต์ ซึ่งจะเริ่มพิจารณาจากลักฐานการจองซื้อตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2554 และสิ้นสุดโครงการ 31 ธันวาคม 2555
เริ่มแรกโครงการเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปมากนักแต่ภายหลังเกิดมหาวาตภัยเมื่อปลายปี 2554 ทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติเพิ่มเติมให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมเข้าร่วมโครงการนี้ได้ด้วยเช่นกัน จะทำให้โครงการนี้ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม แม้ว่าห่วงโซ่การผลิตจะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมในครั้งนี้โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อยที่ป้อนชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์รายใหญ่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแถบจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานีส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการส่งมอบรถที่เข้าร่วมโครงการ
จนกระทั่งล่าสุด นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลังคนใหม่สายตรงเจ๊ด.เข้ามารับไม้ต่อโครงการรถยนต์คันแรกจากนายบุญทรงก็ได้คาดการณ์ว่า ตามมติครม. ที่ขยายเวลารับมอบรถยนต์และยื่นเอกสารหลักฐานตามมาตรการรถคันแรกออกไป 90 วันหลังรับมอบรถ เพื่อชดเชยกับระยะเวลาที่โรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน อะไหล่รถยนต์หยุดดำเนินการเนื่องจากประสบอุทกภัยและเพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิได้รับเงินคืนภาษีเนื่องจากได้รับการส่งมอบรถล้าช้าจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ยอมรับว่าการขยายเวลาดังกล่าวอาจส่งผลให้ยอดซื้อรถคันแรกที่เข้าโครงการพุ่งทะลุเกินกว่า 5 แสนคันและรัฐต้องคนภาษีมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท
แน่นอนว่าเส้นทางย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เมื่อเป้าหมายที่วางไว้เบื้องต้นว่าจะมีปริมาณรถเข้าร่วมโครงการเพียง 5 แสนคัน แต่ยังเหลือเวลาอีกกว่า 1 ไตรมาสจะครบกำหนดสิ้นสุดโครงการ และบรรดาผู้ประกอบการต่างเข็นรถที่เข้าข่ายได้รับสิทธิตามโครงการนี้ออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้การประมาณการยอดรถที่จะเข้าร่วมโครงการพุ่งขึ้นตามไปด้วย งบประมาณที่ตั้งไว้ในเบื้องต้น 3 หมื่นล้านบาทก็ย่อมไม่เพียงพอที่จะใช้คืนเงินตามนโยบายที่รัฐบาลได้หาเสียงไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ณ วันนี้คือการคืนเงินให้กับผู้ซื้อรถที่ล่าช้าและมีเสียงบ่นออกมา โดยที่กรมสรรพสามิต กรมบัญชีกลางและกรมการขนส่งทางบก ยังไม่สามารถเชื่อมระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเพื่อคืนเงินให้กับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งๆ ที่ตอนเริ่มต้นโครงการรัฐมนตรีบุญทรงได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินสำหรับโครงการนี้สูงถึง 100 ล้านบาทในการดำเนินการโดยไม่เกี่ยวข้องกับเงินที่คืนภาษี 3 หมื่นล้านบาทแต่อย่างใด แต่ด้วยเหตุผลอันใดไม่ทราบจึงไม่มีการนำงบ 100 ล้านบาทมาใช้วางระบบเชื่อมต่อ 3 กรมที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การคืนเงินสะดวกและรวดเร็วขึ้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าเงิน 100 ล้านบาทล่องหนไปอยู่ในกระเป๋าใคร
ขณะที่ปัญหาเรื่องการตั้งงบประมาณคืนเงินให้กับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการโดยกรมบัญชีกลางได้จ่ายเงินคืนให้กับผู้ได้รับสิทธิ์ไปแล้ว 2 งวดและที่จะจ่ายเพิ่มอีกงวด 5 พฤศจิกายน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 849 ล้านบาท จํานวน 10,987 คัน และกรมบัญชีกลางได้เสนอขอใช้งบกลางในปี 2556 เพิ่ม 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อนํามาใช้ในการคืนเงินในโครงการรถคันแรกเพิ่มเติม จากเดิมที่ตั้งงบประมาณไว้ในปี 2556 จํานวน 7.5 พันล้านบาทแต่ไม่เพียงพอ เนื่องจากจํานวนที่ยื่นไว้และมีสิทธิ์ได้รับเงินรวมทั้งสิ้น 1.8 หมื่นล้านบาท จากจํานวนที่ยื่นเข้าโครงการแล้วทั้งสิ้น 2.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 3.1 แสนคัน
งบกลางปีที่มีอยู่อย่างจำกัดและถูกโครงการประชานิยมต่างๆ ของรัฐบาลรุมทึ้งอาจไม่เพียงพอกับการจ่ายคืนสำหรับโครงการรถคันแรกหรือทำให้การจ่ายคืนล่าช้าออกไปจากเดิมซ้ำเติมกับปัญหาการตรวจสอบสิทธิ์ที่ยังไม่บูรณาการกันระหว่าง 3 กรมดังที่กล่าวมาดังกล่าว ซึ่งรมช.คลังก็ยืนยันออกมาเองว่าจะไม่ขยายเวลาออกไปอีกอย่างแน่นอน เพราะใช้เงินงบประมาณในโครงการนี้มากแล้ว หากเพิ่มอีกรัฐบาลจะถังแตกได้
สำหรับผมแล้วมันก็แค่โครงการทำลายชาติ ไม่มีผลดีต่อส่วนร่วมเลยสักนิด สงสารประเทศไทยจริง credit :
http://manager.co.th